วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 06:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 215 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 21:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
เห็นความไม่เทียง เห็นความเสื่อมในความเกิดของสรรพสิ่งทุกอย่าง
ในคน สัตว์ วัตถุธาตุ เห็นความดับแล้วลงถึงจุดธรรมดานั้นถูกต้องแล้ว
ให้ฝึกฝนจิตใจยอมรับนับถือกฎของธรรมดานั้น แล้วจิตจักเป็นสุข เข้าถึงสังขารุเบกขาญาณได้โดยง่าย
เป็นอารมณ์ที่จักนำผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย เนื่องจากจิตวางธรรมทั้งภายนอกและภายใน เห็นเป็นเพียงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่กับความเสื่อม แล้วก็ดับไป จิตไม่ปรุงแต่งธรรม
หากแต่พิจารณาธรรมเหล่านั้น ให้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เนือง ๆ จิตจักว่างจากกิเลส ไม่ใช่กิเลสว่างจากจิต



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
พระคือผู้ประเสริฐ
เราก็ผู้หนึ่งที่บรรลุฌานรู้ว่ากายไม่มี
และเมื่อได้ฟังพระสัทธรรมจึงรู้ว่าผู้มีปกติรับเงินใช้เงินคือคฤหัสถ์ที่ยังต้องการกามคุณ5
ถ้าหากเราไม่เป็นผู้มั่นคงและจริงใจต่อผู้อื่นที่กำลังถือทิฏฐิว่าตนประเสริฐ
ประเสริฐแบบไหนมิทราบเราก็นั่งได้ฌานและบริสุทธิ์พรหมจรรย์ด้วย
เรามีเงินใช้เงินซื้อหาอาหารได้แต่ท่านผู้ที่คิดว่าตนถือครองผ้ากาสาวพัตรนั้น
แปดเปื้อนด้วยมณฑินไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ
เราก็ศิษย์ตถาคตเหมือนกันมิใช่หรือ
ใยมิแยแสที่ตถาคตสั่งไว้ว่าจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในการฟังพระธรรม
:b3:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
พระคือผู้ประเสริฐ
เราก็ผู้หนึ่งที่บรรลุฌานรู้ว่ากายไม่มี
และเมื่อได้ฟังพระสัทธรรมจึงรู้ว่าผู้มีปกติรับเงินใช้เงินคือคฤหัสถ์ที่ยังต้องการกามคุณ5
ถ้าหากเราไม่เป็นผู้มั่นคงและจริงใจต่อผู้อื่นที่กำลังถือทิฏฐิว่าตนประเสริฐ
ประเสริฐแบบไหนมิทราบเราก็นั่งได้ฌานและบริสุทธิ์พรหมจรรย์ด้วย
เรามีเงินใช้เงินซื้อหาอาหารได้แต่ท่านผู้ที่คิดว่าตนถือครองผ้ากาสาวพัตรนั้น
แปดเปื้อนด้วยมณฑินไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ
เราก็ศิษย์ตถาคตเหมือนกันมิใช่หรือ
ใยมิแยแสที่ตถาคตสั่งไว้ว่าจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในการฟังพระธรรม
:b3:
:b32: :b32:


:b32: :b32: :b32:

มีกระทู้ชื่อ..เงินและทอง..อยู่แล้ว...ไปพูดเรื่องเงินที่โน้น.. :b32:

ที่นี้..กระทู้ชื่อว่า.."คำสอนของพระพุทธเจ้าคิดเองผิดทันที"

:b32: :b32: :b32:

เด้วผมยกไปกระทู้โน้น..ให้นะ.. :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน..

อ้างคำพูด:
อย่าละความพยายามในการชำระจิตให้ผ่องใส ทุกอย่างให้ลงเป็นเรื่องธรรมดา
แล้วจิตจักปลดเรื่องขุ่นข้องหมองใจลงได้โดยง่าย โดยจิตจักมีเหตุมีผลมากขึ้น
ซึ่งเหตุแลผลนี้ก็เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงนั่นแหละ ไม่ต้องกังวลใจกับอะไรทั้งปวง
อะไรจักเกิดมันก็ต้องเกิด นี้เป็นของธรรมดา ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จักหลีกเลี่ยงได้
แล้วอย่าคาดคะเนว่าใครจักเป็นอย่างไร หรือบรรลุอะไรไปล่วงหน้า
ปล่อยให้เป็นวาระกรรมของแต่ละคน รวมทั้งการเข้าใจธรรมของแต่ละบุคคล
ก็ขึ้นอยู่กับบารมีของแต่ละคนที่บำเพ็ญกันมาแต่ชาติปางก่อนเช่นกัน



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
พระคือผู้ประเสริฐ
เราก็ผู้หนึ่งที่บรรลุฌานรู้ว่ากายไม่มี
และเมื่อได้ฟังพระสัทธรรมจึงรู้ว่าผู้มีปกติรับเงินใช้เงินคือคฤหัสถ์ที่ยังต้องการกามคุณ5
ถ้าหากเราไม่เป็นผู้มั่นคงและจริงใจต่อผู้อื่นที่กำลังถือทิฏฐิว่าตนประเสริฐ
ประเสริฐแบบไหนมิทราบเราก็นั่งได้ฌานและบริสุทธิ์พรหมจรรย์ด้วย
เรามีเงินใช้เงินซื้อหาอาหารได้แต่ท่านผู้ที่คิดว่าตนถือครองผ้ากาสาวพัตรนั้น
แปดเปื้อนด้วยมณฑินไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ
เราก็ศิษย์ตถาคตเหมือนกันมิใช่หรือ
ใยมิแยแสที่ตถาคตสั่งไว้ว่าจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในการฟังพระธรรม
:b3:
:b32: :b32:


:b32: :b32: :b32:

มีกระทู้ชื่อ..เงินและทอง..อยู่แล้ว...ไปพูดเรื่องเงินที่โน้น.. :b32:

ที่นี้..กระทู้ชื่อว่า.."คำสอนของพระพุทธเจ้าคิดเองผิดทันที"

:b32: :b32: :b32:

เด้วผมยกไปกระทู้โน้น..ให้นะ.. :b13:

:b32:
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกสิ่งเดียวกันน๊า
ถ้าเข้าใจผิดก็ทำผิดถ้าเข้าใจถูกไม่มีทางทำผิด
กิเลสน่ะไม่รู้สึกตัวเพราะไม่รู้เลยว่าตนไม่รู้อะไรเลย
หลงพอใจว่ารู้แล้วแต่เข้าใจไหมว่ารู้แล้วคือตถาคตและ
พระสาวกอรหันต์ทั้งหลายที่มีฤทธิ์เหาะเหิรเดินอากาศหายตัวได้
500รูปจำไม่ได้ดอกหรือไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำสอนแม้แต่น้อย
สมัยนี้บวชรับเงินไม่รู้สำนึกยังจะรวมหัวกันสวดถอนให้รับเงินได้ประเสริฐจริงหนอ
ชาวบ้านทั่วโลกขอเชิญออกมาฟังข้าพเจ้าตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่ายังจะกราบลงไหมหนอ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 23:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


เละครับท่าน จับแพะชนแกะมั่วไปหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


เละครับท่าน จับแพะชนแกะมั่วไปหมด

:b12:
ลองให้ลุงหมานช่วยพิจารณาดูสิผังวิปัสสนาต้องเจริญฌานด้วยไหมมันทำกันคนละเส้นทางเลยรู้ไหมอิอิอิ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


เละครับท่าน จับแพะชนแกะมั่วไปหมด

:b12:
ลองให้ลุงหมานช่วยพิจารณาดูสิผังวิปัสสนาต้องเจริญฌานด้วยไหมมันทำกันคนละเส้นทางเลยรู้ไหมอิอิอิ
:b32: :b32:



ฌาน ได้แก่ อะไร ? ไหนลองว่าไปสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


เละครับท่าน จับแพะชนแกะมั่วไปหมด

:b12:
ลองให้ลุงหมานช่วยพิจารณาดูสิผังวิปัสสนาต้องเจริญฌานด้วยไหมมันทำกันคนละเส้นทางเลยรู้ไหมอิอิอิ
:b32: :b32:



ฌาน ได้แก่ อะไร ? ไหนลองว่าไปสิ

:b32:
ถามทำไมรู้สึกตัวว่าขี้โกงแล้วมีคนเตือนก็ให้รู้จักพอไงสะสมแต่อหิริกะและอโนตัปปะเจตสิกคืออกุศลศีลทุศีล
ยังสิน่ามึนอยู่ต่อสูกะสิพากันลงนรกเบิดเข้าถึงคุณธรรมบ่ได้จักแนวเลย555
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


เละครับท่าน จับแพะชนแกะมั่วไปหมด

:b12:
ลองให้ลุงหมานช่วยพิจารณาดูสิผังวิปัสสนาต้องเจริญฌานด้วยไหมมันทำกันคนละเส้นทางเลยรู้ไหมอิอิอิ
:b32: :b32:



ฌาน ได้แก่ อะไร ? ไหนลองว่าไปสิ

:b32:
ถามทำไมรู้สึกตัวว่าขี้โกงแล้วมีคนเตือนก็ให้รู้จักพอไงสะสมแต่อหิริกะและอโนตัปปะเจตสิกคืออกุศลศีลทุศีล
ยังสิน่ามึนอยู่ต่อสูกะสิพากันลงนรกเบิดเข้าถึงคุณธรรมบ่ได้จักแนวเลย555
:b32: :b32:



ก็บอกแล้วว่า พูดมั่วไปโดยโยงศัพท์นั้นไปหาศัพท์โน่น ผูกไปผูกมา เละอย่างว่า โดยที่ตนก็ไม่รู้เขาสื่อถึงอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
สมาธิทำให้จิตสงบ

ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น

Kiss
:b12:
สมาธิคือธัมมะคือเจตสิกมีชื่อว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
เป็นสัมมาสมาธิในขณะที่กำลังฟังรู้ความจริงตรงขณะที่กายใจตนตรงๆ
กิิเลสแปลว่าไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็ไปทำเพื่ออยากสงบแต่สงบของผู้รู้คือสงบจากไม่รู้
ไปทำอิริยาบทนั่งยืนเดินนอนเพ่งด้วยความมีตัวตนคืออัตตาเป็นการทำมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังมีความคิดเห็นถูกตามเสียงตรงสัจจะที่ตนมี
ตอนกำลังฟังเพราะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6มีครบแล้วตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงจะฟังรู้เรื่อง
แต่ถ้าไม่ฟังเพื่อคิดถูกตามแปลว่าเหมือนกันเลยกับจิ้งจกตุ๊กแกสุนัขแมวที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตายไปเฉยๆ
แต่อบายภูมิกรรมกั้นให้คิดตามไม่ได้แต่คนคิดตามได้ทำไมไม่คิดตามให้เข้าใจเพราะทุกอย่างมีแล้วกำลังมี
กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่เคยคิดตามได้จึงเข้าใจว่าต้องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดแยกไปจากปกติ
เหตุปัจจัยกำลังปรากฏที่กายใจตนเองต้องลืมตาดูแล้วใช้หูฟังเทียบตามคำสอนเดี๋ยวนี้เลยคิดเองคือมิจฉาค่ะ
:b13:
:b31: :b31:


เละครับท่าน จับแพะชนแกะมั่วไปหมด

:b12:
ลองให้ลุงหมานช่วยพิจารณาดูสิผังวิปัสสนาต้องเจริญฌานด้วยไหมมันทำกันคนละเส้นทางเลยรู้ไหมอิอิอิ
:b32: :b32:



ฌาน ได้แก่ อะไร ? ไหนลองว่าไปสิ

:b32:
ถามทำไมรู้สึกตัวว่าขี้โกงแล้วมีคนเตือนก็ให้รู้จักพอไงสะสมแต่อหิริกะและอโนตัปปะเจตสิกคืออกุศลศีลทุศีล
ยังสิน่ามึนอยู่ต่อสูกะสิพากันลงนรกเบิดเข้าถึงคุณธรรมบ่ได้จักแนวเลย555
:b32: :b32:



ก็บอกแล้วว่า พูดมั่วไปโดยโยงศัพท์นั้นไปหาศัพท์โน่น ผูกไปผูกมา เละอย่างว่า โดยที่ตนก็ไม่รู้เขาสื่อถึงอะไร

Kiss
รู้จักว่าปกติลืมตาเห็นนี้แหละเป็นกิเลสทันทีแล้ว
เพราะไม่ทันวิสยรูป7ที่ดับไปนับไม่ถ้วนเลยตนน่ะ
ต้องเพียรตามรู้สิ่งที่กำลังปรากฏค่อยๆเริ่มทีละคำ
ช้าๆก่อนตรงสัจจะทาง1ทางใดก็ได้1คำตรงที่ตนมี
ถ้าไม่รู้ตรง1สัจจะที่ตนกำลังมีเด๋วนี้เลยอวิชชาดับ
ปัญญาไม่เกิดไงคะเพราะระลึกตรงฐานที่ตั้งกายตน
ตรง1สัจจะอะไรไม่รู้เพราะรู้ทันตรง1ที่ปรากฏเรียกว่า
เอกายโนมัคโคทันแค่1ที่เหลือไม่ทันคือดับทั้งหมดแล้ว
:b32: :b32:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2018, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถือมั่นในตบะ..ของตนซะเหลือเกิน...

ไม่อาจหน่ายบาปด้วยตบะ..เพราะอย่างนี้..เป็นต้น

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

๒. อุทุมพริกสูตร (๒๕)


[๒๔] นิโครธปริพาชกทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค
ตรัสอุปกิเลสมากอย่างในการหน่ายบาปด้วยตบะที่บริบูรณ์แล้วอย่างนี้ อย่างไรเล่า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ย่อมถือ
มั่นตบะ เขาเป็นผู้ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ
ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ
เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ยกตนข่มผู้อื่นด้วย
ตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

..............
...............
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมเป็นผู้
รุกรานสมณะหรือพราหมณ์อื่นแต่ที่ไหนๆ ว่า ก็ไฉน ผู้นี้เลี้ยงชีพด้วยวัตถุหลาย
อย่าง กินวัตถุทุกๆ อย่าง คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล
พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ดเป็นที่ครบห้า ปลายฟันของผู้นี้คมประดุจสายฟ้า
คนทั้งหลายย่อมจำกันได้ด้วยวาทะว่าเป็นสมณะ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่
บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะเห็นสมณะหรือ
พราหมณ์อื่น ที่เขาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ในสกุลทั้งหลาย เขาดำริอย่างนี้ว่า
คนทั้งหลายย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา สมณะหรือพราหมณ์ชื่อนี้แล
ผู้เลี้ยงชีพด้วยวัตถุหลายอย่าง ในสกุลทั้งหลาย แต่ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ
ไม่บูชาเราผู้มีตบะ เลี้ยงชีพด้วยวัตถุเศร้าหมอง เขาเป็นผู้ให้ความริษยาและความตระ
หนี่เกิดขึ้นในสกุลทั้งหลาย ดังนี้ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมเสพโทษอัน
ปกปิดบางอย่าง เขาถูกผู้อื่นถามว่า โทษนี้ควรแก่ท่านหรือ กล่าวโทษที่ไม่ควรว่าควร
กล่าวโทษที่ควรว่าไม่ควร เขาเป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ดังนี้ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็น
อุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เมื่อพระตถาคต
หรือสาวกของพระตถาคตแสดงธรรมอยู่ ย่อมไม่ผ่อนตามปริยายซึ่งควรจะผ่อนตาม
อันมีอยู่ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะเป็นผู้มักโกรธ
มักผูกโกรธ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะเป็นผู้มีความ
ลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด มีมารยา กระด้าง ถือตัวจัด เป็นผู้มี
ความปรารถนาลามก ไปสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก เป็นมิจฉาทิฐิ
ประกอบด้วยทิฐิอันดิ่งถึงที่สุด เป็นผู้ลูบคลำทิฐิเอง เป็นผู้ถือมั่น สละคืนได้ยาก
แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ




ส่วนคนที่หน่ายบาปด้วยตบะได้นั้น...เป็นอย่างนี้..เป็นต้น

อ้างคำพูด:
[๒๕] ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ เขาเป็นผู้
ไม่ดีใจ ไม่มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยตบะนั้น ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ไม่ดีใจ
ไม่มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยตบะนั้น อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยตบะนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์
ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาย่อมไม่เมา ไม่ลืมสติ ย่อมไม่ถึงความเมา ด้วยตบะนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อม
เป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาให้ลาภสักการะและความสรรเสริญ เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเป็นผู้ไม่ดีใจ
ไม่มีความดำริบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อม
เป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาให้ลาภสักการะและความสรรเสริญ เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาย่อมไม่ยกตน
ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ... อย่างนี้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
ย่อมไม่ถึงส่วน ๒ ในโภชนะทั้งหลายว่า สิ่งนี้ควรแก่เรา สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา
ก็สิ่งใดแลไม่ควรแก่เขา เขาไม่มุ่งละสิ่งนั้นเสีย ส่วนสิ่งใดควรแก่เขา เขาไม่
กำหนัด ไม่ลืมสติ ไม่ติดสิ่งนั้น แลเห็นโทษ มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภค
อยู่ อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ




http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 708&Z=1188


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2018, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ถือมั่นในตบะ..ของตนซะเหลือเกิน...

ไม่อาจหน่ายบาปด้วยตบะ..เพราะอย่างนี้..เป็นต้น

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

๒. อุทุมพริกสูตร (๒๕)


[๒๔] นิโครธปริพาชกทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค
ตรัสอุปกิเลสมากอย่างในการหน่ายบาปด้วยตบะที่บริบูรณ์แล้วอย่างนี้ อย่างไรเล่า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ย่อมถือ
มั่นตบะ เขาเป็นผู้ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ
ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมถือมั่นตบะ
เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ยกตนข่มผู้อื่นด้วย
ตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

..............
...............
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมเป็นผู้
รุกรานสมณะหรือพราหมณ์อื่นแต่ที่ไหนๆ ว่า ก็ไฉน ผู้นี้เลี้ยงชีพด้วยวัตถุหลาย
อย่าง กินวัตถุทุกๆ อย่าง คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล
พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ดเป็นที่ครบห้า ปลายฟันของผู้นี้คมประดุจสายฟ้า
คนทั้งหลายย่อมจำกันได้ด้วยวาทะว่าเป็นสมณะ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่
บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะเห็นสมณะหรือ
พราหมณ์อื่น ที่เขาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ในสกุลทั้งหลาย เขาดำริอย่างนี้ว่า
คนทั้งหลายย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา สมณะหรือพราหมณ์ชื่อนี้แล
ผู้เลี้ยงชีพด้วยวัตถุหลายอย่าง ในสกุลทั้งหลาย แต่ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ
ไม่บูชาเราผู้มีตบะ เลี้ยงชีพด้วยวัตถุเศร้าหมอง เขาเป็นผู้ให้ความริษยาและความตระ
หนี่เกิดขึ้นในสกุลทั้งหลาย ดังนี้ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะย่อมเสพโทษอัน
ปกปิดบางอย่าง เขาถูกผู้อื่นถามว่า โทษนี้ควรแก่ท่านหรือ กล่าวโทษที่ไม่ควรว่าควร
กล่าวโทษที่ควรว่าไม่ควร เขาเป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ดังนี้ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็น
อุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เมื่อพระตถาคต
หรือสาวกของพระตถาคตแสดงธรรมอยู่ ย่อมไม่ผ่อนตามปริยายซึ่งควรจะผ่อนตาม
อันมีอยู่ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะเป็นผู้มักโกรธ
มักผูกโกรธ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะเป็นผู้มีความ
ลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด มีมารยา กระด้าง ถือตัวจัด เป็นผู้มี
ความปรารถนาลามก ไปสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก เป็นมิจฉาทิฐิ
ประกอบด้วยทิฐิอันดิ่งถึงที่สุด เป็นผู้ลูบคลำทิฐิเอง เป็นผู้ถือมั่น สละคืนได้ยาก
แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ ฯ




ส่วนคนที่หน่ายบาปด้วยตบะได้นั้น...เป็นอย่างนี้..เป็นต้น

อ้างคำพูด:
[๒๕] ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ เขาเป็นผู้
ไม่ดีใจ ไม่มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยตบะนั้น ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ไม่ดีใจ
ไม่มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยตบะนั้น อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยตบะนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์
ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาย่อมไม่เมา ไม่ลืมสติ ย่อมไม่ถึงความเมา ด้วยตบะนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อม
เป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาให้ลาภสักการะและความสรรเสริญ เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเป็นผู้ไม่ดีใจ
ไม่มีความดำริบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อม
เป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
เขาให้ลาภสักการะและความสรรเสริญ เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาย่อมไม่ยกตน
ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ... อย่างนี้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ในฐานะนั้น ฯ

ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ
ย่อมไม่ถึงส่วน ๒ ในโภชนะทั้งหลายว่า สิ่งนี้ควรแก่เรา สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา
ก็สิ่งใดแลไม่ควรแก่เขา เขาไม่มุ่งละสิ่งนั้นเสีย ส่วนสิ่งใดควรแก่เขา เขาไม่
กำหนัด ไม่ลืมสติ ไม่ติดสิ่งนั้น แลเห็นโทษ มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภค
อยู่ อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ฯ




http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 708&Z=1188

:b32:
อ่านช้าๆชัดๆทีละคำคิดตรงคำไม่สอดแทรกสิ่งที่ตนคิดลงมาเพิ่มจ้ะ
ฟังด้วยหูตนเองและดูความจริงที่ตาเนื้อตนเองเห็นตามปกติเป็นปกติ
มีการสะสมความรู้จริงทุกขณะที่กำลังฟังและกำลังดูนั่นแหละดูตบะตน
ของจริงฟังแล้วคิดตามจริงที่กายใจกำลังมีถึงจะคิดได้รู้ตัวไหมคะตถาคตตรงจริงๆ
ไม่รู้จักที่กายใจตนตรงจริงเลยสัก1ทางนั่นแหละคือไม่รู้จักตถาคตเพราะการรู้จักตถาคต
ไม่ใช่การจำชื่อบัญญัติคำหรือเรื่องราวที่ตถาคตไปทำอะไรที่ไหนคุยอะไรกับใครบ้างนะคะ
แต่เป็นการมองเห็นกายใจตนเองที่มีกิเลสดิ้นรนไม่ยอมฟังเพราะไม่เคยสะสมปัญญามาก่อนไงคะ
จะรู้ว่าตนเองสะสมอะไรมาบ้างต้องระลึกตามคำที่กำลังได้ยินตรงกับที่กายกำลังมีจึงเริ่มเกิดปัญญาค่ะ
:b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 215 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร