วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 00:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2018, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจาก

viewtopic.php?f=1&t=56487&p=426509#p426509

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2018, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เลิกหมักหมมความคลุมเครือพร่ามัวไว้ในสังคมไทย พัฒนาความเข้มแข็งทางปัญญาด้วยความรู้เข้าใจให้ชัดเจน


ตรงนี้ ขอแทรกเรื่องโยงออกไปข้างนอกนิดหน่อยว่า ในสังคมไทยนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ชัดเจน

ถ้าจะก้าวหน้าเจริญงอกงามได้จริง จะต้องก้าวไปกับความชัดเจน อะไรต่ออะไร เฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจในถ้อยคำที่สื่อไปถึงหลักการทั้งหลาย จะต้องชัดเจน แล้วความชัดเจนนี้ก็จะทำให้เกิดปัญญา ทำให้เจริญปัญญา คือความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนมองเห็นชัดแจ้งนั่นแหละ คือ ปัญญา ปัญญาจะเป็นปัญญาแท้ก็ต้องชัด ถ้าไม่ชัดก็ยังไม่เป็นปัญญา


ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน อะไรต่ออะไรคลุมเครือไปหมด รู้ก็รู้กันอย่างพร่าๆ มัวๆ แล้วก็เลยเว้าๆ แหว่งๆ ผิดๆ พลาดๆ เพี้ยนๆ จึงทำให้ปัญญาอ่อนแอ หรือเกิดความอ่อนแอทางปัญญา เป็นอันตราย เป็นตัวกีดกั้นขัดขวางความความเจริญก้าวหน้า


เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี้เป็นตัวอย่างสำคัญของความไม่ชัดเจนในสังคมไทย มันเป็นคุณธรรม เป็นจริยะพื้นฐานของสังคมมนุษย์ แต่เราเข้าใจกันผิดเพี้ยนมาก จะต้องรีบแก้ไขปัญหาให้ได้


พูดได้เลยว่า ถ้าเอาพรหมวิหารเข้ามาอยู่ในหลักที่แท้ไม่ได้ สังคมจะเอาดีไม่ได้ แต่ถ้าทำได้ สังคมจะดีแน่นอน มีแค่ ๔ ตัวนี้ สังคมก็ได้หลักประกันแล้ว


ตอนนี้ เรามาถึงหลักธรรมชุดพรหมวิหาร ๔ ที่มีอุเบกขาเป็นหลักคุมท้าย แต่ไม่จบแค่นี้ ธรรมสำหรับสังคมยังมีต่อไปอีก ว่าที่จริงพรหมวิหารนั้นเป็นธรรมประจำใจ เป็นจริยะด้านจิตใจ อย่างที่ได้บอกแล้วว่า พรหมวิหาร คือธรรมประจำใจของท่านผู้มีคุณความดีกว้างขวางยิ่งใหญ่อย่างพระพรหม ทีนี้ เมื่อมันอยู่ในจิตใจอย่างเดียว มันก็ไม่พอ จะต้องออกสู่การปฏิบัติจัดการในสังคม จึงจะเกิดเป็นผลจริงจัง


ในตอนที่ออกสู่ปฏิบัติการในสังคมนั้น จึงมีธรรมะที่จะมารองรับช่วงอีกชุดหนึ่ง ซึ่งก็มี ๔ ข้อเหมือนกัน ก็เลยถือโอกาสนำมากล่าวในที่นี้ด้วย
หลักธรรมชุดที่ว่านี้ ไม่เฉพาะท่านผู้พิพากษาเท่านั้นที่จะใช้ แต่ทุกคนในสังคมนี้มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติทั้งนั้น เราทุกคนในฐานะผู้อยู่ร่วมสังคม ต้องช่วยกันบำรุงรักษาสังคมด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้อง


ถ้ามีเมตตาอยู่ในใจอย่างเดียว เราก็เลยเอาเมตตามานั่งแผ่อยู่นั่น ก็ไม่ต้องทำอะไร
เคยมีฝรั่งคนหนึ่งเขียนหนังสือเรื่องเมืองไทย และเรื่องนั้นก็สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา
เขาเขียนถึงเมืองไทยบอกว่า พุทธศาสนานี้สอนคนไทยให้เป็นคนดี ให้ทำความดี แล้วทำความดีแบบพุทธศาสนาทำอย่างไร เขาก็ยกตัวอย่างว่า พุทธศาสนาสอนให้ทำความดี ก็ให้นั่งแผ่เมตตา (ไม่ใช่นั่งแผ่เมตตาอย่างเดียว นอนแผ่ด้วยก็ได้ ทั้งนั่งแผ่และนอนแผ่) ตกลงว่า คนไทยเราชาวพุทธนี่เป็นคนดีได้ง่าย แต่ทำได้อย่างเดียว คือนั่งนอนแผ่เมตตา เท่านี้ก็พอ
ฝรั่งคนนี้ เป็นนักปราชญ์ใหญ่คนหนึ่งของตะวันตกในยุคสมัยใหม่ ชื่อว่า อัลเบิร์ด ชไวเซอร์ (Albert Schweitzer, 1875-1965)


จำได้ว่า ในตอนที่ตั้งคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นขั้นเตรียมการเพื่อจะมาเป็นนิด้า คือสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในระยะนั้น ก็มีคณะทำงานร่วมประสานกับต่างประเทศ คือฝ่ายไทยกับฝ่ายมหาวิทยาลัยอินเดียน่า ทำนอง consortium ก็มีอาจารย์อเมริกันท่านหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญในงานนี้ คือ Professor Joseph L. Sutton ท่านผู้นี้ ก็เขียนหนังสือขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องรัฐประศาสนศาสตร์ในเมืองไทย มีชื่อทำนองว่า Problems of Politics and Administration in Thailand ท่านก็ยกคำของท่านอัลเบิร์ด ชไวเซอร์ นั้นมาอ้าง เพื่อย้ำว่า พุทธศาสนานี้แหละ เป็นตัวอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาสังคมไทย


ตอนนั้นก็มีครูอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่ผู้น้อยของไทย ออกมาว่ากล่าว บ้างก็ถึงขั้นที่เรียก ว่า ด่าศาสตราจารย์ผู้นี้กันพักหนึ่ง ก็ทำให้คิดว่าอย่าไปด่าเขาเลย คือควรวางใจเป็นกลาง นี่แหละอุเบกขา คือ เราวางใจเรียบสงบรับฟังก่อน เพราะว่า ด้านหนึ่ง เราอาจจะมีข้อบกพร่องให้เขาเห็น เป็นจุดปรารภ เราก็จะได้ตรวจสอบและมาปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
อีกด้านหนึ่ง เราก็ดูให้ชัด ถ้าเขาเข้าใจผิดในหลักธรรม เราก็ต้องชี้แจงให้เขาเข้าใจให้ถูกต้องต่อไป


พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระไว้ว่า ถ้าใครมาด่าพระพุทธเจ้า ด่าพระธรรม ด่าพระสงฆ์ ก็อย่าไปโกรธเขา ให้ฟังและพิจารณา ถ้าเขาพูดไม่ถูก ก็ค่อยๆ พูดชี้แจงแก้ไขด้วยปัญญา ว่าไปตามความเป็นจริง อันนี้ก็เหมือนกัน เราควรจะได้ประโยชน์จากคนที่ด่าเรา ถ้าเราไม่ฟัง เราอาจจะเสียประโยชน์เปล่า เขาอุตส่าห์คิดตั้งนานกว่าจะมาด่าได้ บางคนคิดนานเป็นเดือนเป็นปีก็มี ท่านศาสตราจารย์ผู้นี้น่ะแน่นอน ต้องคิดต้องค้นอย่างน้อยก็เป็นเดือนเลยกว่าจะด่าหรือติเตียนออกมาได้ ท่านเสียพลังงานไปเยอะ เราควรจะได้ประโยชน์จากคำติคำด่าของท่าน


การที่เราจะได้ประโยชน์จากคำติคำคำด่าของเขา ก็โดยเอามาตรวจสอบมองดูตัวเอง โดยเฉพาะสังคมของเรา ว่าเป็นอย่างที่เขาว่าไหม แต่ต้องดูเป็นด้วยนะ ส่วนทางด้านฝรั่ง เราก็ต้องเข้าใจเขาด้วย


ฝรั่งมาเป็นนักวิชาการ พอจะดูพุทธศาสนา เขามักมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง คือ เขาคุ้นชินมากับศาสนาแบบบังคับความเชื่อในสังคมของเขา ซึ่งเมื่อเห็นคนที่เชื่อปฏิบัติอย่างไร ความเชื่อที่เป็นหลักของศาสนาก็มักจะอย่างนั้น
แต่พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแบบนั้น (พวกที่ศึกษาเรื่องศาสนาอย่างจริงจัง จึงมักไม่ยอมเรียกพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาในความหมายของศัพท์ฝรั่งว่า religion)
แต่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ให้ศึกษาปฏิบัติ คนรู้เข้าใจแค่ไหนอย่างไร ก็เชื่อและปฏิบัติไปแค่นั้น


เพราะเหตุที่ไม่ได้บังคับความเชื่อที่จะไปปฏิบัติให้แม่นมั่นลงไป และคำสอนที่จะศึกษาก็กว้างขวางมากมาย
คนก็ปฏิบัติไปแค่ที่ตัวรู้เข้าใจ เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าการศึกษาอ่อน ได้แค่ถือตามฟังตามกันไป ไม่นานเลย ประชาชนก็เชื่อถือปฏิบัติพุทธศาสนาผิดเพี้ยนบ้าง ใช้ธรรมผิดทางผิดที่บ้าง ปฏิบัติไม่ครบชุดบ้าง
ฝรั่งมาเห็น ก็จับเอาความเชื่อถือปฏิบัติผิดเพี้ยนพร่องแพร่งของชาวบ้าน มาบอกว่าเป็นพุทธศาสนา ไปอ่านคำสอนก็มากมายนักหนา ไม่สามารถศึกษาให้ทั่วถึง ก็จับเอาบางส่วนบางตอนที่เข้ากันมารับสมอ้าง เรื่องก็มาเป็นอย่างนี้


คำกล่าวว่าของฝรั่งหรือนักวิชาการแบบที่ว่านั้น จึงมักเป็นการสรุปข้ามขั้นตอน จะได้ประโยชน์ก็ตรงที่เอามาดูคนไทยและสังคมไทย และเราก็เอามาใช้ประกอบในการพัฒนาให้การศึกษาแก่คนไทยได้ด้วย


ทีนี้ เราก็มาดูคนไทยและสังคมไทย ซึ่งก็เป็นอย่างที่ว่านั่นแหละ เราก็จึงต้องใช้วิธีแยกว่า หนึ่ง ตัวหลักธรรมที่แท้สอนว่าอย่างไร
สอง คนไทยที่ว่าเป็นชาวพุทธนี้ เข้าใจหลักธรรมนั้นอย่างไร คือธรรมที่แท้ไม่ค่อยจะเป็นอย่างที่คนไทยเข้าใจ แล้วในสังคมไทยก็เลยมีแต่ปัญหา เรื่องอย่างนี้อยู่เรื่อย


ขอแทรกอีกหน่อย วันหนึ่ง โดยบังเอิญได้ยินทางวิทยุ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ยกเอาธรรมะในพุทธศาสนาขึ้นมาอ้าง
บอกว่า นี่นะ พุทธศาสนาสอน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ก็จึงทำให้คนไทยเอาแต่ตัว ไม่ช่วยกัน มีอะไรก็เป็นเรื่องของตัวเอง คุณก็ช่วยตัวเองไปสิ นี่รายหนึ่งละ


ทีนี้ ต่อมาอีกไม่กี่วันไม่ทราบ ก็โดยบังเอิญได้ยินวิทยุอีกแหละ อีกอาจารย์หนึ่งมาพูดบอกว่า พุทธศาสนานี่ สอนให้คนมีเมตตา กรุณา ทำให้คนไทยช่วยเหลือกันมาก คนไทยก็เลยขี้เกียจ ไม่ทำงานทำการ เพราะมัวหวังพึงให้คนอื่นเมตตา คอยรอรับเมตตา


ที่ท่านพูดกันทางวิทยุนั้น ถูกไหม สองท่านนั้นพูดตรงกันข้าม แต่ก็ถูกทั้งนั้นเลย คือคนที่ปฏิบัติผิดอย่างนั้นมีอยู่ แล้วคนที่เอามาพูด ก็ดูถูกตามที่เขาปฏิบัติผิด แต่แล้วทั้งหมดนั้น ทั้งคนปฏิบัติและคนดู ก็มาผิดด้วยกันอีกชั้นหนึ่ง คือมีการศึกษาที่กะพร่องกะแพร่ง รวมตลอดไปถึงคนที่สอนก็กะพร่องกะแพร่ง ไปๆ มาๆ ก็กะพร่องกะแพร่งกันหมดทั้งสังคม เป็นสัญญาณเตือนมานานแล้วว่า ควรจะชำระสะสางยกเครื่องสังคมชาวพุทธไทยทั้งหมด


นี้เป็นเรื่องของการขาดความรู้ความเข้าใจ แล้วปฏิบัติไขว้เขว และมองธรรมะไม่ถูกทิศถูกทาง ไม่ถูกจุดถูกแง่ เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกัน ปัญหาในชุด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นแหละ ที่แยกเอามาพูดเป็นเสี่ยงๆ และไม่พูดให้ตลอด พูดได้แค่เมตตา กรุณา ไม่ถึงอุเบกขา แล้วอุเบกขาก็เข้าใจผิดอีก ก็ยุ่งนุงนัง และเป็นปมเสียหายไปหมด


ฉะนั้น การที่เขาว่าเขาด่า ถึงจะไม่ใช่หมายความว่าเขาพูดถูกแล้ว แต่ก็ต้องเอามาเป็นเครื่องเตือนตัวเอง ต้องถือว่ามันเป็นตัวกระตุ้นกระตุกเราให้ทำการตรวจสอบสืบค้นให้ชัดเจน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2018, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้อะไรก็ต้องเข้าใจทั่วตลอดคมชัด จึงจะมีความเข้มแข็งทางปัญญา ที่นำพาสังคมให้ก้าวไปได้มั่นคง


อีกอาจารย์หนึ่ง ตอนนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องออกชื่อละ ท่านทำงานวิจัยขึ้นมาชิ้นหนึ่ง นานเป็นสิบปีแล้ว ท่านบอกว่า คนไทยอีสานนี้มีชีวิตแบบอยู่ไปวันหนึ่งๆ เพราะถือหลักอนิจจังของพุทธศาสนา คือหลักอนิจจังนั้นสอนว่าอะไรต่ออะไรมันก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไป มันเจริญ เดี๋ยวมันก็เสื่อม มันเสื่อม เดี๋ยวมันก็เจริญ เราจะทำอย่างไรได้ ทำไปมันก็เปลี่ยน เราก็อยู่เรื่อยๆ ต้องปล่อยมันไป



นี่ ถ้าคนไหนไม่รู้หลักอนิจจังชัดเจนพอ ก็ชักจะเห็นคล้อยไปตาม ว่า เออ มันคงจะจริงอย่างนั้นนะ ก็คนไทยนี่ถือหลักอนิจจัง แล้วก็ชอบปลงว่าอะไรมันเจริญ มันก็ต้องเสื่อม มันก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วก็เลยไม่ขวนขวาย ไม่เอาการเอางาน ทำอะไรก็ไม่จริงไม่จัง


สำหรับอาจารย์ท่านนี้ ก็ทำนองเดียวกับ Prot. Sutton นั่นแหละ คือจับเอาความเข้าใจของชาวบ้านมาเป็นหลักพุทธศาสนา แทนที่จะแยกออกไปว่าชาวบ้านนับถืออย่างนี้
แต่นั่นไม่ตรงไม่เต็มตามหลักนะ ถ้าจับจุดนี้ได้ ก็ย้อนกลับ เอาหลักทีแท้กลับไปบอกชาวบ้าน ว่าพวกคุณนับถือคลาดเคลื่อนไปแล้ว ให้รีบศึกษาหลักที่ถูกต้อง ปรับแก้ความรู้เข้าใจ และการปฏิบัติเสียใหม่ ถ้าทำอย่างนี้ ก็จะใช้วิชาการมาช่วยสังคมไทยได้มาก


อนิจจังนี่ ถ้ารู้เข้าใจใช้ผิด ก็ยุ่งเหมือนกัน ฉะนั้น จะต้องสอนกันให้เต็มที่
พระพุทธศาสนานี้อยู่ได้ด้วยการศึกษา ถ้าไม่ศึกษาก็หมดเลย จะตามกันไปผิดๆ ถือผิด ปฏิบัติผิด แล้วก็อาจจะทำให้สังคมเสื่อมโทรม และชีวิตก็เสียหาย


พูดง่ายๆ หลักอนิจจังสอนว่า สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป ไม่แน่นอน เสื่อมแล้วเจริญได้ เจริญแล้วเสื่อมได้
ทีนี้ จุดสำคัญอยู่ตรงที่ว่า แต่ที่มันเปลี่ยนแปลงเจริญ หรือเสื่อมไปนั้น มันไม่ได้เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อยเลื่อนลอยนะ มันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น จึงมิใช่ว่าเราทำอะไรไม่ได้ แต่เรานี้แหละทำได้มากที่สุด


เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ก็คือมันบอกเราว่า ให้ใช้ปัญญาพิจารณาสืบค้นดู เหตุปัจจัยอะไรจะทำให้เสื่อม เหตุปัจจัยอะไรจะทำให้เจริญ แล้วถ้าเราไม่อยากเสื่อม และอยากเจริญ เราไปศึกษาเหตุปัจจัยเหล่านั้นแล้ว ก็ทำเหตุปัจจัยที่ทำให้เจริญ และป้องกันแก้ไขเหตุปัจจัยที่ทำให้เสื่อม เราก็จะได้ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เจริญ


ที่สำคัญยิ่งก็คือ เมื่อสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป ไม่แน่นอน ท่านจึงให้ไม่นิ่งนอนใจ ให้อยู่อย่างไม่ประมาท เร่งประกอบเหตุปัจจัยแห่งความเจริญ และป้องกันกำจัด เหตุปัจจัยแห่งความเสื่อม


พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสธรรมะที่เป็นหลักประกันว่า ถ้าเธอทำอย่างนี้ๆ จะมีแต่เจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเลย ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าปฏิบัติหลักธรรมนี้แล้ว เจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเลย เอ๊ะ ไม่ขัดกันหรือกับที่ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง เดี๋ยวจะหาว่าพระพุทธเจ้าตรัสธรรมะขัดกัน เอาอีกแล้ว ดูมันยุ่งไปหมด นี่ก็เพราะไม่ศึกษา ที่จริงนั้นมันหนุนกัน



อนิจจังนี่แหละหนุนความไม่เสื่อม (เท่าที่เราจะทำเหตุปัจจัยได้) ถ้าไม่เข้าใจหลักกันทะลุจริง ก็ยุ่งแน่ ฉะนั้น ต้องพูดกันตรงๆ ว่า ชาวพุทธนี้ขาดการศึกษาอย่างหนัก พระพุทธศาสนานี่อยู่ได้ด้วยการศึกษาเท่านั้น
ถ้าไม่มีปัญญารู้เข้าใจ ก็ปฏิบัติไม่ถูก เริ่มตั้งแต่เข้าใจผิด แล้วก็เชื่อผิด แล้วก็ปฏิบัติผิด พุทธศาสนาก็หมด มีแต่ชื่อ


ตำราเรียนสังคมวิทยา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ไม่ต้องออกชื่อ เขียนบอกว่า บทบาทของพระก็เหมือนหมอผี อ้าว....เป็นอย่างไรล่ะ หมอผีก็ดี ศาสนาก็ดี มีไว้สำหรับเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เวลามีทุกข์มีภัย ก็ได้ปลอบประโลมใจ (อย่างหมอผีนี่ เวลามีทุกข์ ก็ว่าผีมันมาเข้า ฉันจะไล่ผีออก ก็สบายใจไปใช่ไหม) พระก็มีบทบาทช่วยปลอบประโลมใจให้คนสบายใจ เหมือนหมอผีนั่นแหละ อย่างนี้ เป็นต้น


(ที่ว่าบทบาทเหมือนหมอผี ก็คือศาสนาโบราณ แต่พุทธศาสนาไม่ใช่มีสาระอยู่ที่ปลอบประโลมใจ แต่อยู่ที่การศึกษาพัฒนามนุษย์ให้เป็นอิสระเหนือการที่จะต้องปลอบ)


นี่คือตัวอย่างมากมายของความขาดการศึกษา แล้วรู้เข้าใจธรรมกันไม่เพียงพอ ไม่ถูกต้อง สับสน อย่างพรหมวิหารที่ว่ากันวุ่นวายไป และเมื่อเข้าใจผิดพลาด ก็ทำให้เกิดผลร้ายด้วย ฉะนั้น เขามาว่ามาด่านี่ ดีแล้ว ต้องเอาประโยชน์ให้ได้ อย่างที่ว่าแล้ว กว่าเขาจะมาด่าเราได้ เขาใช้เวลาและพลังงานสมองไปเยอะแยะ ทุ่นเวลาทุ่นแรงงานของเราไปมากมาย ถ้าไม่มีใครมาว่า บางทีเราก็ดูตัวเราเองไม่ออก เขาจะว่าถูกว่าผิด อันไหนใช้ประโยชน์ได้ เราก็เอามาใช้ซะ ก็กลายเป็นดีไปหมด


เพราะฉะนั้น ถ้านับถือพระพุทธศาสนาถูกต้องแล้ว หนึ่ง ต้องได้ความจริง
สอง ต้องได้ประโยชน์ พอประสบพบเจออะไรอะไร ก็ได้เรียนรู้ แล้วก็ได้สองอย่างที่ว่าแล้วนั้น คือ หนึ่ง ได้ความจริง
สอง ถ้าไม่จำเป็นต้องหาความจริง ก็ได้ประโยชน์ มองให้เป็นประโยชน์ให้ได้ ก็เลยไม่เกิดผลเสียอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรร้ายแค่ไหน ต้องเอาประโยชน์ให้ได้ทุกอย่าง อันนี้ เป็นการฝึกตัวเอง


แม้แต่ไปเจอสถานการณ์ร้ายอะไร ก็ต้องฝึกตัวไว้ว่า เราจะมองอย่างไร ให้ได้ประโยชน์ให้ได้ ให้มันได้สักแง่หนึ่ง และนี่ก็เป็นการฝึกปัญญา ด้วยหลักโยนิโสมนสิการ ซึ่งใช้กับงานทุกอย่างได้หมด


(ลองนึกเทียบกันดูระหว่างเราคิดเรื่องอนิจจัง กับ อนิจจังแนวพระพุทธศาสนา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2018, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2018, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้างใน ใจก็กว้างใหญ่อย่างพรหม ข้างนอก ก็สมานทั้งสังคมไว้ในเอกภาพ


แทรกเสียยืดยาว หันกลับมาที่หลักพรหมวิหาร เมื่อกี้ได้บอกแล้วว่า พรหมวิหารเป็นหลักธรรมชุดประจำใจ ถ้าจะให้สมบูรณ์และได้ผลจริง ต้องออกสู่ปฏิบัติการ ก็จึงต้องพูดกันหน่อยในเรื่องชุดปฏิบัติการนั้น


หลักพรหมวิหารนั้นบอกแล้ว่า เป็นจริยะด้านภายในจิตใจ คราวนี้ ก็มีหลักชุดปฏิบัติการที่จะประกอบและกำกับเจตนาในการแสดงออกข้างนอก เป็นจริยะทางสังคม เหมือนมาประสานรับช่วงการทำงานต่อออกไปจากจริยะฝ่ายภายในนั้น

(ระวังว่า จริยะที่นี้ มิได้หมายถึง จริยธรรม แบบฝรั่งที่เราพูดกันเวลานี้ ซึ่งเป็นเรื่องความประพฤติภายนอก และเป็นการปฏิบัติตามกฎกติกาที่เป็นบัญญัติเป็นข้อๆไม่อยู่ในระบบความสัมพันธ์)


ชุดปฏิบัติการก็มี ๔ ข้อรับกัน เป็นชุดออกสู่สังคม ไม่ใช่ไปนอนแผ่เมตตาอยู่ในมุ้งอย่างเดียว แต่เป็นเมตตาที่ออกสู่ปฏิบัติการ จะออกมาอย่างไร นี่แหละ ที่จริงเราก็ได้ยินอยู่ แต่เราโยงไม่เป็น ก็จึงมองไม่เห็น


ดูกันแบบตื้นๆ พระพุทธศาสนานี้ สอนหลักธรรมอะไรเป็นพื้นเบื้องต้น ชาวพุทธนั้น พอเริ่มทำบุญ ก็ทำทานก่อนเลยใช่ไหม ตักบาตรพระแต่เช้า ไปวัดก็ไปถวายภัตตาหาร แล้วก็เอาไทยธรรมไปถวาย และที่เดี๋ยวนี้นิยมกันนัก ก็คือ ถวายสังฆทาน ถวายกันจริงจังมาก


นี่ก็แสดงว่า ชาวพุทธทำดี ไม่ใช่แค่นอนแผ่เมตตาแล้วนะ มีการปฏิบัติออกมาด้วย คือ ทาน การให้ จะเป็นปัญหาก็ในแง่อื่น เช่นว่าเฉไปทางทำทานด้วยหวังผลตอบแทนแก่ตน หรือทำทานเชิงไสยศาสตร์มากขึ้นๆ แทนที่จะทำทานเกื้อหนุนกันในสังคม (ตรงนี้ฝรั่งนั้นก็ไม่เห็นเสียอีก)


พุทธศาสนาสอนธรรมข้อเริ่มแรกในภาคปฏิบัติ ก็คือทาน ที่จริงสอนแทบจะก่อนเมตตาด้วยซ้ำไป คือเอาที่ด้านปฏิบัติการก่อน สอนทานให้ให้แก่กัน ตั้งแต่ให้กันในครอบครัว ซึ่งที่จริงก็เป็นการประสานกันระหว่างด้านพฤติกรรม กับ ด้านจิตใจ ให้ทานมาเป็นช่องทางของเมตตา กรุณา พร้อมทั้งเป็นเครื่องเพิ่มแรงช่วยพัฒนาเมตตา กรุณา ในจิตใจนั้น แล้วก็ไม่ใช่ให้วัตถุเท่านั้น แต่มีธรรมทาน คือการให้ความรู้คำแนะนำสั่งสอนด้วย


ทีนี้ ทานที่เป็นธรรมข้อแรกของภาคปฏิบัติการนี้ ก็อยู่ในชุดที่มาประสานเชื่อมต่อ กับ พรหมวิหารนี่แหละ คือมันเป็นฝ่ายปฏิบัติสนองรับช่วงงานให้แก่ชุดพรหมวิหาร ในการช่วยผดุงรักษาสังคมไว้ ให้เกิดความสามัคคี และความมั่นคง คือมาเป็นช่องทางที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจะออกมาสู่ปฏิบัติการในสังคม


ทีนี้ ก็มาดูว่ามันจะประสานกันออกสู่ปฏิบัติการได้อย่างไร ก็

๑. ทาน การให้ นั่นแหละ เป็นข้อเริ่มต้น


หนึ่ง ทานด้วยเมตตา คือ ตามปกตินี่เอง เรามีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนมีทุกข์อะไร ลูกก็ไม่ได้เป็นทุกข์อะไร หรือเพื่อนก็ไม่ได้เป็นทุกข์อะไร แต่บางครั้ง เราก็ให้ด้วยความรัก ด้วยปรารถนาดี ด้วยไมตรีจิต ให้ของเล็กๆน้อยๆ แสดงน้ำใจ อย่างนี้ก็เรียกว่า ให้ทานด้วยเมตตา นี่คือเมตตามาออกที่ทานแล้ว


สอง ทานด้วยกรุณา คือ ยามที่คนประสบภัยอันตราย เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม อัคคีภัย หรือเกิดอุบัติภัยอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ แล้วคนเดือดร้อน ตอนนี้ ทานที่ให้การช่วยเหลือทั้งหลาย จะเป็นเงินทอง ของใช้อะไรต่างๆ ก็เป็นการให้ด้วยกรุณา แสดงว่ากรุณามาออกที่ทานด้วย


สาม ทานด้วยมุทิตา คือ บางทีบางคนได้ทำสิ่งที่ดีงาม ทำการสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ประสบความสำเร็จในการกระทำนั้น เราก็ดีใจด้วย แล้วก็ส่งเสริมสนับสนุนด้วยทาน ถ้าเขาขาดเงิน เราก็เอาเงินไปช่วย ส่งเสริมอุดหนุนให้เขามีกำลังทำการสร้างสรรค์ที่ดีนั้นต่อไปได้ หรือยิ่งขึ้นไป นี่ก็ ให้ทานด้วยมุทิตา


นี่ก็รับกันแล้ว พรหมวิหารในใจ ออกสู่ปฏิบัติการข้อที่หนึ่ง เรียกว่า ทาน


๒. ปิยวาจา วาจาเป็นที่รัก ในข้อหนึ่งที่ผ่านมาแล้ว เมตตา กรุณา มุทิตา แสดงออกที่พฤติกรรมในการให้ ในข้อที่สองนี้ เมตตา กรุณา มุทิตา นั่นแหละ ก็มาแสดงออกที่พฤติกรรมในการพูดจา เรียกว่า ปิยวาจา คือ พูดดี พูดน่ารัก พูดคำสุภาพอ่อนโยน พูดด้วยน้ำใจรัก หรือพูดจามีน้ำใจ นั่นเอง แยกเป็น

หนึ่ง ปิยวาจาด้วยเมตตา คือ ในยามปกติ ก็พูดจาอย่างเป็นมิตร มีน้ำใจไมตรี พูดคำสุภาพไพเราะ มีวาจาน่ารัก ตั้งแต่พูดกับลูก กับ พ่อแม่ พี่น้องในครอบครัว เป็นต้นไป แล้วก็เพื่อน ญาติมิตร และทุกคนในสังคม

สอง ปิยวาจาด้วยกรุณา คือ ยามเขาทุกข์มีความเดือดร้อน ก็พูดจาปลอบโยน ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ ช่วยให้คำปรึกษาในการแก้ปัญหา ก็เป็นวาจามีน้ำใจด้วยกรุณา

สาม ปิยวาจาด้วยมุทิตา คือ ยามเขาทำดีงามประสบความสำเร็จ ก็มุทิตาด้วยคำพูด ไปแสดงความยินดีด้วย พูดสนับสนุน อาจจะบอกกล่าวแก่ผู้คนทั้งหลาย เพื่อช่วยส่งเสริมยิ่งๆขึ้นไป เป็นวาจาส่งเสริม ปิยวาจาก็ทำได้ทั้งด้วย เมตตา กรุณา และมุทิตา


๓. อัตถจริยา บำเพ็ญประโยชน์ การแสดงออกของ เมตตา กรุณา มุทิตา ทางที่สาม ก็มาออกที่เรี่ยวแรงกำลังความสามารถต่างๆ ที่จะเอามาใช้ในการเกื้อกูลกัน และช่วยเหลือสังคมด้วย คือ

หนึ่ง อัตถจริยาด้วยเมตตา คือใน ยามปกติ เราก็มีเรี่ยวแรงกำลังมีกิจหน้าที่ที่ต้องทำกันทุกคน ก็แค่แสดงน้ำใจต่อกัน เช่น เขามาหา เราก็ต้อนรับด้วยไมตรี เอาเก้าอี้มาให้นั่ง เอาน้ำมาให้ เป็นต้น

สอง อัตถจริยาด้วยกรุณา คือ ในยามเขาทุกข์ยากเดือดร้อน เช่น เขาตกน้ำ เรามีกำลังดีว่ายน้ำแข็ง เราก็กระโดดลงไปช่วย หรือไปช่วยพาคนที่ติดในไฟไหม้ออกมา เป็นต้น


สาม อัตถจริยาด้วยมุทิตา คือ ในยามที่เขาทำความดีกัน เราก็ไปช่วยไปร่วมทำประโยชน์ด้วยเรี่ยวแรงกำลังความถนัดความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างสมัยก่อน เวลาวัดมีงาน ญาติโยมก็มาช่วยกันจัดเตรียมงาน มาสร้างโรง สร้างเต็นท์ จัดบริเวณพิธี ถึงสงกรานต์ก็ขนทรายเข้าวัด ฯลฯ รวมความว่า คนเขาทำความดีงามทำประโยชน์ มีกิจกรรมส่งเสริมอะไร เราก็เอาเรียวแรงกำลังของเราไปช่วย จะเป็นกำลังกาย เรี่ยวแรงปัญญา เรี่ยวแรงความสามารถอะไรมี ก็เอามาช่วยกัน



รวมทั้งหมดที่ว่า ทานด้วยเมตตา ด้วยกรุณา ด้วยมุทิตา ปิยวาจาด้วยเมตตา ด้วยกรุณา ด้วยมุทิตา อัตถจริยาด้วยเมตตา ด้วยกรุณา ด้วยมุทิตา คือ ๓ x ๓ รวมเป็น ๙ สถานการณ์



เสร็จแล้วก็คุมท้ายอีกที ที่ผ่านมาในชุดพรหมวิหารนั้นคุมท้ายด้วยอุเบกขา คราวนี้ ในชุดสี่ของภาคปฏิบัติการ ที่คู่กับพรหมวิหาร ก็มีตัวคุมท้าย เป็นข้อที่ ๔ คือ

๔. สมานัตตตา มีตนเสมอสมาน ข้อสมานัตตตานี้ แปลตรงๆว่า ความมีตนเสมอ สมัยนี้เรียกว่า ความเสมอภาค คือมีตนเสมอเท่าเทียมกัน ข้อนี้เป็นที่รวม แต่เน้นการแสดงออกของอุเบกขา มุ่งหมายเป็นธรรม


สมานตัตตา คือ ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเสมอภาคต่อทุกคนนี้ มีความต่างจากสามข้อแรกที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นว่า ในสามข้อแรกนั้น ยังเป็นการกระทำต่อกันก็ได้ เช่น ทาน เราอาจจะไปจากที่หนึ่ง เขาอยู่ที่อื่น เราก็ไปให้ ก็เป็นการกระทำต่อกัน ปิยวาจา ก็ไปพูดต่อกัน อัตถจริยา ก็ไปช่วยเหลือ ไปให้กำลังใจเขา
แต่พอถึงสมานตัตตานี้ ก็เข้าร่วม หรืออยู่ร่วมด้วย เข้าถึงกัน เข้าคลุกเลย เป็นตัวที่ช่วยให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าจะทำให้สังคมเกิดความสามัคคี มีเอกภาพ


ที่ว่ามีตนเสมอนี้ เสมออย่างไรบ้าง เอาง่ายๆ ก็ไม่ดูถูกดูหมิ่นกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หรือไม่เลือกที่รักไม่ผลักที่ชัง ก็มีความเป็นธรรม นี่คือ หลักความยุติธรรม มีตนเสมอเหมือนกัน เสมอต่อทุกคน เป็นตัวรักษาความเป็นธรรม

อุเบกขาก็มาบรรจบกันตรงนี้ กับสมานัตตตา ตัวสุดท้ายในชุดแรก กับตัวสุดท้ายในชุดที่สอง เป็นตัวดุลที่จะรักษาธรรม คุมหมดเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2018, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเสมอภาคที่แท้ มากับความเป็นธรรม ที่สร้างสามัคคี มิใช่มีไว้เพื่อให้แก่งแย่งความเป็นธรรม



ยังมีความหมายของสมานัตตตา อีกแง่หนึ่ง ซึ่งเป็นความหมายหลักเลย ท่านเน้นไว้โดยใช้คำบาลีว่า “สมานสุขทุกขตา” แปลว่า มีสุขทุกข์เสมอกัน หมายความว่า เธอสุข ฉันก็สุขด้วย เธอทุกข์ ฉันก็ไม่ทิ้ง ทั้งร่วมความสุขความเจริญ และร่วมเผชิญร่วมแก้ปัญหา หรือว่า ทุกข์ก็ทุกข์ด้วย สุข ก็สุขด้วย ภาษาไทยเรียกว่า “ร่วมสุขร่วมทุกข์” แง่นี้เป็นลักษณะสำคัญของสมานัตตตา ที่จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยดี เมื่อเราอยู่ร่วมสังคมเดียวกับเขา ก็ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน โดยมีความหมายครบมาทุกแง่ตั้งแต่ตามข้อแรก ความเสมอภาคจึงจะสมบูรณ์

แล้วก็ไม่ใช่เสมอภาคกันเฉยๆ ยังช่วยเหลือดูแลกันด้วย ทาน ปิยวาจา และอัตถจริยา ครบทุกด้าน ทุกสถานการณ์

แล้วก็ไม่ใช่มีเพียงแค่การแสดงออกภายนอก แต่การแสดงออกนั้นมาจากใจจริง โดยมีคุณธรรมในใจเป็นฐานที่มาอีกด้วย ทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

เวลานี้ แม้แต่ความเสมอภาค ก็ตรงข้ามกับความเสมอภาคที่พระสอน คือไม่เป็นความเสมอภาคเชิงสมาน แต่เป็นความเสมอภาคที่เน้นในด้านเศรษฐกิจ ที่ทำให้ใจโน้มไปในทางแก่งแย่ง แบ่งแยก ที่คอยเพ่งคอยจ้องกันว่า เอ๊ะ....ฉันได้เท่าเธอหรือเปล่า พวกนั้น ตาคนโน้นได้ ๕๐๐ แล้วเราละ ได้ ๕๐๐ หรือเปล่า จะเห็นชัดว่า ความเสมอภาคของคนปัจจุบัน มักมองกันที่เรื่องลาภผลเงินทองและประโยชน์ส่วนตัว แล้วก็โน้มไปทางแบ่งแยก และแก่งแย่ง ขอให้สังเกตดูเถิด สังคมปัจจุบันเป็นอย่างนั้นจริงไหม ถ้าจริง ก็แน่นอนว่าจะขาดสามัคคี และยุ่งไม่หยุด

ส่วนความเสมอภาคของพระนี่ เน้นในแง่ สมาน ขอให้แยกศัพท์ดูเถิด “สมานัตตตา” ก็คือ สมานอัตตา มาจาก สมาน+อัตตา+ตา (ตา = ภาวะ, อัตต = อัตตา คือ ตน) แปลว่า ความมีตนที่สมาน คือ เสมอ


ในภาษาบาลี “สมาน” แปลว่า เสมอ น่าแปลกที่คำว่า สมาน ที่หมายความว่าเสมอนี้ เมื่อเข้ามาสู่ภาษาไทยแล้ว ได้มีความหมายค่อนข้างจะเปลี่ยนไป กลายเป็นเชื่อม ประสาน เข้ากันสนิท (พจนานุกรมไทยถึงกับถือว่า สมาน ของไทย กับ สมาน ของบาลี เป็นต่างคำกัน) ซึ่งก็มองเห็นความสืบเนื่อง เพราะว่า “สมาน” คือ เสมอ ในภาษาบาลีนั้น ชัดอยู่แล้วว่า เน้นแง่ประสาน ดังในคำว่า “สมานสุขทุกขตา” ที่ว่ามีสุขและทุกข์เสมอกัน หรือเสมอกันในสุขและทุกข์ ก็คือร่วมสุขร่วมทุกข์ ไปๆ มาๆ “สมาน” ของบาลี เลยแปลว่า “เท่า, เท่ากัน” ก็ได้ “ร่วม, ร่วมกัน” ก็ได้


ของพระ มีสุขทุกข์ “เท่ากัน” คือ ร่วมกัน แต่ของไทยปัจจุบัน จะเอาเงิน “เท่ากัน” คือ แย่งกัน

นี่แหละ ความเสมอภาคที่แท้ ต้องเป็นอย่างที่พระสอน คือ เป็นสมานัตตตา ที่มีตนเสมอสมาน เท่ากัน คือร่วมกัน สังคมจึงจะอยู่ได้
เวลานี้ สังคมของเราจะเอาแต่เสมอแบบแย่งกัน คอยเพ่งจ้องกัน จะแก่งแย่ง จะแบ่งแยก ก็เลยกลายเป็นว่า ความเสมอภาคที่เป็นหลักการใหญ่อย่างหนึ่งของประชาธิปไตย กลายมาเป็นเหตุให้คนแบ่งแยกแตกกัน แทนที่จะทำให้เกิดความสามัคคี เพราะฉะนั้น จึงต้องบอกว่าผิดหมดแล้ว สังคมเดินทางผิดพลาด ความเสมอภาคหรือสมภาพถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด


ที่จริงนั้น หลักการของประชาธิปไตยเองแต่เดิมของเขา คือของพวกต้นคิดในเมืองฝรั่ง ตั้งแต่ปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ.1789) ก็เป็นชุดที่ต้องบูรณาการ และหลักของเขาก็ถูกต้อง ดูสอดคล้องกันดี


หลักการประชาธิปไตยที่ฝรั่งวางไว้ ซึ่งต้องให้ครบชุดของเขา มีอะไรบ้าง ว่าไปตามที่เขาใช้ในภาษาอังกฤษ ก็มี Equality (ความเสมอภาค หรือสมภาพ) Liberty (เสรีภาพ) แล้วอีกตัวหนึ่ง คือ Fraternity (ภราดรภาพ)


Fraternity ที่แปลว่า ภราดรภาพ คือความเป็นพี่เป็นน้องกันนี้ เป็นข้อที่ ๓ อยู่ในชุดหลักการของประชาธิปไตย ๓ ประการ มาแต่เดิม
แต่เวลานี้ สังคมประชาธิปไตยบ้านเราเหมือนกับว่าจะเหลือหลักการแค่ ๒ ข้อ คือ หนึ่ง เสรีภาพ สอง ความเสมอภาค


ข้อ Liberty นี้เน้นกันเหลือเกิน บอกว่าต้องมีเสรีภาพ แต่ความหมายที่แท้ว่าอย่างไร ไม่ค่อยสนใจที่จะรู้ ได้แต่นึกเอาตามที่ชอบใจ จนกลายเป็นทำนองว่า เสรีภาพคืออะไร ? อ๋อ...ทำได้ตามใจคือไทยแท้ เสรีภาพก็คือเอาได้ตามชอบใจ แล้วก็อ้างกันนัก ชักเย่อกันอยู่ที่สิทธิกับเสรีภาพ


Equality ความเสมอภาค ก็มุ่งเพื่อจะมาแก่งแย่งกันในทางเศรษฐกิจ ว่าเราได้เท่าเขาไหม


ส่วน Fraternity ภราดรภาพ คือความเป็นพี่เป็นน้อง หายไปเลย แทบไม่พูดถึงกันแล้ว นี่แหละประชาธิปไตยบ้านเรา แค่หลักการใหญ่ ๓ ข้อ ก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ บูรณาการไม่ได้ ก็แยกส่วนกันไป


ที่จริงนั้น หลักการใหญ่ ๓ ข้อ ของเขา ก็เข้ากันดีกับหลักพุทธศาสนา แต่ของพระพุทธศาสนา ท่านเน้นตัวสมานัตตตา เอาความเสมอภาคเป็นจุดรวม และเป็นตัวดุลที่คุมได้ทั้งหมด แต่อย่างที่ว่าแล้ว มันเป็นความเสมอภาคแบบสมานอย่างที่ได้พูดมา แล้วยังลงลึกเข้าไปในจิตใจ โดยมีอุเบกขามาเป็นฐานของสมานัตตตา ทำให้มีความเท่าเทียมกัน และมีความเป็นธรรม ในภาวะแห่งสามัคคี แล้วสังคมก็จะเข้มแข็งมั่นคงมีเอกภาพแท้จริง

หลัก ๔ ประการ ที่เป็นภาคปฏิบัติของพรหมวิหาร ๔ นั้น มีชื่อรวมว่า สังคหวัตถุ คือหลักการสังเคราะห์ หรือสงเคราะห์ ซึ่งแปลว่า จับมารวมกัน คือ มาจากคำว่า “สังคหะ” (สัง = รวมเข้าด้วยกัน + คะหะ = ถือ, จับ) แปลว่า จับมารวมเข้าด้วยกัน จับอะไร?

ก็จับใจคนมารวมกัน หรือจับตัวคนมารวมกัน เพื่อทำให้สังคมอยู่ได้ คือ ทำให้สังคมรวมกันได้ มั่นคง เป็นปึกแผ่น มีความสามัคคี เกิดมีเอกภาพ จึงเรียกว่า สังคหวัตถุ ก็คือหลักยึดเหนี่ยวสังคมนั่นเอง


ก็เป็นอันว่า ชุด พรหมวิหาร ๔ กับ สังคหวัตถุ ๔ นี้ ต่อเนื่องกัน ออกจากใจ สู่ปฏิบัติการในสังคม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้างใน มีใจเที่ยงตรงต่อธรรม ข้างนอก มีความเป็นธรรมเสมอกันต่อทุกคน


ทีนี้ กลับมาสู่ตัวสรุปคุมท้ายอีกทีที่ว่า ถ้าไม่มีความเป็นธรรมเสียอย่างเดียว แม้แต่มีเมตตามากมาย มันก็กลายเป็นความลำเอียง ก็เสียเลย รักษาสังคมไว้ไม่ได้ เมตตา เป็นต้น จึงไม่ใช่เป็นหลักประกันเพียงพอที่จะธำรงสังคมไว้ได้ อุเบกขา จึงเป็นหลักสำคัญที่สุด แต่อุเบกขาที่ว่านั้น หมายถึง อุเบกขาที่มากับปัญญา อย่างที่ว่าต้องครบชุด

เป็นอันว่า ต้องมีทั้ง ๔ ข้อ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็มาออกสู่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติการ ด้วย ทาน การให้วัตถุสิ่งของ เงินทองเป็นต้น แล้วก็
ปิยวาจา ช่วยด้วยถ้อยคำที่มีน้ำใจ ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ พูดส่งเสริม
อัตถจริยา ช่วยเหลือบำเพ็ญประโยชน์ด้วยเรี่ยวแรงกำลังร่างกาย กำลังสติปัญญา กำลังความรู้ กำลังความสามารถปฏิบัติจัดการให้สำเร็จ แล้วก็
สมานัตตตา ความมีตนเสมอสมาน โดยมีความเสมอภาคที่ตั้งธรรมเป็นมาตรฐาน ให้โยงยันอยู่กับธรรม คือ ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม ประสานสอดคล้องกับด้านจิตใจ ซึ่งลงตัวกับธรรม ที่อุเบกขา อันเกิดขึ้นมาจากปัญญาที่เข้าถึงธรรม แล้วอุเบกขานั้นก็ออกมาสู่ปฏิบัติการในสังคม เป็นสมานัตตตา

ด้วยสมานัตตตานี้ ผู้พิพากษาก็มีความเสมอภาค มีตนเสมอเท่าเทียมกัน ทั้งต่อโจทก์ ทั้งต่อจำเลย ไม่ลำเอียง แล้วก็เอาธรรม เอาความจริง เอาความถูกต้อง ที่ปัญญารู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เป็นตัวตัดสิน

แต่ทั้งนี้ ธรรมที่จะออกมาสู่ปฏิบัติการในการชี้ขาดตัดสินนั้น จะจริงแท้เท่าไร ก็ได้เท่าที่ปัญญารู้ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ต้องแน่ชัดจริงๆ เป็นระบบสัมพันธ์ที่โยงกันไปหมด ซึ่งในที่สุดก็ขึ้นต่อปัญญาที่จะมานำทางชี้ช่องให้แก่เจตนา

เพราะฉะนั้น จึงต้องพัฒนาปัญญาอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงให้ ไม่ประมาทในการศึกษา ก็เพื่อจะได้มั่นใจที่สุดว่าปัญญาจะนำเข้าถึงความจริง ความถูกต้อง คือ ถึงธรรมแน่แท้ และในที่สุดก็มาถึงจุดที่ว่าเจตนา จะมาประสานกับปัญญา เพื่อเลือกที่จะชี้ขาดตัดสินอย่างใสสะอาด ตามที่ปัญญาอันใสสะอาดบอกให้นั้นอีกที

เมื่ออุเบกขามากำกับเจตนา ก็ตั้งใจเป็นกลาง ไม่เอียงข้าง ไม่ตกเป็นฝ่าย แต่อยู่กับธรรม และมุ่งสู่ความเป็นธรรม หรือมุ่งที่จะรักษาธรรม ได้แค่นี้ ก็พอที่จะมั่นใจได้แล้วว่า การพิจารณาวินิจฉัยจะเป็นไปอย่างถูกต้องชอบธรรม หรือเที่ยงธรรม แต่กระนั้น ท่านก็ยังให้หลักที่จะเสริมสำทับเจตนาให้แน่นแฟ้นขึ้นอีก โดยเพิ่มตัวกันเอียงกันเฉเข้ามากำกับเจตนาเพิ่มอีกขั้นหนึ่ง

ตัวกำกับเจตนาที่เข้ามาเสริม เป็นตัวกันให้มั่นอีกชั้นหนึ่งนี้ ได้แก่ การรักษาเจตนาไม่ให้ตกไปในอคติ (ฐานะอันไม่พึงถึง ทางความประพฤติที่ผิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอียง) ๔ ประการ คือ

๑. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก
๒. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
๓. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา
๔. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เด้ง 7 ตำรวจนครบาล สอบยัดไอซ์ รีดเงินพ่อค้าส้มตำ

ผบก.น.1 มีคำสั่งย้าย 3 ตำรวจสัญญาบัตร-4 ประทวน เข้าปฏิบัติหน้าที่ ศปก.บก.น.1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม หลังถูกร้องเรียนจากพ่อค้าส้มตำปากซอยพระราม 6 ว่าร่วมกันยัดไอซ์ให้ลูกสาว ก่อนจับพ่อไปแทนแล้วเรียกเงิน 5 หมื่นบาทแลกปล่อยตัว

https://mgronline.com/crime/detail/9610000091062

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/670 ... ?s=759x960

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีชัย เผย มีกฎหมายมาก ไม่ได้ทำสังคมสงบ รับวันหนึ่งสำนึกบาป เคย ‘มันมือ’ ทำออกมามหาศาล สุดท้ายไปตกอยู่ในมือคนมีอำนาจ

@ เมื่อ วันที่ 18 ก.ค. ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนิติศาสตร์ ร่วมกับคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย จัดสัมมนาเรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ
โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และประธานกรรมการพัฒนากฎหมาย บรรยายพิเศษตอนหนึ่ง ว่า ภูมิหลังมาตรานี้ เกิดจากมองเห็นอันตรายของการมีกฎหมาย เดิมคิดว่า มันดี ทำให้สังคมยึดถือปฏิบัติเดินไปในทางเดียวกัน สร้างระบบระเบียบให้ประชาชนทำตาม ประเทศไทยมีกฎหมายกว่า 2,000 ฉบับ
แต่ถามว่าสงบสันติเรียบร้อยหรือไม่ คำตอบคือไม่ นับวันยิ่งแย่ขึ้น ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็น้อยลง ที่อันตราย คือ มันสร้างอำนาจให้เจ้าหน้าที่ ผลงานดีเด่นของสภาในการออกกฎหมายเยอะๆ ถูกต้องหรือไม่ จึงเป็นสิ่งเหล่านี้ต้องทบทวน

https://www.khaosod.co.th/politics/news_1353532

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีธรรมที่กำกับให้ทำหน้าที่เที่ยงตรงก็ดียิ่ง แต่มีธรรมที่ทำให้เข้มแข็งและเป็นสุขในการทำหน้าที่ด้วย จะดีเยี่ยม


เมื่อมีอุเบกขายืนเป็นหลัก และมีความไม่ยอมต่ออคติทั้ง ๔ มาช่วยกำกับ ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับด้านเจตนา ที่จะออกไปทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุด แต่กระนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างแห้งแล้ง แถมบางครั้งอาจจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี เช่น มีความเบื่อหน่ายท้อแท้ ขึ้นก็ได้

ดังนั้น นอกจากมีธรรมที่ช่วยในด้านการออกปฏิบัติหน้าที่แล้ว ก็ควรมีธรรมบางอย่างไว้บำรุงหล่อเลี้ยงในตัวของผู้ปฏิบัติหน้าที่นั้นเองด้วย เพื่อให้เกิดมีกำลังความเข้มแข็งความแกล้วกล้าสามารถ และความสุขสดชื่นเบิกบานใจในการทำหน้าที่ ซึ่งในที่นี้ ขอพูดสักชุดหนึ่ง

ธรรมชุดนี้ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ไม่เพียงหล่อเลี้ยงด้านเจตนาเท่านั้น แต่ส่งผลต่อเนื่องไปช่วยในการพัฒนาของปัญญาด้วย


ข้อแรก คือ ศรัทธา ผู้พิพากษาต้องมีความเชื่อมั่นในหลักการแห่งความยุติธรรม เห็นตระเหนักในคุณค่าและความสำคัญของความเป็นธรรม ตั้งต่อชีวิตและสังคม มีความซาบซึ้งเลื่อมใสในกระบวนการยุติธรรม เชื่อมั่นว่าชีวิต แลสังคมจะดีและจะดำรงอยู่ได้ จำเป็นต้องรักษาธรรมไว้ให้ชัดเจนมั่นคง และมีความปรารถนาอย่างจริงจังหรือแรงกล้าที่จะทำให้ความถูกต้องชอบธรรมปรากฏเป็นจริงขึ้นให้จงได้


ถ้าผู้พิพากษามีศรัทธานี้แล้ว นอกจากจะมีกำลังความเข้มแข็ง เอาจริงเอาจังในการทำหน้าที่ให้สำเร็จผลบรรลุจุดหมายของกระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็จะมีความสุขสดชื่นเบิกบานด้วย และมิใช่จะสุขในการทำงานเท่านั้น แต่จะมีความสุขในการดำเนินชีวิตของตุลาการด้วย


อีกทั้งเมื่อมีความเลื่อมใสใจมุ่งที่จะให้ถึงจุดหมายนั้น ก็จะทำให้เจตนามาสนองในการตั้งใจไตร่ตรองพิจารณาศึกษาเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องซึ่งจะช่วยให้ก้าวไปสู่จุดหมายนั้น จึงทำให้ปัญญาพัฒนาเพิ่มพูนสมบูรณ์ขึ้นด้วย

ข้อที่ ๒ มีความเพียรพยายาม ที่ทางพระเรียกว่า วิริยะ เมื่อมีศรัทธาเป็นแรงส่งให้มุ่งสู่จุดหมายแล้ว เกิดความเข้มแข็งมีกำลังขึ้นมาก็เพียรพยายามทำการให้ก้าวหน้าไป ไม่ระย่อท้อถอย ศรัทธาเป็นตัวกระตุ้นให้เพียรพยายาม และเมื่อเพียรพยายามก้าวหน้าไป เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของสิ่งที่ทำ ศรัทธาก็ยิ่งเข้มแข็งแรงกล้ามากขึ้น ศรัทธา กับ ความเพียรพยายามก็หนุน ซึ่งกันและกัน


ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ต้องมีสติ ไว้คอยตรวจตราและควบคุมให้พอดี ให้อยู่กับหลัก ให้อยู่ในทาง ให้ไม่พลาด ให้ไม่ถลำล้ำเลย แม้แต่ศรัทธา และความเพียร ที่ว่าดียิ่งนั้น ถ้าแรงนัก ไม่รู้จักใช้สติคุม ก็อาจจะทำให้ด่วนสรุปบ้าง เร่งรัดเกินไป หรือแม้แต่ผลีผลามพรวดพราด พลุ่งพล่าน ขาดความรอบคอบ จึงต้องมีสติไว้ตรวจ และคุมโยตลอด


สติ ที่คุม ดึงจิต ไว้ได้นั้น ก็จะโยงจิตไปสู่ข้อที่ ๔ คือ สมาธิ ซึ่งทำให้จิตอยู่ตัว และสมาธินี้จะดุลความเพียรไว้ ไม่ให้เอาแต่แรงก้าวไปๆ จนบางทีว้าวุ่นพลุ่งพล่าน แต่ให้ทำการด้วยจิตใจที่สงบ และหนักแน่นมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก เรียกว่าก้าวไปอย่างเรียบสงบหนักแน่น


การทำงานของ ๔ ข้อที่ว่ามานั้น จะเป็นไปด้วยดี ต้องอาศัยปัญญาทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อ ๔ ข้อนั้นมา ก็เรียกร้องให้ปัญญาต้องมาทำงานด้วย เช่นว่า ที่จะก้าวไปนั้น จะไปได้อย่างไร จะใช้วิธีการใด เมื่อก้าวไปขั้นนั้นแล้ว จะต้องต่อต้องผ่านไปขั้นไหนต่อไป ตั้งต้นแต่มาพิสูจน์ความเชื่อของศรัทธา ตลอดจนถึงบอกว่าจุดหมายที่มุ่งไปจะสำเร็จได้อย่างไร


เมื่อเป็นอย่างนี้ ๔ ข้อแรกก็ช่วยให้ปัญญาพัฒนาตัวมันเองด้วย โดยเฉพาะสมาธิ คือ ภาวะจิตที่ใส สงบ อยู่ตัว ไม่มีอะไรรบกวนนั้น เอื้อต่อการเกิดขึ้น การทำงาน การเจริญงอกงามของปัญญา และการใช้ปัญญาอย่างเต็มประสิทธิภาพของมัน


คุณสมบัติ ๕ ข้อ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา นี้ มีชื่อว่าเป็นพละ ๕ คือเป็นกำลัง ทำให้เข้มแข็งยืนหยัดอยู่ได้ในการกิจโดยไม่ย่นระย่อห่อเหี่ยว และเรียกว่าเป็นอินทรีย์ ๕ คือ เป็นตัวทำการให้เกิดสมรรถภาพที่จะปฏิบัติงานได้บรรลุผลสำเร็จ


ขอย้ำว่า ด้านหนึ่ง ผู้พิพากษามีอุเบกขาพร้อมด้วยความเว้นอคติมากำกับเจตนา ให้ออกปฏิบัติการทำหน้าที่ถูกต้องเที่ยงตรง และอีกด้านหนึ่ง ผู้พิพากษามีพละ ๕ ที่เป็นอินทรีย์ด้วยนี้ ไว้บำรุงหล่อเลี้ยงตัวให้มีกำลังเข้มแข็งมีสมรรถภาพและมีความสุข ทั้งในการทำหน้าที่และในการดำรงอยู่ในสถานะของตนที่เป็นตุลาการนั้น

รวมความว่า ธรรมะสำหรับผู้พิพากษา ก็คือธรรมะอันเดียวกับที่รักษาชีวิต และสังคมมนุษย์ที่ต้องใช้สำหรับทุกคนนั่นเอง แต่ผู้พิพากษาเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ เพราะถือว่า ผู้พิพากษาเป็นตุลา คือเป็นตราชูของสังคม


ในการที่จะรักษาสังคมไว้นั้น ท่านผู้พิพากษาเป็นแบบอย่างในขั้นปฏิบัติการเลยทีเดียวว่า เราจะต้องรักษาสังคมให้อยู่ดี มีความสุขความเจริญ โดยเฉพาะมีความมั่นคงอยู่ได้ ด้วยความเป็นธรรมะ ที่ตั้งอยู่บนฐานของจิตใจ ที่มีพรหมวิหาร ๔ ประการ อันมีอุเบกขาลงไปอยู่ในธรรม ที่ปัญญาบอกให้ แล้วก็ออกสู่ปฏิบัติการด้วยสมานัตตตา ซึ่งเป็นที่แสดงออกของอุเบกขา แล้วก็มั่นใจแน่ว่าแนบสนิทอยู่กับธรรม


ตอนนี้ จะต้องมีสติมาช่วยด้วย เพื่อเตือนให้ตระหนักอยู่เสมอ ที่จะให้ปัญญาทำงานเต็มที่ ให้เจตนาต้องใสสะอาดดีแน่นอน สติจะคอยเตือนให้เราไม่เผลอไม่พลั้งพลาดว่า หนึ่ง เราใช้ปัญญาเต็มที่ ถามตัวเองว่า ปัญญาของเรารู้ความจริงถึงที่สุดไหม ถ้ายังไม่รู้ความจริงถึงที่สุด ยังไม่ชัด อย่าหยุดนะ สืบค้นหาความจริงจนถึงที่สุด และ สอง สติก็เตือนเจตนา ว่า เรามีเจตนาใสสะอาดดีแน่ไหม เจตนาของเราบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความปรารถนาดีต่อชีวิตมนุษย์ มีความปรารถนาดีต่อสังคมแน่นอนไหม เจตนาต้องการรักษาธรรมไว้อย่างแน่นอนไหม


สติเตือนทั้งปัญญาและเจตนา ให้เคลื่อนไปในทางที่จะพัฒนาให้เต็มที่ ให้สมบูรณ์ที่สุด แล้วการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาก็จะเป็นแบบอย่าง สมเป็นตุลาการอย่างแน่นอน


ก็เป็นอันว่า ธรรมทุกอย่างนั่นแหละ จำเป็นสำหรับผู้พิพากษาในฐานะที่ท่านเป็นตุลา คือเป็นตราชูของสังคม เป็นแบบอย่างในการรักษาธรรมไว้ให้แก่สังคม


พูดถึงผู้พิพากษา ก็โยงมาที่ตุลาการ แล้วก็ทำให้แยกศัพท์ออกไป ซึ่งมีคำหลักคือ “ตุลา” แล้วเลยต่อไป ก็มีคำแปลว่า “ตราชู” อันเป็นข้อที่น่าศึกษา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุกจับ อดีตนิติกรและเจ้าหน้าที่ศาล หลังโกงเงินกว่า 240 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวถามว่าแล้วในเครือข่ายมีผู้พิพากษาร่วมด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช. ทท. ได้เปิดเผยว่า มีผู้พิพากษาร่วมด้วย และอยู่ระหว่างดำเนินการรายงานคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เพื่อให้พิจารณารับทราบและให้ทางศาลดำเนินการกันต่อไป
คดีนี้เราจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ใครเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป ข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหน หากพบว่าเข้าไปมีส่วนพัวพันกับเครือข่ายนี้เราก็จะดำเนินการทั้งหมด ทุกรูปแบบ

รายงานข่าวแจ้งว่า ทางผู้พิพากษา ท่านหนึ่ง ที่อยู่ในเครือข่ายขบวนการพวกนี้ ได้มีการเจรจาตกลงกับผู้เสียหายว่า จะขอคืนเงินให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ แต่ในที่สุดก็ไม่ทำตามข้อตกลง ทางตำรวจจึงได้ทำหนังสือรายงานพฤติกรรมของผู้พิพากษาท่านนี้ไปยังคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เพื่อพิจารณาดำเนินการกันต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่จะได้มีการดำเนินกระบวนการตามกฎหมายต่อไป

https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/799212

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาชนบทสรุป

สี่ความหมายของ "ตุลาการ"

ย้อนกลับไปดู ความหมายคำว่า ตุลาการ ที่

viewtopic.php?f=1&t=56237

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วต่อคำถาม/ตอบท้ายเล่ม

ตอบคำถามท้ายเรื่อง

ถาม: ผู้พิพากษาตัดสินจำคุก หรือประหารชีวิตคน จะเป็นบาปหรือไม่ ?

ตอบ : เรื่องนี้พระให้แต่หลัก เรื่องการทำหน้าที่ของผู้พิพากษา นี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ขอเล่านิดหนึ่ง ท่านพูดถึงหลักการปกครอง และการรักษาความเป็นธรรม โยงมาถึงเรื่องของผู้พิพากษา ในหลักธรรมก็เหมือนกับมีตัวอย่างให้แนวทางไว้ แล้วเราก็มาพิจารณาเอาเอง

เรื่องนี้มาในพระสูตรหนึ่ง ซึ่งโคปกโมคคัลลานสูตร เป็นเหตุการณ์ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว วันหนึ่ง เสนาบดีของแคว้นมคธ ชื่อวัสสการพราหมณ์ ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยิน วัสสการพราหมณ์นี้สำคัญมาก เขามีผู้ร่วมงานคู่กันอีกคนหนึ่งชื่อว่าสุนียะ สองคนนี้เป็นเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอชาตศัตรู ตั้งแต่สมัยของพระราชบิดา คือพระเจ้าพิมพิสาร

เสนาบดี กำลังดูแลบ้านเมือง หลังจากพระเจ้าพิมพิสารสวรรคตไปแล้ว และพระพุทธเจ้าก็เสด็จปรินิพพานไปแล้ว วันหนึ่ง ท่านมหาอำมาตย์ หรือเสนาบดี ก็เดินตรวจราชการ และได้มาถึงที่พักของพระอานนท์ ท่านเข้าไปหาพระอานนท์ และเข้าไปสนทนา

ท่านเสนาบดีถามพระอานนท์ตอนหนึ่งว่า เวลานี้ พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตั้งใครไว้ให้เป็นผู้สืบต่อตำแหน่งของพระองค์ในการปกครองคณะสงฆ์ พระอานนท์ตอบว่า ไม่ได้ตั้งไว้

เสนาบดีนี้ เป็นนักปกครอง ได้ทำงานราชการแผ่นดินมาอย่างเชียวชาญ มาก กระทั่งว่าสามารถดำเนินการปราบแคว้นวัชชีได้ (มีเรื่องเล่าในสามัคคีเภทคำฉันท์) ท่านวัสสการพราหมณ์เสนาบดีก็บอกว่า มีอย่างที่ไหนล่ะ การปกครองหมู่คณะใหญ่โต ถ้าไม่มีผู้นำ ไม่มีหัวหน้าจะอยู่กันได้อย่างไร

พระอานนท์ก็ตอบว่า พวกเรามิใช่ไม่มีหัวหน้า แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้แต่งตั้งไว้

อ้าว...แล้วท่านทำอย่างไร พระอานนท์ก็ตอบว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักธรรมไว้ให้ว่า ผู้ใดประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้ ภิกษุทั้งหลายก็พึงนับถือผู้นั้น ให้เป็นผู้ใหญ่ เป็น หัวหน้า เป็นผู้นำ หลักธรรมนั้น ท่านเรียกว่า เถร ธรรม ๑๐ ประการ ก็เมื่อมีพระภิกษุที่มีคุณสมบัตินี้ ภิกษุทั้งหลาย คือสงฆ์ ก็ยกย่องท่านผู้นั้นขึ้นไปเป็นหัวหน้า เราจึงมีหัวหน้าด้วยประการฉะนี้ โดยไม่ต้องตั้ง นี่แหละจึงว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งใคร

ก็เป็นอันว่า พระอานนท์ตอบเสร็จแล้ว บอกว่าไม่ต้องตั้ง แต่มีหัวหน้า คือมีขึ้นโดยหลักการ เมื่อมีหลักการให้ไว้ ก็ว่าไปตามหลักการนั้น มันก็จึงเป็นไปเอง ตามหลักการนั้นแหละ

ทีนี้ ต่อไปนี้ เวลามีภิกษุทำความผิด แล้วจะดำเนินการ แก้ไข ก็ต้องตัดสินโทษ เมื่อจะลงโทษนั้น จะทำอย่างไร ในเรื่องนี้ ท่านก็บอกหลักการไว้ คือว่า หลักการมีอยู่ ได้แก่ธรรมวินัย ดังเช่นในพระวินัย ก็มีข้อบัญญัติว่า เมื่อภิกษุทำผิดข้อนี้ๆ ก็มีโทษอย่างนี้ๆ เมื่อภิกษุต้องอาบัตินี้ ให้ดำเนินการ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ๆ

เมื่อมีภิกษุทำความผิด สงฆ์ก็ประชุมกัน แล้วก็ยกเอาหลักการตามพระ ธรรมวินัยนี้ขึ้นมา หลักการนั้นว่าอย่างไร สงฆ์นั้นก็เพียงแต่ว่า เหมือนมาเป็นกระบอกเสียงให้แก่ตัวธรรมวินัย แล้วภิกษุนั้นก็ถูกตัดสิน โดยหลักธรรมวินัย ภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ ตัดสินเพียงแต่ยกเอาหลักขึ้นมาแสดงตามที่ท่านบัญญัติไว้ หลักการหรือ ตัวธรรมวินัยนั่นเอง เป็นผู้ตัดสิน

นี่ก็คือ ที่แท้นั้น ผู้พิพากษาไม่ได้ไปตัดสินใคร ถ้าปฏิบัติถูกนะ ถ้าใจเป็นกลางจริงๆ ก็ไม่มีตัวตนแล้ว คืออยู่ กับปัญญาที่รู้ความจริง ที่เป็นธรรมะ ที่เป็นหลักการ ที่เป็นกฎกติกานั้น เจตนาก็มุ่งจะรักษาความเป็นธรรม ก็เอาตัวหลักการ ที่วางไว้นั้น ยกขึ้นมาบอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็ว่าไป ตามนั้น ก็คือ ผู้พิพากษาไม่ได้มีตัวตนของตนเอง เพราะไม่มี เจตนาของตัวเอง แต่เจตนานั้นอยู่ที่ธรรม เจตนานั้นคือธรรม ฉะนั้น ธรรมะก็ตัดสิน เรียกว่า "ธรรมตัดสิน"

ในที่นั้น พระอานนท์ก็บอกว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ลงโทษ เขา ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ตัดสินเขา แต่ธรรมวินัยตัดสิน ธรรมวินัยเป็นผู้ลงโทษ ถ้าใช้ภาษาปัจจุบัน ก็ถือว่า พระภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น เป็นเหมือนกระบอกเสียงให้แก่ธรรมเท่านั้นเอง นี่จะเข้ากันได้ไหม เป็นเรื่องที่พระอานนท์เล่าไว้ ว่าไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงและบัญญัติไว้ในหลักธรรมวินัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม: สมมติว่าถ้าเป็นการตัดสินผิดพลาดไปล่ะ

ตอบ: นี่แหละ อย่างที่บอกในตอนต้น มีสองขั้นตอน ดังที่ว่า เราทำหน้าที่โดยไม่มีตัวตนของเรา ก็คือ เมื่อเราทำโดยเจตนาที่บริสุทธิ์ มันก็จะมีแต่ตัวหลักการ ตัวธรรมวินัย ตัวบท กฎหมาย ตัวบัญญัติเท่านั้น ส่วนเรานี้ ก็ทำหน้าที่ไปเราเป็นเพียงทางผ่านไป หรือเป็นสื่อให้เท่านั้นเอง คือถ้าทำได้ตามนี้ การบรรลุผลสำเร็จของผู้พิพากษา ก็คืออยู่ในภาวะที่ว่ามานี้

แต่ทำอย่างไรเราจะบรรลุภาวะนี้ได้ ก็อยู่ที่ว่า ปัญญา และเจตนาต้องสมบูรณ์ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ คือ ปัญญาก็รู้ความรู้ความจริงชัดเจนหลักการปฏิบัติการ ข้อมูลอะไรต่างๆ เหตุการณ์ คดีอย่างไร ชัดหมด แล้วก็เจตนาก็มุ่งเพื่อธรรมจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ไม่มีตัวตนแล้ว

แต่ทีนี้ ความสมบูรณ์ของปัญญาและเจตนาเป็นตัวกำหนดท่านจึงว่า นี่แหละต้องพยายาม ต้องเตือนตนด้วยสติว่า ปัญญาของเราเข้าใจถึงความจริงชัดเจนไหม ให้มั่นใจที่สุด และเจตนาต้องมั่นใจที่สุดว่า เราทำนี้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์จริงๆ ตั้งใจดีจริงๆ

ถ้าเรามั่นใจในสองอย่างนี้แล้ว ในที่สุด ได้เท่าไร ก็เท่านั้น และเมื่อตัดสินไปแล้ว ถ้าผิดพลาด ก็รู้ว่าผิดพลาด ท่านก็มี ธรรมะให้อีกว่าให้ไม่ประมาทในการศึกษาต่อไป หมายความว่า หลังจากนี้ไปเราไม่ปล่อยนะ ไม่ใช่ว่าเราจะหลงตัวเอง มัวเพลิดเพลินอยู่ แต่เราจะศึกษาฝึกฝนอีกถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรที่ทำให้ยังไม่สมบูรณ์ เราก็มาศึกษาปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในคราวต่อไป ก็มีแต่จะดียิ่งขึ้น ไม่ต้องไปเสียใจย้อนหลัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม: จะเป็นบาปติดตัวผู้พิพากษาไปไหม ที่ตัดสินผิดพลาดไป ?

ตอบ: เจตนาเป็นตัวตัดสินกรรม เพราะตอนที่เราจะตัดสินนั้น เราบอกตัวเองแล้วนี่ คือ เราทำความมั่นใจก่อน เอาละ เราดูตัวเองว่า ด้านปัญญาเราก็มั่นใจ ด้านเจตนาเราก็มั่นใจ ในที่สุด เมื่อถึงเวลาปฏิบัติการ ได้เท่าไรก็เท่านั้น

เมื่อเรามีเจตนาบริสุทธิ์ดีแล้ว มันเป็นกรรมดี แต่มันยังมีข้อบกพร่อง เราก็ยอมรับความบกพร่องนั้น เพื่อการปรับปรุงแก้ไข ตอนนี้ ท่านเรียกว่า “ปฏิกรรม”


นี่แหละคำว่า ปฏิกรรมมาแล้ว เมืองไทยไม่เอาใจใส่เรื่องนี้ ไม่เอามาเรียน แต่ปฏิกรรมนั้นมีในหลักกรรม คือหลักปฏิกรรม หมายความว่า “กรรม” แล้วก็ “ปฏิกรรม” คือเราทำกรรมลงไป ถ้ามันเกิดความผิดพลาด ไม่สมบูรณ์ ท่านให้ปฏิกรรมคือแก้ไข เพื่อให้การกระทำครั้งต่อไป มันดียิ่งขึ้น หรือจะสมบูรณ์ต่อไป เพราะฉะนั้น ก็มาสอดคล้องกับหลักที่เรียกว่า ความไม่ประมาท


คนที่จะปฏิกรรมได้ดี ก็ต้องไม่ประมาทในการศึกษา ซึ่งจะทำให้เราทำงานให้ดีขึ้น วงการก็ดีขึ้น วิชาการ เรื่องของสังคม ก็ดีขึ้นๆ ไม่เรื่อย ถ้าปฏิบัติตามหลักนี้แล้ว ไม่มีเสีย ไม่ต้องมัวมาเสียใจอยู่


สำหรับปุถุชนก็เป็นธรรมดา เสียใจได้บ้าง แต่โดยหลักการ ท่านไม่ให้มัวหวนละห้อยกับอดีต (อตีตํ นานุวาคเมยฺย) ถ้ามันผิดพลาด เราก็ตระหนักรู้ความผิดพลาดนั้น เพื่อเอามาแก้ไขปรับปรุง แต่ไม่ทิ้งนะ ถ้าทิ้ง ถ้าปล่อย เป็นการละเลย ท่านเรียกว่า ประมาท คือ เราเอาในแง่ความรู้ ส่วนด้านความรู้สึก ไม่ต้องไปติดค้าง คือ ถ้าเรามั่นใจแล้ว เราก็เอาด้านความรู้ว่ายังมีข้อบกพร่องผิดพลาดอะไร ความรู้นี้ต้องเอา แล้วความรู้นี้ จะเอามาใช้ในการปรับปรุงแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์ดียิ่งขึ้น ไม่มีปัญหา


หลักท่านมีอยู่แล้ว ว่าไม่หวนละห้อยความหลัง แล้วก็ถ้าจะเสียใจบ้าง ก็เป็นวิสัยของปุถุชน มันเป็นไปได้ เอามาเตือนตัวเองว่า เห็นไหม ขนาดว่าเราเตรียมเต็มที่แล้ว ยังมีพลาดได้ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ประมาท ต่อไปต้องรอบคอบยิ่งกว่านี้ ก็ยิ่งทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป


ก็ยอมรับว่าความเสียใจนี่ไม่ดี เป็นอกุศล ทำให้มีความทุกข์ แต่เมื่อมันเกิดมีขึ้นมาแล้ว ก็เอามันมาทำให้เป็นประโยชน์ เอาอกุศลนั้นมาทำให้เป็นประโยชน์ ท่านเรียกว่า เอาอกุศลมาเป็นปัจจัยแก่กุศล คือ เอามาทำให้มันเกิดผลดีต่อไป อย่าไปมัวเศร้ามัวทุกข์ จะยิ่งแย่ใหญ่

ถ้ามันมีทุกข์ ก็รู้ว่า เออ ไอ้ทุกข์นี่ก็ดี มันเตือนเรา ทำให้เรามีสติ จะเห็นว่าคนที่มีแต่สุขอยู่เสมอนี่ มันเพลิน มันหลงง่าย ก็เลยกลายเป็นประมาท ส่วนคนที่มีทุกนี่ จะทำให้ไม่ประมาท ทำให้เตือนตัวเอง ทำให้เกิดสติง่าย


มีตัวอย่างนอกเรื่อง พวกเทวดานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า แพ้เปรียบมนุษย์หลายอย่าง ข้อดีกว่ามนุษย์ไม่ต้องพูด ข้อที่เทวดาแพ้มนุษย์ ขอยกมาข้อหนึ่ง คือ สติด้อยกว่า เทวดานั้นท่านสบาย มีแต่ความสุข ก็เลยเพลิน สติจึงแพ้มนุษย์ ส่วนมนุษย์นี่มีทุกข์มีสุขระคนกันไป เจอปัญหามากกว่า แต่ทุกข์และปัญหานี่แหละมันเตือนให้คนไม่ประมาท ทำให้มีสติขึ้นมา เพราะฉะนั้น ทุกข์ก็มีดีอยู่ ไม่ใช่ไม่ดีเสียเลย


ทุกข์นี่ทำให้คนได้ดีมีสุขก็เยอะ คือมันเตือนเรา ทำให้เราไม่ประมาท เร่งแก้ไขปัญหา ดังนั้น ถ้าเกิดความไม่สบายใจ มีความขุ่นมัว เศร้าหมอง ก็เอามันมาใช้ประโยชน์ โดยเอามาเตือนตัวเราให้จับจุดได้ว่า มันมีจุดอ่อนข้อบกพร่องอะไร เราขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะอะไรแล้วอย่าให้มันเกิดขึ้นอย่างนี้อีก ก็แก้ไขไป ดีทั้งนั้น


ทีนี้ ก็ขอแถมหน่อย ที่พูดข้างต้นถึงหลักการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้แก่ธรรม ด้วยปัญญาที่รู้ชัดเจนและเจตนาที่สะอาดแท้โดยไม่มีตัวตนที่จะเอาอะไรเพื่อตัว หรือจะสนองความต้องการของตัวตนอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือธรรมตัดสินเขา ไม่ใช่เราตัดสิน นี่เป็นหลักการทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์

แต่กระนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เป็นธรรมดาที่คนเรานี้ เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ยังมีความยึดถือในตัวตนฝังลึกอยู่ ความยึดถือว่าตัวเรา ตัวเขายังมีอยู่ ดังนั้น แม้จะมุ่งทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ตามหลักการแท้ๆ แต่ความรู้สึกว่ากระทำต่อเราต่อเขา ก็ไม่ว่างโล่งไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ตามปกติก็จึงไม่พ้นเป็นการทำกรรมอยู่บ้าง แต่เมื่อปฏิบัติตามหลักการที่ว่านั้นเท่าที่ทำได้ กรรมที่ยังจะมี ก็เบาลงเยอะแยะ

แล้วยังมีอีกชั้นหนึ่ง คือ เมื่อทำกรรมที่เป็นบาปอันใดไปแล้ว ถ้าวางจิตใจไม่ถูก มัวครุ่นคิดขุนมัวเศร้าหมอง (ความสำนึกได้ กับการครุ่นคิดขุ่นข้อง เป็นคนละอย่าง ต่างกันมาก) นอกจากเป็นการเสริมซ้ำเติมบาปแล้ว ก็เป็นการกีดกั้นกุศลให้เสียโอกาสด้วย ท่านจึงไม่ให้มัวหวนละห้อยอดีต แต่ให้ทำตามหลักปฏิกรรม


ขอเล่าเรื่องประกอบไว้เป็นแง่พิจารณาหน่อยหนึ่ง คือ ท่านเล่าเรื่องไว้ว่า นายคนหนึ่ง ได้ตำแหน่งเป็นเพชฌฆาตฆ่าโจร และได้ทำหน้าที่นี้อยู่นานถึง ๕๕ ปี จนแก่ ทำไม่ไหว จึงพ้นหน้าที่ออกมา


ทีนี้ วันหนึ่ง พระสารีบุตรมาที่บ้าน และแสดงธรรมแก่เขา แต่เขามัวคิดไม่สบายใจกับการที่ได้ฆ่าคนมากมายนักหนา จิตก็เลยข้องอยู่นั่น ไม่สามารถตามรู้ตามเข้าใจธรรมที่ท่านแสดง พระสารีบุตรจะช่วยเขา ก็ถามว่า ที่เขาฆ่าคนนั้น เขาคิดจะฆ่าเอง หรือคนอื่นสั่งให้ฆ่า เขาก็ตอบว่า ทำตามคำสั่งของบ้านเมือง
พระสารีบุตรก็กล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นบาปของท่านได้อย่างไรหรือ


พอได้ยินคำนี้ เขาก็คิดเอาเองว่า เขาไม่บาป ทั้งที่ยังไม่ถูกแท้ในรายละเอียด แต่มันทำให้ใจของเขาหายติดข้อง ก็เลยตั้งใจฟังธรรมได้แน่วไป จนรู้เข้าใจธรรมสูงเกือบถึงขั้นโสดาบัน และตายแล้วก็ไปสวรรค์ขั้นสูงด้วย (ธ.อ.4/87) เรื่องนี้ น่าจะเป็นแง่คิดที่ตอบคำถามของหลายคน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร