วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 13:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สืบเนื่องจากกระทู้ซึ่งถกเถียงเรื่องอายตนะกันนี่

viewtopic.php?f=1&t=56415

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธพจน์เกี่ยวกับอายตนะ

@ "ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงแก่พวกเธอซึ่งสรรพสิ่ง จงฟังเถิด อะไรเล่าคือ สรรพสิ่ง ตา กับ รูป หู กับ เสียง จมูก กับ กลิ่น ลิ้น กับ รส กาย กับโผฏฐัพพะ ใจ กับ ธรรมารมณ์ นี้เราเรียกว่า สรรพสิ่ง" (สํ.สฬ.18/24/19)

- "พระองค์ผู้เจริญ เรียกกันว่า โลก โลก ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไร จึงมีโลก หรือบัญญัติว่าเป็นโลก"

"ดูกรสมิทธิ ที่ใดมีตา มีรูป มีจักขุวิญญาณ มีธรรมอันพึงรู้ด้วยจักขุวิญญาณ ที่นั่นก็มีโลก หรือบัญญัติว่าเป็นโลก ที่ใดมีหู...มีจมูก...มีลิ้น...มีกาย....มีใจ มีธรรมารมณ์ มีมโนวิญญาณ มีสิ่งอันพึงรู้ด้วยมโนวิญญาณ ที่นั่นก็มีโลกหรือบัญญัติว่าโลก" (สํ.สฬ.18/75/48)

@ "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่า ที่สุดแห่งโลก เป็นสิ่งที่รู้ได้ เห็นได้ ถึงได้ ด้วยการไป แต่เราก็ไม่กล่าวเช่นกันว่า บุคคลยังไม่ถึงที่สุดโลก จะทำความสิ้นทุกข์ได้

(พระอานนท์กล่าวว่า) "ข้อความที่พระตถาคตตรัสไว้โดยย่อ ยังมิได้แจกแจงเนื้อความโดยพิสดารนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจความโดยพิสดารดังนี้ บุคคลย่อมสำคัญหมายในโลกว่าเป็นโลก ถือโลกว่าเป็นโลกด้วยสิ่งใด สิ่งนั้น เรียกว่า "โลก" ในอริยวินัย"

"ด้วยอะไรเล่า คนจึงสำคัญหมายในโลกว่าเป็นโลก ถือโลกว่าเป็นโลก ? ด้วยตา...ด้วยหู ...ด้วยจมูก...ด้วยลิ้น...ด้วยกาย...ด้วยใจ คนจึงสำคัญหมายในโลกว่าเป็นโลก ถือโลกว่าเป็นโลก" (สํ.สฬ.18/171/119)

@ "ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงการเกิดขึ้นพร้อมและการดับแห่งโลก จงฟังเถิด

"การเกิดขึ้นพร้อมแห่งโลกเป็นไฉน? อาศัยตา และรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งสิ่งทั้ง ๓ นั้น คือ ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสก็มีพร้อม นี้คือการเกิดขึ้นพร้อมแห่งโลก"

"อาศัยหู...อาศัยจมูก...อาศัยลิ้น..อาศัยกาย...อาศัยใจและธรรมารมณ์ จึงเกิดมโนวิญญาณ ฯลฯ นี้คือ การเกิดขึ้นพร้อมแห่งโลก"

"ความดับแห่งโลกเป็นไฉน? อาศัยตา และรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งสิ่งทั้ง ๓ นั้น คือ ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหานั้นแหละสำรอกดับไปไม่เหลือ ความดับอุปาทานจึงมี เพราะดับอุปาทาน ความดับภพจึงมี เพราะดับภพ ความดับชาติจึงมี เพราะดับชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งหมด ย่อมมีได้อย่างนี้ นี้เรียกว่าความดับแห่งโลก"

"อาศัยหู...อาศัยจมูก...อาศัยลิ้น..อาศัยกาย...อาศัยใจและธรรมารมณ์ จึงเกิดมโนวิญญาณ ฯลฯ นี้คือการดับของโลก" (สํ.สฬ.18/156-7/108-9)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง * ข้างบน

* คำว่า พุทธพจน์ ในชื่อหัวข้อนี้ ให้รู้กันว่า หมายถึง พุทธาทิวจนะ (คำกล่าวของบัณฑิตทั้งหลาย มีพุทธพจน์เป็นประธาน คือ พระพุทธดำรัส พร้อมทั้งวจนะของพระมหาสาวก และเหล่าบัณฑิต ที่พ่วงมา) ในพระไตรปิฎก แต่ใช้คำนี้เพื่อให้หัวข้อเป็นคำสั้นและง่าย คำของพระสาวกเป็นต้น แยกต่างได้โดยมีนามกำกับ หรืออาคตสถานคือที่มาบ่งชี้ ในบทต่อๆไป ก็พึงทราบโดยนัยนี้

@ กามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

@ ในอริยวินัย เรียกกามคุณ ๕ ว่าเป็นโลก หรือโลกก็คือกามคุณ ๕ นั่นเอง ผู้ยังติดอยู่ในกามสุข ก็คือติดข้องอยู่ในโลก

ผู้ใดเข้าถึงฌาน จะเป็นรูปฌาน หรืออรูปฌานก็ตาม ท่านเรียกผู้นั้นว่า ได้มาถึงที่สุดของโลกแล้ว และอยู่ ณ ที่สุดแห่งโลก แต่ก็ยังเป็นผู้เนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตัวไม่พ้นจากโลก

ส่วนผู้ใด ก้าวล่วงอรูปฌานขั้นสุดท้ายไปได้แล้ว เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ และเป็นผู้หมดอาสวะเพราะเห็น (สัจธรรม) ด้วยปัญญา ผู้นี้ จึงจะเรียกได้ว่า ได้มาถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว อยู่ ณ ที่สุดแห่งโลก และทั้งได้ข้ามพ้นโยงใยที่เหนี่ยวพันให้ติดอยู่ (ตัณหา - ตัณหาเครื่องข้อง) ในโลกไปได้แล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "พระองค์ผู้เจริญ เรียกกันว่า "มาร มาร" ... เรียกกันว่า "สัตว์ สัตว์" ...เรียกกันว่า "ทุกข์ ทุกข์" ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไร จึงมีมาร หรือบัญญัติว่ามาร...จึงมีสัตว์ หรือบัญญัติว่าสัตว์...จึงมีทุกข์ หรือบัญญัติว่าทุกข์"

"ดูกรสมิทธิ ที่ใดมีตา มีรูป มีจักขุวิญญาณ มีธรรมอันพึงรู้ด้วยจักขุวิญญาณ ฯลฯ มีใจมีธรรมารมณ์ มีมโนวิญญาณ มีธรรมอันพึงรู้ด้วยมโนวิญญาณ ที่นั้นก็มีมารหรือบัญญัติว่ามาร....สัตว์หรือบัญญัติว่าสัตว์...ทุกข์หรือ บัญญัติว่าทุกข์" (สํ.สฬ.18/71-74/46-48)


"เมื่อตามีอยู่ พระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติสุขทุกข์ เมื่อตาไม่มี พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมไม่บัญญัติสุขทุกข์ เมื่อหู...เมื่อจมูก...เมื่อลิ้น..เมื่อกาย...เมื่อใจมีอยู่ พระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติสุขทุกข์ เมื่อหู ฯลฯ ใจไม่มี พระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมไม่บัญญัติสุขทุกข์" (สํ.สฬ.18/212/155)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "ภิกษุทั้งหลาย ตา...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ...ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์...เป็นอนัตตา แม้สิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเกิดจากสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จักเป็นของเที่ยง จักเป็นสุข จักเป็นอัตตาได้แต่ที่ไหน"

"รูป...เสียง...กลิ่น... รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์...เป็นอนัตตา แม้สิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ซึ่งเกิดจากสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จักเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาได้แต่ที่ไหน" (สํ.สฬ.18/221-6/163-5) (แปลรวบ)


@ "ภิกษุทั้งหลาย ข้าวกล้างอกงามบริบูรณ์ และคนเฝ้าข้าวกล้าก็ประมาทเสีย โคกินข้าวกล้าลงสู่ข้ากล้าโน้น พึงเมาเพลินประมาทเอาจนเต็มที่ ฉันใด ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ไม่สังวรในผัสสายตนะ ๖ ย่อมเมาเพลิน ประมาทในกามคุณ ๕ จนเต็มที่ ฉันนั้น" (สํ.สฬ.18/344/243)


@ "ภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ เหล่านี้ ที่ไม่ฝึก ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา ไม่สังวร ย่อมเป็นเครื่องนำทุกข์มาให้...ผัสสายตนะ ๖ เหล่านี้ ที่ฝึกดีแล้ว คุ้มครองดี รักษาดี สังวรดี ย่อมเป็นเครื่องนำสุขมาให้..." (สํ.สฬ.18/128-9/88)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "ตา เป็นเครื่องผูกล่าม รูป ไว้ รูป เป็นเครื่องผูกล่าม ตา ไว้ หู + เสียง จมูก + กลิ่น ลิ้น + รส กาย + โผฏฐัพพะ ใจเป็นเครื่องผูกล่ามธรรมารมณ์ไว้ ธรรมารมณ์เป็นเครื่องผูกล่ามใจไว้ ดังนี้หรือ ?

"(หามิได้) ตาก็มิใช่เครื่องผูกล่ามรูปไว้ รูปก็มิใช่เครื่องผูกล่ามตาไว้ ฉันทราคะ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูปทั้งสองอย่างนั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกล่ามตาและรูปนั้น ฯลฯ ใจก็มิใช่เครื่องผูกล่ามธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็มิใช่เครื่องผูกล่ามใจ ฉันทราคะ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกล่ามที่ใจและธรรมารมณ์นั้น"

"หากตาเป็นเครื่องผูกล่ามรูปไว้ หรือรูปเป็นเครื่องผูกล่ามตาไว้แล้วไซร้ การครองชีวิตประเสริฐ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ก็จะปรากฏไม่ได้

"แต่เพราะเหตุที่ตาก็มิใช่เครื่องผูกล่ามรูปไว้ รูปก็มิใช่เครื่องผูกล่ามตา ฉันทราคะ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูปสองอย่างนั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกล่ามที่ตาและรูปนั้น เพราะเหตุนั้น การครองชีวิตประเสริฐ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ จึงปรากฏได้ ฯลฯ"

"พระผู้มีพระภาคก็มีตา พระผู้มีพระภาคก็เห็นรูปด้วยตา แต่ฉันทราคะ ไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคทรงมีใจหลุดพ้นดีแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีหู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ แต่ฉันทราคะ ไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาค ทรงมีใจหลุดพ้นดีแล้ว" (สํ.สฬ.18/295-8/203-6)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำความเข้าใจให้ชัด

ฉันทะ 1. ความพอใจ, ความชอบใจ, ความยินดี, ความต้องการ, ความรักใคร่ใฝ่ปรารถนาในสิ่งนั้นๆ (เป็นกลางๆ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นกุศลก็ได้, เป็นอัญญสมานาเจตสิกข้อ ๑๓, ที่เป็นอกุศล เช่นในคำว่า กามฉันทะ ที่เป็นกุศล เช่น ในคำว่า อวิหิงสาฉันทะ) 2. ฉันทะ ที่ใช้เป็นคำเฉพาะ มาเดี่ยวๆ โดยทั่วไป หมายถึง กุศลฉันทะ คือ ความต้องการที่จะทำหรือความอยากทำ (ให้ดี) เช่น ฉันทะที่เป็นข้อ ๑ ใน อิทธิบาท ๔ ตรงข้าม กับ ตัณหาฉันทะ คือ ความอยากเสพ อยากได้ อยากเอาเพื่อตัว ที่เป็นฝ่ายอกุศล 3. ความยินยอม, ความยินยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้นๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย, เป็นเนียมของภิกษุที่อยู่ในวัดเดียวกันภายในสีมา มีสิทธิที่จะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ พึงเข้าร่วมประชุมทำสังฆกรรม เว้นแต่ภิกษุใดมีเหตุจำเป็นจะเข้าร่วมประชุมด้วยไม่ได้ เช่น อาพาธ ก็มอบฉันทะ คือ แสดงความยินยอมให้สงฆ์ทำกิจนั้นๆได้


ฉันทราคะ ความพอใจติดใคร่, ความชอบใจจนติด, ความอยากที่แรงขึ้นเป็นความติด, ฉันทะในที่นี้ หมายถึงอกุศลฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซึ่งในขั้นต้น เมื่อเป็นราคะอย่างอ่อน (ทุพพลราคะ) ก็เรียกแค่ว่าเป็นฉันทะ แต่เมื่อมีกำลังมากขึ้น ก็กลายเป็นฉันทะราคะ คือราคะอย่างแรง (พลราคะ หรือสิเนหะ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "พระองค์ผู้เจริญ ถึงแม้ข้าพระองค์ชราแล้ว เป็นผู้เฒ่าผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับก็ตาม ขอพระผู้มีพระภาคสุคตเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์แต่โดยย่อเถิด ข้าพระองค์คงจะเข้าใจความแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้เป็นแน่ ข้าพระองค์คงจะเป็นทายาทแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้เป็นแน่"

"แน่ะมาลุงกยบุตร ท่านเห็นเป็นประการใด รูปทั้งหลายที่ฟังรู้ด้วยจักษุอย่างใดๆ ซึ่งเธอยังไม่เห็น ทั้งมิเคยได้เห็น ทั้งไม่เห็นอยู่ ทั้งไม่เคยคิดหมายว่าขอเราพึงเห็น ความพอใจ ความใคร่ หรือความรัก ในรูปเหล่านั้น จะมีแก่เธอไหม ? ทูลตอบว่า ไม่มี พระเจ้าข้า"

"เสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ทั้งหลาย อย่างใดๆ เธอไม่ได้ทราบ ไม่เคยทราบ ไม่ทราบอยู่ และทั้งไม่เคยคิดหมายว่าเราพึงทราบ ความพอใจ ความใคร่ หรือความรัก ในธรรมารมณ์เหล่านั้น จะมีแก่เธอไหม ? ทูลตอบว่า ไม่มี พระเจ้าข้า"


"มาลุงกยบุตร บรรดาสิ่งที่เห็นได้ยินรู้ทราบเหล่านี้ ในสิ่งที่เห็น เธอจักมีแค่เห็น ในสิ่งที่ได้ยิน จักมีแค่ได้ยิน ในสิ่งที่ลิ้มดม แตะต้อง จักมีแค่รู้ (รส กลิ่น แตะต้อง) ในสิ่งที่ทราบ จักมีแค่ทราบ

"เมื่อใด (เธอมีแค่เห็น ได้ยิน ได้รู้ ได้รู้ได้ทราบ) เมื่อนั้น เธอก็ไม่มีด้วยนั่น (อรรถกถาอธิบายว่า ไม่ถูกราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำ) เมื่อไม่มีด้วยนั่น ก็ไม่มีที่นั่น (อรรถกถาว่า ไม่พัวพันหมกติดอยู่ในสิ่งที่ได้เห็น เป็นต้น นั้น) เมื่อไม่มีที่นั่น เธอก็ไม่มีที่นี่ ไม่มีทีโน่น ไม่มีระหว่างที่นี่ที่โน่น (ไม่ใช่ภพนี้ ไม่ใช่ภพโน้น ไม่ใช่ระหว่างภพทั้งสอง) นั่นแหละคือที่จบสิ้นแห่งทุกข์"

(พระมาลุงกยบุตรสดับแล้ว กล่าวความตามที่ตนเข้าใจออกมาว่า)

"พอเห็นรูป สติก็หลงหลุด ด้วยมัวใส่ใจแต่นิมิตหมายที่น่ารัก แล้วก็มีจิตกำหนัดติดใจ เสวยอารมณ์ แล้วก็สยบอยู่กับอารมณ์นั้นเอง

"เวทนาหลากหลายอันก่อกำเนิดขึ้นจากรูป ขยายตัวเพิ่มขึ้น จิตของเขาก็คอยถูกกระทบกระทั่ง ทั้งกับความอยากและความยุ่งยากใจ เมื่อสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่าไกลนิพพาน"

"พอได้ยินเสียง...พอได้กลิ่น...พอลิ้มรส...พอถูกต้องโผฏฐัพพะ... พอรู้ธรรมารมณ์ สติก็หลงหลุด ฯลฯ ก็เรียกว่า ไกลนิพพาน"


"เห็นรูป ก็ไม่ติดไม่รูป ด้วยมีสติมั่นอยู่ มีจิตไม่ติดใจ เสวยเวทนาไป ก็ไม่สยบกับอารมณ์นั้น เขามีสติดำเนินชีวิตอย่างที่ว่า เมื่อเห็นรูป และถึงจะเสพเวทนา ทุกข์ก็มีแต่สิ้น ไม่สั่งสม เมื่อไม่สั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่าใกล้นิพพาน"


"ได้ยินเสียง...ได้กลิ่น...ลิ้มรส...ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ ก็ไม่ติดในธรรมารมณ์ ด้วยมีสติมั่นอยู่ ฯลฯ ก็เรียกว่าใกล้นิพพาน" (สํ.สฬ.18/132-5/90-4)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "ด้วยเหตุเพียงไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวาร ? คนบางคน เห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมน้อมรักฝากใจในรูปที่น่ารัก
ย่อมขุ่นเคืองขัดใจในรูปที่ไม่น่ารัก มิได้มีสติกำกับใจ มีใจเล็กจ้อยอยู่
ไม่เข้าใจตามเป็นจริง ซึ่งความหลุดรอดปลอดพ้นของจิต และความหลุดรอดปลอดพ้นด้วยปัญญา ที่จะทำให้บาปอกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแต่ตัวเขา ดับไปได้โดยไม่เหลือ
ฟังเสียงด้วยหู...สูดกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ทราบธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมน้อมรักฝากใจใน...ธรรมารมณ์อันน่ารัก ย่อมขุ่นเคืองขัดใจใน...ธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก ฯลฯ"


"ด้วยเหตุเพียงไร บุคคลชื่อว่า เป็นผู้คุ้มครองทวาร ? ภิกษุเห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมไม่น้อมรักฝากใจในรูปที่น่ารัก
ไม่ขุ่นเคืองขัดใจในรูปที่ไม่น่ารัก
มีสติกำกับใจ เป็นอยู่อย่างผู้มีจิตกว้างขวาง ไม่มีประมาณ เข้าใจตามเป็นจริง ซึ่งความหลุดรอดปลอดพ้นของจิต และความหลุดรอดปลอดพ้นด้วยปัญญา ที่จะทำให้บาปอกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแต่ตัวเขา ดับไปได้โดยไม่เหลือ
ฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ ทราบธรรมารมณ์ด้วยใจ ย่อมไม่น้อมรักฝากใจใน....ธรรมารมณ์อันน่ารัก ไม่ขุ่นเคืองขัดใจใน...ธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก ฯลฯ" (สํ.สฬ. 18/207-8/150-1)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ “ภิกษุทั้งหลาย อย่างไร จึงจะชื่อว่า เป็นผู้อยู่ ด้วยความไม่ประมาท ? เมื่อภิกษุสังวรจักขุนทรีย์อยู่ จิตย่อมไม่ซ่านแส่ไปในรูปทั้งหลายที่พึงรู้ด้วยจักษุ...
เมื่อมีจิตไม่ซ่านแส่ ปราโมทย์ก็เกิด
เมื่อมีปราโมทย์ ปีติก็เกิด
เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ
ผู้มีกายสงบ ย่อมเป็นสุข
ผู้มีสุข จิตย่อมเป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ธรรมทั้งหลายก็ปรากฏ เพราะธรรมทั้งหลายปรากฏ ผู้นั้น จึงนับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท (เกี่ยวกับโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เช่นเดียวกัน)" (สํ.สฬ.18/144/98)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2018, 23:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
@ "ตา เป็นเครื่องผูกล่าม รูป ไว้ รูป เป็นเครื่องผูกล่าม ตา ไว้ หู + เสียง จมูก + กลิ่น ลิ้น + รส กาย + โผฏฐัพพะ ใจเป็นเครื่องผูกล่ามธรรมารมณ์ไว้ ธรรมารมณ์เป็นเครื่องผูกล่ามใจไว้ ดังนี้หรือ ?

"(หามิได้) ตาก็มิใช่เครื่องผูกล่ามรูปไว้ รูปก็มิใช่เครื่องผูกล่ามตาไว้ ฉันทราคะ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูปทั้งสองอย่างนั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกล่ามตาและรูปนั้น ฯลฯ ใจก็มิใช่เครื่องผูกล่ามธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็มิใช่เครื่องผูกล่ามใจ ฉันทราคะ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกล่ามที่ใจและธรรมารมณ์นั้น"

"หากตาเป็นเครื่องผูกล่ามรูปไว้ หรือรูปเป็นเครื่องผูกล่ามตาไว้แล้วไซร้ การครองชีวิตประเสริฐ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ก็จะปรากฏไม่ได้

"แต่เพราะเหตุที่ตาก็มิใช่เครื่องผูกล่ามรูปไว้ รูปก็มิใช่เครื่องผูกล่ามตา ฉันทราคะ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูปสองอย่างนั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกล่ามที่ตาและรูปนั้น เพราะเหตุนั้น การครองชีวิตประเสริฐ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ จึงปรากฏได้ ฯลฯ"

"พระผู้มีพระภาคก็มีตา พระผู้มีพระภาคก็เห็นรูปด้วยตา แต่ฉันทราคะ ไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคทรงมีใจหลุดพ้นดีแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีหู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ แต่ฉันทราคะ ไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาค ทรงมีใจหลุดพ้นดีแล้ว" (สํ.สฬ.18/295-8/203-6)

cool
พระพุทธเจ้าคนเดียวที่รู้ความจริงทั้งหมดที่ทรงตรัสแสดงพระธรรมและบัญญัติสิกขาบทไขข้อข้องใจ
พระองค์สิ้นกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิงก่อนจะบัญญัติคำต่างๆที่มีมาให้อ่านทั้งหมดเลยทุกคำในพระไตรปิฎก
ทรงสิ้นกิเลสหมดแล้วและมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมให้ฟังเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจถึง45พรรษา
ถามจริงเถอะค่ะเคยทราบไหมคะว่าทุกคำที่ตรัสตรงเดี๋ยวนี้ทุกคำไม่ว่าจะเป็นขันธ์ธาตุอายตนะกิเลส
ทุกคำคือปัจจุบันธรรมที่มีอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เคยฟังให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรคำสอนของตถาคต
ไม่ใช่เพื่อแปลภาษาได้รู้ความหมายหมดเลยแต่ไม่รู้ความจริงที่ปัญญาตัวเองมีคิดตรงๆก็เข้าใจได้
เวลาฟังคน2คนทะเลาะกันคุณรู้ล่วงหน้าไหมว่าเขาจะด่าโต้ตอบกันด้วยคำไหนบ้างจดไว้ก่อนไหม
:b32:
คำตถาคตเหมือนกันค่ะเวลาสิกขาน่ะเวลามีคนสนทนาธรรมให้ได้ยินน่ะไม่มีบันทึกไว้ล่วงหน้าคริคริคริ
และปัญญาก็คือเพิ่มจากการฟังไม่มีบันทึกปัญญามาไว้ล่วงหน้าแต่สุตมยปัญญาคือตามฟังเงี่ยหูฟังเคยม๊ะ
มีแต่กิเลสที่มีเมมโมรี่ไว้เยอะดูสิมีนิมิตมาปรากฏเหตุปัจจัยให้ดูความประพฤติต่างๆตามการสะสมมากมาย
มัวแต่คิดจะไปทำหลังจากอ่านบันทึกนั้นน่ะมันไม่ทันกิเลสแก้ต้องแก้ด้วยปัญญาที่กำลังรู้ทันกิเลสที่กำลังมี
เดี๋ยวนี้เลยมีตรงกับพระไตรปิฎกทุกคำเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนซึ่งตนไม่เคยฟังเลยไม่รู้ว่าที่กายใจมีครบ
ทุกคำในพระไตรปิฎกที่ทรงตรัสรู้ตรงจริงทุกคำส่องถึงเดี๋ยวนี้ทุกคำไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้ฟังเพื่อไตร่ตรองค่ะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ทุกคำต้องไตร่ตรองบ่อยๆตรงๆฟังเพื่อให้จิตคิดถูกตามได้ตรงจริง
พอหยุดฟังก็คิดต่อเองมันผิดทันทีเพราะจิตเห็นไม่ใช่กุศลค่ะ
https://youtu.be/6YQu0GELx2I
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ “อานนท์ การอบรมอินทรีย์ ที่ยอดเยี่ยมในแบบแผนของอารยชน (อริยวินัย) เป็นอย่างไร ? เพราะเห็นรูปด้วยตา...เพราะได้ยินเสียงด้วยหู...
เพราะได้กลิ่นด้วยจมูก...
เพราะ รู้รสด้วยลิ้น...
เพราะต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...
เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ย่อมเกิดความชอบใจบ้าง เกิดความไม่ชอบใจบ้าง เกิดทั้งความชอบใจ และไม่ชอบใจบ้าง แก่ภิกษุ


"เธอเข้าใจชัดดัง นี้ว่า ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ เป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นธรรมหยาบ เป็นของอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ภาวะต่อไปนี้จึงจะสงบประณีต นั่นคืออุเบกขา ครั้นแล้ว ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแก่เธอนั้น ก็ดับไป อุเบกขาก็ตั้งมั่น"

"สำหรับบุคคลผู้ใดก็ตาม ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป อุเบกขาย่อมตั้งมั่นได้เร็วพลันทันที โดยไม่ยาก เสมือนคนหลับตาแล้วลืมตา หรือลืมตา แล้วหลับตา ฯลฯ นี้เรียกว่า การอบรมอินทรีย์ที่ยอดเยี่ยม ในแบบแผนของอารยชน..." (ม.อุ. 14/856/542)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉฬังคุเบกขา อุเบกขามีองค์ ๖ คือ ด้วย ตา เห็นรูป หู ได้ยินเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ใจรู้ธรรมารมณ์แล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ วางจิตอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ (ขุ.ม.29/413/289) เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระอรหันต์ ซึ่งมีอุเบกขาด้วยญาณ คือ ด้วยความรู้เท่าทันถึงสภาวะของสิ่งทั้งหลาย อันทำให้ไม่ถูกความชอบ ความยินดี ยินร้าย ครอบงำ ในการรับรู้อารมณ์ทั้งหลาย ตลอดจนไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรมทั้งปวง



อุเบกขา 1. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุและรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น, ความรู้จักวางใจเฉยดู เมื่อเห็นว่าเขารับผิดชอบตนเองได้ หรือในเมื่อเขาควรต้องได้รับผลอันสมควรแก่ความรับผิดชอบของเขาเอง, ความวางทีเฉยคอยดูอยู่ ในเมื่อคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ดำรงอยู่หรือดำเนินไปตามควรของเขาตามควรของมัน ไม่เข้าข้างไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่สอดแส่ ไม่จู้จี้สาระแน ไม่ก้าวก่ายแทรกแซง 2. ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่า อุเบกขาเวทนา (= อทุกขมสุข)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ "ภิกษุทั้งหลาย ก่อนสัมโพธิ เมื่อยังเป็นโพธิสัตว์ ผู้ยังไม่ตรัสรู้ เราได้เกิดความดำริขึ้นดังนี้ว่า อะไรเป็นคุณของจักษุ ? อะไรเป็นโทษ (ข้อเสีย) ของจักษุ ? อะไรเป็นทางออก (พ้นอาศัยเป็นอิสระ) แห่งจักษุ ? อะไรเป็นคุณ....เป็นโทษ...เป็นทางออกแห่งโสตะ...ฆานะ...ชิวหา...กาย...มโน"


"เราได้เกิดความคิดขึ้นดังนี้ : สุข โสมนัส ที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยจักษุ นี่คือคุณของจักษุ
ข้อที่จักษุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี่คือโทษของจักษุ
การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะ ในเพราะจักษุเสียได้ นี้คือทางออกแห่งจักษุ
(ของโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เช่นเดียวกัน)


"ตราบใด เรายังมิได้รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งคุณของอายตนะภายใน ๖ เหล่านี้โดยเป็นคุณ, ซึ่งโทษโดยเป็นโทษ ซึ่งทางออกโดยเป็นทางออก ตราบนั้น เราก็ยังไม่ปฏิญญาว่า เราบรรลุแล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ..."

(ต่อไปตรัสถึงคุณ โทษ ทางออกพ้นแห่งอายตนะภายนอก ๖ ในทำนองเดียวกัน) (สํ.สฬ.18/13-14/8-9)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร