วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 07:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ คุณจะต้องนั่งขัดสมาธิ (นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงๆ) กำหนดลมหายใจเข้า-ออก คุณถึงจะเห็นกิเลส เมื่อเห็นแล้วขั้นต่อไปก็กำจัดต้นเหตุของมัน แล้วทุกข์ก็หมดไป

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิ รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตจนนั่งต่อไม่ได้

พอมีวิธีแก้มั้ยคะ เราทำอานาปานสติ แต่ไม่ได้จับที่ลมหายใจ แค่ดูการเคลื่อนที่ของลำตัว ตอนกลางวันนั่งไป 1 ชม. จนรู้ทั่วตัว แต่พอมาตอนเย็น นั่งแบบเดิม รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตอยู่เรื่อยๆ รู้สึกทีนึงก็หยุด พอนั่งอีกก็โดนช็อตอีก ความรู้สึกเหมือนจั้กกะจี้ค่ะ จนเราต้องนอนแทน แต่นอนก็หลับ พอมีวิธีแก้มั้ยคะ แบบว่านั่งไม่ได้เลย


ถ้าไปนั่งคิดแบบที่อ้างบ่อยๆ จ้างก็ไม่จอง คิกๆๆ :b1:

:b12:
เคยนั่งแล้วรู้แล้วว่าไม่มีตัวตนเป็นยังไงนะคะ
ไม่ว่าอะไรจะปรากฏนั่นเป็นผลของกรรมเก่านะคะ
ก็ที่ทำกรรมใหม่มันรอไปให้ผลชาติไหนไม่รู้เข้าใจไหมคะ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังมีคือไม่คิดตามคำสอนเพราะขาดสุตมยปัญญาฟังรึยัง
จิตได้ยินเป็นสภาพธรรมเดียวที่ทำให้รู้จักพระพุทธเจ้ารู้ว่าพระองค์ตรัสรู้ตามเป็นจริง
เป็นสาวกคือผู้ฟังคิดตามตรงคำทีละคำไม่ใช่จำบัญญัติคำมากมายไว้ล่วงหน้าตามที่ทำอยู่
ความจริงที่ตนกำลังทำต้องทำตามคำสอนตรงๆที่คิดได้ตรงความจริงที่กำลังมีที่กายจิตใจตนตรงตาม1คำ
ถ้าไม่ตรงก็ไม่ใข่อุชุปะติปัตติคือไม่ใช่ผู้ตรงต่อการเข้าถึงสัจจะตามที่ตนกำลังมีจริงๆไม่ฟังไม่รู้จักกิเลสน๊า
ฟังแล้วรู้ความจริงตรงตัวตนจริงๆไม่ฟังก็ไม่รู้ว่าตรงคืออย่างไรแปลว่าสัจจะบารมีไม่เกิดจึงไม่ใช่อุชุปฏิบัติ
:b13:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ

cool
เออนะไม่สะสมเหตุให้เกิดปัญญามาจริงๆอ่ะ
สุตมยปัญญาแปลว่าอะไรคะ
ก็เขียนเองว่ากิเลสละเอียด
แก้ได้ด้วยปัญญาตาไม่บอด
ขัดแย้งกิเลสตนเองไปข้างๆคูๆ
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับข้าม
ไม่ได้แม้แต่ลำดับเดียวนะคะ
ไม่เจริญสุตะก็ไม่ถึงภาวนาค่ะ
ถือทิฎฐิมานะตนว่าคนพูดให้ฟัง
ไม่ใช่นักบวขไม่ใช่ครูที่ตนนับถือหรือคะ
กลับไปทบทวนตนเองตามกาลามสูตรนะคะ
ใครจะนั่งจนเหาะได้จนรู้จิตคนโน้นนี้นั้นนั่นน่ะ
ทำกิเลสละเอียดส่งออกนอกกายใจตนทั้งหมดเลย
ชอบความวิเศษหรือคะตถาคตไม่ให้แสดงฤทธ์อวดอุตริ
เพราะผู้คนจะไม่ฟังคำของพระองค์สมัยนี้ดูก็แล้วกันทำตามๆกัน
ไม่ฟังคำสอนแท้ๆทำผิดตามๆกันเชื่อตามๆกันไม่มีกาลามสูตร10ไงคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ

ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักกิเลสเลย
เขียนมาแต่ละอย่างขัดแย้งกันนี่
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรงมาก
ฟังเพื่อละไม่รู้ของตนที่ไหลไม่ขาดสาย
ปัญญาตามความจริงเกิดเองไม่ได้ต้องพึ่ง
คิดตามคำตถาคตตรงสัจจะที่ตนกำลังมีค่ะ
ไม่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามจนรู้ชัดตรงก่อน
แล้วไปเพื่อทำตามความเห็นตนเองมันผิดไงคะ
ฟังไปเรื่อยๆทำเหตุเกิดปัญญาให้ตรงละความอยาก
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะอยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 05:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แปลกใจมาก..

ปากก็ว่า..ฟังคำตถาคต..ตามคำตถาคต..

แต่ที่คุณโรสพูดมา..มีแต่คำป้าแกทั้งนั้น... :b9: :b9: :b9:

ทั้งสไตล์..ทั้งคำพูด..ก๊อปมาเป๊ะ.. s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 05:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 06:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แปลกใจมาก..

ปากก็ว่า..ฟังคำตถาคต..ตามคำตถาคต..

แต่ที่คุณโรสพูดมา..มีแต่คำป้าแกทั้งนั้น... :b9: :b9: :b9:

ทั้งสไตล์..ทั้งคำพูด..ก๊อปมาเป๊ะ.. s002

:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 06:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ


ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักกิเลสเลย
เขียนมาแต่ละอย่างขัดแย้งกันนี่
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรงมาก
ฟังเพื่อละไม่รู้ของตนที่ไหลไม่ขาดสาย
ปัญญาตามความจริงเกิดเองไม่ได้ต้องพึ่ง
คิดตามคำตถาคตตรงสัจจะที่ตนกำลังมีค่ะ
ไม่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามจนรู้ชัดตรงก่อน
แล้วไปเพื่อทำตามความเห็นตนเองมันผิดไงคะ
ฟังไปเรื่อยๆทำเหตุเกิดปัญญาให้ตรงละความอยาก
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะอยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:



พูดยังไง เดี๋วยก็ว่านั่งหลับตาทำฌานเห็นแต่กิเลสตัวเอง ไปอีกหน่อยบอกว่าไม่รู้จักกิเลส คิกๆๆ อย่างนี้เขาเรียกพูดเอาแต่ได้ พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 08:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


อ้อ..คุณโรส..ดูจากพฤติกรรมหยาบๆ...นี้เอง..
มิน่าละ...จึงมีพฤติกรรมหยาบคาย... ไม่รอบคอบ

อ้างคำพูด:
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น


เริ่มเข้าเค้า...การปรากฏขึ้นของความเสื่อมในพระศาสนา..

คือมีเดียรถีย์..อ้างตนว่าเป็นสาวกสังโฆ..อยู่บ้าน..หาเงินหาทอง..ซื้อบ้านซื้อรถ..กินอาหารดีดี..บอกว่าไม่มีกิเลสแล้วนะ...ที่ทำเป็นเพียงกิริยาเฉยๆ...ต่อต่อไป..ก็คงจะกลัดเข็มกลัด..ใส่ต่างหู...แล้วบอกว่าข้านี้แหละสาวกสังโฆ..
huh huh huh

เห็นแววของความเสื่อม..ชัดเจน..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 05 ส.ค. 2018, 10:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ

ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักกิเลสเลย
เขียนมาแต่ละอย่างขัดแย้งกันนี่
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรงมาก
ฟังเพื่อละไม่รู้ของตนที่ไหลไม่ขาดสาย
ปัญญาตามความจริงเกิดเองไม่ได้ต้องพึ่ง
คิดตามคำตถาคตตรงสัจจะที่ตนกำลังมีค่ะ
ไม่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามจนรู้ชัดตรงก่อน
แล้วไปเพื่อทำตามความเห็นตนเองมันผิดไงคะ
ฟังไปเรื่อยๆทำเหตุเกิดปัญญาให้ตรงละความอยาก
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะอยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:


อ้างคำพูด:
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะ อยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
อ้างคำพูด:



ไม่อยากทำนั่นแหละเป็นกิเลส กลัวเป็นกิเลสจึงไม่อยากทำ กลายเป็นคนขี้เกียจ ขาดวิริยะขาดความเพียร ชัดเลย คนจะล่วงทุกข์เพราะความเพียรนะขอรับ (วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ) :b13: วิริยะ อยู่ในหมวดธรรมทุกหมวดมั่ง เอาง่ายๆก่อน อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อิอิ

อินทรีย์ ๕ ก็มี วิริยะ นะคะ ไปไล่ดูเองมั่ง

เอายังงี้คุณโรส ก่อนตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ขาดความเพียร คือ ขาดวิริยะเสียอย่าง พระพุทธศาสนาไม่อุบัติในโลก คือ ก่อนประทับที่โพธิบัลลังก์ท่านตั้งใจเด็ดเดี่ยวเลยว่า ถ้ากูไม่ตรัสรู้กูจะไม่ลุกขึ้น ต่อให้เลือดเนื้อเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังเอ็นกระดูก็ตาม นี่ท่านเพียรถึงขนาดนั้นนะขอรับโผม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 ส.ค. 2018, 08:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 08:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
ไม่ได้เลียนแบบแต่สาวกที่เข้าถึงความจริงพูดสิ่งเดียวกัน
โรสไม่ได้จำคำสอนในภาษาบาลีแต่เข้าใจในภาษาไทยค่ะ
เมื่อเข้าใจในภาษาที่ถนัดภาษาบาลีก็ไม่ต้องจำบัญญัติไงคะ
ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะก็เข้าใจในภาษาไทย
ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงที่ไม่มีชื่อบัญญัติเมื่อถึงสภาวะนั้นแล้ว
เข้าใจไหมคะว่าปัญญาของจริงเกิดจากเริ่มต้นฟังถ้าฟังยังไม่พอก็ไม่รู้ไง
ถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนคือคำตถาคตก็คำที่สาวกกล่าวตรงความจริง
ตรงกับที่กำลังฟังแล้วเข้าใจถูกตัวตนคือเข้าใจที่กายใจตนเดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลยก็มี
แล้วทำไมต้องเดินทางไปแสวงหาด้วยความไม่รู้ด้วยความอยากถึงเพราะอยากยังไงก็ไม่ถึง
เพราะนิพพานถึงด้วยความหมดอยากและผู้ที่มีปัญญารู้ว่าพึ่งคำตถาคตได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ
มีแล้วตรงตามพระไตรปิฎกเดียวนี้เลยตรงทีละ1คำทุกขณะแต่ไปพากเพียรทำอะไรไม่เงี่ยโสตลงสดับ
คำสอนไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่บุพการีและกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระพุทธพจน์ที่มีผู้กล่าวให้เข้าใจถูก
เข้าใจถูกนี้คือมีตัวตนโดยไม่ต้องทำเพราะมีแล้ว :b32: ที่พยายามไปทำนั่นน่ะอยากรู้อยากถึงเลยเพิ่มไม่รู้
คือเพิ่มกิเลสตลอดเวลาที่ไม่มีพระรัตนตรัยสูงสุดเป็นที่พึ่งคำสอนบันทึกเป็นตัวอักษรนะคะเหมือนเพลงไง
เป็นภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจพูดตามได้แต่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมจึงคิดไปจดจ้องทำด้วยความมีตัวตน555
ละตัวตนยังไงในเมื่อการละตัวตนเป็นปัญญาที่รู้ความจริงตรงปัจจุบันขณะแล้วกิเลสใหม่แทรกเข้าไม่ได้
เพราะพึ่งการฟังพระพุทธพจน์ถูกตัวตนทีละคำจนชัดขึ้นตามปัญญาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีตัวตนแยกไปทำน๊า
เหมือนร้องเพลงน่ะค่ะเป็นสาวกไม่มีปัญญารู้จักกิเลสเพราะยังไม่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงของตนเองไงคือมีกิเลส
สาวกของนักร้องก็ร้องและเลียนเสียงร้องและสาวกของพระพุทธเจ้าพูดความจริงที่รู้ตรงสัจจะเหมือนกัน
:b32: :b32:


แล้วใครเป็นสาวกสังโฆ...คุณโรสรู้มั้ยละ?

คนที่คุณโรสฟังนั้นนะ..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยัง?

หากไม่ปรากฏอาการของ...ญาณ..ก็อย่าด่วนเข้าข้างตนเองว่าเป็นสาวกสังโฆ..แล้ว....ก็แล้วกัน

มา..คุณโรส..มาเอาของฝาก..

กบนอกกะลา เขียน:
เอ้า..เอามาฝาก..
จากกระทู้โน้น..
viewtopic.php?f=1&t=56302&start=15
อ้างคำพูด:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องของการพิจารณา
อะไรผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖
คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ให้นำมาพิจารณาเป็นกรรมฐาน
คิดให้เป็นลงในอริยสัจ คือ ทุกข์ หรือเข้าสู่ไตรลักษณ์ก็ได้
อย่าสักแต่ว่าเห็นแล้วคิด แต่หาจุดลงไม่ได้ คิดไปเหมือนคนฟุ้ง
พอเลิกคิดแล้วก็ลืมไปด้วย ปัญญาไม่เกิด

ร่างกายทรุดโทรมแปรปรวนไป ก็เป็นปกติของร่างกาย
ฝืนก็ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนยิ่งทุกข์ ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตจักได้ไม่ทุกข์
แล้วทำการเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ไปเสียให้ได้ จักได้ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอีก
การวางเฉยของจิต ด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
จักทำให้เข้าถึงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย



:b32:
แค่ดูพฤติกรรมหยาบๆก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว
สาวกของพระพุทธเจ้ามี2แบบคือฟังคำสอนเข้าใจโดย1ไม่บวช2บวช
แบบที่1ไม่บวชนอนบ้านกินข้าวได้24ชม.ปรุงหาอาหารกินเองได้หาเงินเก็บสะสมเงินวัตถุได้ไม่มีอาบัติ
แบบที่2ขออนุญาตและปฏิญานตนจะไม่ทำแบบที่1เข้าใจไหมคะมีข้อห้ามตามสิกขาบทรับเงินคือโจรปล้น
สักการะที่เขานำถวายผู้ที่ประพฤติตามสิกขาบทได้ไงคะจึงมีสมมุติสงฆ์แต่ผู้รับเงินคือโจรโล้นห่มเหลือง
:b34:
:b32: :b32:


คุณโรส..ยังไม่ชี้แจงอยู่ข้อนึ่ง...คือ..ผู้ที่คุณโรสติดตามฟังจากคลิ๊ปทั้งหลายที่นำเสนอมา..คุณโรสเข้าใจว่า..เป็นสาวกสังโฆ..แล้วรึยังครับ?

ปล. อย่างไรเรียกสาวกสังโฆ...ก็ตามที่สวดในพุทธคุณ..นั้นแหละครับ...คือ..บุคคลสี่เหล่าแปดจำพวก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสศิษย์ก้นสำนักบ้านธัมมะ คุณจะต้องนั่งขัดสมาธิ (นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงๆ) กำหนดลมหายใจเข้า-ออก คุณถึงจะเห็นกิเลส เมื่อเห็นแล้วขั้นต่อไปก็กำจัดต้นเหตุของมัน แล้วทุกข์ก็หมดไป

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิ รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตจนนั่งต่อไม่ได้

พอมีวิธีแก้มั้ยคะ เราทำอานาปานสติ แต่ไม่ได้จับที่ลมหายใจ แค่ดูการเคลื่อนที่ของลำตัว ตอนกลางวันนั่งไป 1 ชม. จนรู้ทั่วตัว แต่พอมาตอนเย็น นั่งแบบเดิม รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตอยู่เรื่อยๆ รู้สึกทีนึงก็หยุด พอนั่งอีกก็โดนช็อตอีก ความรู้สึกเหมือนจั้กกะจี้ค่ะ จนเราต้องนอนแทน แต่นอนก็หลับ พอมีวิธีแก้มั้ยคะ แบบว่านั่งไม่ได้เลย


ถ้าไปนั่งคิดแบบที่อ้างบ่อยๆ จ้างก็ไม่จอง คิกๆๆ :b1:

:b12:
เคยนั่งแล้วรู้แล้วว่าไม่มีตัวตนเป็นยังไงนะคะ
ไม่ว่าอะไรจะปรากฏนั่นเป็นผลของกรรมเก่านะคะ
ก็ที่ทำกรรมใหม่มันรอไปให้ผลชาติไหนไม่รู้เข้าใจไหมคะ
เดี๋ยวนี้ที่กำลังมีคือไม่คิดตามคำสอนเพราะขาดสุตมยปัญญาฟังรึยัง
จิตได้ยินเป็นสภาพธรรมเดียวที่ทำให้รู้จักพระพุทธเจ้ารู้ว่าพระองค์ตรัสรู้ตามเป็นจริง
เป็นสาวกคือผู้ฟังคิดตามตรงคำทีละคำไม่ใช่จำบัญญัติคำมากมายไว้ล่วงหน้าตามที่ทำอยู่
ความจริงที่ตนกำลังทำต้องทำตามคำสอนตรงๆที่คิดได้ตรงความจริงที่กำลังมีที่กายจิตใจตนตรงตาม1คำ
ถ้าไม่ตรงก็ไม่ใข่อุชุปะติปัตติคือไม่ใช่ผู้ตรงต่อการเข้าถึงสัจจะตามที่ตนกำลังมีจริงๆไม่ฟังไม่รู้จักกิเลสน๊า
ฟังแล้วรู้ความจริงตรงตัวตนจริงๆไม่ฟังก็ไม่รู้ว่าตรงคืออย่างไรแปลว่าสัจจะบารมีไม่เกิดจึงไม่ใช่อุชุปฏิบัติ
:b13:
:b32: :b32:



อ้างคำพูด:
เคยนั่งแล้วรู้แล้วว่าไม่มีตัวตนเป็นยังไงนะคะ

ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ นั่นเป็นผลของกรรมเก่านะคะ

ก็ที่ทำกรรมใหม่ มันรอไปให้ผลชาติไหนไม่รู้
เข้าใจไหมคะ


มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดเตาปูนอีก คือ คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะ เข้าใจเรื่องกรรมแบบลัทธินิครนถ์ ปัจจุบันไม่ว่าคนจะสุขจะทุกข์อย่างไร ก็โยนให้เป็นผลของกรรมแต่ชาติปางก่อนโน่นๆๆๆไปหมด

ผู้มีแนวความคิดอย่างนี้ ถ้าไปทำกัมมัฏฐานเข้า ไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม จะพุทโธๆไป พองหนอ ยุบหนอไป สัมปฏิจฉามิไป (มีวิธีไหนก็เติมเข้าไปอีก) สภาวธรรมปรากฏ เมื่อมันปรากฏแล้วตัวเองคิดว่าเป็นกรรมเก่า เพราะไม่เข้าใจชีวิตนี้ เพี้ยนขอรับ บ้าลูกเดียว ที่พึ่งสุดท้ายคือศรีธัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ


ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักกิเลสเลย
เขียนมาแต่ละอย่างขัดแย้งกันนี่
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรงมาก
ฟังเพื่อละไม่รู้ของตนที่ไหลไม่ขาดสาย
ปัญญาตามความจริงเกิดเองไม่ได้ต้องพึ่ง
คิดตามคำตถาคตตรงสัจจะที่ตนกำลังมีค่ะ
ไม่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามจนรู้ชัดตรงก่อน
แล้วไปเพื่อทำตามความเห็นตนเองมันผิดไงคะ
ฟังไปเรื่อยๆทำเหตุเกิดปัญญาให้ตรงละความอยาก
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะอยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:



พูดยังไง เดี๋วยก็ว่านั่งหลับตาทำฌานเห็นแต่กิเลสตัวเอง ไปอีกหน่อยบอกว่าไม่รู้จักกิเลส คิกๆๆ อย่างนี้เขาเรียกพูดเอาแต่ได้ พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย :b32:

cool
สนทนาเพื่อความเข้าใจถูกต้องตรงความจริงที่กำลังมี
เอาความเข้าใจความจริงที่กำลังมีมาคุยกันไม่ใช่ยึดคำ
ก็อปแปะอยู่นั่นแล้วเพราะไม่มีปัญญาเป็นของตนเองไง
โรสไม่ได้กางตำราคุยไปด้วยนะคะสนทนาความจริงที่มี
เดี๋ยวนี้เลยให้เข้าใจพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ใช่ตัวตนใครเลย
ของเก่าที่จดจำจำไว้ทำไมทุกขณะคือใหม่ไม่มีจำอันเก่านะคะ
เข้าใจคำสอนตรงความจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
ตรงแค่1คำที่มันรู้แจ้งชัดตรงแค่1คำก็ดับคนทั้งตัวคือไม่มีแล้วเข้าใจยัง
ยึดอดีตบัญญัติคำที่ไปอ่านไปจำเอามาใช้มันผิดความจริงต้องรู้ตรงปัจจุบัน
เข้าใจว่าทิ้งหมดไหมคะเอาตัวตนคนทุกคนออกแล้วเงี่ยโสตลงสดับขณะนั้นเอง
ที่เพียรระลึกตามคำตถาคตตรงวิสยรูป7ที่กายใจตนเองตามเสียงเพื่อเข้าใจเท่านั้น
ตัดตัวตนคนออกหมดทุกคนกำลังมีเห็นได้ยินได้กลิ่นรู้รสรับสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ตึงไหวสุขทุกข์เฉยๆมีแล้วและกำลังมีคือธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6กำลังเกิดดับเพียรฟังเพื่อคิดถูกตามคร่าาาา
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 05 ส.ค. 2018, 13:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2018, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง

ถ้าเข้าใจจะถามแบบที่ถาม
ตามข้างบนที่เขียนมาไหม
เข้าใจก็รู้ประมาณตนว่า
ยังไม่รู้ความจริงของเห็น
นั่นแหละขาดการฟังไม่ได้
เพราะเห็นที่เป็นกิเลสตนพาไป
ทำด้วยความไม่รู้ไงคะอีกนานไหม
ถึงจะเริ่มสะสมปัญญามีปัญญาของตนเอง
ตายแล้วเป็นโมฆะบุรุษเพราะจำแต่บัญญัติคำ
ไม่จำความจริงที่ตนมีที่เพียรฟังให้คิดถูกตามคำสอนได้


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าบอกความจริงว่า ตาเห็นรูปแสงสี

คุณโรสย้อนขึ้นไปดู เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ ข้างบนด้วย นั่นแหละสภาวธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นล่ะ เป็นแต่สภาวะ อิอิ แต่คุณคิดสภาวะซ้ำ ซ้ำสภาวะ เลยเพี้ยน อภิธรรมเป็นเทศนาแสดงแต่สภาวะล้วนๆ ไม่พูดถึงสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา แค่นี้จบ อย่าคิดต่อ เพราะตรงตัวอยู่แล้ว คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
หลับตาเห็นไม่ปรากฏแต่คิดนึกจำว่ายังมี

ตาคุณกรัชกายถ้าไม่ได้กำลังเห็นสี

แสดงว่ากำลังเห็นกิเลสตัวเอง


เราๆท่านๆ และคุณโรสยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ไปทำท่าทำทางคิดหาธัมมะ ตามแบบเรียนตามตำรา เช่น ตาเห็นรูป ( วัณณะ สี) หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ อิอิ นี่แบบเรียน

คุณโรสจะต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาดูกิเลสในจิตในใจตนเอง เห็นแล้วก็กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยสมาธิ และกำจัดกิเลสอย่างละเอียดปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งกะพริบตา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ตามแบบอภิธรรมชั้นจูฬ-ตรี คิกๆๆ


ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักกิเลสเลย
เขียนมาแต่ละอย่างขัดแย้งกันนี่
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรงมาก
ฟังเพื่อละไม่รู้ของตนที่ไหลไม่ขาดสาย
ปัญญาตามความจริงเกิดเองไม่ได้ต้องพึ่ง
คิดตามคำตถาคตตรงสัจจะที่ตนกำลังมีค่ะ
ไม่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกตามจนรู้ชัดตรงก่อน
แล้วไปเพื่อทำตามความเห็นตนเองมันผิดไงคะ
ฟังไปเรื่อยๆทำเหตุเกิดปัญญาให้ตรงละความอยาก
ถ้าอยากเมื่อใดมันปิดกั้นรู้ทันทีเข้าใจไหมคะอยากไปทำคือโลภะ+โมหะบอกไม่ฟังคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:



พูดยังไง เดี๋วยก็ว่านั่งหลับตาทำฌานเห็นแต่กิเลสตัวเอง ไปอีกหน่อยบอกว่าไม่รู้จักกิเลส คิกๆๆ อย่างนี้เขาเรียกพูดเอาแต่ได้ พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย :b32:

cool
สนทนาเพื่อความเข้าใจถูกต้องตรงความจริงที่กำลังมี
เอาความเข้าใจความจริงที่กำลังมีมาคุยกันไม่ใช่ยึดคำ
ก็อปแปะอยู่นั่นแล้วเพราะไม่มีปัญญาเป็นของตนเองไง
โรสไม่ได้กางตำราคุยไปด้วยนะคะสนทนาความจริงที่มี
เดี๋ยวนี้เลยให้เข้าใจพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ใช่ตัวตนใครเลย
ของเก่าที่จดจำจำไว้ทำไมทุกขณะคือใหม่ไม่มีจำอันเก่านะคะ
เข้าใจคำสอนตรงความจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
ตรงแค่1คำที่มันรู้แจ้งชัดตรงแค่1คำก็ดับคนทั้งตัวคือไม่มีแล้วเข้าใจยัง
ยึดอดีตบัญญัติคำที่ไปอ่านไปจำเอามาใช้มันผิดความจริงต้องรู้ตรงปัจจุบัน
เข้าใจว่าทิ้งหมดไหมคะเอาตัวตนคนทุกคนออกแล้วเงี่ยโสตลงสดับขณะนั้นเอง
ที่เพียรระลึกตามคำตถาคตตรงวิสยรูป7ที่กายใจตนเองตามเสียงเพื่อเข้าใจเท่านั้น
ตัดตัวตนคนออกหมดทุกคนกำลังมีเห็นได้ยินได้กลิ่นรู้รสรับสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ตึงไหวสุขทุกข์เฉยๆมีแล้วและกำลังมีคือธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6กำลังเกิดดับเพียรฟังเพื่อ
คิดถูกตามคร่าาาาของเก่าที่ไปอ่านจำมามันไม่ใช่ปัญญาตรงสิ่งที่ตนกำลังมีไงคะยึดไว้ทำไม
วางสิ่งที่จำมาเพียรรู้ความจริงตามการฟังที่ตาไม่บอดหูไม่หนวกเพียรอดทนระลึกตามเพื่อคิดเห็นถูกตามได้
:b12:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร