วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2018, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มีสติหน่อย..

"ตน" หมายถึงอะไร?

1ใน
จิต
เจตสิก
รูป
นิพพาน
เลือกรู้ได้แค่1ดับคนทั้งตัวไม่ฟังแล้วจะแยกออกไหมคะอิอิ...ฟังพระพุทธพจน์ :b12:
:b4: :b4:

ก็ที่ไม่รู้1ตามปัญญาตนที่มีก็เป็นกิเลสไงก็กะพริบตาแล้วดับหมดแล้วนี่เอากลับมารู้ได้ไหมคะ
หลังกะพริบตามันคืออันใหม่ครบ6ทางเลยเก่าไม่รู้ดับแล้วใหม่ก็ยังมาไม่ถึงแล้วจะรู้อะไรได้คะ
:b32:
เพราะฉะนั้นการฟังคำตถาคตตรงจริงคือกำลังฟังกิเลสไหลไป1000สติปัญญาอาจเกิดแค่1ไงคะ
ไม่ฟังก็ไม่รู้ไงคะว่าตนมีกิเลสสะสมมามากแค่ไหนถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ว่าตถาคตตรงขณะขนาดไหนนะค๊ะ
:b13:
ตะโกนสุดแรงเกิดเลย
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2018, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

วิปัลลาสสูตร


[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่า
เป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่
วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาส
จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด
มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่
ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง
ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ
และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์


ชนเหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน
ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

จบสูตรที่ ๙




:b1: :b1: :b1:

พระสูตรตรง ... เมื่อหยิบยกขึ้นมากล่าว
และเมื่อผู้อ่านได้อ่านตามและเพียรพิจารณา
มักเป็นสิ่งที่ยังจิตใจสงบเย็น

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

วิปัลลาสสูตร


[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่า
เป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่
วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาส
จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด
มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่
ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง
ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ
และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์


ชนเหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน
ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

จบสูตรที่ ๙




:b1: :b1: :b1:

พระสูตรตรง ... เมื่อหยิบยกขึ้นมากล่าว
และเมื่อผู้อ่านได้อ่านตามและเพียรพิจารณา
มักเป็นสิ่งที่ยังจิตใจสงบเย็น

:b8: :b8: :b8:

Kiss
:b1:
ก็รู้ตรงขณะที่กำลังมีธัมมะอะไรทีละ1ทางว่าเป็นจิตทางไหนไม่ทันคือไม่รู้บาลีใช้คำว่ามีกิเลสค่ะ
หรือเข้าใจว่าเป็นรูปอะไรคือรู้ทันตรงขณะไม่ใช่คนทั้งตัวไงคะคือตนรู้คือปัญญารู้เพราะเข้าใจถูกคือปัญญา
คือสัมมาทิฏฐิค่ะแล้วคิดว่าจะรู้อะไรได้คะถ้าไม่เคยพึ่งคิดตรงสัจจะที่ปรากฏตรงทีละคำจากการฟังมาก่อน
ไปนั่งหลับตาเพียรไม่รู้เห็นโดยที่ตาไม่บอดก็ไปหลับตาหาเห็นหรือคะแล้วจะรู้จักเห็นตามปกติได้อย่างไรกัน
เดี๋ยวนี้เลยตนรู้อะไรที่กำลังปรากฏประจักษ์ชัดซึ่งหน้าตาไม่บอดนี่คะเสียงอ่านว่าเห็นไม่ใช่เราเห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นเห็นเกิดแล้วดับแล้วถ้าจิตตนไม่รู้ขณะกำลังฟังปัญญาจะแทรกเข้ามาได้อย่างไรเข้าใจไหมคะว่า
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
จิตรู้นามรูปคือรู้รูปปรมัตถ์คือการพึ่งคำตถาคตตรงสัจจะที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ได้พึ่งคิดคำตถาคตอยู่
แสดงว่ากิเลสอาสาวะไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วค่ะเป็นความจริงที่ปรากฏไปกับอวิชชาตนแล้วค่ะ
อัพยากตาคือกิริยาจิตคือจิตรู้รูปไงคะเดี๋ยวนี้เลยรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ตามปกติวิสัยมีครบ6ทางคือวิสยรูป7ค่ะ
รูปที่ปรากฏให้รู้ทั่วตัวครบ6ทางต้องทันครบ6ทางทีละ1ที่ตนทันไม่ทันคืออวิชชาไงคะจนกว่าจะเร็วทัน6ทาง
:b13:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 07:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

:b1: :b1: :b1:

พระสูตรตรง ... เมื่อหยิบยกขึ้นมากล่าว
และเมื่อผู้อ่านได้อ่านตามและเพียรพิจารณา
มักเป็นสิ่งที่ยังจิตใจสงบเย็น

:b8: :b8: :b8:


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

วิปัลลาสสูตร


[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่า
เป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่
วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาส
จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด
มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่
ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง
ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ
และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์


ชนเหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน
ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

จบสูตรที่ ๙




:b1: :b1: :b1:

พระสูตรตรง ... เมื่อหยิบยกขึ้นมากล่าว
และเมื่อผู้อ่านได้อ่านตามและเพียรพิจารณา
มักเป็นสิ่งที่ยังจิตใจสงบเย็น

:b8: :b8: :b8:

Kiss
:b1:
ก็รู้ตรงขณะที่กำลังมีธัมมะอะไรทีละ1ทางว่าเป็นจิตทางไหนไม่ทันคือไม่รู้บาลีใช้คำว่ามีกิเลสค่ะ
หรือเข้าใจว่าเป็นรูปอะไรคือรู้ทันตรงขณะไม่ใช่คนทั้งตัวไงคะคือตนรู้คือปัญญารู้เพราะเข้าใจถูกคือปัญญา
คือสัมมาทิฏฐิค่ะแล้วคิดว่าจะรู้อะไรได้คะถ้าไม่เคยพึ่งคิดตรงสัจจะที่ปรากฏตรงทีละคำจากการฟังมาก่อน
ไปนั่งหลับตาเพียรไม่รู้เห็นโดยที่ตาไม่บอดก็ไปหลับตาหาเห็นหรือคะแล้วจะรู้จักเห็นตามปกติได้อย่างไรกัน
เดี๋ยวนี้เลยตนรู้อะไรที่กำลังปรากฏประจักษ์ชัดซึ่งหน้าตาไม่บอดนี่คะเสียงอ่านว่าเห็นไม่ใช่เราเห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นเห็นเกิดแล้วดับแล้วถ้าจิตตนไม่รู้ขณะกำลังฟังปัญญาจะแทรกเข้ามาได้อย่างไรเข้าใจไหมคะว่า
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
จิตรู้นามรูปคือรู้รูปปรมัตถ์คือการพึ่งคำตถาคตตรงสัจจะที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ได้พึ่งคิดคำตถาคตอยู่
แสดงว่ากิเลสอาสาวะไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วค่ะเป็นความจริงที่ปรากฏไปกับอวิชชาตนแล้วค่ะ
อัพยากตาคือกิริยาจิตคือจิตรู้รูปไงคะเดี๋ยวนี้เลยรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ตามปกติวิสัยมีครบ6ทางคือวิสยรูป7ค่ะ
รูปที่ปรากฏให้รู้ทั่วตัวครบ6ทางต้องทันครบ6ทางทีละ1ที่ตนทันไม่ทันคืออวิชชาไงคะจนกว่าจะเร็วทัน6ทาง
:b13:
:b16: :b16:

เห็นตัวสีแดงๆไหมคะก็อปมาแปะให้อ่านค่ะปกติที่ไม่ใช่ตถาคตคือแบบข้างล่างนี้ค่ะเข้าใจไหมคะ
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: :b9:

นี้งัย...เห็นรึยังว่า..คุณโรสก็ไม่รู้..ว่า.."ตน" หมายถึงอะไร



กบนอกกะลา เขียน:
รอกักกาย..รึเช่นนั้น...มาเฉลยดีกว่า..

เบื่อสัญญาวิปลาส..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: :b9:

นี้งัย...เห็นรึยังว่า..คุณโรสก็ไม่รู้..ว่า.."ตน" หมายถึงอะไร



กบนอกกะลา เขียน:
รอกักกาย..รึเช่นนั้น...มาเฉลยดีกว่า..

เบื่อสัญญาวิปลาส..

:b32:
ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินแต่เป็นจิตเห็นจิตได้ยิน
เวลาส่องกระจกเห็นอะไรคะ
ตัวตนเต็มๆคริคริคริก็ไม่รู้
จิตเห็นไม่เกิดกุศลเลย
เห็นดับเกิดกิเลสกรรมวิบากแล้ว
วิบากคือสิ่งที่จะทำให้ได้ไปเกิดรับผลไงคะ
ตนน่ะรู้ตรงวิสยรูป7ทั่วตัวตลอดเวลาคือสติสัมปชัญญะค่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
สมาธิคือเอกัคตาเจตสิกมีแล้วเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะค่ะ
ถ้าไม่ได้กำลังฟังพรพพุทธพจน์และไม่ระลึกวิสยรูป7ไปด้วย
จะไม่รู้เลยคะว่ามีสติปัญญาเกิดขึ้นทันทีท่ามกลางอกุศลค่ะ
เพราะหลังเห็นดับกำลังคิดตามเสียงเข้าใจพร้อมรู้ตรงผัสสะ
นั่นแหละปัญญาตนเริ่มสะสมพอหยุดฟังคิดเองตามกิเลสที่เห็นไงคะ
กะพริบตาแล้วอยู่กับทะเลเรื่องราวทั้งวันถ้าไม่เพียรพึ่งคำตถาคตเพื่อให้คิดถูกตามได้ทำเหตุปัญญาไงคะ
:b20:
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 11:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เห็นแค่สี..ไม่มีคน...ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธ์องค์สอน

ที่พระองค์สอน..เป็นอย่างไร...?

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

วิปัลลาสสูตร


[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่า
เป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่
วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาส
จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด
มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่
ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง
ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ
และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์


ชนเหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน
ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

จบสูตรที่ ๙



สัญญาวิปลาส...
สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน

ส่วนสัญญาไม่วิปลาส...
ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน



กบนอกกะลา เขียน:
คำว่า...ไม่ใช่ตน..กับ..ไม่ใช่คน..นั้นต่างกันฟ้ากับเหว

ตัวอย่างเช่น...นี้เป็นรูปลักษณ์ของคน

รูปภาพ


ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นรูปของคน...ไม่ใช่นกไม่ใช่กา..หากเห็นกำลังเดินในตลาด...ก็ว่านี้เป็นคน
หากใครรู้ชื่อ..ก็บอกว่า..นี้คือตูน...บ้างก็ว่า..พี่ตูนบ้าง..น้องตูนบ้าง..หลานตูนบ้าง...ตามสมมุติเปรียบเทียบ


กลับมาดู..คำที่ว่า..ไม่ใช่ตน..อีกครั้ง

อ้างคำพูด:
สัญญาวิปลาส...
สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน

ส่วนสัญญาไม่วิปลาส...
ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน


"ไม่ใช่ตน"

จะเข้าใจว่าอะไรคือ "ไม่ใช่ตน".. ก็ต้องมารู้จักคำว่า.."ตน"..ก่อน..ว่า.."ตน"..(ในที่นี้)..หมายถึงอะไร?
...



"ไม่ใช่ตน"

จะเข้าใจว่าอะไรคือ "ไม่ใช่ตน".. ก็ต้องมารู้จักคำว่า.."ตน"..ก่อน..ว่า.."ตน"..(ในที่นี้)..หมายถึงอะไร?

"ตน" หมายถึงอะไร.. ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
กำลังทำสุตมยปัญญาคือกำลังทำฟังพระพุทธพจน์เด่วนี้
ตนน่ะคือปัญญารู้ละตัวตนเพิกถอนอิริยาบทออกทั้งหมด
แล้วพึ่งการฟังพระพุทธพจน์และพึ่งคำวาจาสัจจะตรงวิสยรูป7
ตรงที่กายใจตนกำลังมีพร้อมเข้าใจตามเสียงเพื่อรู้สึกตัวทั่วพร้อมไงคะ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
สัญญาจำผิดเห็นแล้วเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีทำให้จิตวิปลาสจำคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามคำสอน
เพราะจักขุวิญญาณคือตาเห็นสีได้เพียง1สีดับทันทีคิดนึกเป็นคนสัตว์วัตถุสำรวมตายังไงเห็นผิดแล้ว
onion onion onion


พระพุทธเจ้านำความจริงมาบอก

ดังนั้นจึงเห็นไม่ตรงความจริง ในลักษณะมืดหรือสว่าง

ถ้าไม่มีแสง ก็ไม่มีสี

จิตวิปลาส เกี่ยวกับทิฏฐิ ที่เห็นสิ่งที่ทุกข์ว่าสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่มีสาระตัวตน ว่าเป็นตัวตน

มีเหตุเกิดครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
สัญญาจำผิดเห็นแล้วเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีทำให้จิตวิปลาสจำคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามคำสอน
เพราะจักขุวิญญาณคือตาเห็นสีได้เพียง1สีดับทันทีคิดนึกเป็นคนสัตว์วัตถุสำรวมตายังไงเห็นผิดแล้ว
onion onion onion


พระพุทธเจ้านำความจริงมาบอก

ดังนั้นจึงเห็นไม่ตรงความจริง ในลักษณะมืดหรือสว่าง

ถ้าไม่มีแสง ก็ไม่มีสี

จิตวิปลาส เกี่ยวกับทิฏฐิ ที่เห็นสิ่งที่ทุกข์ว่าสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่มีสาระตัวตน ว่าเป็นตัวตน

มีเหตุเกิดครับ

cool
:b12:
ก็ถูกต้องตามที่เขียนมาแล้ว
มีเหตุเกิดที่ว่านั้นน่ะค่ะก็คือ
เดี๋ยวนี้ไงคะเห็นรวมกันหมด
เป็นความคิดเห็นผิดไปแล้ว
คิด เห็น ที่ กำ ลัง ดู อยู่ ผิด
เพราะจิตเกิดดับทีละ1ลักษณะ
แต่ละลักษณะของจิตแต่ละ1
ไม่ปนกันและไม่พร้อมกันไงคะ
คือเดี๋ยวนี้ถ้ารู้ความจริงตรงตาม
ที่ทรงตรัสรู้ได้จากการเข้าใจถูก
และต้องเข้าใจตามตรงทางตรงขณะ
ไม่ได้แยกมีตัวตนออกไปทำต่างหาก
เพราะขณะที่ไปทำโดยขาดสุตมยปัญญา
ก็คือไม่ได้ระลึกตามแต่คิดไปตามสภาพจิตตน
เข้าใจไหมคะว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้าการไปทำ
โดยไม่พึ่งคำวาจาสัจจะไม่มีธัมมะเตชะอารักขา
การอารักขาจิตตนคือการเงี่ยโสตลงสดับทีละคำ
เข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงขณะคือมีสัมมาตาม
ไม่ใช่ไปทำตามความคิดตนเองที่คิดว่าอ่านจำมาทำ
เพราะทำอะไรไม่ได้เข้าใจไหมคะทุกอย่างมีแล้วค่ะ
สภาพธัมมะแต่ละ1หลากหลายตามการสะสมตามที่
มีพฤติกรรมต่างๆแสดงออกมาโดยไม่ได้คิดตามอยู่
คิดตามอยู่หมายถึงต้องกำลังมีเสียงคำที่คิดตรง1คำ
ตรงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลยค่ะถ้าตรง
คือตรงจริงแล้ว1ขณะจิตจะเป็นสี1สีหรือเสียง1เสียง
หรือรส1รสหรือสัมผัสเย็น1ครั้งหรือร้อนอ่อนแข็งแค่1
ทั้งหมดตามความเป็นจริงแยกกันเกิดดับสลับกันแต่ละ1
มีสว่างตอนมีสีหลังเห็นดับ3ขณะยังไม่ครบ6ทางกิเลสเกิดแล้ว
ทางตาดูตื่นรู้ตามปกตินี้แหละที่กำลังมีไม่รู้ความจริงมีกิเลส
ดูตาตนเห็นสิเพราะยังไม่ระบุชื่ออะไรเลยลืมตาปุ๊บจำผิดแล้วค่ะ
เพราะเห็นเป็นมีคนสัตว์วัตถุทันทีนั่นคือจิตคิดนึกเลยจิตเห็นสีแล้วค่ะ
แปลว่าจิตเห็นตามปกตินี่แหละเป็นอกุศลเมื่อไม่คิดตามคำตถาคตไงคะ
ตนไม่ได้รู้ความจริงอย่างพระพุทธเจ้าแน่นอนเพราะไม่ได้เห็นแค่สีถ้ารู้แล้วต้อง
อธิบายบัญญัติคำในรายละเอียดได้555ไม่มีใครมองเห็นปสาทรูปได้ค่ะ
เช่นจักขุปสาทรูปเป็นรูปพิเศษตรงกลางตาที่กระทบกับแสงสีค่ะ
ไม่มีใครลืมตาแล้วเลือกเห็นได้เพราะตาไม่เห็นแต่เป็นจิตเห็นค่ะ
มาจากตาไม่บอดคือมีจักขุปสาทรูปที่เกิดจากกรรมทำให้ตาไม่บอด
ปสาทรูปเป็นรูปที่รู้มาจากการตรัสรู้และทรงมาแสดงทุกอย่างให้รู้ตามได้เท่านั้น
ตัวเองต้องรู้ตามการสะสมที่ปัญญาตนมีเพราะทรงแสดงให้ทราบโดยละเอียด
ทั้งถูกและผิดทั้งดีและชั่วเพศที่บวชต่างจากชาวบ้านถ้าไม่รอบรู้ทั้ง3ปิฎก
ก็คิดกันเอาเองอ่านแล้วก็เอาบางส่วนไปคิดทำไงคะดังนั้นตอนที่เลิกฟัง
มีกิเลสก็ไปตามเห็นที่เป็นกิเลสของตนนั่นไงคะเลยเกิดเป็นมิจฉา
มรรคที่ตนคิดเองว่าต้องไปทำเลยกลายเป็นมิจฉามรรคนะคะ
สัมมามรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดถูกเข้าใจถูกตามค่ะ
ตามนี้คือตามตรงขณะเพราะแต่ละขณะที่ผ่านไปอวิชชาตน
ไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ตลอดเวลาจนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อเข้าใจ
เข้าใจคือปัญญาเจตสิกสะสมทีละ1ขณะแทรกเข้าจิตได้ตอนฟังค่ะ
ขาดการฟังเมื่อใดคิดสิคะตัวเองไม่ได้เห็นแค่สี1สีคือคิดเห็นผิดแล้วไงคะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
สัญญาจำผิดเห็นแล้วเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีทำให้จิตวิปลาสจำคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามคำสอน
เพราะจักขุวิญญาณคือตาเห็นสีได้เพียง1สีดับทันทีคิดนึกเป็นคนสัตว์วัตถุสำรวมตายังไงเห็นผิดแล้ว
onion onion onion


พระพุทธเจ้านำความจริงมาบอก

ดังนั้นจึงเห็นไม่ตรงความจริง ในลักษณะมืดหรือสว่าง

ถ้าไม่มีแสง ก็ไม่มีสี

จิตวิปลาส เกี่ยวกับทิฏฐิ ที่เห็นสิ่งที่ทุกข์ว่าสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่มีสาระตัวตน ว่าเป็นตัวตน

มีเหตุเกิดครับ

cool
:b12:
ก็ถูกต้องตามที่เขียนมาแล้ว
มีเหตุเกิดที่ว่านั้นน่ะค่ะก็คือ
เดี๋ยวนี้ไงคะเห็นรวมกันหมด
เป็นความคิดเห็นผิดไปแล้ว
คิด เห็น ที่ กำ ลัง ดู อยู่ ผิด
เพราะจิตเกิดดับทีละ1ลักษณะ
แต่ละลักษณะของจิตแต่ละ1
ไม่ปนกันและไม่พร้อมกันไงคะ
คือเดี๋ยวนี้ถ้ารู้ความจริงตรงตาม
ที่ทรงตรัสรู้ได้จากการเข้าใจถูก
และต้องเข้าใจตามตรงทางตรงขณะ
ไม่ได้แยกมีตัวตนออกไปทำต่างหาก
เพราะขณะที่ไปทำโดยขาดสุตมยปัญญา
ก็คือไม่ได้ระลึกตามแต่คิดไปตามสภาพจิตตน
เข้าใจไหมคะว่าตนไม่ใช่พระพุทธเจ้าการไปทำ
โดยไม่พึ่งคำวาจาสัจจะไม่มีธัมมะเตชะอารักขา
การอารักขาจิตตนคือการเงี่ยโสตลงสดับทีละคำ
เข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงขณะคือมีสัมมาตาม
ไม่ใช่ไปทำตามความคิดตนเองที่คิดว่าอ่านจำมาทำ
เพราะทำอะไรไม่ได้เข้าใจไหมคะทุกอย่างมีแล้วค่ะ
สภาพธัมมะแต่ละ1หลากหลายตามการสะสมตามที่
มีพฤติกรรมต่างๆแสดงออกมาโดยไม่ได้คิดตามอยู่
คิดตามอยู่หมายถึงต้องกำลังมีเสียงคำที่คิดตรง1คำ
ตรงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลยค่ะถ้าตรง
คือตรงจริงแล้ว1ขณะจิตจะเป็นสี1สีหรือเสียง1เสียง
หรือรส1รสหรือสัมผัสเย็น1ครั้งหรือร้อนอ่อนแข็งแค่1
ทั้งหมดตามความเป็นจริงแยกกันเกิดดับสลับกันแต่ละ1
มีสว่างตอนมีสีหลังเห็นดับ3ขณะยังไม่ครบ6ทางกิเลสเกิดแล้ว
ทางตาดูตื่นรู้ตามปกตินี้แหละที่กำลังมีไม่รู้ความจริงมีกิเลส
ดูตาตนเห็นสิเพราะยังไม่ระบุชื่ออะไรเลยลืมตาปุ๊บจำผิดแล้วค่ะ
เพราะเห็นเป็นมีคนสัตว์วัตถุทันทีนั่นคือจิตคิดนึกเลยจิตเห็นสีแล้วค่ะ
แปลว่าจิตเห็นตามปกตินี่แหละเป็นอกุศลเมื่อไม่คิดตามคำตถาคตไงคะ
ตนไม่ได้รู้ความจริงอย่างพระพุทธเจ้าแน่นอนเพราะไม่ได้เห็นแค่สีถ้ารู้แล้วต้อง
อธิบายบัญญัติคำในรายละเอียดได้555ไม่มีใครมองเห็นปสาทรูปได้ค่ะ
เช่นจักขุปสาทรูปเป็นรูปพิเศษตรงกลางตาที่กระทบกับแสงสีค่ะ
ไม่มีใครลืมตาแล้วเลือกเห็นได้เพราะตาไม่เห็นแต่เป็นจิตเห็นค่ะ
มาจากตาไม่บอดคือมีจักขุปสาทรูปที่เกิดจากกรรมทำให้ตาไม่บอด
ปสาทรูปเป็นรูปที่รู้มาจากการตรัสรู้และทรงมาแสดงทุกอย่างให้รู้ตามได้เท่านั้น
ตัวเองต้องรู้ตามการสะสมที่ปัญญาตนมีเพราะทรงแสดงให้ทราบโดยละเอียด
ทั้งถูกและผิดทั้งดีและชั่วเพศที่บวชต่างจากชาวบ้านถ้าไม่รอบรู้ทั้ง3ปิฎก
ก็คิดกันเอาเองอ่านแล้วก็เอาบางส่วนไปคิดทำไงคะดังนั้นตอนที่เลิกฟัง
มีกิเลสก็ไปตามเห็นที่เป็นกิเลสของตนนั่นไงคะเลยเกิดเป็นมิจฉา
มรรคที่ตนคิดเองว่าต้องไปทำเลยกลายเป็นมิจฉามรรคนะคะ
สัมมามรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดถูกเข้าใจถูกตามค่ะ
ตามนี้คือตามตรงขณะเพราะแต่ละขณะที่ผ่านไปอวิชชาตน
ไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ตลอดเวลาจนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อเข้าใจ
เข้าใจคือปัญญาเจตสิกสะสมทีละ1ขณะแทรกเข้าจิตได้ตอนฟังค่ะ
ขาดการฟังเมื่อใดคิดสิคะตัวเองไม่ได้เห็นแค่สี1สีคือคิดเห็นผิดแล้วไงคะ
:b12:
:b4: :b4:



สีมาอีกแระ ถามหลายหนแล้วว่า สี อะไร สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีทนได้ สีอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เห็นเงินมันคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามคำสอนเยอะมากค่ะ
เห็นสีดับในดวงตา...เงินนอกตา...ทำให้จิตวิปลาสเยอะเลย
:b12:
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 09:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ต่อไปจะเห็น bitcoin

:b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 17 ธ.ค. 2018, 10:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron