วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ฟังแล้วคิดตามถึงจะหยั่งลงตามการระลึกได้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นว่าตนรู้ชัดแจ้งตรงตามที่กำลังฟังรึยัง
สนทนาเพื่อความเข้าใจปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จริงของตนที่ท่องบัญญัติต่างๆตามได้นั้นน่ะค่ะ
สติ+ปัญญาเจตสิกต้องกำลังมีตรงสัจจะเดี๋ยวนี้คือทำปัจจุบันขณะระลึกตามการฟังเสียงคำวาจาสัจจะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
คบบัณฑิตคือฟังคำสอนแล้วเข้าใจเกิดปัญญาดับกิเลสทันทีจริงๆ
พอคิดเองก็คบพาลในตนคือไม่ฟังคำสอนใช้ชีวิตแบบไม่รู้ความจริง
https://youtu.be/HfYLK6OM4_o


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ฟังแล้วคิดตามถึงจะหยั่งลงตามการระลึกได้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นว่าตนรู้ชัดแจ้งตรงตามที่กำลังฟังรึยัง
สนทนาเพื่อความเข้าใจปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จริงของตนที่ท่องบัญญัติต่างๆตามได้นั้นน่ะค่ะ
สติ+ปัญญาเจตสิกต้องกำลังมีตรงสัจจะเดี๋ยวนี้คือทำปัจจุบันขณะระลึกตามการฟังเสียงคำวาจาสัจจะ


เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นสติปัญญาตามที่พูดถึง :b10: ส คำหนึ่ง ติ คำหนึ่ง ปัญ คำหนึ่ง ญา คำหนึ่ง ทีละคำๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ฟังแล้วคิดตามถึงจะหยั่งลงตามการระลึกได้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นว่าตนรู้ชัดแจ้งตรงตามที่กำลังฟังรึยัง
สนทนาเพื่อความเข้าใจปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จริงของตนที่ท่องบัญญัติต่างๆตามได้นั้นน่ะค่ะ
สติ+ปัญญาเจตสิกต้องกำลังมีตรงสัจจะเดี๋ยวนี้คือทำปัจจุบันขณะระลึกตามการฟังเสียงคำวาจาสัจจะ


เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นสติปัญญาตามที่พูดถึง :b10: ส คำหนึ่ง ติ คำหนึ่ง ปัญ คำหนึ่ง ญา คำหนึ่ง ทีละคำๆ

Kiss
สติ+ปัญญาเกิดตอนกำลังฟังจึงต้องฟังจริงๆฟังคลิปที่ให้ฟังนี้หรือยังทุกครั้งที่ฟังคิดตามเสียงที่ได้ยินกี่เสียง
หลักการฟังไม่ส่งจิตออกนอกตัวให้ระลึกวิสยรูป7ที่กายใจดูและฟังคลิปไม่คิดนอกคำที่กำลังได้ยินทีละคำ
ถ้าเผลอลืมฟังก็คือระลึกตามไม่ได้เลยเพราะกิเลสตนพาออกจากเสียงที่กำลังได้ยินแปลว่าคิดไม่ตรงสัจจะ
:b12:
:b32: :b32:
ฟังคลิปเวลาใหม่คือจิตขณะใหม่ทั้งหมดตามรู้จักจิตตนตามการปรุงแต่งตามปกติเป็นปกติเดี๋ยวนี้คือจิเจรุนิ
Rosarin เขียน:
rolleyes
คบบัณฑิตคือฟังคำสอนแล้วเข้าใจเกิดปัญญาดับกิเลสทันทีจริงๆ
พอคิดเองก็คบพาลในตนคือไม่ฟังคำสอนใช้ชีวิตแบบไม่รู้ความจริง
https://youtu.be/HfYLK6OM4_o


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ฟังแล้วคิดตามถึงจะหยั่งลงตามการระลึกได้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นว่าตนรู้ชัดแจ้งตรงตามที่กำลังฟังรึยัง
สนทนาเพื่อความเข้าใจปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จริงของตนที่ท่องบัญญัติต่างๆตามได้นั้นน่ะค่ะ
สติ+ปัญญาเจตสิกต้องกำลังมีตรงสัจจะเดี๋ยวนี้คือทำปัจจุบันขณะระลึกตามการฟังเสียงคำวาจาสัจจะ


เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นสติปัญญาตามที่พูดถึง :b10: ส คำหนึ่ง ติ คำหนึ่ง ปัญ คำหนึ่ง ญา คำหนึ่ง ทีละคำๆ

Kiss
สติ+ปัญญาเกิดตอนกำลังฟังจึงต้องฟังจริงๆฟังคลิปที่ให้ฟังนี้หรือยังทุกครั้งที่ฟังคิดตามเสียงที่ได้ยินกี่เสียง
หลักการฟังไม่ส่งจิตออกนอกตัวให้ระลึกวิสยรูป7ที่กายใจดูและฟังคลิปไม่คิดนอกคำที่กำลังได้ยินทีละคำ
ถ้าเผลอลืมฟังก็คือระลึกตามไม่ได้เลยเพราะกิเลสตนพาออกจากเสียงที่กำลังได้ยินแปลว่าคิดไม่ตรงสัจจะ
:b12:
:b32: :b32:
ฟังคลิปเวลาใหม่คือจิตขณะใหม่ทั้งหมดตามรู้จักจิตตนตามการปรุงแต่งตามปกติเป็นปกติเดี๋ยวนี้คือจิเจรุนิ
Rosarin เขียน:
rolleyes
คบบัณฑิตคือฟังคำสอนแล้วเข้าใจเกิดปัญญาดับกิเลสทันทีจริงๆ
พอคิดเองก็คบพาลในตนคือไม่ฟังคำสอนใช้ชีวิตแบบไม่รู้ความจริง
https://youtu.be/HfYLK6OM4_o



นั่นแม่สุจิน คิกๆๆ ไม่ใช่ตถาคต :b32:

แม้แต่กิเลสแม่สุจินแห่งบ้านธัมมะ ยังไม่เข้าใจเลย มันไม่ง่ายแค่นั่งฟังแม่พูดแล้วกิเลสจะหลุดกระเด็นกระดอนออกจากจิตจากใจ กิเลสไม่ใช่ลูกปิงปองนะขอรับ คิกๆๆ

@ ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา

@ สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณธรรม

@ ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลสซึ่งนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน

นี่อะไรชวนไปฟังแม่สุจินพูดแล้วเข้าใจดับกิเลสได้เลย คิดแบบนี้ดิถึงได้เป็นออระหันกันหน้าตาเฉย :b32: เป็นออระหันกันแบบไม่มีเหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สติ+ปัญญาเจตสิกต้องกำลังมีตรงสัจจะเดี๋ยวนี้


เปิดนวโกวาทก็เห็นเลยว่า

ทุกะ คือ หมวด ๒

ธรรมมีอุปการะมา ๒ อย่าง

๑. สติ ความระลึกได้

๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว

(องฺ. ทุก. 20/119 ฯลฯ)

สัมปชัญญะ ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของ ปัญญา *

สติ * ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้ (ข้อ ๑ ในธรรมมีอุปการะมาก ๒ ข้อ ๑ ในโพชฌงค์ ๗ ข้อ ๓ ในอินทรีย์ ๕ ข้อ ๓ ในพละ ๕ ข้อ ๖ ในสัทธรรม ๗, ข้อ ๙ ในนาถกรณะธรรม ๑๐)


สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัดซึ่งสิ่งที่นึกได้, มักมาคู่กับสติ (ข้อ ๒ ในธรรมมีอุปการะมาก ๒)

ที่อ้างอิง *

* สติ ด้านหนึ่งแปลกันว่า recall, recollection อีกด้านหนึ่งว่า mindfulness
* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding


ทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ ต้องฝึกต้องปฏิบัติต้องทำเอา แล้วในขณะที่ฝึกที่ปฏิบัตินั้นมิใช่มีแค่สติกับสัมปชัญญะเท่านั้น ยังมีนามธรรมอีกมากมายที่เกิดในขณะนั้นๆ เป็นต้นว่า สมาธิ เจตนา มนสิการ ...ทั้งกุศลจิต อกุศลจิตก็เกิด มิใช่มีแต่ดีมีแต่กุศลเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คือ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องศึกษาเรียนรู้จากของจริง มิใช่เลือกเอาแต่ภาวะที่รักที่พอใจ ผลักใสภาวะที่ไม่ชอบใจไม่พอใจ คือ ต้องรู้ทั้งหมดทั้งชอบใจ ไม่ชอบใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกุตรสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบระดับโลกุตระ คือ เหนือโลก ไม่ขึ้นต่อโลก ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกและชีวิตถูกต้องตามความเป็นจริง หรือรู้เข้าใจตามสภาวะของธรรมชาติ พูดง่ายๆว่า รู้เข้าใจธรรมชาตินั่นเอง


สัมมาทิฐิประเภทนี้ เกิดจากโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายใน หรือปัจจัยภายในตัวบุคคล ปรโตโฆสะที่ดีหรือกัลยาณมิตร อาจช่วยได้เพียงด้วยการกระตุ้นให้บุคคลนั้นใช้โยนิโสมนสิการแล้วรู้เห็นเข้าใจเอง หมายความว่า สัมมาทิฐิประเภทนี้ ไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียงด้วยการรับฟังแล้วเชื่อตามคนอื่นด้วยศรัทธา เพราะต้องเป็นการรู้จักที่ตัวภาวะเอง ต้องเอาธรรมชาตินั่นเองเป็นข้อพิจารณาโดยตรง



้ที่ว่าต้องเอาธรรมชาตินั่นเองเป็นข้อพินาโดยตรง ตัวอย่าง เช่น


อ้างคำพูด:
ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้วิธี กรุณาช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะครับ

ประเด็นที่พบ

การนั่งครั้งหลังๆมานี้ เกิดสภาวะคล้ายๆเดิม ตลอดเกือบทุกครั้ง คือ มือหายไปจากความรู้สึก ไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่ (รู้ว่ามี แต่รู้สึกว่าไม่มี ผมอธิบายไม่ถูก เชื่อว่าท่านผู้รู้คงเข้าใจผม) ก้นและต้นขาที่นั่งทับพื้นยังรู้สึกว่ามีอยู่ หลังที่นั่งพิงเก้าอี้ก็รู้สึกว่ายังมีอยู่ คือสรุปว่ามือหายทั้งสองข้าง อย่างอื่นที่เหลือยังรู้สึกถึงได้ อยู่ครบยังไม่หาย มีอาการตัวพองๆยุบๆบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย มีอาการหายเกือบทั้งตัวบ้าง แต่น้อยมาก แต่ที่แน่ๆ คือ มือทั้งสองข้างหายทุกครั้ง, ทุกครั้งจริงๆครับ นั่งแป๊บเดียวก็หายแล้ว และหายไปจากความรู้สึกตลอดเวลาที่ยังนั่งอยู่

ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนลมหายไป เหมือนไม่ได้หายใจ ในครั้งแรกๆที่เจอสภาวะนี้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ตะลีตะลานรีบควานหาลม แล้วก็กลับมาหายใจแบบปกติ, แต่ในครั้งหลังๆ ผมจะพยายามทนอยู่กับสภาวะนี้ ซึ่งผมจะอึดอัดมาก และในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว จนต้องบังคับให้ตัวเองหายใจด้วยการสูดยาว จึงจะกลับมารู้สึกว่าผมหายใจแล้ว ผมจึงเริ่มรู้ลมใหม่ .. แล้วลมก็แผ่ว .. แล้วลมก็หาย .. แล้วผมก็ทน .. แล้วผมก็ทนไม่ไหว .. แล้วผมก็สูดลม .. แล้วผมก็รู้ลม .. แล้วลมก็แผ่ว .. ฯลฯ วนรอบอยู่อย่างนี้ ซ้ำรอบอยู่อย่างนี้


มันจะเป็นยังไงก็รู้ดูมัน เหมือนคนนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำดูสิ่งต่างๆซึ่งไหลผ่านไปๆเฉพาะหน้า นี่คือการฝึกการอยู่เหนือโลก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ฟังแล้วคิดตามถึงจะหยั่งลงตามการระลึกได้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นว่าตนรู้ชัดแจ้งตรงตามที่กำลังฟังรึยัง
สนทนาเพื่อความเข้าใจปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จริงของตนที่ท่องบัญญัติต่างๆตามได้นั้นน่ะค่ะ
สติ+ปัญญาเจตสิกต้องกำลังมีตรงสัจจะเดี๋ยวนี้คือทำปัจจุบันขณะระลึกตามการฟังเสียงคำวาจาสัจจะ


เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นสติปัญญาตามที่พูดถึง :b10: ส คำหนึ่ง ติ คำหนึ่ง ปัญ คำหนึ่ง ญา คำหนึ่ง ทีละคำๆ

Kiss
สติ+ปัญญาเกิดตอนกำลังฟังจึงต้องฟังจริงๆฟังคลิปที่ให้ฟังนี้หรือยังทุกครั้งที่ฟังคิดตามเสียงที่ได้ยินกี่เสียง
หลักการฟังไม่ส่งจิตออกนอกตัวให้ระลึกวิสยรูป7ที่กายใจดูและฟังคลิปไม่คิดนอกคำที่กำลังได้ยินทีละคำ
ถ้าเผลอลืมฟังก็คือระลึกตามไม่ได้เลยเพราะกิเลสตนพาออกจากเสียงที่กำลังได้ยินแปลว่าคิดไม่ตรงสัจจะ
:b12:
:b32: :b32:
ฟังคลิปเวลาใหม่คือจิตขณะใหม่ทั้งหมดตามรู้จักจิตตนตามการปรุงแต่งตามปกติเป็นปกติเดี๋ยวนี้คือจิเจรุนิ
Rosarin เขียน:
rolleyes
คบบัณฑิตคือฟังคำสอนแล้วเข้าใจเกิดปัญญาดับกิเลสทันทีจริงๆ
พอคิดเองก็คบพาลในตนคือไม่ฟังคำสอนใช้ชีวิตแบบไม่รู้ความจริง
https://youtu.be/HfYLK6OM4_o



นั่นแม่สุจิน คิกๆๆ ไม่ใช่ตถาคต :b32:

แม้แต่กิเลสแม่สุจินแห่งบ้านธัมมะ ยังไม่เข้าใจเลย มันไม่ง่ายแค่นั่งฟังแม่พูดแล้วกิเลสจะหลุดกระเด็นกระดอนออกจากจิตจากใจ กิเลสไม่ใช่ลูกปิงปองนะขอรับ คิกๆๆ

@ ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา

@ สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณธรรม

@ ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลสซึ่งนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน

นี่อะไรชวนไปฟังแม่สุจินพูดแล้วเข้าใจดับกิเลสได้เลย คิดแบบนี้ดิถึงได้เป็นออระหันกันหน้าตาเฉย :b32: เป็นออระหันกันแบบไม่มีเหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป

cool
ไม่อาศัยฟังคำจริงตรงความจริงที่ตัวเองเป็น
ก็หลงผิดว่าตนดีตนเลิศกว่าคนอื่นไงคะ
ไม่รู้ก็คือไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้แปลว่า
กำลังมีกิเลสแต่ไม่รู้ว่ามีกิเลสไง
เพราะขาดปัญญาจากฟังค่ะ
จริงๆคำสอนของตถาคต
ถ้ายังไม่เคยฟังจะไม่รู้
ก็ไม่รู้แปลบาลีคือกิเลส
แสดงว่าขาดระลึกตามเสียงเป็นอกุศลไงคะ
ไม่รู้ว่ามีกิเลสตลอดเวลาและไม่รู้เลยว่ามีอกุศลเจตสิกเกิดมาก
ตนมีกิเลสใหม่เพิ่มแล้วค่ะที่ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยน๊า
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

cool
ข้างบนนี้ทั้งหมดมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้มีแล้ว
คือกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตนรอไหลออกมา
ตอนตื่นนอนแล้วปรากฏวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่ขาดกิเลสเลยค่ะที่ขาดคือปัญญา
เพราะปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยตรงๆ
ตามลำดับปัญญาข้ามสุตมยปัญญาไม่ได้เข้าใจไหมคะ
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

cool
ข้างบนนี้ทั้งหมดมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้มีแล้ว
คือกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตนรอไหลออกมา
ตอนตื่นนอนแล้วปรากฏวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่ขาดกิเลสเลยค่ะที่ขาดคือปัญญา
เพราะปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยตรงๆ
ตามลำดับปัญญาข้ามสุตมยปัญญาไม่ได้เข้าใจไหมคะ


นั่งฟังแม่สุจินพูดอยู่นั่นน่า กิเลสไม่ถลอกดอก กิเลสมันต้องสมาธิ กับปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญาเข้าใจไหมขอรับ :b32:

ฟังไปหลับไป อ้าวเสร็จกิเลสอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2018, 02:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

cool
ข้างบนนี้ทั้งหมดมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้มีแล้ว
คือกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตนรอไหลออกมา
ตอนตื่นนอนแล้วปรากฏวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่ขาดกิเลสเลยค่ะที่ขาดคือปัญญา
เพราะปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยตรงๆ
ตามลำดับปัญญาข้ามสุตมยปัญญาไม่ได้เข้าใจไหมคะ


นั่งฟังแม่สุจินพูดอยู่นั่นน่า กิเลสไม่ถลอกดอก กิเลสมันต้องสมาธิ กับปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญาเข้าใจไหมขอรับ :b32:

ฟังไปหลับไป อ้าวเสร็จกิเลสอีก


:b20:
ความจริงตามคำสอนกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆทุกคำคือเดี๋ยวนี้มีแล้ว
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้
ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า
เป็นสาวกทุกชาติแหละที่รู้ตัวว่ามีพระพุทธเจ้าได้แค่1คน
และคำสอนยังคงมีให้สิกขาและไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าแน่ๆ
ตนจึงไม่สามารถคิดเองได้ต้องอาศัยการไตร่ตรองจากการฟังเท่านั้น
เห็นข้างหน้าข้างหลังนั้นไม่มีแล้วเพราะดับคือไม่มีอะไรเหลือเลยมีแต่หลงผิด
ว่าเป็นเรามีความสามารถคิดพูดทำได้ทุกอย่างที่ต้องการได้เหนือผู้อื่นมีมานะถือตนว่ารู้
ไม่ฟังและมีความเห็นผิดแล้วเมื่อขาดการฟังเพราะคำสอนคิดตามได้เท่านั้นทำให้เป็นนั้นไม่ได้แน่ๆ
จำให้แม่นๆว่าตถาคตพระองค์ถัดไปและต่อๆไปเท่านั้นที่จะมาแสดงความจริงให้ฟังเพื่อเข้าใจถูกตามได้อีก
ได้ยินไหมคะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดรู้ด้วยตนเองได้ถ้าเป็นสาวกก็ต้องตรงต่อปัญญาว่าทำถูกตามตอนไหนฟังๆๆๆๆๆๆ
จนกว่าจะเกิดสัมมาตามได้เกิดปัญญาของตนเองรู้ชัดจนกว่าประจักษ์สัจจะบรรลุตามได้จึงชื่อว่าสาวกไงคะ
ฟังแล้วลังเลสงสัยคือนิวรณธรรมฟังแล้วเข้าใจถูกตามได้สะสมปัญญาไม่มีใครรู้ความจริงอย่างพระพุทธเจ้า
:b12:
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2018, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

cool
ข้างบนนี้ทั้งหมดมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้มีแล้ว
คือกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตนรอไหลออกมา
ตอนตื่นนอนแล้วปรากฏวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่ขาดกิเลสเลยค่ะที่ขาดคือปัญญา
เพราะปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยตรงๆ
ตามลำดับปัญญาข้ามสุตมยปัญญาไม่ได้เข้าใจไหมคะ


นั่งฟังแม่สุจินพูดอยู่นั่นน่า กิเลสไม่ถลอกดอก กิเลสมันต้องสมาธิ กับปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญาเข้าใจไหมขอรับ :b32:

ฟังไปหลับไป อ้าวเสร็จกิเลสอีก


:b20:
ความจริงตามคำสอนกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆทุกคำคือเดี๋ยวนี้มีแล้ว
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้
ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า
เป็นสาวกทุกชาติแหละที่รู้ตัวว่ามีพระพุทธเจ้าได้แค่1คน
และคำสอนยังคงมีให้สิกขาและไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าแน่ๆ
ตนจึงไม่สามารถคิดเองได้ต้องอาศัยการไตร่ตรองจากการฟังเท่านั้น
เห็นข้างหน้าข้างหลังนั้นไม่มีแล้วเพราะดับคือไม่มีอะไรเหลือเลยมีแต่หลงผิด
ว่าเป็นเรามีความสามารถคิดพูดทำได้ทุกอย่างที่ต้องการได้เหนือผู้อื่นมีมานะถือตนว่ารู้
ไม่ฟังและมีความเห็นผิดแล้วเมื่อขาดการฟังเพราะคำสอนคิดตามได้เท่านั้นทำให้เป็นนั้นไม่ได้แน่ๆ
จำให้แม่นๆว่าตถาคตพระองค์ถัดไปและต่อๆไปเท่านั้นที่จะมาแสดงความจริงให้ฟังเพื่อเข้าใจถูกตามได้อีก
ได้ยินไหมคะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดรู้ด้วยตนเองได้ถ้าเป็นสาวกก็ต้องตรงต่อปัญญาว่าทำถูกตามตอนไหนฟังๆๆๆๆๆๆ
จนกว่าจะเกิดสัมมาตามได้เกิดปัญญาของตนเองรู้ชัดจนกว่าประจักษ์สัจจะบรรลุตามได้จึงชื่อว่าสาวกไงคะ
ฟังแล้วลังเลสงสัยคือนิวรณธรรมฟังแล้วเข้าใจถูกตามได้สะสมปัญญาไม่มีใครรู้ความจริงอย่างพระพุทธเจ้า




อ้างคำพูด:
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะ ทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้ ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า


พูดแบบนี้ คนเราในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันเลย จะทำกรรมฐานเพื่อฝึกหัดพัฒนาจิตก็ทำไม่ได้ จะทำการทำงานอะไรๆ ก็ทำไม่ได้ :b10: หรือยังไงขอรับ อธิบาย

แบบนี้ก็ทำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิ เกิดอาการขนลุกมาเลยครับ เเล้วไม่ถึง 30 วิ เหมือนตัววูปยุบลงเเบบควมคุมไม่ได้ เเต่จิตความรู้สึกเหมือนจิตกับตัวมันสวนทางกันขึ้นข้างบนเเบบหยุดไม่ได้ เหมือนกับพอเอาจิตไปจับที่กาย่รู้สึกได้ว่าตัวตั้งตรงไหลผ่ายออกครับ เเละเหมือนจะตรงกว่าตอนที่นั่ง เหมือนไครมานั่งเเทน เหมือนว่ากายไม่ไช่เรา เเล้วรู้สึกว่าตากระพริบรัวๆเเต่ตาก็ไม่ได้เปิดนะครับ การหายใจก็ลำบากมากตั้งสติไม่อยู่เลยครับ ขอความกรุณาด้วยครับเป็นเพราะอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2018, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

cool
ข้างบนนี้ทั้งหมดมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้มีแล้ว
คือกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตนรอไหลออกมา
ตอนตื่นนอนแล้วปรากฏวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่ขาดกิเลสเลยค่ะที่ขาดคือปัญญา
เพราะปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยตรงๆ
ตามลำดับปัญญาข้ามสุตมยปัญญาไม่ได้เข้าใจไหมคะ


นั่งฟังแม่สุจินพูดอยู่นั่นน่า กิเลสไม่ถลอกดอก กิเลสมันต้องสมาธิ กับปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญาเข้าใจไหมขอรับ :b32:

ฟังไปหลับไป อ้าวเสร็จกิเลสอีก


:b20:
ความจริงตามคำสอนกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆทุกคำคือเดี๋ยวนี้มีแล้ว
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้
ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า
เป็นสาวกทุกชาติแหละที่รู้ตัวว่ามีพระพุทธเจ้าได้แค่1คน
และคำสอนยังคงมีให้สิกขาและไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าแน่ๆ
ตนจึงไม่สามารถคิดเองได้ต้องอาศัยการไตร่ตรองจากการฟังเท่านั้น
เห็นข้างหน้าข้างหลังนั้นไม่มีแล้วเพราะดับคือไม่มีอะไรเหลือเลยมีแต่หลงผิด
ว่าเป็นเรามีความสามารถคิดพูดทำได้ทุกอย่างที่ต้องการได้เหนือผู้อื่นมีมานะถือตนว่ารู้
ไม่ฟังและมีความเห็นผิดแล้วเมื่อขาดการฟังเพราะคำสอนคิดตามได้เท่านั้นทำให้เป็นนั้นไม่ได้แน่ๆ
จำให้แม่นๆว่าตถาคตพระองค์ถัดไปและต่อๆไปเท่านั้นที่จะมาแสดงความจริงให้ฟังเพื่อเข้าใจถูกตามได้อีก
ได้ยินไหมคะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดรู้ด้วยตนเองได้ถ้าเป็นสาวกก็ต้องตรงต่อปัญญาว่าทำถูกตามตอนไหนฟังๆๆๆๆๆๆ
จนกว่าจะเกิดสัมมาตามได้เกิดปัญญาของตนเองรู้ชัดจนกว่าประจักษ์สัจจะบรรลุตามได้จึงชื่อว่าสาวกไงคะ
ฟังแล้วลังเลสงสัยคือนิวรณธรรมฟังแล้วเข้าใจถูกตามได้สะสมปัญญาไม่มีใครรู้ความจริงอย่างพระพุทธเจ้า




อ้างคำพูด:
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะ ทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้ ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า


พูดแบบนี้ คนเราในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันเลย จะทำกรรมฐานเพื่อฝึกหัดพัฒนาจิตก็ทำไม่ได้ จะทำการทำงานอะไรๆ ก็ทำไม่ได้ :b10: หรือยังไงขอรับ อธิบาย

แบบนี้ก็ทำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิ เกิดอาการขนลุกมาเลยครับ เเล้วไม่ถึง 30 วิ เหมือนตัววูปยุบลงเเบบควมคุมไม่ได้ เเต่จิตความรู้สึกเหมือนจิตกับตัวมันสวนทางกันขึ้นข้างบนเเบบหยุดไม่ได้ เหมือนกับพอเอาจิตไปจับที่กาย่รู้สึกได้ว่าตัวตั้งตรงไหลผ่ายออกครับ เเละเหมือนจะตรงกว่าตอนที่นั่ง เหมือนไครมานั่งเเทน เหมือนว่ากายไม่ไช่เรา เเล้วรู้สึกว่าตากระพริบรัวๆเเต่ตาก็ไม่ได้เปิดนะครับ การหายใจก็ลำบากมากตั้งสติไม่อยู่เลยครับ ขอความกรุณาด้วยครับเป็นเพราะอะไร

:b12:
ไม่เข้าใจหรือคะจะไปทำตามที่พระองค์ทำที่รู้ละเอียดขนาดนั้นต้องฟังถึง20อสงไขย
และชาติสุดท้ายที่ไม่ต้องฟังจากใครนะคะยังไม่รู้ตัวอีกหรือแค่จิตเห็นอย่างเดียวมี7ชวนะ
แปลว่าสร้างภพชาติเกิดทีละ7ชาติแล้วที่ไม่รู้ละเอียดทุกชวนะคือกิเลสตนเองรู้แบบนั้นไม่ได้
จะรู้ได้ต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปไงคะคำสอนเพื่อคิดถูกได้ตามเหตุปัจจัยที่กายใจตนเองน๊า
และต้องคิดตามตรงเสียงจึงจะเกิดปัญญาเข้าใจถูกตามได้ต้องมีผู้อื่นแสดงตามคำวาจาสัจจะให้คิดตรงตามได้
:b16:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2018, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์, กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,


ในอรรถกถา ท่านนิยมจำแนก กิเลส เป็น ๓ ระดับ ตามลำดับขั้นของการละด้วยสิกขา ๓ (เช่น วินย.อ.1/22 ฯลฯ) คือ

๑. วีติกกมกิเลส กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย และทางวาจา เช่น เป็นกายทุจริต และวจีทุจริต ละด้วยศีล (อธิศีลสิกขา)

๒. ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสอย่างกลางที่พลุ่งขึ้นมาเร้ารุมอยู่ในจิตใจ ดังเช่น นิวรณ์ ๕ ในกรณีที่จะข่มระงับไว้ ละด้วยสมาธิ (อธิจิตตสิกขา)

๓. อนุสัยกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันยังไม่ถูกกระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา ได้แก่ อนุสัย ๗ ละด้วยปัญญา (อธิปัญญาสิกขา)

cool
ข้างบนนี้ทั้งหมดมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้มีแล้ว
คือกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตนรอไหลออกมา
ตอนตื่นนอนแล้วปรากฏวิถีจิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่ขาดกิเลสเลยค่ะที่ขาดคือปัญญา
เพราะปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยตรงๆ
ตามลำดับปัญญาข้ามสุตมยปัญญาไม่ได้เข้าใจไหมคะ


นั่งฟังแม่สุจินพูดอยู่นั่นน่า กิเลสไม่ถลอกดอก กิเลสมันต้องสมาธิ กับปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญาเข้าใจไหมขอรับ :b32:

ฟังไปหลับไป อ้าวเสร็จกิเลสอีก


:b20:
ความจริงตามคำสอนกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆทุกคำคือเดี๋ยวนี้มีแล้ว
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้
ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า
เป็นสาวกทุกชาติแหละที่รู้ตัวว่ามีพระพุทธเจ้าได้แค่1คน
และคำสอนยังคงมีให้สิกขาและไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าแน่ๆ
ตนจึงไม่สามารถคิดเองได้ต้องอาศัยการไตร่ตรองจากการฟังเท่านั้น
เห็นข้างหน้าข้างหลังนั้นไม่มีแล้วเพราะดับคือไม่มีอะไรเหลือเลยมีแต่หลงผิด
ว่าเป็นเรามีความสามารถคิดพูดทำได้ทุกอย่างที่ต้องการได้เหนือผู้อื่นมีมานะถือตนว่ารู้
ไม่ฟังและมีความเห็นผิดแล้วเมื่อขาดการฟังเพราะคำสอนคิดตามได้เท่านั้นทำให้เป็นนั้นไม่ได้แน่ๆ
จำให้แม่นๆว่าตถาคตพระองค์ถัดไปและต่อๆไปเท่านั้นที่จะมาแสดงความจริงให้ฟังเพื่อเข้าใจถูกตามได้อีก
ได้ยินไหมคะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดรู้ด้วยตนเองได้ถ้าเป็นสาวกก็ต้องตรงต่อปัญญาว่าทำถูกตามตอนไหนฟังๆๆๆๆๆๆ
จนกว่าจะเกิดสัมมาตามได้เกิดปัญญาของตนเองรู้ชัดจนกว่าประจักษ์สัจจะบรรลุตามได้จึงชื่อว่าสาวกไงคะ
ฟังแล้วลังเลสงสัยคือนิวรณธรรมฟังแล้วเข้าใจถูกตามได้สะสมปัญญาไม่มีใครรู้ความจริงอย่างพระพุทธเจ้า




อ้างคำพูด:
ไม่ต้องทำเข้าใจไหมคะ ทำยังไงก็รู้แบบตถาคตนั้นไม่ได้ ผู้ที่จะรู้ความจริงทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า


พูดแบบนี้ คนเราในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันเลย จะทำกรรมฐานเพื่อฝึกหัดพัฒนาจิตก็ทำไม่ได้ จะทำการทำงานอะไรๆ ก็ทำไม่ได้ :b10: หรือยังไงขอรับ อธิบาย

แบบนี้ก็ทำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิ เกิดอาการขนลุกมาเลยครับ เเล้วไม่ถึง 30 วิ เหมือนตัววูปยุบลงเเบบควมคุมไม่ได้ เเต่จิตความรู้สึกเหมือนจิตกับตัวมันสวนทางกันขึ้นข้างบนเเบบหยุดไม่ได้ เหมือนกับพอเอาจิตไปจับที่กาย่รู้สึกได้ว่าตัวตั้งตรงไหลผ่ายออกครับ เเละเหมือนจะตรงกว่าตอนที่นั่ง เหมือนไครมานั่งเเทน เหมือนว่ากายไม่ไช่เรา เเล้วรู้สึกว่าตากระพริบรัวๆเเต่ตาก็ไม่ได้เปิดนะครับ การหายใจก็ลำบากมากตั้งสติไม่อยู่เลยครับ ขอความกรุณาด้วยครับเป็นเพราะอะไร

:b12:


ไม่เข้าใจหรือคะ จะไปทำตามที่พระองค์ทำที่รู้ละเอียดขนาดนั้นต้องฟังถึง 20 อสงไขย

และชาติสุดท้ายที่ไม่ต้องฟังจากใครนะคะ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ แค่จิตเห็นอย่างเดียวมี 7 ชวนะ
แปลว่า สร้างภพชาติเกิดทีละ 7 ชาติแล้วที่ไม่รู้ละเอียดทุกชวนะ คือ กิเลสตนเองรู้แบบนั้นไม่ได้
จะรู้ได้ต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปไงคะ คำสอนเพื่อคิดถูกได้ตามเหตุปัจจัยที่กายใจตนเองน๊า
และต้องคิดตามตรงเสียงจึงจะเกิดปัญญาเข้าใจถูกตามได้ต้องมีผู้อื่นแสดงตามคำวาจาสัจจะให้คิดตรงตามได้


ไอ้เรืองเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า คุณโรสเสียเวลาไปเปล่า 7-8 ปี ที่ฟังคลิปแม่สุจินมา คคห. นี้ยิ่งเห็นเด่นชัดอีก
กายใจตน กายใจ ก็พูดเรื่อยเปื่อยไปยังงั้นเอง พูดทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กายใจ นี่มันอะไร คิกๆๆ

เป็นอุทาหรณ์ให้ชาวพุทธที่ศึกษาพระพุทธศาสนา ว่าเบื้องต้นต้องนำหลักธรรมมาใช้ประโยชน์ในชีวิตได้ ลึกไปอีกต้องนำหลักการของพุทธธรรมมาใช้พัฒนาชีวิตจิตใจได้ ไม่ใช่อะไรก็ไม่รู้ :b16: พูดไปเรื่อยเปื่อย 20 อสงไขย 7 ชาติ 8 ชาติ 7 ชวนะ ให้ประโยชน์อะไรกับชีวิตอันน้อยนิดนี้ :b32:

อสงไขยเวลา

https://www.youtube.com/watch?v=TFXyQJj5fVU

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร