วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 23:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
กิจของพระคือคันถธุระและวิปัสนาธุระไม่ทำ
คิดแต่วิธีหาเงินชัดไหมมุ่งลาภสักการะโดยตรง
ขนสีกาเข้าวัดบวชชีพราหมณ์สำรวมอินทรีย์แบบไหน
ไม่มีชีพราหมณ์ในคำสอนของพระพุทธเจ้าฟังธรรมเข้าใจ
ก็กลับไปนอนบ้านใครบ้านมันขนคนเข้าไปปรุงอาหารให้อร่อยๆ
อินทรียสังวรศีลทำยังไงเพราะตาเนื้อตามภพภูมิเห็นเป็นกิเลสเหมือนกันหมด
แจกซองขาวกฐินผ้าป่าเพื่อเงินเพื่อขอเงินมาก่อสร้างมีวัดไปทำไมไม่บอกความจริงให้เข้าใจ
มีแต่อยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่แห่กันแยกตัวออกไปสร้างวัดขยายสาขาเพราะเงินและลาภสักการะจริงไหม
ใครกล่าวให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงนั่นคือคำของเราตถาคตเข้าใจไหมคะหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทางคือคำจริงที่ฟังแล้วรู้สึกตัวสำนึกได้ไม่ใช่เกิดเกิดโทสะแล้วออกมาด่าโยม555
:b32: :b32:


ที่ทำเขาก็ทำ ที่ไม่ทำเขาทำงานอื่นไป


ถามหน่อย คันถธุระ อะไร ? วิปัสสนาธุระนี่อะไรขอรับ เอาชัดๆ

Kiss
:b12:
ไม่ใช่การทำเพื่อลาภสักการะหรือทำเพื่อคำสรรเสริญแต่ทำเพื่อละชั่วที่ไม่รู้ว่าตนมีกิเลสคือไม่รู้ความจริง
ไม่ใช่หาเงินก่อสร้างวัตถุขนเงินขนคนเข้าวัดเพราะบวชสละบริวารทั้งหมดไม่มีภาระให้ติดข้องอะไร
เกลือยังเก็บไม่ได้จะเอาอะไรเป็นปัญญาถ้าไม่ทำคันถธุระและวิปัสสนาในเมื่อมีคนที่ไม่บวชศึกษา
ฟังคำสอนจนเข้าใจและสามารถสนทนาเพื่อให้เข้าถึงความจริงจนรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักกิเลส
เมื่อรู้จักกิเลสตนเองจึงมองเห็นกิเลสผู้อื่นชัดเจนเพราะคำจริงของตถาคตถากกิเลสตรงๆไม่มีอ้อมค้อม
ถ้าไม่รู้จักกิเลสทำผิดก็เห็นว่าคงไม่เป็นไรส่วนผู้ที่เข้าใจเขาก็ชี้ให้ดูตามคำจริงตรงๆว่านี้น่ะๆๆก็ยังไม่รู้สึกตัว
:b29:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
กิจของพระคือคันถธุระและวิปัสนาธุระไม่ทำ
คิดแต่วิธีหาเงินชัดไหมมุ่งลาภสักการะโดยตรง
ขนสีกาเข้าวัดบวชชีพราหมณ์สำรวมอินทรีย์แบบไหน
ไม่มีชีพราหมณ์ในคำสอนของพระพุทธเจ้าฟังธรรมเข้าใจ
ก็กลับไปนอนบ้านใครบ้านมันขนคนเข้าไปปรุงอาหารให้อร่อยๆ
อินทรียสังวรศีลทำยังไงเพราะตาเนื้อตามภพภูมิเห็นเป็นกิเลสเหมือนกันหมด
แจกซองขาวกฐินผ้าป่าเพื่อเงินเพื่อขอเงินมาก่อสร้างมีวัดไปทำไมไม่บอกความจริงให้เข้าใจ
มีแต่อยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่แห่กันแยกตัวออกไปสร้างวัดขยายสาขาเพราะเงินและลาภสักการะจริงไหม
ใครกล่าวให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงนั่นคือคำของเราตถาคตเข้าใจไหมคะหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทางคือคำจริงที่ฟังแล้วรู้สึกตัวสำนึกได้ไม่ใช่เกิดเกิดโทสะแล้วออกมาด่าโยม555
:b32: :b32:


ที่ทำเขาก็ทำ ที่ไม่ทำเขาทำงานอื่นไป


ถามหน่อย คันถธุระ อะไร ? วิปัสสนาธุระนี่อะไรขอรับ เอาชัดๆ

Kiss
:b12:
ไม่ใช่การทำเพื่อลาภสักการะหรือทำเพื่อคำสรรเสริญแต่ทำเพื่อละชั่วที่ไม่รู้ว่าตนมีกิเลสคือไม่รู้ความจริง
ไม่ใช่หาเงินก่อสร้างวัตถุขนเงินขนคนเข้าวัดเพราะบวชสละบริวารทั้งหมดไม่มีภาระให้ติดข้องอะไร
เกลือยังเก็บไม่ได้จะเอาอะไรเป็นปัญญาถ้าไม่ทำคันถธุระและวิปัสสนาในเมื่อมีคนที่ไม่บวชศึกษา
ฟังคำสอนจนเข้าใจและสามารถสนทนาเพื่อให้เข้าถึงความจริงจนรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักกิเลส
เมื่อรู้จักกิเลสตนเองจึงมองเห็นกิเลสผู้อื่นชัดเจนเพราะคำจริงของตถาคตถากกิเลสตรงๆไม่มีอ้อมค้อม
ถ้าไม่รู้จักกิเลสทำผิดก็เห็นว่าคงไม่เป็นไรส่วนผู้ที่เข้าใจเขาก็ชี้ให้ดูตามคำจริงตรงๆว่านี้น่ะๆๆก็ยังไม่รู้สึกตัว
:b29:
:b4: :b4:



ถามอย่างตอบอย่าง ตอบไม่เคยกับที่ถามสักครั้งเดียว ตั้งแต่คุยกันมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8575


 ข้อมูลส่วนตัว




20180718_090827.png
20180718_090827.png [ 372.94 KiB | เปิดดู 3068 ครั้ง ]
พวกเนี้ยจะไม่ทำบุญวัดวาจะไม่เคยเข้า พวกบาปหนา พวกกลัวพระจับเงิน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ลุงหมาน เขียน:
พวกเนี้ยจะไม่ทำบุญวัดวาจะไม่เคยเข้า พวกบาปหนา พวกกลัวพระจับเงิน

...ผิดถนัดค่ะลุง....เคยทำมาหมดนั่นแหละด้วยความไม่รู้...
...กว่าจะเข้าใจถูกแล้วทิ้งสิ่งที่ทำผิดได้ไม่ใช่ง่ายๆนะคะลุง...
...ลุงก็ลองฝึกวิสยรูป7ให้ได้ตลอดเวลาแล้วก็ฟังพระพุทธพจน์ไปด้วย...
จะได้ทราบว่าทำได้หรือเปล่านี่แหละงานแท้ๆของการบวชใจเพราะ
ขณะกำลังรู้ความจริงถูกตามได้ขณะนั้นสละชื่อเสียงเงินทองแล้ว
เพราะฟังคำสอนอย่างตั้งใจมีศรัทธาฟังเพื่อให้กิเลสแทรกเข้าไม่ได้
ก็ที่ตัวคือกายใจระลึกตามวิสยรูป7ตลอดเวลาจนชำนาญขณะฟัง
ปัญญาที่เพิ่มทำกิจหน้าที่ถูกตรงดีแล้วตอนกำลังฟังพอหยุดฟัง
ก็ทำอย่างอื่นก็สะสมกิเลสแล้ว...คิดว่าชาตินี้กิเลสจะยอมฟังไหม
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
กิจของพระคือคันถธุระและวิปัสนาธุระไม่ทำ
คิดแต่วิธีหาเงินชัดไหมมุ่งลาภสักการะโดยตรง
ขนสีกาเข้าวัดบวชชีพราหมณ์สำรวมอินทรีย์แบบไหน
ไม่มีชีพราหมณ์ในคำสอนของพระพุทธเจ้าฟังธรรมเข้าใจ
ก็กลับไปนอนบ้านใครบ้านมันขนคนเข้าไปปรุงอาหารให้อร่อยๆ
อินทรียสังวรศีลทำยังไงเพราะตาเนื้อตามภพภูมิเห็นเป็นกิเลสเหมือนกันหมด
แจกซองขาวกฐินผ้าป่าเพื่อเงินเพื่อขอเงินมาก่อสร้างมีวัดไปทำไมไม่บอกความจริงให้เข้าใจ
มีแต่อยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่แห่กันแยกตัวออกไปสร้างวัดขยายสาขาเพราะเงินและลาภสักการะจริงไหม
ใครกล่าวให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงนั่นคือคำของเราตถาคตเข้าใจไหมคะหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทางคือคำจริงที่ฟังแล้วรู้สึกตัวสำนึกได้ไม่ใช่เกิดเกิดโทสะแล้วออกมาด่าโยม555
:b32: :b32:


ที่ทำเขาก็ทำ ที่ไม่ทำเขาทำงานอื่นไป


ถามหน่อย คันถธุระ อะไร ? วิปัสสนาธุระนี่อะไรขอรับ เอาชัดๆ

Kiss
:b12:
ไม่ใช่การทำเพื่อลาภสักการะหรือทำเพื่อคำสรรเสริญแต่ทำเพื่อละชั่วที่ไม่รู้ว่าตนมีกิเลสคือไม่รู้ความจริง
ไม่ใช่หาเงินก่อสร้างวัตถุขนเงินขนคนเข้าวัดเพราะบวชสละบริวารทั้งหมดไม่มีภาระให้ติดข้องอะไร
เกลือยังเก็บไม่ได้จะเอาอะไรเป็นปัญญาถ้าไม่ทำคันถธุระและวิปัสสนาในเมื่อมีคนที่ไม่บวชศึกษา
ฟังคำสอนจนเข้าใจและสามารถสนทนาเพื่อให้เข้าถึงความจริงจนรู้ว่าตถาคตสอนให้รู้จักกิเลส
เมื่อรู้จักกิเลสตนเองจึงมองเห็นกิเลสผู้อื่นชัดเจนเพราะคำจริงของตถาคตถากกิเลสตรงๆไม่มีอ้อมค้อม
ถ้าไม่รู้จักกิเลสทำผิดก็เห็นว่าคงไม่เป็นไรส่วนผู้ที่เข้าใจเขาก็ชี้ให้ดูตามคำจริงตรงๆว่านี้น่ะๆๆก็ยังไม่รู้สึกตัว


คุณโรสรู้อะไร รู้ไม่จริง เพียงจำๆศัพท์แสงทางพระพุทธศาสนาแล้วมามโนเอา พอมีคนถามก็ไปไม่เป็น

เอ้านี่เอ้า

คันถะ 1. กิเลสที่ร้อยรัดมัดใจสัตว์ให้ติดอยู่ 2. ตำรา, คัมภีร์

คัมภีร์ ๑ ลึกซึ้ง ๒. ตำราที่นับถือว่า สำคัญหรือเป็นของสูง หนังสือสำคัญที่ถือเป็นหลักเป็นแบบแผน เช่น คัมภีร์ศาสนา คัมภีร์โหราศาสตร์

คันถธุระ ธุระฝ่ายคัมภีร์, ธุระ คือ การเรียนพระคัมภีร์, การศึกษาปริยัติธรรม, เป็นคำที่ใช้ในชั้นอรรถกถาลงมา (ไม่มีในพระไตรปิฎก) เทียบ วิปัสสนาธุระ

วิปัสสนาธุระ ธุระฝ่ายวิปัสสนา, ธุระด้านการเจริญวิปัสสนา, กิจพระศาสนาในด้านการสอนการฝึกเจริญกรรมฐาน ซึ่งจบครบที่วิปัสสนา, เป็นคำที่ใช้ในชั้นอรรถกถาลงมา (ไม่มีในพระไตรปิฎก)

(มันต้องค้นต้องคว้าให้ถึงสุดของสิ่งที่เราพูด จึงจะหายสงสัย แล้วจะได้ไม่อายเค้า)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระป่า พระบ้าน เรื่องนี้ก็ชอบพูดกัน คิกๆๆ เอ้ารู้ไว้


คามวาสี “ผู้อยู่บ้าน” พระบ้าน หมายถึงพระภิกษุที่อยู่วัดในเขตหมู่บ้าน ใกล้ชุมชนชาวบ้าน หรือในเมือง, เป็นคู่กับอรัญวาสี หรือพระป่า ซึ่งหมายถึงพระภิกษุที่อยู่วัดในป่า
คำทั้งสอง คือ คามวาสี และอรัญวาสี นี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก (ในคัมภีร์มิลินทปัญหา ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ ก็ยังไม่มี) พึงมีใช้ในอรรถกถา (ก่อน พ.ศ. ๑๐๐๐) แต่เป็นถ้อยคำสามัญ หมายถึงใครก็ได้ ตั้งแต่พระสงฆ์ ไปจนถึงสิงสาราสัตว์ (มักใช้แก่ชาวบ้านทั่วไป) ที่อยู่บ้าน อยู่ใกล้บ้าน หรืออยู่ในป่า การแบ่งพระสงฆ์เป็น ๒ ฝ่าย คือ คามวาสี และอรัญวาสี เกิดขึ้นในลังกาทวีป และปรากฏชัดเจนในรัชกาลพระเจ้าปรักกมพาหุ ที่ ๑ มหาราช (พ.ศ.๑๖๙๖ – ๑๗๒๙)
ต่อมา เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทัย รับพระพุทธศาสนา และพระสงฆ์ลังกาวงศ์ อันสืบเนื่องจากสมัยพระเจ้าปรักกมพาหุนี้เข้ามาในช่วงใกล้ พ.ศ.๑๘๒๐ ระบบพระสงฆ์ ๒ แบบ คามวาสี และอรัญวาสี ก็มาจากศรีลังกาเข้าสู่ประเทศไทยด้วย
พร้อมกับความเป็นมาอย่างนี้ พระคามวาสี ก็ได้เป็นผู้หนักในคันถธุระ (ธุระในการเล่าเรียนพระคัมภีร์) และพระอรัญวาสี เป็นผู้หนักในวิปัสสนาธุระ (ธุระในการเจริญกรรมฐานอันมีวิปัสสนาเป็นยอด)



อรัญวาสี “ผู้อยู่ป่า” , พระป่า หมายถึง พระภิกษุที่อยู่วัดในป่า, เป็นคู่กับคามวาสี หรือพระบ้าน ซึ่งหมายถึงพระภิกษุที่อยู่วัดในบ้านในเมือง, ในพุทธกาล ไม่มีการแบ่งแยกว่า พระบ้าน พระป่า และคำว่า คามวาสี – อรัญวาสี ก็ไม่มีในพระไตรปิฎก เพราะในสมัยพุทธกาลนั้น พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นศูนย์รวม และมีการจาริกอยู่เสมอโดยเฉพาะพระพุทธองค์เองทรงนำสงฆ์หมู่ใหญ่จาริกไปในถิ่นแดนทั้งหลายเป็นประจำ ภิกษุทั้งหลายที่ยังไม่จบกิจในพระศาสนา นอกจากเสาะสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ย่อมระลึกอยู่เสมอถึงพระดำรัสเตือนให้เสพเสนาสนะอันสงัดเจริญภาวนา โดยทรงระบุป่าเป็นสถานที่แรกแห่งเสนาสนะอันสงัดนั้น (ที่ตรัสทั่วไปคือ “อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา ...” ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปอยู่ในป่าก็ดี โคนไม้ก็ดี เรือนว่างก็ดี...” ที่ตรัสรองลงไปคือ “...วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํ...” (ภิกษุนั้น เข้าหาเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำในเขา ป่าช้า ดงเปลี่ยว ที่แจ้ง ลอมฟาง...) แนวทางปฏิบัติเช่นนี้ ท่านถือแน่นแฟ้นสืบกันมา แม้ว่าสาระจะอยู่ที่มีเสนาสนะอันสงัด แต่ป่าซึ่งในอดีตมีพร้อมและเป็นที่สงัดอันแน่นอน ก็เป็นที่พึงเลือกเด่นอันดับแรก จึงนับว่าเป็นตัวแทนที่เต็มความหมายของเสนาสนะอันสงัด ดังปรากฏที่เป็นคาถาที่กล่าวกันว่าพระธรรมสังคาหกาจารย์ได้รจนาไว้ อันเป็นที่อ้างอิงในคัมภีร์ทั้งหลาย ตั้งแต่มิลินทปัญหา จนถึงวิสุทธิมัคค์ และในอรรถกถาเป็นอันมาก มีความว่า

ยถาปิ ทีปิโก นาม นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค
ตเถวายํ พุทฺธปุตฺโต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก
อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน คณฺหาติ ผลมุตฺตมํ ฯ

พุทธบุตรนี้ ประกอบความเพียรเจริญวิปัสสนา เข้าไปสู่ป่า จะถือเอาผลอันอุดมได้ เหมือนดังเสือซุ่มตัวจับเนื้อ

ตามคดีนี้ การไปเจริญภาวนาในป่า เป็นข้อพึงปฏิบัติสำหรับภิกษุทุกรูปเสมอเห็นกัน ไม่มีการแบ่งแยก ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ว่า ในคัมภีร์มิลินทปัญหา (ประมาณ พ.ศ.๕๐๐) ก็ยังไม่มีคำว่า คามวาสี และอรัญวาสี (พบคำว่า “อรญฺญวาสา” แห่งเดียว แต่หมายถึงดาบสชาย-หญิง) แม้ว่าต่อมาในอรรถกถา (ก่อน จนถึงใกล้ พ.ศ.๑๐๐๐) จะมีคำว่า คามวาสี และอรัญวาสี เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ใช้เป็นถ้อยคำสามัญ หมายถึงใครก็ได้ ตั้งแต่พระสงฆ์ ไปจนถึงสิงสาราสัตว์ (มักใช้แก่ชาวบ้านทั่วไป) ที่อยู่บ้าน อยู่ใกล้บ้าน หรืออยู่ในป่า มิได้มีความหมายจำเพาะอย่างที่เข้าใจกันในบัดนี้

พระภิกษุที่ไปเจริญภาวนาในป่านั้น อาจจะไปอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ยาวบ้าง สั้นบ้าง และอาจจะไปๆมาๆ แต่บางรูปก็อาจจะอยู่นานๆ ภิกษุที่อยู่ป่านั้นทานเรียกว่า “อารัญญกะ” (อารัญญิกะก็เรียก) และการถืออยู่ป่า เป็นธุดงค์อย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุจะเลือกถือได้ตามสมัครใจ กับทั้งจะถือในช่วงเวลายาวหรือสั้น หรือแม้แต่ตลอดชีวิต ก็ได้

สันนิษฐานว่า เมื่อเวลาล่วงผ่านห่างพุทธกาลมานาน พระภิกษุอยู่ประจำที่มากขึ้น อีกทั้งมีภาระผูกมัดตัวมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการเล่าเรียน และทรงจำพุทธพจน์ในยุคที่องค์พระศาสดาปรินิพพานแล้ว ซึ่งจะต้องรักษาไว้แก่คนรุ่นหลังใครครบถ้วนและแม่นยำโดยมความเข้าใจถูกต้อง อีกทั้งเก็บรวบรวมคำอธิบายของอาจารย์รุ่นต่อๆมาที่มีเพิ่มขึ้นๆ จนเกิดเป็นงานหรือหน้าที่ที่เรียกว่า “คันถธุระ” (ธุระในการเล่าเรียนคัมภีร์) เป็นภาระซึ่งทำให้รวมกันอยู่แหล่งการเล่าเรียนศึกษาในชุมชนหรือในเมือง พร้อมกันนั้น ภิกษุผู้ไปเจริญภาวนาในป่า เมื่อองค์พระศาสดาปรินิพพานแล้ว ก็อิงอาศัยอาจารย์ที่จำเพาะมากขึ้น มีความรู้สึกที่จะต้องผ่อนและเผื่อเวลามากขึ้น อยู่ประจำที่แน่นอนมากขึ้น เพื่ออุทิศตัวแก่กิจในการเจริญภาวนา ซึ่งกลายเป็นงานหรือหน้าที่ที่เรียกว่า “วิปัสสนาธุระ” (ธุระในการเจริญกรรมฐานอันมีวิปัสสนาเป็นยอด) โดยนัยนี้ แนวโน้มที่จะแบ่งเป็นพระบ้าน พระป่าก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ

การแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ คามวาสี และอรัญวาสี เกิดขึ้นในลังกาทวีป และปรากฏชัดเจนในรัชกาลพระเจ้าปรกกมพาหุ ที่ ๑ มหาราช (พ.ศ. ๑๖๙๖ - ๑๗๒๙) ต่อมาเมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทัย ทรงรับพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ลังกาวงศ์อันสืบเนื่องจากสมัยพระเจ้าปรักกมพาหุนี้เข้ามาในช่วงใกล้ พ.ศ.๑๘๒๐ ระบบพระสงฆ์ ๒ แบบ คือ คามวาสี และอรัญวาสี ก็มาจากศรีลังกาเข้าสู่ประเทศไทยด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8575


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ลุงหมาน เขียน:
พวกเนี้ยจะไม่ทำบุญวัดวาจะไม่เคยเข้า พวกบาปหนา พวกกลัวพระจับเงิน

...ผิดถนัดค่ะลุง....เคยทำมาหมดนั่นแหละด้วยความไม่รู้...
...กว่าจะเข้าใจถูกแล้วทิ้งสิ่งที่ทำผิดได้ไม่ใช่ง่ายๆนะคะลุง...
...ลุงก็ลองฝึกวิสยรูป7ให้ได้ตลอดเวลาแล้วก็ฟังพระพุทธพจน์ไปด้วย...
จะได้ทราบว่าทำได้หรือเปล่านี่แหละงานแท้ๆของการบวชใจเพราะ
ขณะกำลังรู้ความจริงถูกตามได้ขณะนั้นสละชื่อเสียงเงินทองแล้ว
เพราะฟังคำสอนอย่างตั้งใจมีศรัทธาฟังเพื่อให้กิเลสแทรกเข้าไม่ได้
ก็ที่ตัวคือกายใจระลึกตามวิสยรูป7ตลอดเวลาจนชำนาญขณะฟัง
ปัญญาที่เพิ่มทำกิจหน้าที่ถูกตรงดีแล้วตอนกำลังฟังพอหยุดฟัง
ก็ทำอย่างอื่นก็สะสมกิเลสแล้ว...คิดว่าชาตินี้กิเลสจะยอมฟังไหม
:b32: :b32:


ฝึกยังไงวิสยรูป ๗ ท่ามันเป็นยัง มันอยู่ตรงไหนวิสยรูป ๗
ลองแจกแจงให้ดูหน่อย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ลุงหมาน เขียน:
พวกเนี้ยจะไม่ทำบุญวัดวาจะไม่เคยเข้า พวกบาปหนา พวกกลัวพระจับเงิน

...ผิดถนัดค่ะลุง....เคยทำมาหมดนั่นแหละด้วยความไม่รู้...
...กว่าจะเข้าใจถูกแล้วทิ้งสิ่งที่ทำผิดได้ไม่ใช่ง่ายๆนะคะลุง...
...ลุงก็ลองฝึกวิสยรูป7ให้ได้ตลอดเวลาแล้วก็ฟังพระพุทธพจน์ไปด้วย...
จะได้ทราบว่าทำได้หรือเปล่านี่แหละงานแท้ๆของการบวชใจเพราะ
ขณะกำลังรู้ความจริงถูกตามได้ขณะนั้นสละชื่อเสียงเงินทองแล้ว
เพราะฟังคำสอนอย่างตั้งใจมีศรัทธาฟังเพื่อให้กิเลสแทรกเข้าไม่ได้
ก็ที่ตัวคือกายใจระลึกตามวิสยรูป7ตลอดเวลาจนชำนาญขณะฟัง
ปัญญาที่เพิ่มทำกิจหน้าที่ถูกตรงดีแล้วตอนกำลังฟังพอหยุดฟัง
ก็ทำอย่างอื่นก็สะสมกิเลสแล้ว...คิดว่าชาตินี้กิเลสจะยอมฟังไหม
:b32: :b32:


ฝึกยังไงวิสยรูป ๗ ท่ามันเป็นยัง มันอยู่ตรงไหนวิสยรูป ๗
ลองแจกแจงให้ดูหน่อย

:b12:
เอาท่าที่สะดวกไม่ทรมานกายค่ะเพราะต้องใช้เวลาฝึกทั้งชาติก็อาจจะทำไม่ได้
:b20:
แต่ต้องฟังพระพุทธพจน์ไปด้วยแล้วก็ทำความรู้สึกตัวทางไหนก็ได้
ที่กายใจตนเองปรากฏชัดแล้วก็ต้องฟังเสียงให้เข้าใจด้วยนะคะ
ไม่ลังเลไม่สงสัยว่าเป็นใครพูดแต่ให้ระลึกตามเสียงเข้าใจ
ตามความหมายของเสียงตรงเสียงนั้นไม่ใส่ความคิดเห็น
คิดแต่ในเสียงคำที่กำลังได้ยินไม่ให้ขาดตอนเพราะ
การขาดตอนแปลว่าลืมฟังคำนั้นแปลว่าไม่รู้แล้ว
ต้องทันทุกคำถ้าไม่ทันคำไหนก็ให้ทราบว่าตนสะสมกิเลสแล้วง่ายไหมคะ
แล้วก็ไม่ต้องหลับตานะคะเพราะรูปพิเศษที่ตาไม่บอดเนี่ยใช้สะสมกิริยาจิตค่ะ
ไม่ต้องไปหลับตาทำไม่รู้เพิ่มขึ้นเพราะลืมตานี่แหละมีความจริงให้คิดถูกตามได้ชัวร์ๆ
แล้วที่กายก็ต้องให้ใจมันรู้ว่าระลึกรู้คิดตามทันวิถีจิตทางไหนบ้างที่กายใจตนเท่านั้นไม่ทันคืออวิชชาตน
ความจริงที่ควรรู้ยิ่งคือเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีแล้ว
https://youtu.be/4r0iYSan7hc
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คำปรมัตถสัจจะที่ระลึกรู้ที่กายตามวิสยรูป7ที่ละ1คำ
1เห็น_แสงสี
2ยิน_เสียง
3ดม_กลิ่น
4ลิ้ม_รส
กายปสาทะอีก3ธาตุ
ธาตุน้ำไม่ปรากฏกระทบ
แต่ทำให้ดินไฟลมเกาะกลุ่ม
5อ่อน_แข็งคือธาตุดิน2ลักษณะ
6เย็น_ร้อนคือธาตุไฟ2ลักษณะ
7ตึง_ไหวคือธาตุลม2ลักษณะ
ทีละคำให้ตรงกับที่กายใจตนรับรู้ไม่ส่งไปตามสิ่งที่เห็นค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56203


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8575


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามลิ้งค์ที่ส่งมาน่ะเขา่ด่ากันทั้งเมือง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ตามลิ้งค์ที่ส่งมาน่ะเขา่ด่ากันทั้งเมือง

คนศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามีทั่วโลก
ประเทศจีนวิจารณ์นิกายเถรวาทจะหมดไป
ถ้าภิกษุในประเทศไทยไม่ทำตามคำสอนค่ะ
บ้านธัมมะเขาแปลหลายภาษาจีนขึ้นไป่ตู้เว็บไซต์กูเกิ้ลจีนค่ะ
http://www.dhammahome.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8575


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพิมพ์สงสัยคงจะถูกเตะออกจากไลน์หมดแล้วละมั้งนี่
ไม่เห็นจะผ่านตาบ้างเลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
คุณพิมพ์สงสัยคงจะถูกเตะออกจากไลน์หมดแล้วละมั้งนี่
ไม่เห็นจะผ่านตาบ้างเลย

:b12:
เกินร้อยกลุ่มค่ะแค่ไลน์เด้งก็แบตหมดแล้วลบออกเหลือ50กว่ากลุ่มค่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


น่าสงสาร..จัง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2018, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
คำปรมัตถสัจจะที่ระลึกรู้ที่กายตามวิสยรูป7ที่ละ1คำ
1เห็น_แสงสี
2ยิน_เสียง
3ดม_กลิ่น
4ลิ้ม_รส
กายปสาทะอีก3ธาตุ
ธาตุน้ำไม่ปรากฏกระทบ
แต่ทำให้ดินไฟลมเกาะกลุ่ม
5อ่อน_แข็งคือธาตุดิน2ลักษณะ
6เย็น_ร้อนคือธาตุไฟ2ลักษณะ
7ตึง_ไหวคือธาตุลม2ลักษณะ
ทีละคำให้ตรงกับที่กายใจตนรับรู้ไม่ส่งไปตามสิ่งที่เห็นค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56203


ออกแนวๆเตโชวิปัสสนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร