วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2018, 16:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2018, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นำลัทธิของนิครนถ์ข้อเดียวให้สังเกตกับตัวอย่างที่จะเทียบให้ดู
ลัทธินิครนถ์มีว่า ความสุขความทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่ที่คนเราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นผลของกรรมแต่อดีตชาติตามมาให้ผล ประมาณว่า ชาติก่อนตนเคยทำอะไรไว้ดีหรือชั่วก็ตาม มันจะตามมาส่งผลให้ในชาตินี้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำนองถูกล๊อกสะเป๊กไว้แล้ว




มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ คือ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

ฯลฯ


คุณลุงกรัชกายขา

คุณลุงไปเอา คำสอนนิครณ์ จาก ที่นิครนถ์เค้าสอน มาบ้างสิคะ

นี่ไปอ้างแต่คำสอนทางพุทธ ที่สังคยานา โดยมาสิโดเนีย กะอิสลามเปอร์เซีย ที่ครองอินเดีย รึเปล่าก็ไม่รู้คะ

ถ้ามีความยุติธรรมในใจ ก็ต้องฟังความทั้งสองข้างนะคะ

ไม่ใช่ไปเอาแค่ประโยคสองประโยค มา



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำลัทธิของนิครนถ์ข้อเดียวให้สังเกตกับตัวอย่างที่จะเทียบให้ดู
ลัทธินิครนถ์มีว่า ความสุขความทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่ที่คนเราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นผลของกรรมแต่อดีตชาติตามมาให้ผล ประมาณว่า ชาติก่อนตนเคยทำอะไรไว้ดีหรือชั่วก็ตาม มันจะตามมาส่งผลให้ในชาตินี้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำนองถูกล๊อกสะเป๊กไว้แล้ว




มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ คือ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

ฯลฯ


คุณลุงกรัชกายขา

คุณลุงไปเอา คำสอนนิครณ์ จาก ที่นิครนถ์เค้าสอน มาบ้างสิคะ

นี่ไปอ้างแต่คำสอนทางพุทธ ที่สังคยานา โดยมาสิโดเนีย กะอิสลามเปอร์เซีย ที่ครองอินเดีย รึเปล่าก็ไม่รู้คะ

ถ้ามีความยุติธรรมในใจ ก็ต้องฟังความทั้งสองข้างนะคะ

ไม่ใช่ไปเอาแค่ประโยคสองประโยค มา



เมื่อมีเสียงเรียกร้อง ก็ขอนำมาให้ทั้งสามเคส ดังนี้

(พุทธธรรมหน้า ๒๘๖ ว่า “เชื่ออย่างไรผิดหลักกรรม” พุทธบ้านเราน่าจะสับสนทางความคิด เพราะมีคำว่า “กรรม” ด้วย เลยเปลี่ยนให้ใหม่ เป็น “ความเชื่อที่ผิดหลักกรรมแบบพุทธศาสนา” คือว่า บ้านเรากรรมนี่เรื่องใหญ่ยาวทั้งศัพท์ทั้งความหมาย)

เข้าเรื่อง


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท

๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidentalism) หรือเรียกสั้นๆว่า อเหตุวาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ทั้งนี้ตามพุทธพจน์ที่ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ ๓ ระบบเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆกันมา ยืนกรานอยู่ในหลักอกิริยา (การไม่กระทำ) คือ

๑. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน (ปุพฺเพกตเหตุ)

๒. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า (อิสฺสรนิมฺมานเหตุ)

๓. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนหาเหตุหาปัจจัยมิได้ (อเหตุอปจฺจย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะซอยลง คคห. ละลัทธิๆ สังเกตข้อความเต็มไว้ ต่อไปจะตัดที่ซ้ำกันออก

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ พวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑) แล้วถามว่า “ทราบว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?” ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์....เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มี มิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และสิ่งไม่ที่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ มีทิฐิ อย่างนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:

:b12:
น่านแหละร่างกายสตรีไม่ทรหดเหมือนผู้ชายไง
ตถาคตไม่ประสงค์ให้สตรีออกบวชคือสละเรือนไง
ยังดื้อไปโกนหัวเป็นชีไปเบียดเบียนให้ภิกษุหาเลี้ยง
บาปมากน๊าคนเข้าวัดแต่ไม่ฟังธรรมมีความเห็นผิดมาก
มากกว่าพวกที่ฟังธรรมแล้วไปเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยน๊า
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:

:b12:
น่านแหละร่างกายสตรีไม่ทรหดเหมือนผู้ชายไง
ตถาคตไม่ประสงค์ให้สตรีออกบวชคือสละเรือนไง
ยังดื้อไปโกนหัวเป็นชีไปเบียดเบียนให้ภิกษุหาเลี้ยง
บาปมากน๊าคนเข้าวัดแต่ไม่ฟังธรรมมีความเห็นผิดมาก
มากกว่าพวกที่ฟังธรรมแล้วไปเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยน๊า
:b32: :b32: :b32:


:b10: พุทธศาสนาไม่เคยมีภิกษุณีเหร๋อคะ :b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:

:b12:
น่านแหละร่างกายสตรีไม่ทรหดเหมือนผู้ชายไง
ตถาคตไม่ประสงค์ให้สตรีออกบวชคือสละเรือนไง
ยังดื้อไปโกนหัวเป็นชีไปเบียดเบียนให้ภิกษุหาเลี้ยง
บาปมากน๊าคนเข้าวัดแต่ไม่ฟังธรรมมีความเห็นผิดมาก
มากกว่าพวกที่ฟังธรรมแล้วไปเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยน๊า
:b32: :b32: :b32:



น่านแน้
ปฐวี อาโป เตโช วาโย ขื่อว่ามหาภูติทั้ง 4
อุทายรูป 24 ชื่อว่า อาศัยมหาภูติทั้ง 4 จึงเกิดขึ้น
อุทายรูป ก็อย่างเช่น อิตถีภาวะรูป ที่แสดงความเป็นสตรี ไงคะ

ไหงคุณยายโรส บอกว่า บอกว่า เห็นแต่สี



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำลัทธิของนิครนถ์ข้อเดียวให้สังเกตกับตัวอย่างที่จะเทียบให้ดู
ลัทธินิครนถ์มีว่า ความสุขความทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่ที่คนเราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นผลของกรรมแต่อดีตชาติตามมาให้ผล ประมาณว่า ชาติก่อนตนเคยทำอะไรไว้ดีหรือชั่วก็ตาม มันจะตามมาส่งผลให้ในชาตินี้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำนองถูกล๊อกสะเป๊กไว้แล้ว




มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ คือ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

ฯลฯ


คุณลุงกรัชกายขา

คุณลุงไปเอา คำสอนนิครณ์ จาก ที่นิครนถ์เค้าสอน มาบ้างสิคะ

นี่ไปอ้างแต่คำสอนทางพุทธ ที่สังคยานา โดยมาสิโดเนีย กะอิสลามเปอร์เซีย ที่ครองอินเดีย รึเปล่าก็ไม่รู้คะ

ถ้ามีความยุติธรรมในใจ ก็ต้องฟังความทั้งสองข้างนะคะ

ไม่ใช่ไปเอาแค่ประโยคสองประโยค มา



เมื่อมีเสียงเรียกร้อง ก็ขอนำมาให้ทั้งสามเคส ดังนี้

(พุทธธรรมหน้า ๒๘๖ ว่า “เชื่ออย่างไรผิดหลักกรรม” พุทธบ้านเราน่าจะสับสนทางความคิด เพราะมีคำว่า “กรรม” ด้วย เลยเปลี่ยนให้ใหม่ เป็น “ความเชื่อที่ผิดหลักกรรมแบบพุทธศาสนา” คือว่า บ้านเรากรรมนี่เรื่องใหญ่ยาวทั้งศัพท์ทั้งความหมาย)

เข้าเรื่อง


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท

๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidentalism) หรือเรียกสั้นๆว่า อเหตุวาท


นั่นแน้

คุณลุงกรัชกาย

ไปเอาความเห็นสำนวนพุทธธรรม ฝ่ายโจทก์ มาฝ่าย เดียว

สัตว์โลกทั้งปวง เรยย่อมไม่ได้เป็นไปตามกรรม

โนๆๆ “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
กรรมมุนา วัตตี โลโก

แบบว่า
โดนหินทิ่มเท้าทะลุ ก็เพราะซวย
โดนอดข้าว ทรมาน ก็เพราะซวย
ปวดหัว ก็เพราะซวย

หรอคะ ?

แย่แล้วๆๆ

เรื่องกรรมเป็นอจินไตย ทำไมๆ บัณฑิต ไม่รู้อจินไตย

ว่าสัตว์โลกทั้งปวงย่อมเป็นไปตามกรรมหละคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย
:b8: :b8: :b8:


คำตอบ เราไม่ควรไปปูเสื่อนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะพร้าว เพราะถ้าลมกรรโชกพัดมาแรง
ลูกมะพร้าวจะร่วงหล่นใส่หัวได้

:b6: :b6: :b6:

:b13:

:b12:
น่านแหละร่างกายสตรีไม่ทรหดเหมือนผู้ชายไง
ตถาคตไม่ประสงค์ให้สตรีออกบวชคือสละเรือนไง
ยังดื้อไปโกนหัวเป็นชีไปเบียดเบียนให้ภิกษุหาเลี้ยง
บาปมากน๊าคนเข้าวัดแต่ไม่ฟังธรรมมีความเห็นผิดมาก
มากกว่าพวกที่ฟังธรรมแล้วไปเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยน๊า


คุณโรสไปศึกษาวิถีพุทธเมียนม่าบ้างสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จะซอยลง คคห. ละลัทธิๆ สังเกตข้อความเต็มไว้ ต่อไปจะตัดที่ซ้ำกันออก

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ พวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑) แล้วถามว่า “ทราบว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?” ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์....เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มี มิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และสิ่งไม่ที่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ มีทิฐิ อย่างนี้”



พวกที่ ๒ ต่อเลย


“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๒ ) กล่าวกะเขาว่า ท่านจักเป็นผู้ทำปาณาติบาต ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุ จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน...ประพฤติอพรหมจรรย์...กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี ฯลฯ “

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกที่ ๓ ต่อ

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๓ ) กล่าวกะเขาว่า “ท่านก็จักเป็นผู้ทำปาณาติบาต โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน...ประพฤติอพรหมจรรย์...กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาความไม่มีเหตุไม่มีเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี ฯลฯ” (องฺ.ติก. 20/501/222 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยเฉพาะลัทธิที่ ๑ คือ ปุพเพกตวาทนั้น เป็นลัทธิของนิครนถ์ ดังพุทธพจน์ว่า


"ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า “สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใด ที่บุคคลได้เสวย ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ตัวทำไว้ในปางก่อน โดยนัยดังนี้ เพราะกรรมเก่าหมดสิ้นไปด้วยตบะ ไม่ทำกรรมใหม่ ก็จะไม่มีผลบังคับต่อไป เพราะไม่มีผลบังคับต่อไป ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็จะโทรมซาหมดเอง ภิกษุทั้งหลาย พวกนิครนถ์มีวาทะอย่างนี้” (ม.อุ. 14/2/1)

นอกจากนี้ มีพุทธพจน์ตรัสย้ำความอันเดียวกัน ก็มีดังนี้

“ดูกรสิวกะ เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีดีเป็นสมุฏฐานก็มี ฯลฯ เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี...เกิดจากการบริหารตนไม่สม่ำเสมอก็มี...เกิดจากถูกทำร้ายก็มี...เกิดจากผลกรรมก็มี ฯลฯ สมณพราหมณ์เหล่าใด มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า “บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี เวทนานั่นเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อน” ฯลฯ เรากล่าวว่า เป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง” (สํ.สฬ.18/427/284)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธพจน์เหล่านี้ ป้องกันความเห็นที่แล่นไปไกลเกินไป หรือเลยเถิด จนมองเห็นความหมายของกรรม แต่ในแง่กรรมเก่า กลายเป็นคนนั่งนอนรอคอยผลกรรมเก่า สุดแต่จะบันดาลให้เป็นไป ไม่คิดแก้ไขปรับปรุงตนเอง กลายเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรง ตามนัยพุทธพจน์ที่กล่าวมาแล้ว

นอกจากนั้น จะเห็นได้ชัดด้วยว่าในพุทธพจน์นี้ พระพุทธเจ้าทรงถือความเพียรพยายาม เป็นเกณฑ์ตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมของหลักกรรมและคำสอนเหล่านี้ทั้งหมด

พุทธพจน์เหล่านี้ มิได้ปฏิเสธกรรมเก่า เพราะกรรมเก่า ก็ย่อมมีส่วนอยู่ในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย และย่อมมีผลต่อปัจจุบัน สมกับชื่อที่ว่าเป็นเหตุปัจจัยด้วยเหมือนกัน แต่มันก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยอยู่นั่นเอง ไม่ใช่อำนาจนอกเหนือธรรมชาติอะไรที่จะไปยึด ไปหมายมั่นฝากโชคชะตาไว้ให้ ผู้เข้าใจปฏิจจสมุปบาท รู้กระบวนการแห่งเหตุปัจจัยดีแล้ว ย่อมไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

ในทางจริยธรรม ผู้เข้าใจปฏิจจสมุปบาท ย่อมถือเอาประโยชน์จากกรรมเก่าได้ในแง่เป็นบทเรียน อันเป็นความตระหนักแน่นในเหตุผล เป็นความเข้าใจตนเอง และสถานการณ์ เป็นความรู้พื้นฐานปัจจุบันของตน เพื่อประกอบการวางแผนทำกรรมปัจจุบัน และหาทางแก้ไขปรับปรุงเพื่อผลดีในอนาคตต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำลัทธิของนิครนถ์ข้อเดียวให้สังเกตกับตัวอย่างที่จะเทียบให้ดู
ลัทธินิครนถ์มีว่า ความสุขความทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่ที่คนเราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นผลของกรรมแต่อดีตชาติตามมาให้ผล ประมาณว่า ชาติก่อนตนเคยทำอะไรไว้ดีหรือชั่วก็ตาม มันจะตามมาส่งผลให้ในชาตินี้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำนองถูกล๊อกสะเป๊กไว้แล้ว




มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ คือ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

ฯลฯ


คุณลุงกรัชกายขา

คุณลุงไปเอา คำสอนนิครณ์ จาก ที่นิครนถ์เค้าสอน มาบ้างสิคะ

นี่ไปอ้างแต่คำสอนทางพุทธ ที่สังคยานา โดยมาสิโดเนีย กะอิสลามเปอร์เซีย ที่ครองอินเดีย รึเปล่าก็ไม่รู้คะ

ถ้ามีความยุติธรรมในใจ ก็ต้องฟังความทั้งสองข้างนะคะ

ไม่ใช่ไปเอาแค่ประโยคสองประโยค มา



เมื่อมีเสียงเรียกร้อง ก็ขอนำมาให้ทั้งสามเคส ดังนี้

(พุทธธรรมหน้า ๒๘๖ ว่า “เชื่ออย่างไรผิดหลักกรรม” พุทธบ้านเราน่าจะสับสนทางความคิด เพราะมีคำว่า “กรรม” ด้วย เลยเปลี่ยนให้ใหม่ เป็น “ความเชื่อที่ผิดหลักกรรมแบบพุทธศาสนา” คือว่า บ้านเรากรรมนี่เรื่องใหญ่ยาวทั้งศัพท์ทั้งความหมาย)

เข้าเรื่อง


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท

๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidentalism) หรือเรียกสั้นๆว่า อเหตุวาท


นั่นแน้

คุณลุงกรัชกาย

ไปเอาความเห็นสำนวนพุทธธรรม ฝ่ายโจทก์ มาฝ่าย เดียว

สัตว์โลกทั้งปวง เรยย่อมไม่ได้เป็นไปตามกรรม

โนๆๆ “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
กรรมมุนา วัตตี โลโก

แบบว่า
โดนหินทิ่มเท้าทะลุ ก็เพราะซวย
โดนอดข้าว ทรมาน ก็เพราะซวย
ปวดหัว ก็เพราะซวย

หรอคะ ?

แย่แล้วๆๆ

เรื่องกรรมเป็นอจินไตย ทำไมๆ บัณฑิต ไม่รู้อจินไตย

ว่าสัตว์โลกทั้งปวงย่อมเป็นไปตามกรรมหละคะ



อ้างคำพูด:
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
กรรมมุนา วัตตี โลโก


นั่นจบข่าวไปตอนหนึ่งแล้วนะ นึกว่าจะจบ แต่เมโลกสวยก็หาเหามาใส่ให้อีกจนได้ คิดก่อนว่าจะเอายังไงดี ตั้งกระทู้ใหม่ดี หรือ ลงตรงนี้ดี ใช้จิตก่อน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร