วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 15:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติ ประพฤติ, กระทำ, บำรุง, เลี้ยงดู

ประพฤติ ความเป็นไปที่เกี่ยวกับการกระทำหรือปฏิบัติตน, กระทำ, ทำตาม, ปฏิบัติ, ปฏิบัติตน, ดำเนินชีวิต

ประเพณี ขนบธรรมเนียม, แบบแผน, เชื้อสาย


ปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยการปฏิบัติ คือ ประพฤติตามธรรมคำสั่งสอนของพระท่าน, บูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติกระทำสิ่งที่ดีงาม

ประทักษิณ เบื้องขวา, การเวียนขวาคือเวียนเลี้ยวไปทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา เป็นอาการแสดงความเคารพ

ประสาท 1. เครื่องนำความรู้สึกสำหรับคนและสัตว์, ในอภิธรรมว่าเป็นประสาทรูป (คำบาลีว่า ปสาทรูป) 2. ความเลื่อมใส 3. ยินดีให้, โปรดให้

ประสาทรูป รูปคือประสาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสวันนี้ไปทำบุญวัดไหนขอรับ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสวันนี้ไปทำบุญวัดไหนขอรับ :b12:

Kiss
ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพตามหน้าที่ฆราวาสที่ถือครองทรัพย์ได้ไงคะ
เป็นคฤหัสถ์ไม่ว่างไปเที่ยวเตร่มีกิจการงานยุ่งเหยิง
ทำบุญกุศลได้ตามอัธยาศัยจำเป็นไหมต้องไปวัด
วัดเป็นสถานที่สัปปายะของพระภิกษุได้พักผ่อน
ตามอัธยาศัยมีกิจอันใดที่สีกาต้องไปเกี่ยวข้อง
ลืมหรือคะว่าบวชสละญาติพี่น้องไปหมดแล้ว
สมควรสั่งสอนให้คฤหัสถ์รู้จักหน้าที่ตามปกติ
ไม่มีกิจจำเป็นใดๆที่สีกาต้องค้างที่วัดเข้าใจไหม
และบวชชีพราหมณ์ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
สำรวมจักขุนทรีย์อย่างไรให้หมู่คณะเข้าไปคลุกคลี
สะสมแต่ความเห็นผิดจำผิดบอกแล้วมักน้อยสันโดษ
จะสำรวมกายวาจาใจได้ต้องไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กังวลรู้ป่าว
ตาเห็นแต่กิเลสค่ะจะเกิดสัมมาได้ต้องใช้จิตได้ยินฟังพระพุทธพจน์
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 28 ก.ค. 2018, 10:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นางสาว Rosarin เป็นต้น

อ้าวคุณโรสไปเอา "คน" มาแต่ไหน คิกๆๆ คนไม่มี มีแต่รูปนาม :b32:

ถ้ายังแยกสัจจะสองอย่างนั่นไม่เป็นไม่ได้ ไม่มีวันจะเข้าใจพุทธธรรมในทุกแง่มุม

Kiss
ตั้งแต่เกิดมาจนโตมาขนาดนี้จำตัวตนยังไม่พอหรือคะ
แล้วทราบไหมล่ะคะว่าการฟังคำจริงของตถาคตทำให้
เกิดปัญญาเข้าใจว่ายังไม่ปัญญาไงคะเพราะถ้าใครคิด
ว่ตนเองมีปัญญานั่นแหละแปลว่ายังไม่มีปัญญาเลยค่ะ
เพราะผู้ที่เริ่มมีปัญญาจึงรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงทุกขณะว่าทำถูกหรือผิดโดยไม่มีตัวตนค่ะ
รู้แล้วหมดอยากเพราะละไม่รู้ได้ด้วยปัญญาจนกว่านิพพานค่ะ
:b32: :b32:


คุณโรสไปเอาคนมาแต่ไหน อ้าว :b10:

:b12:
คนน่ะมีเพราะคิดนึกเอาไงคะ
ตอนนี้อยู่นอกบ้านก็คิดเอาว่า
มีบ้านมีคนเป็นญาติพี่น้องอิอิ
ไม่มีคนทั้งตัวแต่มี1ตัวธัมมะ
1ขณะที่รู้ไม่ทันปัจจุบันคือ
มีกิเลสและจะรู้ว่ามีกิเลส
เมื่อเริ่มฟังพระพุทธพจน์
เพื่อเข้าใจตามทีละคำ
ฟังทีละคำคือเดี๋ยวนี้
ที่กำลังขาดสุตมยปัญญา
โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป
จากพฤติกรรมต่างๆที่ทุกคนไปทำนั่นแหละ
จนกว่าจะหยุดไปแล้วอยู่ตามฐานะตนแล้วฟังคำตถาคต
เพื่อคิดถูกตามเท่านั้นคือรู้ชัดที่ตนไม่รู้ก่อนตามให้ถูกได้จึงรู้ตามเป็นจริง
ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังฟังแล้วคิดถูกตัวตนที่กำลังเป็นไปตามการสะสมค่ะ
:b32:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 11:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสวันนี้ไปทำบุญวัดไหนขอรับ :b12:

Kiss
ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพตามหน้าที่ฆราวาสที่ถือครองทรัพย์ได้ไงคะ
เป็นคฤหัสถ์ไม่ว่างไปเที่ยวเตร่มีกิจการงานยุ่งเหยิง
ทำบุญกุศลได้ตามอัธยาศัยจำเป็นไหมต้องไปวัด
วัดเป็นสถานที่สัปปายะของพระภิกษุได้พักผ่อน
ตามอัธยาศัยมีกิจอันใดที่สีกาต้องไปเกี่ยวข้อง
ลืมหรือคะว่าบวชสละญาติพี่น้องไปหมดแล้ว
สมควรสั่งสอนให้คฤหัสถ์รู้จักหน้าที่ตามปกติ
ไม่มีกิจจำเป็นใดๆที่สีกาต้องค้างที่วัดเข้าใจไหม
และบวชชีพราหมณ์ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
สำรวมจักขุนทรีย์อย่างไรให้หมู่คณะเข้าไปคลุกคลี

สะสมแต่ความเห็นผิดจำผิดบอกแล้วมักน้อยสันโดษ
จะสำรวมกายวาจาใจได้ต้องไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กังวลรู้ป่าว
ตาเห็นแต่กิเลสค่ะจะเกิดสัมมาได้ต้องใช้จิตได้ยินฟังพระพุทธพจน์
:b32: :b32:



อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

อภัพพสูตร

[๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ ไม่พึงมีในโลก
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พึงบังเกิดในโลก ธรรมวินัยที่พระตถาคต
ทรงประกาศไว้แล้ว ไม่พึงรุ่งเรืองในโลก ๓ ประการเป็นไฉน คือ ชาติ ๑ ชรา ๑
มรณะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้ง ๓ ประการนี้แล ไม่พึงมีในโลก
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พึงบังเกิดในโลก ธรรมวินัยอันพระตถาคต
ทรงประกาศไว้แล้วไม่พึงรุ่งเรืองในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรม
๓ ประการนี้มีอยู่ในโลก ฉะนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบังเกิด
ในโลก ธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศไว้จึงรุ่งเรืองในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่
ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว ก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว ก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละสักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ การกระทำไว้ในใจโดย
อุบายไม่แยบคาย ๑ การเสพทางผิด ๑ ความหดหู่แห่งจิต ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล ก็ไม่อาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต-
*ปรามาสได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละ
การกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย การเสพทางผิดความหดหู่แห่งจิตได้
๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้มีสติหลงลืม ๑ ความไม่มีสัมปชัญญะ ๑
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว
ก็ไม่อาจละการกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย การเสพทางผิด ความหดหู่
แห่งจิตได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละ
ความเป็นผู้มีสติหลงลืม ความไม่มีสัมปชัญญะความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ ๑ ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรม
ของพระอริยะ ๑ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่
ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม ความไม่มี
สัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม
๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ ความเป็นผู้ไม่ใคร่
ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
ความฟุ้งซ่าน ๑ ความไม่สำรวม ๑ ความทุศีล ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่
ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ ความ
เป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละความฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม
ความทุศีลได้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ ความเป็นผู้
ไม่รู้ความประสงค์ ๑ ความเกียจคร้าน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม
๓ ประการนี้แล้ว ก็ไม่อาจละความฟุ้งซ่าน ความไม่สำรวม ความทุศีลได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้
ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้าน ๓ ประการเป็นไฉน
คือ ความไม่เอื้อเฟื้อ ๑ ความเป็นผู้ว่ายาก ๑ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการนี้แล้ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้
ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่รู้ความประสงค์ ความเกียจคร้านได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละความไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก
ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้ ๓ ประการเป็นไฉน คือความไม่มีหิริ ๑ ความไม่มี
โอตตัปปะ ๑ ความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการ
นี้แล้ว ก็ไม่อาจละความไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงกลัว เป็นผู้ประมาท
ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้
บุคคลเป็นผู้มีมิตรชั่ว ก็ไม่อาจละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่รู้ความ
ประสงค์ ความเกียจคร้านได้ บุคคลเป็นผู้เกียจคร้าน ก็ไม่อาจละความฟุ้งซ่าน
ความไม่สำรวม ความทุศีลได้ บุคคลเป็นผู้ทุศีล ก็ไม่อาจละความเป็นผู้
ไม่ใคร่เห็นพระอริยะ ความเป็นผู้ไม่ใคร่ฟังธรรมของพระอริยะ ความเป็นผู้มีจิตคิด
แข่งดีได้ บุคคลเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี ก็ไม่อาจละความเป็นผู้มีสติหลงลืม ความไม่มี
สัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิตได้ บุคคลเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ก็ไม่อาจละ
ความกระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย การเสพทางผิด ความหดหู่แห่งจิตได้
บุคคลเป็นผู้มีจิตหดหู่ก็ไม่อาจละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้
บุคคลเป็นผู้มีวิจิกิจฉาก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้ บุคคลไม่ละราคะ
โทสะ โมหะแล้วก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้ ฯ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นางสาว Rosarin เป็นต้น

อ้าวคุณโรสไปเอา "คน" มาแต่ไหน คิกๆๆ คนไม่มี มีแต่รูปนาม :b32:

ถ้ายังแยกสัจจะสองอย่างนั่นไม่เป็นไม่ได้ ไม่มีวันจะเข้าใจพุทธธรรมในทุกแง่มุม

Kiss
ตั้งแต่เกิดมาจนโตมาขนาดนี้จำตัวตนยังไม่พอหรือคะ
แล้วทราบไหมล่ะคะว่าการฟังคำจริงของตถาคตทำให้
เกิดปัญญาเข้าใจว่ายังไม่ปัญญาไงคะเพราะถ้าใครคิด
ว่ตนเองมีปัญญานั่นแหละแปลว่ายังไม่มีปัญญาเลยค่ะ
เพราะผู้ที่เริ่มมีปัญญาจึงรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงทุกขณะว่าทำถูกหรือผิดโดยไม่มีตัวตนค่ะ
รู้แล้วหมดอยากเพราะละไม่รู้ได้ด้วยปัญญาจนกว่านิพพานค่ะ
:b32: :b32:


คุณโรสไปเอาคนมาแต่ไหน อ้าว :b10:

:b12:
คนน่ะมีเพราะคิดนึกเอาไงคะ
ตอนนี้อยู่นอกบ้านก็คิดเอาว่า
มีบ้านมีคนเป็นญาติพี่น้องอิอิ
ไม่มีคนทั้งตัวแต่มี1ตัวธัมมะ

1ขณะที่รู้ไม่ทันปัจจุบันคือ
มีกิเลสและจะรู้ว่ามีกิเลส
เมื่อเริ่มฟังพระพุทธพจน์
เพื่อเข้าใจตามทีละคำ
ฟังทีละคำคือเดี๋ยวนี้
ที่กำลังขาดสุตมยปัญญา
โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป
จากพฤติกรรมต่างๆที่ทุกคนไปทำนั่นแหละ
จนกว่าจะหยุดไปแล้วอยู่ตามฐานะตนแล้วฟังคำตถาคต
เพื่อคิดถูกตามเท่านั้นคือรู้ชัดที่ตนไม่รู้ก่อนตามให้ถูกได้จึงรู้ตามเป็นจริง
ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังฟังแล้วคิดถูกตัวตนที่กำลังเป็นไปตามการสะสมค่ะ



คุณโรส เล่นคิดนึกเอา ไม่ได้ขอรับ ถ้าเล่นแบบนี้ให้ 100 คนคิด ก็ได้ 100 อย่างร้อยแบบ 1000 คนคิด ก็ได้ก็มี 1000 อย่างพันแบบซี่ (เหมือนให้คนพันคนวาดรูปพระเจ้ากัน พระเจ้าก็มีพันหน้า ตามจินตนาการของคนวาด) ไม่ได้ บ่ได้ เขามีหลักอยู่ ที่ชาวโลกตั้งชื่อเรียกกันว่า จริงโดยสมมติ (สมมติสัจจะ) เช่น รถ บ้าน เรือน คอนโด รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ ฯลฯ กับ
จริงโดยปรมัตถ์ (ปรมัตถสัจจะ) จริงแท้โดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปนาม ... <= ลงตัวของเขาแล้ว เราไม่ต้องเก็บไปคิดหาอะไรซ้ำอีก ถ้าใครนำไปคิดหาอะไรๆ ซ้ำเข้าไปอีก ก็จะกลายเป็นเลอะเทอะหัวมังกุฎท้ายมังกือไป ก็เหมือนอย่างที่พวกเรานำไปคิดซ้ำกันนั่นแล. เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ จบข่าว

ที่พูดนี่พอเข้าใจไหมขอรับ ของอย่างเดียวกันนั่นแหละ แต่มองให้เห็นความจริงสองด้าน เหมือนเหรียญอันเดียวแต่มีสองด้าน

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้วันอาสาฬบูชา ถามคุณโรสเป็นต้นซึ่งเป็นศิษย์สำนักบ้านธัมมะ ว่าไปเวียนเทียนที่วัดไหนๆกันบ้างไหมครับเนี่ย :b12:

Kiss
:b12:
เข้าวัดจิตวัดใจตนเองว่าพึ่งคำจริงของตถาคตที่ทำให้เข้าใจถูกคิดถูกตามได้ค่ะ
ที่ไหนไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ค่ะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ฟังเพราะศรัทธาเลื่อมใส
ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความจริงแต่ละขณะที่กำลังเป็นไปถูกต้อง
ดีกว่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนโบสถ์3รอบกราบ3ครั้งแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
คือทำไปตามประเพณีโดยไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยมีแต่ความเห็นผิดต้องรู้จักเลือกทำสิ่งที่ถูก
งานยุ่งมากเลยค่ะไม่มีเวลาไปเดินเวียนเทียนหรอกค่ะแค่เดินวนเวียนดแลคนเจ็บไข้ก็จะไม่ไหวแล้วเพลีย


ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นางสาว Rosarin เป็นต้น

อ้าวคุณโรสไปเอา "คน" มาแต่ไหน คิกๆๆ คนไม่มี มีแต่รูปนาม :b32:

ถ้ายังแยกสัจจะสองอย่างนั่นไม่เป็นไม่ได้ ไม่มีวันจะเข้าใจพุทธธรรมในทุกแง่มุม

Kiss
ตั้งแต่เกิดมาจนโตมาขนาดนี้จำตัวตนยังไม่พอหรือคะ
แล้วทราบไหมล่ะคะว่าการฟังคำจริงของตถาคตทำให้
เกิดปัญญาเข้าใจว่ายังไม่ปัญญาไงคะเพราะถ้าใครคิด
ว่ตนเองมีปัญญานั่นแหละแปลว่ายังไม่มีปัญญาเลยค่ะ
เพราะผู้ที่เริ่มมีปัญญาจึงรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงทุกขณะว่าทำถูกหรือผิดโดยไม่มีตัวตนค่ะ
รู้แล้วหมดอยากเพราะละไม่รู้ได้ด้วยปัญญาจนกว่านิพพานค่ะ
:b32: :b32:


คุณโรสไปเอาคนมาแต่ไหน อ้าว :b10:

:b12:
คนน่ะมีเพราะคิดนึกเอาไงคะ
ตอนนี้อยู่นอกบ้านก็คิดเอาว่า
มีบ้านมีคนเป็นญาติพี่น้องอิอิ
ไม่มีคนทั้งตัวแต่มี1ตัวธัมมะ

1ขณะที่รู้ไม่ทันปัจจุบันคือ
มีกิเลสและจะรู้ว่ามีกิเลส
เมื่อเริ่มฟังพระพุทธพจน์
เพื่อเข้าใจตามทีละคำ
ฟังทีละคำคือเดี๋ยวนี้
ที่กำลังขาดสุตมยปัญญา
โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป
จากพฤติกรรมต่างๆที่ทุกคนไปทำนั่นแหละ
จนกว่าจะหยุดไปแล้วอยู่ตามฐานะตนแล้วฟังคำตถาคต
เพื่อคิดถูกตามเท่านั้นคือรู้ชัดที่ตนไม่รู้ก่อนตามให้ถูกได้จึงรู้ตามเป็นจริง
ตรงปัจจุบันขณะที่กำลังฟังแล้วคิดถูกตัวตนที่กำลังเป็นไปตามการสะสมค่ะ



คุณโรส เล่นคิดนึกเอา ไม่ได้ขอรับ ถ้าเล่นแบบนี้ให้ 100 คนคิด ก็ได้ 100 อย่างร้อยแบบ 1000 คนคิด ก็ได้ก็มี 1000 อย่างพันแบบซี่ (เหมือนให้คนพันคนวาดรูปพระเจ้ากัน พระเจ้าก็มีพันหน้า ตามจินตนาการของคนวาด) ไม่ได้ บ่ได้ เขามีหลักอยู่ ที่ชาวโลกตั้งชื่อเรียกกันว่า จริงโดยสมมติ (สมมติสัจจะ) เช่น รถ บ้าน เรือน คอนโด รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ ฯลฯ กับ
จริงโดยปรมัตถ์ (ปรมัตถสัจจะ) จริงแท้โดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปนาม ... <= ลงตัวของเขาแล้ว เราไม่ต้องเก็บไปคิดหาอะไรซ้ำอีก ถ้าใครนำไปคิดหาอะไรๆ ซ้ำเข้าไปอีก ก็จะกลายเป็นเลอะเทอะหัวมังกุฎท้ายมังกือไป ก็เหมือนอย่างที่พวกเรานำไปคิดซ้ำกันนั่นแล. เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ จบข่าว

ที่พูดนี่พอเข้าใจไหมขอรับ ของอย่างเดียวกันนั่นแหละ แต่มองให้เห็นความจริงสองด้าน เหมือนเหรียญอันเดียวแต่มีสองด้าน

รูปภาพ

:b32: :b32: :b32:
ทำไมแมวสุนัขแพะแกะเสือสิงโตหน้าเหมือนกันหมด
เพราะคนคิดไม่เหมือนกันคะถึงเกิดมาเป็นแต่ละ1คน
ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยหน้าตาผิวพรรณพฤติกรรม
พี่น้องพ่อแม่เดียวกันยังต่างทั้งนิสัยและหน้าตาใช่ไหม
ถ้าคิดไม่ต่างจะมีปัญญาต่างกันไหมบอกว่าให้เริ่มฟังไงคะ
:b32:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เม ขออนุโมทนา กะคุณโรสลินด้วยค่ะ

เมื่อฟังคำตถาคตแล้วน้อมลงปฎิบัติด้วย
สภาวะเกิดดับในวิถีจิตนั้น
แม้แต่กริยาตัวแรก ก็ไม่เห็นความเป็นคน

รักษาสถานะแบบนั้นไว้ให้ได้ตลอดเวลา
การไหลตามไปจนเข้าไปจำแนก ว่าคน สัตว์ หรือสิ่งของ
ตลอดจนการเข้าไปเรียนรู้ในฉายานามของสรรพสิ่ง
ทำให้พลาดจากการปฎิบัติ

ไหลตามไปสู่สังขารของกริยา
และเกิดเรื่องราวต่อวนไปไม่อาจจบสิ้น
จนกว่าสังขารจะหมดกำลังลง

การอาศัยการกระทบจากอายตนะ เพื่อปฎิบัติ เป็นสิ่งที่ดีเลิศ
เป็นทางเดียวกะทางสายเอก
สามารถเรียนรู้ เข้าใจ และปฎิบัติได้ตลอดทุกๆๆวินาที

ปัญญาคนในโลกล้วนเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งสิ้น
แต่ปัญญาพระตถาคตเป็นสัมมาทิฎฐิปรมัตถ์ทั้งหมด

คำตถาคตจะออกมาเอง
ความรู้ ความเข้าใจจะเด่นชัดขึ้น
แค่อักษรเดียวที่ปรากฎ
ก็จะเข้าใจเนื้อหา คำตถาคตได้ละเอียดละออมากขึ้น
ไม่ต้องด้วยสังขารของตนที่มี

เมก็ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

จุ๊ฟๆๆ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ทำไมแมวสุนัขแพะแกะเสือสิงโตหน้าเหมือนกันหมด
เพราะคนคิดไม่เหมือนกันคะถึงเกิดมาเป็นแต่ละ1คน

ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยหน้าตาผิวพรรณพฤติกรรม
พี่น้องพ่อแม่เดียวกันยังต่างทั้งนิสัยและหน้าตาใช่ไหม
ถ้าคิดไม่ต่างจะมีปัญญาต่างกันไหมบอกว่าให้เริ่มฟังไงคะ


พูดโยงหมูหมากาไก่มาลงที่คนได้ :b32:

ก็คนคิดไม่เหมือนกันไง เขาถึงมีหลักคิดคือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ไม่ใช่คิดเอาเองอย่างคุณโรสไง ถึงได้บอกว่า ถ้าไปคิดเองแบบนั้น ก็เหมือนให้นั่งวาดรูปพระเจ้ากัน นั่งวาดภาพพระเจ้ากันไป 100 คน ได้พระเจ้า 100 หน้า คิกๆๆ นี่คือความคิด คิดแล้ววาดภาพความคิดนั่นออกมาเป็นหน้าพระเจ้าของแต่ละคนๆ

การนั่งฟังเจ้าสำนักบ้านธัมมะพูด 1000 คน ก็คิดวาดภาพ...ได้ 1000 ภาพ ถึงบอกว่า มันต้องไปให้ถึงภาวนามยปัญญา คิกๆๆ ไม่ใช่เอาแต่นั่งฟังแล้ววาดภาพธัมมะๆไปกระพริบตาไป เพราะอยากได้อยากมีธัมมะ :b35: ทำเหมือนว่าเพิ่งหัดกระพริบกัน เมื่อเริ่มฟังเจ้าสำนักพูดงั้นแหละเออ :b2:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เม ขออนุโมทนา กะคุณโรสลินด้วยค่ะ

เมื่อฟังคำตถาคตแล้วน้อมลงปฎิบัติด้วย
สภาวะเกิดดับในวิถีจิตนั้น
แม้แต่กริยาตัวแรก ก็ไม่เห็นความเป็นคน

รักษาสถานะแบบนั้นไว้ให้ได้ตลอดเวลา
การไหลตามไปจนเข้าไปจำแนก ว่าคน สัตว์ หรือสิ่งของ
ตลอดจนการเข้าไปเรียนรู้ในฉายานามของสรรพสิ่ง
ทำให้พลาดจากการปฎิบัติ

ไหลตามไปสู่สังขารของกริยา
และเกิดเรื่องราวต่อวนไปไม่อาจจบสิ้น
จนกว่าสังขารจะหมดกำลังลง

การอาศัยการกระทบจากอายตนะ เพื่อปฎิบัติ เป็นสิ่งที่ดีเลิศ
เป็นทางเดียวกะทางสายเอก
สามารถเรียนรู้ เข้าใจ และปฎิบัติได้ตลอดทุกๆๆวินาที

ปัญญาคนในโลกล้วนเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งสิ้น
แต่ปัญญาพระตถาคตเป็นสัมมาทิฎฐิปรมัตถ์ทั้งหมด

คำตถาคตจะออกมาเอง
ความรู้ ความเข้าใจจะเด่นชัดขึ้น
แค่อักษรเดียวที่ปรากฎ
ก็จะเข้าใจเนื้อหา คำตถาคตได้ละเอียดละออมากขึ้น
ไม่ต้องด้วยสังขารของตนที่มี

เมก็ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

จุ๊ฟๆๆ




:b12:
อนุโมทนากับคุณโลกสวยด้วยค่ะ
ตถาคตไม่ทะเลากกับคนทั้งโลก
แต่คนที่ไม่เข้าใจคำตถาคตก็
ทะเลาะกับคำตถาคตที่เขา
พยายามบอกรายละเอียด
:b32:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ทำไมแมวสุนัขแพะแกะเสือสิงโตหน้าเหมือนกันหมด
เพราะคนคิดไม่เหมือนกันคะถึงเกิดมาเป็นแต่ละ1คน

ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยหน้าตาผิวพรรณพฤติกรรม
พี่น้องพ่อแม่เดียวกันยังต่างทั้งนิสัยและหน้าตาใช่ไหม
ถ้าคิดไม่ต่างจะมีปัญญาต่างกันไหมบอกว่าให้เริ่มฟังไงคะ


พูดโยงหมูหมากาไก่มาลงที่คนได้ :b32:

ก็คนคิดไม่เหมือนกันไง เขาถึงมีหลักคิดคือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ไม่ใช่คิดเอาเองอย่างคุณโรสไง ถึงได้บอกว่า ถ้าไปคิดเองแบบนั้น ก็เหมือนให้นั่งวาดรูปพระเจ้ากัน นั่งวาดภาพพระเจ้ากันไป 100 คน ได้พระเจ้า 100 หน้า คิกๆๆ นี่คือความคิด คิดแล้ววาดภาพความคิดนั่นออกมาเป็นหน้าพระเจ้าของแต่ละคนๆ

การนั่งฟังเจ้าสำนักบ้านธัมมะพูด 1000 คน ก็คิดวาดภาพ...ได้ 1000 ภาพ ถึงบอกว่า มันต้องไปให้ถึงภาวนามยปัญญา คิกๆๆ ไม่ใช่เอาแต่นั่งฟังแล้ววาดภาพธัมมะๆไปกระพริบตาไป เพราะอยากได้อยากมีธัมมะ :b35: ทำเหมือนว่าเพิ่งหัดกระพริบกัน เมื่อเริ่มฟังเจ้าสำนักพูดงั้นแหละเออ :b2:

Kiss
:b1:
รู้ความสามารถของคนปกติที่คิดได้ตรงจริงทีละคำไหมคะ
ก็บอกให้พึ่งคำตถาคตระลึกตรงปรมัตถสัจจะที่กายเดี๋ยวนี้
มันรู้สึกกระทบอะไรก็คิดให้มันตรง1คำไปเรื่อยๆไงคะและ
ให้ฟังพระพุทธพจน์ประกอบความเข้าใจไปด้วยแน่ใจไหมว่า
คิดตรงทีละคำที่ตัวพร้อมเข้าใจการสนทนาธรรมไปด้วยน่ะ
จะสามารถทำให้จิตอยู่ที่กายได้มั่นคงไม่วอกแวกน่ะหือๆๆๆ
https://youtu.be/svCwbkUNMFA
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ทำไมแมวสุนัขแพะแกะเสือสิงโตหน้าเหมือนกันหมด
เพราะคนคิดไม่เหมือนกันคะถึงเกิดมาเป็นแต่ละ1คน

ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยหน้าตาผิวพรรณพฤติกรรม
พี่น้องพ่อแม่เดียวกันยังต่างทั้งนิสัยและหน้าตาใช่ไหม
ถ้าคิดไม่ต่างจะมีปัญญาต่างกันไหมบอกว่าให้เริ่มฟังไงคะ


พูดโยงหมูหมากาไก่มาลงที่คนได้ :b32:

ก็คนคิดไม่เหมือนกันไง เขาถึงมีหลักคิดคือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ไม่ใช่คิดเอาเองอย่างคุณโรสไง ถึงได้บอกว่า ถ้าไปคิดเองแบบนั้น ก็เหมือนให้นั่งวาดรูปพระเจ้ากัน นั่งวาดภาพพระเจ้ากันไป 100 คน ได้พระเจ้า 100 หน้า คิกๆๆ นี่คือความคิด คิดแล้ววาดภาพความคิดนั่นออกมาเป็นหน้าพระเจ้าของแต่ละคนๆ

การนั่งฟังเจ้าสำนักบ้านธัมมะพูด 1000 คน ก็คิดวาดภาพ...ได้ 1000 ภาพ ถึงบอกว่า มันต้องไปให้ถึงภาวนามยปัญญา คิกๆๆ ไม่ใช่เอาแต่นั่งฟังแล้ววาดภาพธัมมะๆไปกระพริบตาไป เพราะอยากได้อยากมีธัมมะ :b35: ทำเหมือนว่าเพิ่งหัดกระพริบกัน เมื่อเริ่มฟังเจ้าสำนักพูดงั้นแหละเออ :b2:

Kiss
:b1:
รู้ความสามารถของคนปกติที่คิดได้ตรงจริงทีละคำไหมคะ
ก็บอกให้พึ่งคำตถาคตระลึกตรงปรมัตถสัจจะที่กายเดี๋ยวนี้

มันรู้สึกกระทบอะไรก็คิดให้มันตรง1คำไปเรื่อยๆไงคะและ
ให้ฟังพระพุทธพจน์ประกอบความเข้าใจไปด้วยแน่ใจไหมว่า
คิดตรงทีละคำที่ตัวพร้อมเข้าใจการสนทนาธรรมไปด้วยน่ะ
จะสามารถทำให้จิตอยู่ที่กายได้มั่นคงไม่วอกแวกน่ะหือๆๆๆ
https://youtu.be/svCwbkUNMFA


อ้างคำพูด:
ระลึกตรงปรมัตถสัจจะที่กายเดี๋ยวนี้


เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เป็นปรมัตถสัจจะหรือยังครับ ไม่ต้องอธิบายมาก เป็นหรือยัง

1. เป็นปรมัตถ์แล้ว
2. ยังไม่เป็นปรมัตถ์

ข้อไหนถูกขอรับ 1 หรือ 2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2018, 03:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
อ้างคำพูด:
เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เป็นปรมัตถสัจจะหรือยังครับ ไม่ต้องอธิบายมาก เป็นหรือยัง


1. เป็นปรมัตถ์แล้ว
2. ยังไม่เป็นปรมัตถ์

ข้อไหนถูกขอรับ 1 หรือ 2

ตอบขอ้1เหตุผล
เป็นแบบคิดเอาไงคะ
เพราะจริงเป็นรู้สึกตัวตรง1คำที่กำลังมีด้วยนะคะ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2018, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
อ้างคำพูด:
เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เป็นปรมัตถสัจจะหรือยังครับ ไม่ต้องอธิบายมาก เป็นหรือยัง


1. เป็นปรมัตถ์แล้ว
2. ยังไม่เป็นปรมัตถ์

ข้อไหนถูกขอรับ 1 หรือ 2

ตอบขอ้1เหตุผล
เป็นแบบคิดเอาไงคะ
เพราะจริงเป็นรู้สึกตัวตรง1คำที่กำลังมีด้วยนะคะ
:b32:


ตัวอย่างชัดๆนะ

พอหยิบน้ำแข็งอุ๊ยเย็นจัง พอจับไฟว๊ายร้อนจริง เป็นปรมัตถ์หรือยัง

1. เป็นปรมัตถ์แล้ว

2. ยังไม่เป็น ต้อง....

ข้อไหน 1 หรือ 2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2018, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเห็นมา

เขาให้ชื่อคลิปนี้ว่า "ไปวัดไม่ได้เข้าใจธรรม ไปทำมาย" คิกๆๆ

https://www.youtube.com/watch?time_cont ... QBMUJRk1gw

ดูเหมือนคนถามขาประจำ :b13: คนนั่งฟังก็ฟังตาปริบๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร