วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 278 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 14:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
คนที่กำลังสงสัยนี่คือกำลังมีกิเลส
คนบอกก็ทำได้แค่บอกไม่ได้สงสัย
ก็บอกให้ฟังจะได้เข้าใจถูกตรงตาม
คิดถูกตามได้มีปัญญาเข้าใจถูกตาม
จะบอกอะไรก็บอกตามสิ่งที่มีจริงที่เข้าใจ
บอกความจริงที่กำลังมีแล้วเดี๋ยวนี้เข้าใจไหมคะ
อ่านให้ตรงทีละคำแบบคิดตามเข้าใจตรงคำด้วยตรงๆ
บอกสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้คิดไปไกลนอกตัวตนคือผิดไงคะ
คนอ่านกำลังไม่เข้าใจแปลว่ามีปัญญาเข้าใจไม่เท่ากับคนบอกไงคะ
เดี๋ยวนี้คิดให้ตรงไม่ได้กำลังเห็นแค่สีคือความเห็นผิดจะเห็นถูกตามได้ตอนกำลังฟังแล้วตอนนี้ทำฟังอยู่ไหมคะ
:b32: :b32:


ฟุ้งไปเรื่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 14:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
ปัญญาตามคำสอนเกิดจากฟังเข้าใจสะสมทีละขณะ
ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงสัจจะตรงขณะเดี๋ยวนี้
ขณะกำลังทำฟังก็คือค่อยๆฟังคิดตามไปเรื่อยๆไม่ใช่หรือคะ
ก็บอกแล้วว่าอ่านไม่ใช่ทางเกิดปัญญาถ้ายังไม่มีปัญญามาก่อน
เพราะทุกคนเลยที่เกิดมาแล้วมีกิเลสนอนในจิตรอไหลออกมาตอนตื่น
หลับอยู่ไม่มีกิเลสไหลออกมาพอตื่นลืมตาปุ๊บกิเลสไหลไปตามความคิดเลยไง
ไม่ได้กำลังทำปัญญาแรกตามคำสอนเพื่อดักตัวจริงธัมมะ1ที่ตนคิดตรงตามได้ตอนฟังก็คือมีอวิชชาเกิดไงคะ
https://youtu.be/h2MF-MiYEgY
:b12:
:b4: :b4:


อ้างไปเรื่อย ตามความคิดของตัวเอง
โดยไม่มีพระสูตรรองรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
หลงทำผิดมาตั้งนานแล้วทำฟังก็ได้นะคะ
ไม่สังหรณ์ใจบ้างหรือคนทั้งตัวมาทักนะนี่
พูดไปเรื่อยอ้างแต่ตำราไปเรื่อยๆแหละค่ะ
เพราะไม่กระทำปัญญาตรงทางเกิดของตน
ฟังบ้างเถอะอะไรๆที่คิดว่ารู้น่ะไม่ใช่ยังไม่รู้น๊า
สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คนสัตว์วัตถุตัวอักษร555
https://youtu.be/IF7_sXk5wQ4
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
หลงทำผิดมาตั้งนานแล้วทำฟังก็ได้นะคะ
ไม่สังหรณ์ใจบ้างหรือคนทั้งตัวมาทักนะนี่
พูดไปเรื่อยอ้างแต่ตำราไปเรื่อยๆแหละค่ะ
เพราะไม่กระทำปัญญาตรงทางเกิดของตน
ฟังบ้างเถอะอะไรๆที่คิดว่ารู้น่ะไม่ใช่ยังไม่รู้น๊า
สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คนสัตว์วัตถุตัวอักษร555
https://youtu.be/IF7_sXk5wQ4
:b32: :b32: :b32:


นั่นสิ่ ยังว่าเมื่อไรจะกลับเข้าสู่ทางสายเอก

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
หลงทำผิดมาตั้งนานแล้วทำฟังก็ได้นะคะ
ไม่สังหรณ์ใจบ้างหรือคนทั้งตัวมาทักนะนี่
พูดไปเรื่อยอ้างแต่ตำราไปเรื่อยๆแหละค่ะ
เพราะไม่กระทำปัญญาตรงทางเกิดของตน
ฟังบ้างเถอะอะไรๆที่คิดว่ารู้น่ะไม่ใช่ยังไม่รู้น๊า
สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คนสัตว์วัตถุตัวอักษร555
https://youtu.be/IF7_sXk5wQ4
:b32: :b32: :b32:


นั่นสิ่ ยังว่าเมื่อไรจะกลับเข้าสู่ทางสายเอก

:b32: :b32: :b32:

:b32:
คนลืมตาดูโลกตามปกติไม่รู้ความจริงว่าตนเองโง่คือมีอวิชชา
ยังอวดอุตริไปนั่งหลับตาทำความไม่รู้สึกตัวตามคำสอนเนี่ย
เขาเรียกว่านั่งหลับตาวาดฝันคว้าเงาตัวธัมมะโดยไม่ฟัง
เขาเรียกนั่งเดาว่าตนเองรู้ส่วนคนที่ฟังไม่ต้องเดาไง
คนที่กำลังฟังเท่านั้นจึงจะคิดถูกตรงตามได้555
เอกอนคิดว่าตัวเองเก่งกว่าตถาคตหรือ
ถึงจะไม่ฟังขนาดพระสารีบุตร
ผู้มีปัญญาเหนือสาวกทุกคนที่เกิดอยู่นี่
ยังบรรลุตอนฟังจากสาวกอัสชิ
ไม่ฟังมีแต่อ่านแล้วก็คิดจะไปทำ
ไม่มีใครรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็น
ปัญญารองจากพระพุทธเจ้าคืออัครสาวกสารีบุตรค่ะ
มีอิทธฤทธิรองจากตถาคตคืออัครสาวกโมคัลลานะค่ะ
เอกอนว่าคนที่ไปนั่งหลับตาจะได้ทั้งฤทธิ์และปัญญาหรือคะ
ตาเนื้อปกติที่มองตามปกติคิดตามคำสอนปกติไม่ได้เห็นสีเหมือนตถาคตน๊า
จำเป็นต้องฟังถึงจะคิดถูกตามเกิดสัมมาตามไงคะคือมีสุตมยปัญญาฟังจนเข้าถึงความจริงที่กำลังมี
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
คนลืมตาดูโลกตามปกติไม่รู้ความจริงว่าตนเองโง่คือมีอวิชชา
ยังอวดอุตริไปนั่งหลับตาทำความไม่รู้สึกตัวตามคำสอนเนี่ย
เขาเรียกว่านั่งหลับตาวาดฝันคว้าเงาตัวธัมมะโดยไม่ฟัง
เขาเรียกนั่งเดาว่าตนเองรู้ส่วนคนที่ฟังไม่ต้องเดาไง
คนที่กำลังฟังเท่านั้นจึงจะคิดถูกตรงตามได้555
เอกอนคิดว่าตัวเองเก่งกว่าตถาคตหรือ

:b32:
เอกอนคิด หรือ ใครคิดแทนเอกอนหว๋านี่
:b32:

Rosarin เขียน:
ถึงจะไม่ฟังขนาดพระสารีบุตร
ผู้มีปัญญาเหนือสาวกทุกคนที่เกิดอยู่นี่
ยังบรรลุตอนฟังจากสาวกอัสชิ

:b32: เรื่อยเปื่อย ฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้ว

ก็อุ่นใจได้ว่าพระสารีบุตรฟังพระอัสสชิ และไปฟังต่อกับพระพุทธองค์
ซึ่งพระสารีบุตร :b20: :b20: :b20:
ไม่ได้บรรลุเพราะฟัง ทูปปป :b1:

Rosarin เขียน:
ไม่ฟังมีแต่อ่านแล้วก็คิดจะไปทำ
ไม่มีใครรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็น

ก็ไปอ่านทางสายเอกสิ่คะ หรือถ้าจะฟังก็ฟังเสียงอ่านทางสายเอกสิ่คะ
คนที่นั่งแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะ นิวรณ์ เพียบ
นิวรณ์ ก็ทำให้นั่งไป ก็กระสับกระส่าย สับสน ฟุ้งซ่าน
มันก็เลยแสดงออกมาเป็นคุณรสไง

คนอื่นที่เขาทำได้ มีเยอะแยะค่ะ
และอาจจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้
เพราะทั่วโลกหันมาสนใจสมาธิ

เมื่อกลุ่มไหนไม่สนใจที่จะทำสมาธิ ก็เป็นทางเลือกของเขาเอง

เพราะเมื่อวันหนึ่ง ศาสนาพุทธและการทำสมาธิแบบพุทธเติบโตขึ้น
ยังไงชนหมู่มากก็ยังคงเดินไปในทางสายเอก
เดี๋ยวชนหมู่น้อยก็จะเสื่อมไปเอง

Rosarin เขียน:
ปัญญารองจากพระพุทธเจ้าคืออัครสาวกสารีบุตรค่ะ
มีอิทธฤทธิรองจากตถาคตคืออัครสาวกโมคัลลานะค่ะ
เอกอนว่าคนที่ไปนั่งหลับตาจะได้ทั้งฤทธิ์และปัญญาหรือคะ

ได้สิ่ ถ้าทำถูกทาง ในพระไตรปิฎกก็มีบอกเล่าในเรื่องฤทธิ์

Rosarin เขียน:
ตาเนื้อปกติที่มองตามปกติคิดตามคำสอนปกติไม่ได้เห็นสีเหมือนตถาคตน๊า
จำเป็นต้องฟังถึงจะคิดถูกตามเกิดสัมมาตามไงคะคือมีสุตมยปัญญาฟังจนเข้าถึงความจริงที่กำลังมี
:b32: :b32:

ตถาคตตอนที่ยังไม่ตรัสรู้ ก็เห็นอย่างที่เรา ๆ เห็นนั่นล่ะ
เห็นโลกทุกอย่างอย่างที่เราเห็นนี่ล่ะ เพียงแต่ยุคนั้นยังไม่มี เครื่องซักผ้า โตโยต้า น้ำยาล้างจาน
พระองค์ก็เห็น เกิด แก่ เจ็บ ตาย พบ พลัด พราก
เห็นช้าง ม้า วัว ควาย ท้องนา ต้นมะละกอ
และท่านก็บำเพ็ญเพียร จนสุดท้ายท่านก็เลือกเดินทางสายกลาง
และท่านก็นั่งสมาธิใต้ต้นโพธ์ และท่านก็ตรัสรู้ในที่สุด
และท่านก็เอาทางนั้นล่ะ ที่ท่านค้นพบมาบอกสอน

:b32: :b32: :b32:

คือถ้าเชื่อฟังตามทูป ก็จะบรรลุตามแบบ ทูป นั่นล่ะ
แม่พิมพ์เป็นไงคนฟังตามก็จะออกมาเป็นแบบเดียวกันนั่นล่ะ
หาผ่าเหล่าได้ยาก ลูกไม้ไม่หล่นไกลต้น

ไม่มีใครเลือกให้ใครได้หรอกนะ

ซึ่งเอกอนเลือกที่จะเป็นลูกไม้ที่ต้นของพระพุทธองค์
เพื่อเมื่อผลร่วงลงดิน จะเติบโตตามแนวทางของพระพุทธองค์

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 14 ต.ค. 2018, 22:29, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นแน้คุณยายโรสคะ

แสดงอีกแล้วว่า คุณยายไม่เอาไหนในปริยัติเรย เพราะคุณยายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ศึกษาพระไตรปิฎก

เรยไม่รู้ว่า เจตสิกในองค์มรรคแปด ในมัคคจิตตุบาท 4 หรือ 8ดวง มีอะไร

ไม่ได้อยู่ที่ถ่างตา ไม่ได้อยุ่ทีการหลับตา

เพราะคุณยายโรส ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติมา

เรยไม่รู้ว่า องค์ธรรมของสัมมาสมาธิ คือเอกคัตตาจิต ค่ะ
ไม่ได้อยู่ที่ การถ่างตา การคอยฟัง หรือ การหลับตา

คุณยายเรยได้แต่สะสมอวิชชานุสัยในจิตตสันดานตัวเอง จนต้องไปฟังยูทูป ต่อพุทธันดรหน้าเรยค่ะ


คุณยายโรสไปฟัง มาเจ็ดปีแล้ว

พระพุทธเจ้ามีอยู่ พระธรรมมีอยู่ ตรัสไว้ที่ต่างๆในพระไตรปิฎก ดันไม่ศึกษา ไม่ฟัง
ดันไปฟังศาสดายูทูปที่หายอดวิว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 22:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะบรรพชา
พระอัสสชิเถระ
[๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วย
ปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ จำนวน ๒๕๐ คน. ก็ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะประพฤติ
พรหมจรรย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชก. ท่านทั้งสองได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อน
ผู้นั้นจงบอกแก่อีกคนหนึ่ง. ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระอัสสชินุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน
น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ. สารีบุตรปาริพาชกได้เห็นท่านพระอัสสชิ
กำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน
เหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า
บรรดาพระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุพระอรหัตมรรคในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่
ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน
หรือท่านชอบใจธรรมของใคร? แล้วได้ดำริต่อไปว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะ
ท่านกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็น
ทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ. ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
ราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไป. จึงสารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ถึงแล้วได้พูด
ปราศรัยกับท่านพระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว
ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. สารีบุตรปริพาชกยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้
กะท่านพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวช
เฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
อ. มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตร เสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เรา
บวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเรา
ชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.
สา. ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
อ. เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่าน
ได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ.
สา. น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้อง
การใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
พระอัสสชิเถระแสดงธรรม
[๖๕] ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรม
เหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ
ทรงสั่งสอนอย่างนี้.
สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม
[๖๖] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใด
สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่
สารีบุตรปริพาชก
ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทง
ตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหาความโศกมิได้นี้
พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.
สารีบุตรปริพาชกเปลื้องคำปฏิญญา
[๖๗] เวลาต่อมา สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาโมคคัลลานปริพาชก. โมคคัลลานปริพาชก
ได้เห็นสารีบุตรปริพาชกเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ถามสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์
ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วกระมังหนอ?
สา. ถูกละ ผู้มีอายุ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว.
โมค. ท่านบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ด้วยวิธีไร?
สา. ผู้มีอายุ วันนี้เราได้เห็นพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มี
มรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึง
พร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วเราได้มีความดำริว่า บรรดาพระอรหันต์หรือท่านผู้ได้บรรลุอรหัตมรรค
ในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่าน
บวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร เรานั้นได้ยั้งคิดว่า ยัง
เป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่านยังกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น
เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ ลำดับ
นั้น พระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไปแล้ว ต่อมา เราได้เข้า
ไปหาพระอัสสชิ ครั้นถึงแล้ว ได้พูดปราศรัยกับพระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็น
ที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เรายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้ต่อพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
พระอัสสชิตอบว่า มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เรา
บวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเรา
ชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า ก็พระศาสดาของ
ท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร? พระอัสสชิตอบว่า เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมา
สู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ เรา
ได้เรียนว่า น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการ
ใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
[๖๘] ผู้มีอายุ ครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยายนี้ ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุ
แห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.
โมคคัลลานปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม
[๖๙] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่
โมคคัลลานปริพาชก
ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความ
โศกมิได้ บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้ว
หลายหมื่นกัลป์.
สองสหายอำลาอาจารย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
คนลืมตาดูโลกตามปกติไม่รู้ความจริงว่าตนเองโง่คือมีอวิชชา
ยังอวดอุตริไปนั่งหลับตาทำความไม่รู้สึกตัวตามคำสอนเนี่ย
เขาเรียกว่านั่งหลับตาวาดฝันคว้าเงาตัวธัมมะโดยไม่ฟัง
เขาเรียกนั่งเดาว่าตนเองรู้ส่วนคนที่ฟังไม่ต้องเดาไง
คนที่กำลังฟังเท่านั้นจึงจะคิดถูกตรงตามได้555
เอกอนคิดว่าตัวเองเก่งกว่าตถาคตหรือ

:b32:
เอกอนคิด หรือ ใครคิดแทนเอกอนหว๋านี่
:b32:

Rosarin เขียน:
ถึงจะไม่ฟังขนาดพระสารีบุตร
ผู้มีปัญญาเหนือสาวกทุกคนที่เกิดอยู่นี่
ยังบรรลุตอนฟังจากสาวกอัสชิ

:b32: เรื่อยเปื่อย ฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้ว

ก็อุ่นใจได้ว่าพระสารีบุตรฟังพระอัสสชิ และไปฟังต่อกับพระพุทธองค์
ซึ่งพระสารีบุตร :b20: :b20: :b20:
ไม่ได้บรรลุเพราะฟัง ทูปปป :b1:

Rosarin เขียน:
ไม่ฟังมีแต่อ่านแล้วก็คิดจะไปทำ
ไม่มีใครรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็น

ก็ไปอ่านทางสายเอกสิ่คะ หรือถ้าจะฟังก็ฟังเสียงอ่านทางสายเอกสิ่คะ
คนที่นั่งแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะ นิวรณ์ เพียบ
นิวรณ์ ก็ทำให้นั่งไป ก็กระสับกระส่าย สับสน ฟุ้งซ่าน
มันก็เลยแสดงออกมาเป็นคุณรสไง

คนอื่นที่เขาทำได้ มีเยอะแยะค่ะ
และอาจจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้
เพราะทั่วโลกหันมาสนใจสมาธิ

เมื่อกลุ่มไหนไม่สนใจที่จะทำสมาธิ ก็เป็นทางเลือกของเขาเอง

เพราะเมื่อวันหนึ่ง ศาสนาพุทธและการทำสมาธิแบบพุทธเติบโตขึ้น
ยังไงชนหมู่มากก็ยังคงเดินไปในทางสายเอก
เดี๋ยวชนหมู่น้อยก็จะเสื่อมไปเอง

Rosarin เขียน:
ปัญญารองจากพระพุทธเจ้าคืออัครสาวกสารีบุตรค่ะ
มีอิทธฤทธิรองจากตถาคตคืออัครสาวกโมคัลลานะค่ะ
เอกอนว่าคนที่ไปนั่งหลับตาจะได้ทั้งฤทธิ์และปัญญาหรือคะ

ได้สิ่ ถ้าทำถูกทาง ในพระไตรปิฎกก็มีบอกเล่าในเรื่องฤทธิ์

Rosarin เขียน:
ตาเนื้อปกติที่มองตามปกติคิดตามคำสอนปกติไม่ได้เห็นสีเหมือนตถาคตน๊า
จำเป็นต้องฟังถึงจะคิดถูกตามเกิดสัมมาตามไงคะคือมีสุตมยปัญญาฟังจนเข้าถึงความจริงที่กำลังมี
:b32: :b32:

ตถาคตตอนที่ยังไม่ตรัสรู้ ก็เห็นอย่างที่เรา ๆ เห็นนั่นล่ะ
เห็นโลกทุกอย่างอย่างที่เราเห็นนี่ล่ะ เพียงแต่ยุคนั้นยังไม่มี เครื่องซักผ้า โตโยต้า น้ำยาล้างจาน
พระองค์ก็เห็น เกิด แก่ เจ็บ ตาย พบ พลัด พราก
เห็นช้าง ม้า วัว ควาย ท้องนา ต้นมะละกอ
และท่านก็บำเพ็ญเพียร จนสุดท้ายท่านก็เลือกเดินทางสายกลาง
และท่านก็นั่งสมาธิใต้ต้นโพธ์ และท่านก็ตรัสรู้ในที่สุด
และท่านก็เอาทางนั้นล่ะ ที่ท่านค้นพบมาบอกสอน

:b32: :b32: :b32:

คือถ้าเชื่อฟังตามทูป ก็จะบรรลุตามแบบ ทูป นั่นล่ะ
แม่พิมพ์เป็นไงคนฟังตามก็จะออกมาเป็นแบบเดียวกันนั่นล่ะ
หาผ่าเหล่าได้ยาก ลูกไม้ไม่หล่นไกลต้น

ไม่มีใครเลือกให้ใครได้หรอกนะ

ซึ่งเอกอนเลือกที่จะเป็นลูกไม้ที่ต้นของพระพุทธองค์
เพื่อเมื่อผลร่วงลงดิน จะเติบโตตามแนวทางของพระพุทธองค์

:b1:

:b32:
ทำอะไรได้ไหมคะแค่กะพริบตากลายเป็นอวิชชาหมดแล้วยังมีตัวไปทำไม่รู้เพิ่ม555
ที่เอกอนอธิบายมาน่ะน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงหาสาระอะไรไม่ได้ค่ะ
เอกอนคิดให้ตรงตามปกติที่ลืมตาเห็นยังไม่ต้องทำอะไรแค่รู้สึกตัวแล้วก็
ฝึกหัดดัดตนตอนกำลังคิดตามการฟังเพราะปัญญาแรกคือสัมมาทิฏฐิคือ
ความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกตามคำสอนตามปกติเป็นปกติพึ่งคิดตามคำสอนคือสุตมยปัญญา
:b32:
เอาตรงๆคิดให้ตรงๆสิคะปัจจุบันขณะของเอกอนคือการปลีกตัวตนออกไปทำทีหลังหรือคะ
โดยไม่ฟังแล้วมีพึ่งพระรัตนตรัยคือคำสอนแทนศาสดาตอนไหนยังไงคะเพราะรู้ทัน
ต้องตรงปัจจุบันขณะก่อนกะพริบตาต้องรู้สึกตัวครบวิสยรูป7รูปที่กำลังปรากฏเท่านั้น
หลังกะพริบตาไม่ทันเลยสัก1ตัวจริงธัมมะแปลว่าอวิชชาของเอกอนไหลทำร้ายจิตตนแล้ว
เอากิเลสหลังกะพริบตาออกตอนไหนคะเดี๋ยวนี้เลยคนไม่ยอมรับว่าตนเองไม่รู้คือคนที่ไม่พึ่งคิดตามการฟังนะคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ไม่ว่าจะยกพระสูตรพระอภิธรรมพระวินัยมาแสดงก็คือเดี๋ยวนี้ไม่รู้สิ่งที่ตนเองกำลังมี
รู้สิ่งที่มีจริงๆก็คือธัมมะตรงปัจจุบันขณะคือรู้ทันก่อนตัวจริงธัมมะที่กำลังมีจะดับไปนะคะ
เอกอนอ่านตำรายกเอามาแสดงด้วยความเข้าใจตรงขณะตรงไหนที่เป็นปัญญาของเอกอน
เพราะผู้มีปัญญาคือเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องแสดงให้ผู้อื่นคิดถูกตามได้ตรงปัจจุบันขณะนะคะเอกอน
ยกมาเกิน1คำไม่รู้ก็คือไม่รู้ไม่ตรงก็คือไม่ตรงเพราะรู้ตรงคำทำให้ละไม่รู้ที่กำลังมีได้ตามปกติเป็นปกติ
พึ่งคำสอนจนคิดได้ตรงถูกตามเป็นจริงมีความเป็นปกติรู้ตามคำของพระองค์นี่ไม่ใช่ผิวเผิรค่ะ
ชวนคนฟังมันยากมากเลยค่ะฟังบ้างก็ดีค่ะเอกอนดีกว่าไม่มีสุตมยปัญญาน๊าเพราะปัญญาต้องทำตามลำดับ
https://youtu.be/4R3enYVU72Q
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 08:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
ทำอะไรได้ไหมคะแค่กะพริบตากลายเป็นอวิชชาหมดแล้วยังมีตัวไปทำไม่รู้เพิ่ม555
ที่เอกอนอธิบายมาน่ะน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงหาสาระอะไรไม่ได้ค่ะ
เอกอนคิดให้ตรงตามปกติที่ลืมตาเห็นยังไม่ต้องทำอะไรแค่รู้สึกตัวแล้วก็
ฝึกหัดดัดตนตอนกำลังคิดตามการฟังเพราะปัญญาแรกคือสัมมาทิฏฐิคือ
ความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกตามคำสอนตามปกติเป็นปกติพึ่งคิดตามคำสอนคือสุตมยปัญญา
:b32:
เอาตรงๆคิดให้ตรงๆสิคะปัจจุบันขณะของเอกอนคือการปลีกตัวตนออกไปทำทีหลังหรือคะ
โดยไม่ฟังแล้วมีพึ่งพระรัตนตรัยคือคำสอนแทนศาสดาตอนไหนยังไงคะเพราะรู้ทัน
ต้องตรงปัจจุบันขณะก่อนกะพริบตาต้องรู้สึกตัวครบวิสยรูป7รูปที่กำลังปรากฏเท่านั้น
หลังกะพริบตาไม่ทันเลยสัก1ตัวจริงธัมมะแปลว่าอวิชชาของเอกอนไหลทำร้ายจิตตนแล้ว
เอากิเลสหลังกะพริบตาออกตอนไหนคะเดี๋ยวนี้เลยคนไม่ยอมรับว่าตนเองไม่รู้คือคนที่ไม่พึ่งคิดตามการฟังนะคะ
:b32: :b32: :b32:

คุณรสออกอาการที่ไม่สามารถรับธรรมของพระพุทธองค์ได้ :b1:

คนที่ทำสมาธิแล้วไม่รู้อะไร นั่นเพราะเขายังจัดการกับนิวรณ์ไม่ได้เลย
ปฏิบัติตามทางสายเอก แล้วไม่รู้ ก็เพราะยังจัดการกับ นิวรณ์ 5 ไม่ได้เลย
ถ้ายังจัดการกับ นิวรณ์ 5 ไม่ได้ ก็จะมี

คนที่เขาทำได้เพราะเขาทำตามคำสอนเขาก็เจริญ โพชฌงค์ ๗ ได้
ทำให้เขา "มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา"
นี่คือ ปัญญาตามคำสอนของพระพุทธองค์ค่ะ

Quote Tipitaka:
นีวรณสูตร
นิวรณ์ทำให้มืด
[๕๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ
กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไป
เพื่อนิพพาน นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน? คือ กามฉันทนิวรณ์ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ
กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไป
เพื่อนิพพาน พยาบาทนิวรณ์ ... ถีนมิทธนิวรณ์ ... อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ... วิจิกิจฉานิวรณ์ กระทำ
ให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่าย
แห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล กระทำให้มืด
กระทำไม่ให้มีจักษุ กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความ
คับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
.
[๕๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ
เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน? คือ สติสัมโพชฌงค์ กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน ฯลฯ อุเบกขา
สัมโพชฌงค์ กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปใน
ฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล
กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา
ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความ
คับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน.
จบ สูตรที่ ๑๐
จบ นีวรณวรรคที่ ๔

จักกวัตติวรรคที่ ๕
วิธาสูตร
ละมานะ ๓ เพราะโพชฌงค์
[๕๐๓] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ในอดีตกาล ละมานะ ๓ อย่างได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ละได้แล้วก็เพราะ
โพชฌงค์ ๗ อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ใน
อนาคตกาล จักละมานะ ๓ อย่างได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด จักละได้ก็เพราะ
โพชฌงค์ ๗ อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ใน
ปัจจุบันละมานะ ๓ อย่างได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ละได้ก็เพราะโพชฌงค์ ๗
อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว.
[๕๐๔] โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน? คือ สติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาล ละมานะ ๓ อย่างได้
แล้ว ... สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล จักละมานะ ๓ อย่างได้ ...
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบัน ละมานะ ๓ อย่างได้ สมณะหรือพราหมณ์
เหล่านั้นทั้งหมด ละได้ก็เพราะโพชฌงค์ ๗ อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
.
จบ สูตรที่ ๑
...

ทุปปัญญสูตร
เหตุที่เรียกว่าคนโง่คนใบ้
[๕๐๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า คนโง่
คนใบ้ คนโง่ คนใบ้ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะเรียกว่า คนโง่ คนใบ้?
[๕๐๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ที่เรียกว่า คนโง่ คนใบ้ ก็เพราะ
โพชฌงค์ ๗ อันตนไม่เจริญแล้ว ไม่กระทำให้มากแล้ว โพชฌงค์ ๗ เป็น
ไฉน? คือ สติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดูกรภิกษุ ที่เรียกว่า คนโง่ คนใบ้
ก็เพราะโพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล อันตนไม่เจริญแล้ว ไม่กระทำให้มากแล้ว.

จบ สูตรที่ ๔

ปัญญวาสูตร
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรจึงเรียกว่าคนมีปัญญา
[๕๑๐] สาวัตถีนิทาน. ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า คนมีปัญญา ไม่ใช่คนใบ้
คนมีปัญญา ไม่ใช่คนใบ้ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะเรียกว่า คนมีปัญญา ไม่ใช่คนใบ้?
[๕๑๑] พ. ดูกรภิกษุ ที่เรียกว่า คนมีปัญญา ไม่ใช่คนใบ้ ก็เพราะโพชฌงค์ ๗
อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน? คือ สติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดูกรภิกษุ ที่เรียกว่า คนมีปัญญา ไม่ใช่คนใบ้ ก็เพราะโพชฌงค์ ๗ เหล่านี้
แล อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว.

จบ สูตรที่ ๕

....อาทิจจสูตร
ความเป็นผู้มีมิตรดีเป็นเบื้องต้นแห่งโพชฌงค์
[๕๑๖] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่เป็นนิมิตมา
ก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่ง
โพชฌงค์ ๗ แก่ภิกษุ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุ
ผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญโพชฌงค์ ๗ จักกระทำให้มากซึ่งโพชฌงค์ ๗.
[๕๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมเจริญโพชฌงค์ ๗ ย่อมกระทำให้มาก
ซึ่งโพชฌงค์ ๗ อย่างไรเล่า? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัย
วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อม
เจริญโพชฌงค์ ๗ ย่อมกระทำให้มากซึ่งโพชฌงค์ ๗ อย่างนี้แล
.
จบ สูตรที่ ๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 08:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
ไม่ฟังมีแต่อ่านแล้วก็คิดจะไปทำ
ไม่มีใครรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็น
ปัญญารองจากพระพุทธเจ้าคืออัครสาวกสารีบุตรค่ะ
มีอิทธฤทธิรองจากตถาคตคืออัครสาวกโมคัลลานะค่ะ
เอกอนว่าคนที่ไปนั่งหลับตาจะได้ทั้งฤทธิ์และปัญญาหรือคะ
ตาเนื้อปกติที่มองตามปกติคิดตามคำสอนปกติไม่ได้เห็นสีเหมือนตถาคตน๊า
จำเป็นต้องฟังถึงจะคิดถูกตามเกิดสัมมาตามไงคะคือมีสุตมยปัญญาฟังจนเข้าถึงความจริงที่กำลังมี
:b32: :b32:

:b32: :b32: :b32:

คือถ้าเชื่อฟังตามทูป ก็จะบรรลุตามแบบ ทูป นั่นล่ะ
แม่พิมพ์เป็นไงคนฟังตามก็จะออกมาเป็นแบบเดียวกันนั่นล่ะ
หาผ่าเหล่าได้ยาก ลูกไม้ไม่หล่นไกลต้น


ไม่มีใครเลือกให้ใครได้หรอกนะ

ซึ่งเอกอนเลือกที่จะเป็นลูกไม้ที่ต้นของพระพุทธองค์
เพื่อเมื่อผลร่วงลงดิน จะเติบโตตามแนวทางของพระพุทธองค์

:b1:

:b32:
ทำอะไรได้ไหมคะแค่กะพริบตากลายเป็นอวิชชาหมดแล้วยังมีตัวไปทำไม่รู้เพิ่ม555
ที่เอกอนอธิบายมาน่ะน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงหาสาระอะไรไม่ได้ค่ะ
เอกอนคิดให้ตรงตามปกติที่ลืมตาเห็นยังไม่ต้องทำอะไรแค่รู้สึกตัวแล้วก็
ฝึกหัดดัดตนตอนกำลังคิดตามการฟังเพราะปัญญาแรกคือสัมมาทิฏฐิคือ
ความคิดเห็นถูกความเข้าใจถูกตามคำสอนตามปกติเป็นปกติพึ่งคิดตามคำสอนคือสุตมยปัญญา
:b32:
เอาตรงๆคิดให้ตรงๆสิคะปัจจุบันขณะของเอกอนคือการปลีกตัวตนออกไปทำทีหลังหรือคะ
โดยไม่ฟังแล้วมีพึ่งพระรัตนตรัยคือคำสอนแทนศาสดาตอนไหนยังไงคะเพราะรู้ทัน
ต้องตรงปัจจุบันขณะก่อนกะพริบตาต้องรู้สึกตัวครบวิสยรูป7รูปที่กำลังปรากฏเท่านั้น
หลังกะพริบตาไม่ทันเลยสัก1ตัวจริงธัมมะแปลว่าอวิชชาของเอกอนไหลทำร้ายจิตตนแล้ว
เอากิเลสหลังกะพริบตาออกตอนไหนคะเดี๋ยวนี้เลยคนไม่ยอมรับว่าตนเองไม่รู้คือคนที่ไม่พึ่งคิดตามการฟังนะคะ
:b32: :b32: :b32:

ทิฐิที่หยั่งรากแล้ว ...

คู่สนทนามีลักษณะอาการที่ไม่สามารถรับธรรมของพระพุทธองค์ได้โดยไม่รู้ตัว :b1:
เพราะทันทีที่เห็นพระสูตร คู่สนทนา ปัดทิ้งหมด ปฏิเสธการที่จะรับรู้และเข้าใจ และกระโดดไปจับ YouTube มาโอบกอดเอาไว้ทันที ปกป้องราวกับเป็นของรัก

ชาวพุทธเลือกที่จะเป็นทายาททางธรรมกับผู้รู้ท่านใด ก็ต้องพิจารณาตัดสินใจให้ดี ๆ นะคะ

เพราะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 ต.ค. 2018, 09:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 09:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
...
เอกอนอ่านตำรายกเอามาแสดงด้วยความเข้าใจตรงขณะตรงไหนที่เป็นปัญญาของเอกอน
...
:b12:
:b32: :b32:

คุณรสได้เข้าเรียนแล้วเรียนจบประถม มัธยม มั๊ยคะ
ให้ชั้นเรียนสมัยที่เอกอนโตมา มีวิชาศีลธรรม ค่ะ
วิชาศีลธรรม ก็สอนปูพื้นฐานมาทั้งหมดไม่ใช่เหร๋อคะ
เอกอนก็ใช้การได้รับคำสอนมาจากตรงนั้นนะ
ตรงนั้นเป็นหลักสูตรแบบคัดย่อมาจาก พระไตรปิฎกฉบับประชาชน
และเมื่อวิทยาการก้าวหน้าขึ้น การเข้าถึงคำสอนสะดวกขึ้น
ผู้ปฏิบัติก็เริ่มมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาพระไตรปิฎกกันมากขึ้น โดยลำดับ

ตั้งแต่สมัยเรียนคุณรสมัวเอาหูกับตาไปทำอะไรคะ

:b1:

เปรียบก็ดั่งต้นไม้นั่นล่ะ
เมื่อต้นไม้ออกผล และผลร่วงลงดิน
เมื่อผลถึงพื้นดิน สักพักก็เริ่มมีรากงอก และรากเริ่มไชลงดิน
และต่อมาต้นกล้าก็เริ่มงอก วันนั้น ต้นกล้ายังมองไม่เหมือนต้นต้นแบบแม้แต่นิดเดียว
แต่ต้นกล้าก็ค่อย ๆ โตขึ้น ความเหมือนก็จะค่อย ๆ ปรากฏตามกาลเวลา


:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อวิชชาแปลว่าโง่ที่คิดไม่ตรง1คำตามคำสอน
เดี๋ยวนี้เลยค่ะคือปัจจุบันขณะเอกอนคิดตรงคำไหน
เห็น/ได้ยิน/เสียง/แสง/สี/กลิ่น/รส/สัมผัส/คิดนึก
555ตรงแค่1ทางค่ะดับคนทั้งตัวถ้าคิดไม่ตรงเลย
แปลว่าสะสมความเบาปัญญาไปแล้วเอกอนจะไปไหน
จะไปทำอะไรตามที่ตถาคตบอกทรงบอกให้ฟังไม่ใช่หรือคะสาวกแปลว่าผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามได้
สภาพธรรมที่กายใจตัวเองมีนับไม่ถ้วนไม่เพียรไตร่ตรองให้รู้ถูกตัวตนไงคะฟังเพื่อเข้าใจถูกตามเท่านั้น
:b32: :b32:
ฟังหน่อยไหมจะได้คิดตรงเป็นบ้างนะคะตามใจนะคะไม่มีใครบังคับให้ปัญญาเกิดเองได้นอกจากฟังให้เข้าใจ
https://youtu.be/mLjr7vrHcmE


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2018, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ทุกอย่างที่กำลังปรากฏกำลังพลัดพรากจากไป
สมควรเริ่มต้นฟังเพื่อเข้าใจความจริงสิ่งที่กำลังมี
https://youtu.be/rCfiwCvuj-4
:b12:
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 278 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร