วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2018, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูอีกฝ่ายหนึ่ง


"ภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่คร่ำครวญ ไม่ร่ำไห้ ไม่รำพัน ไม่ตีอกร้องไห้ ไม่หลงใหลฟั่นเฟือน เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่เสวยเวทนาทางใจ

"เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิ่งบุรุษด้วยลูกศร แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ ๒ ผิดไป เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้น ย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรดอกเดียว ฉันใด อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ก็ฉันนั้น...ย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่เสวยเวทนาทางใจ

"อนึ่ง เธอย่อมไม่มีความขัดใจ เพราะถูกทุกขเวทนานั้น เมื่อไม่มีความขัดใจ เพราะทุกขเวทนานั้น ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนานั้น ย่อมไม่นอนเนื่อง
เธอถูกทุกขเวทนากระทบ ก็ไม่หันเข้าระเริงกับกามสุข เพราะอะไร ? เพราะอริยสาวก ผู้เรียนรู้แล้ว ย่อมรู้ทางออกจากทุกขเวทนา นอกจากกามสุขไปอีก เมื่อเธอไม่ระเริงกับกามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนานั้นก็ไม่นอนเนื่อง
เธอย่อมรู้เท่าทันความเกิดขึ้น ความสูญสลาย ข้อดี ข้อเสีย และทางออกของเวทนาเหล่านั้นตามที่มันเป็น
เมื่อเธอรู้...ตามที่มันเป็น อวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่นอนเนื่อง

"ถ้าเสวยสุขเวทนา เธอก็เสวยอย่างไม่ถูกมัดตัว
ถ้าเสวยทุกขเวทนา เธอก็เสวยอย่างไม่ถูกมัดตัว
ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา เธอก็เสวยอย่างไม่ถูกมัดตัว
ภิกษุทั้งหลาย นี้ เรียกว่า อริยสาวก ผู้ได้เรียนรู้ ผู้ปราศจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราเรียกว่า ผู้ปราศจากทุกข์"

"ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่าง ระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ กับ ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้" (สํ.สฬ.18/369-372/257-260)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสไม่แวะเวียนมาที่กท.นี้เลย มีอะไรมีข้อโต้แย้งบ้างไหมขอรับ :b13:

ยอดดอยรู้สึกได้ว่าอากาศเริ่มเปลี่ยนปลายฝนต้นหนาวแล้ว คุณโรสกินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลมบ้างนะขอรับนะ :b32: เด๋วจะม่ายฉะบาย :b12:

http://4.bp.blogspot.com/-rfxkwQl9Sk8/V ... %B8%84.jpg

คนโบราณอยู่กับธรรมชาติ จึงรู้สรรพคุณของพืชที่เป็นยา เช่น ข่า ตะไคร้ ดอกแค เป็นต้น เป็นยาทั้งนั้น ที่ว่าดอกแคกันไข้หัวลม ก็เพราะมีรสขมๆหน่อย ความขมนั่นแหละกันไข้ได้ (กินกันไว้) ลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้ ยอดอ่อนก็ลวกกินได้

ย้อนไปครั้งพุทธกาล เรื่องหมอชีวก ชีวกซึ่งเรียนแพทย์ วิธีสอบว่าผ่านไม่ผ่าน อาจารย์ก็ให้เข้าป่าหาพืชที่ใช้เป็นยาไม่ได้มา ชีวกก็ไปเสาะแต่ปรากฏว่าไม่มีคือใช้เป็นยาได้ทั้งนั้น ก็กลับมาบอกอาจารย์ อาจารย์ก็บอก เธอเรียนจบแล้ว กลับไปรับใช้บ้านเมืองได้ ดังนี้เป็นตัวอย่าง


ไม่รู้จะเอายังไงดี เอาหัวปลีก็แล้วกัน :b13:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆของเขาเอง ซึ่งที่ทำแทน รู้แทนกัน ปฏิเวธแทนกันไม่ได้ ดังตัวอย่าง


อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค


ผู้ปฏิบัติจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่าพระรัตนตรัย อิอิ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามีไม่มี แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรม ไม่ใช่จากการฟังที่อ้างบ่อยๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:



เล่นเอาซื่อๆเลยนะขอรับ สาวก แปลว่าผู้ฟัง ผู้ไม่ฟังไม่ใช่สาวก :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:



เล่นเอาซื่อๆเลยนะขอรับ สาวก แปลว่าผู้ฟัง ผู้ไม่ฟังไม่ใช่สาวก :b13:

ความจริงตรงๆมี1เดียวคือสัจจะที่เหลือคือปรุงแต่งเกินจริงไงคะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:



เล่นเอาซื่อๆเลยนะขอรับ สาวก แปลว่าผู้ฟัง ผู้ไม่ฟังไม่ใช่สาวก :b13:


ความจริงตรงๆมี1เดียวคือสัจจะที่เหลือคือปรุงแต่งเกินจริงไงคะ


มันอะไรนี้ สัจจะ ความจริง เห็นพูดอยู่นั่นแหละ ความจริงๆ คือ สัจจะ 1 เดียว ไม่มี 2 :b32:

คุณโรส ตั้งคำถามๆตัวเองสิ สัจจะที่ว่านั่นนะมันอะไร ? ตอบตัวเองได้แล้วว่าเป็นอะไรแล้ว เอาโพสต์บอกไอ้เรืองที คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 06:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่าว เห็นคุณลุงตาบอดเดินจูงคนตาบอด ทำตัวเป็นตาให้คนตาบอดอยุ่นี่นา

คริคริ


โพสต์ เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:



เล่นเอาซื่อๆเลยนะขอรับ สาวก แปลว่าผู้ฟัง ผู้ไม่ฟังไม่ใช่สาวก :b13:


ความจริงตรงๆมี1เดียวคือสัจจะที่เหลือคือปรุงแต่งเกินจริงไงคะ


มันอะไรนี้ สัจจะ ความจริง เห็นพูดอยู่นั่นแหละ ความจริงๆ คือ สัจจะ 1 เดียว ไม่มี 2 :b32:

คุณโรส ตั้งคำถามๆตัวเองสิ สัจจะที่ว่านั่นนะมันอะไร ? ตอบตัวเองได้แล้วว่าเป็นอะไรแล้ว เอาโพสต์บอกไอ้เรืองที คิกๆๆ

เห็นไม่ใช่ได้ยินไม่มีอะไรเกิดพร้อมกัน
ทุกอย่างเกิดดับสลับกันเรียงลำดับอยู่
ไม่มีใครบังคับการเกิดขึ้นการตั้งอยู่นะ
และไม่มีใครทำให้ดับไปการปรุงแต่งคือ
ความคิดเห็นและความคิดเห็นไม่ใช่สัจจะ
สัจจะคือความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ว่ามี
ตรงรูปที่กำลังปรากฏคือวิสยรูป7ในชีวิตประจำวัน
ตัวคุณต้องกำลังระลึกรู้ตรงรูปที่กำลังปรากฏนั้นๆของตนเอง
ทันทีที่มีรูปนั้นๆปรากฏตรงทางตามที่คุณสะสมที่ตัวตนที่ตามรู้ทัน
ถ้าไม่ทันเลยสัก1คำก็คือมีความคิดเห็นผิดไปจากสัจจะมากเกินสัจจะไงคะ
คุณคิดเอาเองว่าคุณรู้และจำได้เยอะแต่จิตเกิดดับ1ขณะมีรูปปรมัตถ์นับไม่ได้ไม่เคยรู้สึกตัวถึงสัจจะที่มีเลย
เพราะไม่รู้ว่ามีแล้วแต่ชอบไปทำตามความคิดเห็นผิดของตนไม่รู้จักสุตมยปัญญาว่าคือการพึ่ง1คำสัจจะตรงๆ
:b12:
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:



เล่นเอาซื่อๆเลยนะขอรับ สาวก แปลว่าผู้ฟัง ผู้ไม่ฟังไม่ใช่สาวก :b13:


ความจริงตรงๆมี1เดียวคือสัจจะที่เหลือคือปรุงแต่งเกินจริงไงคะ


มันอะไรนี้ สัจจะ ความจริง เห็นพูดอยู่นั่นแหละ ความจริงๆ คือ สัจจะ 1 เดียว ไม่มี 2 :b32:

คุณโรส ตั้งคำถามๆตัวเองสิ สัจจะที่ว่านั่นนะมันอะไร ? ตอบตัวเองได้แล้วว่าเป็นอะไรแล้ว เอาโพสต์บอกไอ้เรืองที คิกๆๆ


เห็นไม่ใช่ได้ยินไม่มีอะไรเกิดพร้อมกัน
ทุกอย่างเกิดดับสลับกันเรียงลำดับอยู่
ไม่มีใครบังคับการเกิดขึ้นการตั้งอยู่นะ
และไม่มีใครทำให้ดับไปการปรุงแต่งคือ
ความคิดเห็นและความคิดเห็นไม่ใช่สัจจะ
สัจจะคือความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ว่ามี
ตรงรูปที่กำลังปรากฏคือวิสยรูป7ในชีวิตประจำวัน
ตัวคุณต้องกำลังระลึกรู้ตรงรูปที่กำลังปรากฏนั้นๆของตนเอง
ทันทีที่มีรูปนั้นๆปรากฏตรงทางตามที่คุณสะสมที่ตัวตนที่ตามรู้ทัน
ถ้าไม่ทันเลยสัก1คำก็คือมีความคิดเห็นผิดไปจากสัจจะมากเกินสัจจะไงคะ
คุณคิดเอาเองว่าคุณรู้และจำได้เยอะแต่จิตเกิดดับ1ขณะมีรูปปรมัตถ์นับไม่ได้ไม่เคยรู้สึกตัวถึงสัจจะที่มีเลย
เพราะไม่รู้ว่ามีแล้วแต่ชอบไปทำตามความคิดเห็นผิดของตนไม่รู้จักสุตมยปัญญาว่าคือการพึ่ง1คำสัจจะตรงๆ


อ้างคำพูด:
เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่มีอะไรเกิดพร้อมกัน

ทุกอย่างเกิดดับสลับกันเรียงลำดับอยู่


คิกๆๆ คุณโรสนี่ไม่ใช่ทำมะดาจินๆ

เห็น ก็เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินก็ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ได้กลิ่นก็ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ลิ้มรสก็ลิ้มรส ไม่ใช่ถูกต้องโผฏฐัพพะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
แม้แต่ตัวคุณเองยังทำอะไรไม่ได้
จะให้คนอื่นทำอะไรแทนคุณได้เล่า
ทั้งคุณและแฟนไม่คิดหรือเห็นสิ่งเดียวกัน
เอาง่ายๆนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน4คนคุณขับรถ
คุณว่าทั้ง4คนนั่งคิดอะไรเห็นอะไรเหมือนและพร้อมได้รึ


นี่ไง :b32: ถึงได้บอกว่า มีคนนั่งฟังแม่สุจินพูด (สุตะ) กันอยู่ร้อยคน ฟังแล้วก็คิดตีความกันไปคนละทาง อุปมาเหมือนให้คนร้อยคนวาดภาพผีในใจของแต่ละคน ก็จะได้ภาพผีออกมาหน้าตาร้อยแบบตามจินตนาการในใจแต่ละคนๆ.

นั่นการฟัง แต่การปฏิบัติ เรียนจากประสบการณ์ตรงซึ่งปรากฏในขณะนั้นๆ อันผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านไปให้จงได้


ผู้ปฏิบัติเรียนรู้สภาวะจากประสบการตรงของเขาเอง ที่ทำแทนกันไม่ได้ ดู

อ้างคำพูด:
จิต (ความคิด) ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

:b8:
ตถาคตตรัสรู้ความจริงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตถาคตสอนให้เข้าใจความจริง
ไม่ได้ให้เชื่องมงายในความศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ทรงบอกให้ฟังเพื่อดับความเห็นผิดเพราะความจริงที่ทรงแสดง
มีตรงตามเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะธัมมะเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ทรงตรัส
ไว้ดีแล้วที่เกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่มีการเลือกหรือบังคับ
ให้เกิดขึ้นได้ตามใจอยากถ้าเลือกได้คงไปนิพพานหมดแระ
:b12:
:b32: :b32:


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไม่มีไม่รู้ แต่จิตมันคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่า พระรัตนตรัย อิอิ มีไม่มี ไม่รู้ แต่จิตมันด่า เข้าใจไหม จิตมันคิดด่า คิกๆๆ

ถ้าจะไปนิพพานอะไรที่คิดนั่น คุณโรสจะต้องเรียนรู้จากสภาวธรรมไปทางนั้น ซึ่งก็ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำใครได้ ไม่ใช่จากการฟังแม่สุจินพูด :b13:

:b32:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงมาสอนสาวก
คนไม่ฟังจึงไม่ใช่สาวกตรงต่อการฟังไหม
เพราะตถาคตกล่าวความจริงตรงขณะทุกคำ
ทั้งหมดในพระไตรปิฎกมีตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงคำไหน
ต้องรู้จักตรงที่กายใจตนกำลังมีเกิดขึ้นและกำลังตั้งอยู่ตอนเกิดแล้วก่อนดับ
กะพริบตามีครบ6ทางเกิดและดับสลับกันนับไม่ถ้วนแล้วสติปัญญารู้ทันตรงคำไหน
พอจะนึกออกไหมว่าที่ไม่รู้ตรงจริงที่กายใจตนมีตรง1สัจจะที่ปรากฏกับปัญญาก็คือปรากฏกับอวิชชาของคุณ
ศาสนาแปลว่าคำสอนและพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าการสะสมปัญญาเริ่มที่ฟังทุกครั้งเลย
:b12:
:b4: :b4:



เล่นเอาซื่อๆเลยนะขอรับ สาวก แปลว่าผู้ฟัง ผู้ไม่ฟังไม่ใช่สาวก :b13:


ความจริงตรงๆมี1เดียวคือสัจจะที่เหลือคือปรุงแต่งเกินจริงไงคะ


มันอะไรนี้ สัจจะ ความจริง เห็นพูดอยู่นั่นแหละ ความจริงๆ คือ สัจจะ 1 เดียว ไม่มี 2 :b32:

คุณโรส ตั้งคำถามๆตัวเองสิ สัจจะที่ว่านั่นนะมันอะไร ? ตอบตัวเองได้แล้วว่าเป็นอะไรแล้ว เอาโพสต์บอกไอ้เรืองที คิกๆๆ


เห็นไม่ใช่ได้ยินไม่มีอะไรเกิดพร้อมกัน
ทุกอย่างเกิดดับสลับกันเรียงลำดับอยู่
ไม่มีใครบังคับการเกิดขึ้นการตั้งอยู่นะ
และไม่มีใครทำให้ดับไปการปรุงแต่งคือ
ความคิดเห็นและความคิดเห็นไม่ใช่สัจจะ
สัจจะคือความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ว่ามี
ตรงรูปที่กำลังปรากฏคือวิสยรูป7ในชีวิตประจำวัน
ตัวคุณต้องกำลังระลึกรู้ตรงรูปที่กำลังปรากฏนั้นๆของตนเอง
ทันทีที่มีรูปนั้นๆปรากฏตรงทางตามที่คุณสะสมที่ตัวตนที่ตามรู้ทัน
ถ้าไม่ทันเลยสัก1คำก็คือมีความคิดเห็นผิดไปจากสัจจะมากเกินสัจจะไงคะ
คุณคิดเอาเองว่าคุณรู้และจำได้เยอะแต่จิตเกิดดับ1ขณะมีรูปปรมัตถ์นับไม่ได้ไม่เคยรู้สึกตัวถึงสัจจะที่มีเลย
เพราะไม่รู้ว่ามีแล้วแต่ชอบไปทำตามความคิดเห็นผิดของตนไม่รู้จักสุตมยปัญญาว่าคือการพึ่ง1คำสัจจะตรงๆ


อ้างคำพูด:
เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่มีอะไรเกิดพร้อมกัน

ทุกอย่างเกิดดับสลับกันเรียงลำดับอยู่


คิกๆๆ คุณโรสนี่ไม่ใช่ทำมะดาจินๆ

เห็น ก็เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินก็ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ได้กลิ่นก็ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ลิ้มรสก็ลิ้มรส ไม่ใช่ถูกต้องโผฏฐัพพะ :b32:


เพราะคุณยายโรสฉลาดกว่าลุงกรัชกาย ถูกต้องตามพระธรรม

เรยเห็นจากทางตา ได้กลิ่นจากทางจมูก

แต่ลุงกรัชกาย ได้รส จากทางตา

คริคริ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร