วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 08:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
บวชแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้ำหลวง! กู้ภัยไปช่วยหา13หมูป่าเคยลั่นวาจาขอ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต 1 ราย

รูปภาพ


เขาบวชกันอีกแล้ว คุณโรส :b12: ยกมือสาธุสิครับ คิกๆๆ ได้บุญน๊า :b1:

อนุโมทนาในอกุศลด้วยความไม่รู้ที่บวชแก้บนนั้นหรือคะ
มีแต่ทำด้วยความไม่รู้ไม่เอาหรอกไม่อยากเกิดร่วมชาติ

:b32: :b32:
:b55: :b55: :b55:


ไปเอาความคิดนี้..มาจากไหน?...หรือ..เป็นคำของตถาคตหรือคุณโรส

:b9: :b9: :b9:

ชาติอกุศลคือไม่รู้อะไรเลยก็อยากบวชเพราะบวชด้วยความไม่รู้มาจากเหตุผลที่บวช
การบวชเป็นความจริงที่รู้ตัวว่าไม่ใช้เงินทองทำอะไรแล้วเข้าใจไหมสละหมดไม่เอา
บวชมาเพื่อขออยู่กินฟรีไม่ต้องทำงานประกาศชัดนุ่งจีวรนั้นว่าไม่ใช้เงินนะคะอิอิอิ
ถ้ายังมีบัญชีเงินเดือนที่ดินทรัพย์สินเขาเรียกอลัชชีสละไม่ได้ก็อยากบวชไงคะ
มีหนี้สินก็บวชไม่ได้เข้าใจไหมต้องบวชด้วยบริสุทธิ์จริงๆไม่งั้นก็อาบัติทุศีลฮิ
:b32: :b32:


คุณโรสครับ...ถามว่าคุณโรสไปเอาความคิดนี้มาจากไหน?..ครับ.หรือ..เป็นคำของตถาคตหรือคุณโรส
ไม่ได้ถามว่าคนบวช..ไปบวชด้วยอะไร

Rosarin เขียน:
อนุโมทนาในอกุศลด้วยความไม่รู้ที่บวชแก้บนนั้นหรือคะ
มีแต่ทำด้วยความไม่รู้ไม่เอาหรอกไม่อยากเกิดร่วมชาติ

:b32: :b32:
:b55: :b55: :b55:


คุณโรสไปเอาความคิดนี้มาจากไหน?..ครับ.หรือ..เป็นคำของตถาคตหรือคุณโรส?

cool
:b20:
ไตร่ตรองเอาให้ตรงวัตถุประสงค์ของบรรพชา
พระพุทธเจ้าทรงแบ่งประเภทพุทธบริษัทเป็น2ประเภทคือ1บรรพชิต2คฤหัสถ์
บรรพชิตแบ่งเป็น2เพศคือภิกษุและภิกษุณี/คฤหัสถ์แบ่งเป็น2เพศคืออุบาสกและอุบาสิกา
ทีนี้บรรพชาเพราะไม่อยากครองเรือนไม่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงใครต่างจากชาวบ้านมากเข้าใจไหมคะ
จะร้องเพลงก็ไม่ได้จะรับเกิน1บาตรก็คือโลภต้องรู้จักประมาณตนเองเพราะสละสมบัติญาติพี่น้องหมดแล้ว
ไม่รับเงินไม่หุงหาอาหารไม่ปรุงอาหารไม่บิณมาเผื่อใครแล้วเข้าใจให้รู้จักพอดีแก่ยังอัตภาพ1คนคือสันโดษ
มักน้อยไม่ข้องแวะหมู่คณะคือสงบทางตาเนื้ออันเห็นผิดอันทำให้กิเลสกำเริบจากการเห็นอยู่จำวัดคนเดียว
หมายถึงนอนในที่มุงบังได้เพียง1คนในกุฏิ1หลังไม่เก็บสะสมอะไรมีเพียงบาตรจีวรอัฏบริขารเท่านั้นสละค่ะ
มีแต่ตัวเปล่าเข้าใจไหมคะซื้อหาเองไม่ได้รู้นิสัยตนเองว่าทำตามพระพุทธเจ้าสั่งเอาไว้ตามสิกขาบทได้ค่ะ
ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องรู้จักตัวเองว่าผิดสำนึกก็ปลงอาบัติก่อนเพื่อขออนุญาตบวชต่อจะไม่ทำผิดอีกนะคะนะ
แล้วมาแกล้งทำผิดรับเงินหรือคะเพื่อที่จะไปปลงอาบัติใหม่หรือคะรู้ไหมคะว่าทำแบบนั้นไม่ได้เลยนะคะ
กลับไปตั้งต้นที่เหตุผลในการบวชคือสละหมดชื่อเสียงทรัพย์สินเงินทองลูกเมียหรือผัว(สำหรับภิกษุณี)
ทีนี้ยุคนี้ภิกษุณีไม่มีเพราะทำตามสิกขาบทไม่ได้ไงเขาลาสิกขาไปหมดส่วนปัจจุบันบวชแล้วบาปเพราะ
ไม่บริสุทธิ์คือคิดเอาไงว่าถือศีลมากข้อเป็นบุญน่ะทบทวนตนเองให้ดีว่าสะดวกเป็นเพศไหนถ้าจะใช้เงิน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นมัยละ...ตัวเองพูดเอง..แต่ก็ไม่รู้ว่าพูดออกมาด้วยอะไร...คิดเองหรือจำจากใครมา..
แล้วอย่างนี้จะให้กระผมเชื่อได้อย่างไรว่าคุณโรสมีสติสัมปชัญญะพอจะเท่าทัน..การเห็น..ทันสัญญา..ทันความคิด...ได้.

มาดูนี้ซิ....มีตัวอย่าง...พระท่านสอนพระเรื่องเงิน..ดูท่านจะไม่กลัวเงิน :b17: :b17:

อ้างคำพูด:
"อย่าเมาในลาภ อย่าเมาในยศ อย่าเมาในสรรเสริญ อย่าเมาในสุข บวชมาแล้วอย่าปรารถนาความร่ำรวย เขาให้ก็รับ มีกินมีใช้พอแล้ว พอกินพอใช้เหลือแล้วก็ทำในส่วนสาธารณประโยชน์ไป พระนี่ต้องเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ถ้าสงเคราะห์ด้วยทรัพย์สินไม่ได้ ก็สงเคราะห์โดยธรรม ชักชวนเขา สอนเขาโดยธรรมะ แล้วชักชวนให้ร่วมทุนกันสงเคราะห์คนจน หรือสร้างในสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ อันนี้เป็นบุญนะไม่ใช่ขัดต่อกรรมฐาน เป็นการระบายความชั่วมาตั้งให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นความดี เรามีเงินมาก ๆ เขาให้มามากเกินกินเกินใช้ เอามาสร้างกุฏิเสียบ้าง สร้างโบสถ์เสียบ้าง สร้างส้วมบรรเทาทุกข์ของนักบวชหรือนักปฏิบัติ สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญก็มีประโยชน์ นี่เรียกว่า เอาความชั่ว คือ โลภะ ความโลภ คือ ทรัพย์สินที่เรามีอยู่ในกายนี่เอามาสร้างทำให้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เสีย รู้จักดัดแปลงอย่างนี้ก็จะใกล้พระนิพพานมากขึ้น เพราะรู้จักเสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุ ถ้าวัตถุสละไม่ได้แล้วกิเลสมันก็จะสละไม่ได้ อย่าไปเชื่อใคร พระที่สะสมเงินไว้มาก ๆ จนกระทั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เงินเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านแล้วก็มาบอกว่าตัวเป็นผู้วิเศษน่ะอย่าไปเชื่อ โกหกทั้งเพ คนพวกนี้คบอะไรไม่ได้ นอกจากเงินจำนวนนั้นท่านมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ก็ควรจะโมทนา เพราะท่านไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินของท่าน"


จะเห็นว่า...เงินไม่น่ากลัว....ที่น่ากลัวคือไม่มีปัญญา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ยกมา..ให้อยู่ถูกที่ถูกทาง..ซะ

viewtopic.php?f=1&t=56020&p=423303#p423303

Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
พระคือผู้ประเสริฐ
เราก็ผู้หนึ่งที่บรรลุฌานรู้ว่ากายไม่มี
และเมื่อได้ฟังพระสัทธรรมจึงรู้ว่าผู้มีปกติรับเงินใช้เงินคือคฤหัสถ์ที่ยังต้องการกามคุณ5
ถ้าหากเราไม่เป็นผู้มั่นคงและจริงใจต่อผู้อื่นที่กำลังถือทิฏฐิว่าตนประเสริฐ
ประเสริฐแบบไหนมิทราบเราก็นั่งได้ฌานและบริสุทธิ์พรหมจรรย์ด้วย
เรามีเงินใช้เงินซื้อหาอาหารได้แต่ท่านผู้ที่คิดว่าตนถือครองผ้ากาสาวพัตรนั้น
แปดเปื้อนด้วยมณฑินไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ
เราก็ศิษย์ตถาคตเหมือนกันมิใช่หรือ
ใยมิแยแสที่ตถาคตสั่งไว้ว่าจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในการฟังพระธรรม
:b3:
:b32: :b32:


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
รัชกาลที่1แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ออกกฏหมายจับพระที่รับเงินขังคุกอยากได้มากไหมเงินลาสิกขาสิคะ
กม.มีก็ไปหามายันเลยเก่งๆกันทั้งนั้นอยากแก้พระธรรมวินัยที่สูงกว่ากฏหมายคิดว่าจะแก้ได้ก็ลองดูเลย555
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
รัชกาลที่1แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ออกกฏหมายจับพระที่รับเงินขังคุกอยากได้มากไหมเงินลาสิกขาสิคะ
ก็ไปหามายันเลยเก่งๆกันทั้งนั้นอยากแก้พระธรรมวินัยที่สูงกว่ากฏหมายคิดว่าจะแก้ได้ก็ลองดูเลย555


อ้าง ร. 1 แล้ว ร.ไหนจ่ายเงินเดือนพระ :b10:

คุณโรสนี่เลอะเทอะอยู่อีกมาก นี่เพราะความไม่รู้แล้วดันทุรัง กฎหมายต่างหากที่อยู่เหนือวินัย

ไปศึกษาวินัยให้ชัด คิกๆๆ เลอะขอรับท่าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
รัชกาลที่1แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ออกกฏหมายจับพระที่รับเงินขังคุกอยากได้มากไหมเงินลาสิกขาสิคะ
ก็ไปหามายันเลยเก่งๆกันทั้งนั้นอยากแก้พระธรรมวินัยที่สูงกว่ากฏหมายคิดว่าจะแก้ได้ก็ลองดูเลย555


อ้าง ร. 1 แล้ว ร.ไหนจ่ายเงินเดือนพระ :b10:

คุณโรสนี่เลอะเทอะอยู่อีกมาก นี่เพราะความไม่รู้แล้วดันทุรัง กฎหมายต่างหากที่อยู่เหนือวินัย

ไปศึกษาวินัยให้ชัด คิกๆๆ เลอะขอรับท่าน

:b12:
ไปศึกษาประวัติศาสตร์มาสิ
พระเจ้าตากสินถวายแผ่นดิน
เป็นสัการะแก่พระพุทธเจ้าไง
แล้วก็สละไม่ขึ้นครองราชย์น๊า
ฝากไว้กับราชวงศ์จักรีไม่รู้หรา
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระรับเงินผิดพระธรรมวินัย
วัดรับเงินไม่ผิดพระธรรมวินัย
กรรมการวัด ที่เป็นชาย ทำหน้าทีเป็นกัปปิยการก
อุบาสก อุบาสิกามีจิตศรัทธา จะมอบเงินทองข้าวของเพื่อบำรุงสงฆ์ บำรุงวัด ก็มอบให้กับกัปปิยการกได้ไม่ผิดพระธรรมวินัย
เจ้าอาวาส มีหน้าที่ต้องบำรุงปฏิสังขรณ์ ที่อยู่อาศัย วัด ของสงฆ์ซึ่งเจ้าอาวาสต้องรับผิดชอบตามพระธรรมวินัยอันเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็แจ้งให้กัปปิยการก ทราบถึงกัปปิยภัณฑ์ตามต้องการได้ ก็ไม่ผิดพระธรรมวินัยเช่นกัน

การบริหารกัปปิยภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งในสมัยพุทธกาลก็ยังต้องใช้เงินใช้ทอง
แต่การรับเงินรับทองญาติโยมต้องทราบว่าไม่ควรให้กับพระภิกษุ เพราะพระภิกษุจะต้องนิสสัคิยปาจิตตีย์ได้
พึงมอบให้กัปปิยการกแทน

แต่ถ้าหากกัปปิยการกไม่อยู่ในขณะนั้น ก็ยังมีพุทธานุญาตให้รับแต่ต้องสละ และกัปปิยการกจะต้องทำรับและจัดหาเป็นกัปปิยภัณฑ์ตามสมควรประเคนแก่พระภิกษุตามควร
การบัญญัติ เรื่องการรับเงินของวัด(ไม่ใช่ของพระ) อาศัยพระสูตรนี้เป็นตัวตั้งต้น
ดังนั้น การบอกบุญเรี่ยไร จึงไม่ใช่กิจของพระ แต่เป็นเรื่องของกัปปิยการกครับ
สมัยนี้ ตีความเป็นนอมินีไป ซึ่งถ้าเป็นนอมินี พระต้องรู้เห็นเป็นใจและยินดี

เรื่องเงินทองกับวัดต้องทำให้ถูกต้องตามพุทธานุญาต

Quote Tipitaka:
เมณฑกานุญาต
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับไป หลังจากนั้นพระองค์ทรงทำธรรมีกถา
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส.
มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป
ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร
ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว ต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือ
พึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน
ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส.
มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก
สั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้ แต่เรา
มิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2018, 03:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2018, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระรับเงินผิดพระธรรมวินัย
วัดรับเงินไม่ผิดพระธรรมวินัย
กรรมการวัด ที่เป็นชาย ทำหน้าทีเป็นกัปปิยการก
อุบาสก อุบาสิกามีจิตศรัทธา จะมอบเงินทองข้าวของเพื่อบำรุงสงฆ์ บำรุงวัด ก็มอบให้กับกัปปิยการกได้ไม่ผิดพระธรรมวินัย
เจ้าอาวาส มีหน้าที่ต้องบำรุงปฏิสังขรณ์ ที่อยู่อาศัย วัด ของสงฆ์ซึ่งเจ้าอาวาสต้องรับผิดชอบตามพระธรรมวินัยอันเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็แจ้งให้กัปปิยการก ทราบถึงกัปปิยภัณฑ์ตามต้องการได้ ก็ไม่ผิดพระธรรมวินัยเช่นกัน

การบริหารกัปปิยภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งในสมัยพุทธกาลก็ยังต้องใช้เงินใช้ทอง
แต่การรับเงินรับทองญาติโยมต้องทราบว่าไม่ควรให้กับพระภิกษุ เพราะพระภิกษุจะต้องนิสสัคิยปาจิตตีย์ได้
พึงมอบให้กัปปิยการกแทน

แต่ถ้าหากกัปปิยการกไม่อยู่ในขณะนั้น ก็ยังมีพุทธานุญาตให้รับแต่ต้องสละ และกัปปิยการกจะต้องทำรับและจัดหาเป็นกัปปิยภัณฑ์ตามสมควรประเคนแก่พระภิกษุตามควร
การบัญญัติ เรื่องการรับเงินของวัด(ไม่ใช่ของพระ) อาศัยพระสูตรนี้เป็นตัวตั้งต้น
ดังนั้น การบอกบุญเรี่ยไร จึงไม่ใช่กิจของพระ แต่เป็นเรื่องของกัปปิยการกครับ
สมัยนี้ ตีความเป็นนอมินีไป ซึ่งถ้าเป็นนอมินี พระต้องรู้เห็นเป็นใจและยินดี

เรื่องเงินทองกับวัดต้องทำให้ถูกต้องตามพุทธานุญาต

Quote Tipitaka:
เมณฑกานุญาต
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับไป หลังจากนั้นพระองค์ทรงทำธรรมีกถา

ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส.
มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป
ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร
ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว ต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือ
พึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน
ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส.
มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก
สั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้ แต่เรา
มิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย.

cool
เข้าใจปกติคนธรรมดาไม่เกี่ยวข้องกับเงินเลยแค่คิดดีใจก็ไม่ได้ไหมคะ
:b32:
ถ้ายังมาคอยควบคุมกำกับว่าอยากได้โน่นนี่นั่นและดูบัญชีว่ามีเงินเหลือเท่าไร
มีชื่อบัญชีก็ผิดแล้วไม่ต้องไปคิดว่าไม่เจตนาเพราะเปิดบัญชีใครลงชื่อคะอิอิอิ
ไม่รู้จักกิเลสน่ะปัญญาไม่ใช่เรื่องคิดเอาเองมีปัญญาไหมใช้เงินคือเพศคฤหัสถ์
ฟังบ้างเถอะก่อนจิตออกจากร่างที่ทำอยู่ถูกผิดดีชั่วรู้ได้จากจิตได้ยินเท่านั้นค่ะ
:b32: :b32:
https://youtu.be/1D0_xwRn6oE


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คำสอนของพระพุทธเจ้าสูงกว่ากฏหมาย
การออกกฏหมายใดๆต้องล้อตามคำสอน
ต้องยึดถือคำสอนสูงสุดเพราะจริงๆคำสอน
มันเหนือกฏหมายอยู่แล้วไม่มีอะไรผิดทางโลก
แต่การรับเงินนั้นผิดทางโลกไงคะผิดคำสอนด้วย
หัวใสเหลือเกินขึ้เกียจทำมาหากินเลยจะแก้คำสอนอิอิ
ดีนะมีทั้งคนกราบไหว้มีทั้งเงินเอามาประเคนสาวๆเข้าวัด555
เจริญหูเจริญตาเจริญใจของกิเลสแต่ไร้คุณธรรมสิ้นดีรู้สึกตัวไหมค๊า
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 08:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
คำสอนของพระพุทธเจ้าสูงกว่ากฏหมาย
การออกกฏหมายใดๆต้องล้อตามคำสอน
ต้องยึดถือคำสอนสูงสุดเพราะจริงๆคำสอน
มันเหนือกฏหมายอยู่แล้วไม่มีอะไรผิดทางโลก
แต่การรับเงินนั้นผิดทางโลกไงคะผิดคำสอนด้วย
หัวใสเหลือเกินขึ้เกียจทำมาหากินเลยจะแก้คำสอนอิอิ
ดีนะมีทั้งคนกราบไหว้มีทั้งเงินเอามาประเคนสาวๆเข้าวัด555
เจริญหูเจริญตาเจริญใจของกิเลสแต่ไร้คุณธรรมสิ้นดีรู้สึกตัวไหมค๊า

onion onion onion


สัญญาวิปลาส..เกิดขึ้นแล้ว...ก็ดูไม่ทัน
พูดออกมาแล้ว..พิมพ์ในคอมก็แล้ว...ก็ยังไม่ทันเหตุอันเกิดจากสัญญาวิปลาส..ไม่เห็นแววของตบะแห่งการหน่ายบาป...

การที่พูดว่า..ทันการเห็นทีละขณะ...ทีละสี...ก็ดูจะเป็นการพูดขึ้นลอยๆ.ซะละมั้ง...ไม่เห็นแววของมรรคของผลอะไรเลย..นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
คำสอนของพระพุทธเจ้าสูงกว่ากฏหมาย
การออกกฏหมายใดๆต้องล้อตามคำสอน
ต้องยึดถือคำสอนสูงสุดเพราะจริงๆคำสอน
มันเหนือกฏหมายอยู่แล้วไม่มีอะไรผิดทางโลก
แต่การรับเงินนั้นผิดทางโลกไงคะผิดคำสอนด้วย
หัวใสเหลือเกินขึ้เกียจทำมาหากินเลยจะแก้คำสอนอิอิ
ดีนะมีทั้งคนกราบไหว้มีทั้งเงินเอามาประเคนสาวๆเข้าวัด555
เจริญหูเจริญตาเจริญใจของกิเลสแต่ไร้คุณธรรมสิ้นดีรู้สึกตัวไหมค๊า

onion onion onion


สัญญาวิปลาส..เกิดขึ้นแล้ว...ก็ดูไม่ทัน
พูดออกมาแล้ว..พิมพ์ในคอมก็แล้ว...ก็ยังไม่ทันเหตุอันเกิดจากสัญญาวิปลาส..ไม่เห็นแววของตบะแห่งการหน่ายบาป...

การที่พูดว่า..ทันการเห็นทีละขณะ...ทีละสี...ก็ดูจะเป็นการพูดขึ้นลอยๆ.ซะละมั้ง...ไม่เห็นแววของมรรคของผลอะไรเลย..นะ

:b1: อ่านตัวสีแดงๆข้างล่างให้ชัดๆนะคะ :b12:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

วิปัลลาสสูตร


[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่า
เป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่
วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาส
จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด
มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่
ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง
ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ
และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์


ชนเหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน
ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

จบสูตรที่ ๙




:b1: :b1: :b1:

พระสูตรตรง ... เมื่อหยิบยกขึ้นมากล่าว
และเมื่อผู้อ่านได้อ่านตามและเพียรพิจารณา
มักเป็นสิ่งที่ยังจิตใจสงบเย็น

:b8: :b8: :b8:

Kiss
:b1:
ก็รู้ตรงขณะที่กำลังมีธัมมะอะไรทีละ1ทางว่าเป็นจิตทางไหนไม่ทันคือไม่รู้บาลีใช้คำว่ามีกิเลสค่ะ
หรือเข้าใจว่าเป็นรูปอะไรคือรู้ทันตรงขณะไม่ใช่คนทั้งตัวไงคะคือตนรู้คือปัญญารู้เพราะเข้าใจถูกคือปัญญา
คือสัมมาทิฏฐิค่ะแล้วคิดว่าจะรู้อะไรได้คะถ้าไม่เคยพึ่งคิดตรงสัจจะที่ปรากฏตรงทีละคำจากการฟังมาก่อน
ไปนั่งหลับตาเพียรไม่รู้เห็นโดยที่ตาไม่บอดก็ไปหลับตาหาเห็นหรือคะแล้วจะรู้จักเห็นตามปกติได้อย่างไรกัน
เดี๋ยวนี้เลยตนรู้อะไรที่กำลังปรากฏประจักษ์ชัดซึ่งหน้าตาไม่บอดนี่คะเสียงอ่านว่าเห็นไม่ใช่เราเห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นเห็นเกิดแล้วดับแล้วถ้าจิตตนไม่รู้ขณะกำลังฟังปัญญาจะแทรกเข้ามาได้อย่างไรเข้าใจไหมคะว่า
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
จิตรู้นามรูปคือรู้รูปปรมัตถ์คือการพึ่งคำตถาคตตรงสัจจะที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ได้พึ่งคิดคำตถาคตอยู่
แสดงว่ากิเลสอาสาวะไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วค่ะเป็นความจริงที่ปรากฏไปกับอวิชชาตนแล้วค่ะ
อัพยากตาคือกิริยาจิตคือจิตรู้รูปไงคะเดี๋ยวนี้เลยรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ตามปกติวิสัยมีครบ6ทางคือวิสยรูป7ค่ะ
รูปที่ปรากฏให้รู้ทั่วตัวครบ6ทางต้องทันครบ6ทางทีละ1ที่ตนทันไม่ทันคืออวิชชาไงคะจนกว่าจะเร็วทัน6ทาง
:b13:
:b16: :b16:

เห็นตัวสีแดงๆไหมคะก็อปมาแปะให้อ่านค่ะปกติที่ไม่ใช่ตถาคตคือแบบข้างล่างนี้ค่ะเข้าใจไหมคะ
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
:b32: :b32:

จิตเกิดดับทีละ1ขณะแค่จิตดับไป3ขณะหลังเห็นดับมีจิตอีก5ทางจิตเห็นดับยังไม่ครบ6ทางกิเลสก็เกิดแล้ว
:b32:
viewtopic.php?f=1&t=56230&p=423421#p423421
ดังนั้นการลืมตาตื่นรู้ความจริงตามปกติตอนกำลังฟังพระพุทธพจน์จึงเป็นการทำปัญญาแทรกเท่าทันกิเลสค่ะ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
คำสอนของพระพุทธเจ้าสูงกว่ากฏหมาย
การออกกฏหมายใดๆต้องล้อตามคำสอน
ต้องยึดถือคำสอนสูงสุดเพราะจริงๆคำสอน
มันเหนือกฏหมายอยู่แล้วไม่มีอะไรผิดทางโลก
แต่การรับเงินนั้นผิดทางโลกไงคะผิดคำสอนด้วย
หัวใสเหลือเกินขึ้เกียจทำมาหากินเลยจะแก้คำสอนอิอิ
ดีนะมีทั้งคนกราบไหว้มีทั้งเงินเอามาประเคนสาวๆเข้าวัด555
เจริญหูเจริญตาเจริญใจของกิเลสแต่ไร้คุณธรรมสิ้นดีรู้สึกตัวไหมค๊า

onion onion onion


สัญญาวิปลาส..เกิดขึ้นแล้ว...ก็ดูไม่ทัน
พูดออกมาแล้ว..พิมพ์ในคอมก็แล้ว...ก็ยังไม่ทันเหตุอันเกิดจากสัญญาวิปลาส..ไม่เห็นแววของตบะแห่งการหน่ายบาป...

การที่พูดว่า..ทันการเห็นทีละขณะ...ทีละสี...ก็ดูจะเป็นการพูดขึ้นลอยๆ.ซะละมั้ง...ไม่เห็นแววของมรรคของผลอะไรเลย..นะ

:b1: อ่านตัวสีแดงๆข้างล่างให้ชัดๆนะคะ :b12:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

วิปัลลาสสูตร


[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่า
เป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส
๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่
วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาส
จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด
มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์
ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่
ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง
ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ
และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์


ชนเหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน
ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

จบสูตรที่ ๙




:b1: :b1: :b1:

พระสูตรตรง ... เมื่อหยิบยกขึ้นมากล่าว
และเมื่อผู้อ่านได้อ่านตามและเพียรพิจารณา
มักเป็นสิ่งที่ยังจิตใจสงบเย็น

:b8: :b8: :b8:

Kiss
:b1:
ก็รู้ตรงขณะที่กำลังมีธัมมะอะไรทีละ1ทางว่าเป็นจิตทางไหนไม่ทันคือไม่รู้บาลีใช้คำว่ามีกิเลสค่ะ
หรือเข้าใจว่าเป็นรูปอะไรคือรู้ทันตรงขณะไม่ใช่คนทั้งตัวไงคะคือตนรู้คือปัญญารู้เพราะเข้าใจถูกคือปัญญา
คือสัมมาทิฏฐิค่ะแล้วคิดว่าจะรู้อะไรได้คะถ้าไม่เคยพึ่งคิดตรงสัจจะที่ปรากฏตรงทีละคำจากการฟังมาก่อน
ไปนั่งหลับตาเพียรไม่รู้เห็นโดยที่ตาไม่บอดก็ไปหลับตาหาเห็นหรือคะแล้วจะรู้จักเห็นตามปกติได้อย่างไรกัน
เดี๋ยวนี้เลยตนรู้อะไรที่กำลังปรากฏประจักษ์ชัดซึ่งหน้าตาไม่บอดนี่คะเสียงอ่านว่าเห็นไม่ใช่เราเห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นเห็นเกิดแล้วดับแล้วถ้าจิตตนไม่รู้ขณะกำลังฟังปัญญาจะแทรกเข้ามาได้อย่างไรเข้าใจไหมคะว่า
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
จิตรู้นามรูปคือรู้รูปปรมัตถ์คือการพึ่งคำตถาคตตรงสัจจะที่กำลังมีคือเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ได้พึ่งคิดคำตถาคตอยู่
แสดงว่ากิเลสอาสาวะไหลไปในอารมณ์ที่จิตรู้ครบ6ทางแล้วค่ะเป็นความจริงที่ปรากฏไปกับอวิชชาตนแล้วค่ะ
อัพยากตาคือกิริยาจิตคือจิตรู้รูปไงคะเดี๋ยวนี้เลยรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ตามปกติวิสัยมีครบ6ทางคือวิสยรูป7ค่ะ
รูปที่ปรากฏให้รู้ทั่วตัวครบ6ทางต้องทันครบ6ทางทีละ1ที่ตนทันไม่ทันคืออวิชชาไงคะจนกว่าจะเร็วทัน6ทาง
:b13:
:b16: :b16:

เห็นตัวสีแดงๆไหมคะก็อปมาแปะให้อ่านค่ะปกติที่ไม่ใช่ตถาคตคือแบบข้างล่างนี้ค่ะเข้าใจไหมคะ
ปกติจิตเห็นไม่เกิดกุศลเลยทำอย่างไรก็ไม่เกิดกุศลทางตาเห็นไงคะจึงต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
:b32: :b32:

จิตเกิดดับทีละ1ขณะแค่จิตดับไป3ขณะหลังเห็นดับมีจิตอีก5ทางจิตเห็นดับยังไม่ครบ6ทางกิเลสก็เกิดแล้ว
:b32:
viewtopic.php?f=1&t=56230&p=423421#p423421
ดังนั้นการลืมตาตื่นรู้ความจริงตามปกติตอนกำลังฟังพระพุทธพจน์จึงเป็นการทำปัญญาแทรกเท่าทันกิเลสค่ะ
:b4: :b4:



นั่นมันแม่บริหาร ฯ พูด คือ พูดตำรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
จิตเห็นสีดับในดวงตาทันทีแล้วมืดตกลงมีเงินนอกตาให้เห็นจริงๆหรือกิเลสตนหลอกจิตตนให้หลงรับเงินคะ
:b16:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร