วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 10:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 11:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนบไฟล์:
016สุญญตา16.01.61.jpg
016สุญญตา16.01.61.jpg [ 11 KiB | เปิดดู 2564 ครั้ง ]


ความว่างไม่ใช่สุญญตา แต่สุญญตานั้นมันไม่มีจึงว่าง

ความว่างเป็นอรูปฌานเท่านั้น

เมื่อใดจิตเสวยอารมณ์ว่างเมื่อนั้นให้รู้ตนว่า

อยู่ในอรูปฌาณไม่ใช่สุญญตา

และเมื่อใดที่มีอารมณ์เดียว ว่า..ไม่มี เมื่อนั้นสุญญตาเกิด มันจึงว่าง

ว่างจากกิเลสทั้งปวงและว่างจากธรรมะทั้งปวงเช่นกัน :b53:

(...ไม่มี จึงว่าง..ถึงจะเป็นสุญญตา...)
.
.
.
ลองนึกไปถึงกิเลสในใจเรานะ ตัวที่เราละมันได้แล้ว

แล้วมองย้อนเข้าไปในใจเรา เอาแค่ตัวเดียวก่อน

ทบทวนแล้วมองเข้าไปในตัวเอง

เราจะรู้สึกว่า หายังไงมันก็ไม่เจอ มันไม่มี ไม่รู้สึก

เหมือนกับว่า ตั้งแต่เราเกิดมา มันไม่เคยมีตัวนี้มาก่อน

ทั้งๆที่เราเพิ่งละมันได้ไม่นานมานี่เอง

ความรู้สึกนี่แหละ ความไม่มีนี่แหละ คือ สุญญตา

สุญญตาในตัวกิเลสที่เราละมันได้แล้ว

นี่คือ ความรู้สึกสุญญตาเลย :b53:
.
.
.
เทียบเข้าไปในตนเอง แล้วจะเข้าใจคำนี้..สุญญตา

นี่เทียบให้ดูแค่กิเลสตัวเดียว

แล้วลองย้อนไปเทียบใจตัวเองกับสังโยชน์ดู

ตัวไหนละได้แล้วมันจะรู้สึก สุญญตา แบบนี้แหละ

ถ้าละยังไม่ได้ มันจะฟ้องในจิตเราเลย
.
.
...เราจะหลอกตัวเองไม่ได้... :b53:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:

ความว่างไม่ใช่สุญญตา แต่สุญญตานั้นมันไม่มีจึงว่าง

ความว่างเป็นอรูปฌานเท่านั้น

เมื่อใดจิตเสวยอารมณ์ว่างเมื่อนั้นให้รู้ตนว่า

อยู่ในอรูปฌาณไม่ใช่สุญญตา

และเมื่อใดที่มีอารมณ์เดียว ว่า..ไม่มี เมื่อนั้นสุญญตาเกิด มันจึงว่าง

ว่างจากกิเลสทั้งปวงและว่างจากธรรมะทั้งปวงเช่นกัน :b53:

(...ไม่มี จึงว่าง..ถึงจะเป็นสุญญตา...)
.
.
.
ลองนึกไปถึงกิเลสในใจเรานะ ตัวที่เราละมันได้แล้ว

แล้วมองย้อนเข้าไปในใจเรา เอาแค่ตัวเดียวก่อน

ทบทวนแล้วมองเข้าไปในตัวเอง

เราจะรู้สึกว่า หายังไงมันก็ไม่เจอ มันไม่มี ไม่รู้สึก

เหมือนกับว่า ตั้งแต่เราเกิดมา มันไม่เคยมีตัวนี้มาก่อน

ทั้งๆที่เราเพิ่งละมันได้ไม่นานมานี่เอง

ความรู้สึกนี่แหละ ความไม่มีนี่แหละ คือ สุญญตา

สุญญตาในตัวกิเลสที่เราละมันได้แล้ว

นี่คือ ความรู้สึกสุญญตาเลย :b53:
.
.
.
เทียบเข้าไปในตนเอง แล้วจะเข้าใจคำนี้..สุญญตา

นี่เทียบให้ดูแค่กิเลสตัวเดียว

แล้วลองย้อนไปเทียบใจตัวเองกับสังโยชน์ดู

ตัวไหนละได้แล้วมันจะรู้สึก สุญญตา แบบนี้แหละ

ถ้าละยังไม่ได้ มันจะฟ้องในจิตเราเลย
.
.
...เราจะหลอกตัวเองไม่ได้... :b53:










สิ่งที่คุณสายน้ำเมยเขียนมาทั้งหมด
เกิดจาก คุณไม่รู้จักโยนิโสมนสิการ


เมื่ออโยนิโสมนสิการ

อุปทานขันธ์ ๕ จึงมีเกิดขึ้น





สุญญตา ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
มีเพียงหนึ่งเดียวคือ ว่างจากอุปทานขันธ์ ๕







กิเลส ที่เกิดขึ้นให้กำหนดรู้
ไม่ใช่ไปจดจ้องดู เพื่อจะรู้ว่าละตัวไหนได้บ้าง

เมื่อคิดว่ากิเลสตัวไหนละได้แล้ว
จึงกลายเป็นกระทำตามตัณหา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 16:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สุญญตา ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
มีเพียงหนึ่งเดียวคือ ว่างจากอุปทานขันธ์ ๕




ก่อนจะว่างจากอุปทานขันธ์ห้าได้ ต้องละสังโยชน์ได้ทั้งสิบตัวก่อนคะ :b12: :b53:
.
.
.
บทความที่เขียน เป็นส่วนย่อยสุด ในการตรวจตัวเองจากการปฎิบัติ

ส่วนการละอุปทานขันธ์ห้า..คือส่วนใหญ่สุดและเป็นมวลรวมใหญ่คะ
.
.

ถ้าเราไม่เริ่มละในส่วนเล็กๆก่อน เราไม่มีทางที่จะไปละมวลใหญ่ๆได้เลย

มันจะเป็นไปตามลำดับไปคะ ละสังโยชน์สาม ละสังโยชน์ห้า

ละสังโยชน์สิบ
.
.
.
แต่ที่บอก ที่เขียนไปให้อ่าน...คือการตรวจตนคะ ในทางธรรมปฎิบัติ

ในการตรวจสังโยชน์ในตัวเอง

อย่าจับผิดอักษรมากนะคะ ดูมวลรวมของเนื้อหา...ว่าบทความนี้ต้องการสื่ออะไร

พอจับผิดอักษร เลยไม่เห็นรวมรวมของเนื้อหาทั้งหมด ว่าทั้งหมดต้องการบอกอะไรคะ :b12: :b53:
.
.
.
ปริยัติ เป็นแค่ 1 ใน 100 ของธรรมปฎิบัตเท่านั้นคะ

สิ่งที่ในหนังสือ หรือ อักษรไม่ได้ลงไว้ ไม่ใช่จะไม่มี

ผู้ปฎิบัติ ถ้าปฎิบัตจริงจะเข้าใจในคำว่า ปริยัต เป็นแค่ 1 ใน100 ของธรรมปฎิบัติ
.
.
.
สิ่งที่โพสเป็นธรรมปฎิบัติคะ แต่ถ้าเอาปริยัติมาตรวจ มันต้องผิด

เพราะมันไม่เป็นไปตามอักษรเป๊ะ เกณฑ์วัดเกณฑ์ตรวจมันคนละหมวดกัน
.
.
เมื่อบทความนี้เป็นธรรมปฎิบัติ ย่อมต้องใช้ธรรมปฎิบัติตรวจเท่านั้น

จึงจะสามารถรู้ได้ว่า...สิ่งที่โพส เป็นความจริงหรือ หลอกลวง :b12: :b53:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8601


 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวตรงธรรมแล้วสายน้ำเมย การจะละอุปาทานขันธ์ ๕ ได้

จะต้องละสังโยชน ๑๐ ได้พร้อมกับละอุปาทานขันธ์ ๕

ฉะนั้นการจะอุปาทาน ๕ ได้นั้นมีขึ้นได้คือพระอรหันเท่านั้น

อริยะบุคคลเลื้องต่ำ ๓ ยังละไม่ได้จึงยังต้องเกิดอยู่

เมื่กล่าวไม่ตรงธรรมตามคำสอนหรือคิดเอาเองก็ต้องรับผิดชอบเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ตถาตา



เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงมี

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8601


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: อะไรหนอเป็นปัจจัยให้อวิชชาจึงมี :b41: :b41:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 17:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กล่าวตรงธรรมแล้วสายน้ำเมย การจะละอุปาทานขันธ์ ๕ ได้

จะต้องละสังโยชน ๑๐ ได้พร้อมกับละอุปาทานขันธ์ ๕

ฉะนั้นการจะอุปาทาน ๕ ได้นั้นมีขึ้นได้คือพระอรหันเท่านั้น

อริยะบุคคลเลื้องต่ำ ๓ ยังละไม่ได้จึงยังต้องเกิดอยู่

เมื่อกล่าวไม่ตรงธรรมตามคำสอนหรือคิดเอาเองก็ต้องรับผิดชอบเอง


:b8: ถือว่าเป็นกำลังใจคะ ลุงหมาน :b12: :b53:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2018, 20:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปทานขันธ์ 5...ละยังไม่ได้

แต่..

ละได้บ้างผัสสะ..แต่ไม่เป็นสมุเฉทประหารทุกผัสสะ..ได้ป้าว?

ละได้ระดับตื่นๆ...ลึกๆก็ยังละไม่ได้....ได้ป้าว?

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2018, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ระดับของสูง ซึ่งพวกเราชอบเล่นกัน :b1:


สูญ "ว่างเปล่า" หายสิ้นไป, ในทางธรรม "สูญ" มีความหมายหลายแง่หลายระดับ พึงศึกษาในคำว่า สุญญตา และพึงแยก จากคำว่า "ขาดสูญ" ซึ่งหมายถึง อุจเฉทะ ซึ่งพึงศึกษาในคำว่า อุจเฉททิฏฐิ

สุญญตา “ความเป็นสภาพสูญ” ความว่าง 1. ความเป็นสภาพที่ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะที่ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา คือ ไร้ตัวมิใช่ตน ว่างจากความเป็นตน ตลอดจนว่างจากสาระต่างๆ เช่น สาระ คือ ความเที่ยง สาระ คือ ความสวยงาม สาระ คือ ความสุข เป็นต้น,

โดยปริยาย หมายถึง หลักธรรมฝ่ายปรมัตถ์ ดังเช่น ขันธ์ ธาตุ อายตนะ และปัจจยาการ (อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท) ที่แสดงแต่ตัวสภาวะให้เห็นความว่างเปล่า ปราศจากสัตว์ บุคคล เป็นเพียงธรรม หรือกระบวนธรรมล้วนๆ 2. ความว่างจากกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ก็ดี สภาวะที่ว่างจากสังขารทั้งหลาย ก็ดี หมายถึง นิพพาน 3. โลกุตรมรรค ได้ชื่อว่า เป็นสุญญตา ด้วยเหตุผล ๓ ประการ
คือ
เพราะลุด้วยปัญญาที่กำหนดพิจารณาความเป็นอนัตตา มองเห็นภาวะที่สังขารเป็นสภาพว่าง (จากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน)
เพราะว่างจากกิเลส มีราคะ เป็นต้น และ
เพราะมีสุญญตา คือ นิพพาน เป็นอารมณ์ 4. ความว่าง ที่เกิดจากกำหนดหมายในใจ หรือ ทำใจเพื่อให้ความว่างนั้นเป็นอารมณ์ของจิตในการเจริญสมาบัติ เช่น ผู้เจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติ กำหนดใจถึงภาวะว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย

สุญตา ก็เขียน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2018, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขั้นแรกถ้าจับหลักนี่ได้ ปิดบอร์ด นี้ เข้าป่าล่าสัตว์ได้เลย เอ้ยไม่ใช่ ขออภัย เข้าป่าทำความเพียรเพื่อรู้จักตนเองว่าที่แท้มันเป็นธรรมะระดับสุดยอด แต่เจ้าเองเข้าใจว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ได้เลย

นี่ท่านว่าไปตามธรรม แต่ถ้าใครนำไปคิดวาดภาพซ้ำอีก แสดงว่าเข้าใจธรรมะระดับที่พูดๆกันผิดแล้ว
พินาดู


ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ* (นิยมเรียกยาวเป็น "สภาวธรรม" ตามคำบาลีว่า "สภาวธมฺม" ซึ่งมาจาก ส+ภาว+ธมฺม แปลตรงตัวว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง) อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้


บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ"

เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"

แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"

สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน เมื่อจะพูดว่า สิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆ แต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์
คือ
๑. รูป - ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา - ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา - ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ นั้นๆได้

๔. สังขาร - ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ - ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2018, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตย.ชีวิตเป็นต้นด้านล่างนั่นแหละ มัน (รูปนาม) เป็นไปตามสภาวะของมัน มันเป็นไปตามสภาวะของมัน มันเป็นไปตามสภาวะของมัน แต่เจ้าเอง ตัวเราเอง อุปาทานจิต (ยึด) ว่าเป็นเรา ไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น เราอยากจะให้มันเป็นตามที่เรายึดเราอยาก มันก็ขัดกันสิทีนี้ ธรรมชาติมันเป็นไปตามเรื่องของมัน แต่เราไม่ชอบ คือ อยากจะให้มันเป็นตามใจเรา ก็สวนทางกัน ขัดแย้งกัน (ระหว่างธรรมกับเรา)

แล้วจะให้ทำยังไงเล่าบอกสิ? ก็กำหนดจิตใจตามดูรู้ทันสภาวะนั้นซี่ อยากรู้ธรรมะไม่ใช่รึ ธรรมะเกิดแล้วก็รู้ไปซี่ :b1: ที่ตนเองต้องการอยากจะได้นั่นน่า มันเป็นตัณหา เป็นวิภวตัณหา อยากให้มันเป็นยังงั้น ไม่อยากให้มันเป็นยังงี้ :b10:

ฉายตัวอย่างซ้ำอีกที


ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



สังเกตอ่าน กับ ทำ อ่านก็รู้ระดับหนึ่ง ว่าไม่ให้ยึดติด (ศรัทธาจึงเชื่อว่าเป็นไปตามนั้น) แต่เมื่อทำไปปฏิบัติไป มันไม่ได้ไม่เป็นอย่างที่อ่านที่คิด แต่กลับยึดติดแจเลย

แต่ส่วนหนึ่งเขาก็เห็นเหมือนกันว่า จิตใจเย็นลงระดับหนึ่ง มีสติตามทันระดับหนึ่งจากการปฏิบัตินั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร