วันเวลาปัจจุบัน 14 ต.ค. 2025, 04:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 67 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ที่เราๆท่านๆพูดถึงพูดเน้นๆกันนักว่าธรรมะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันก็คือชีวิตซึ่งรวมหมดทั้งร่างกายและจิตใจนี่เอง (รูปธรรมนามธรรม)

คคห.นี้ ต้องการให้สังเกตความหมายปัญญาตัวเดียว แต่จำเป็นต้องเอามาทั้งสามตัวเพราะมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และให้สังเกตคำว่า ญาณ ด้วยซึ่งก็คือเป็นชื่อหนึ่งของปัญญานั่นเอง ดู ยาวหน่อย

(หน้าที่ของ สัญญา - วิญญาณ – ปัญญา)

สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง สัญญา และวิญญาณได้พูดมาแล้วพอเป็นพื้นความเข้าใจ

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา

ปัญญาช่วยเสริมสัญญา และวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น
เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

(* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น
แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้น กับ ส่วนนี้ กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก

พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
แต่
ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้
กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * ( ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)



ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิมัคค์เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณ และปัญญาไว้ ว่า สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค (คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค

ท่านอุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์

สัญญา เปรียบเหมือนเด็กยังไม่เดียงสา มองดูเหรียญแล้วรู้แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกัน ใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณ เปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้วรู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้แท้ เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญาเปรียบเหมือนเหรัญญิก ซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั่งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดม ชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ


อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางทีมีแต่สัญญา และวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่ แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วย กับ สัญญา และวิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังลงไปซ่อนตัวในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่าผู้ตามหาเห็นรอยเท้าแล้วจะเข้าใจว่า เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ต่อมาเมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของลูกทั้งสองแล้ว ก็รู้ทันทีว่าลูกทั้งสองเดินถอยหลังไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดหนักทางส้นเท้า ความรู้เท่าทันนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ปัญญามีความรอบคอบและลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้ประโยชน์จากสัญญาด้วย


การที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วคำนึงเห็นความทุกข์ที่มวลมนุษย์ต้องประสบทั่วสากล และเข้าใจถึงภาวะที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ล้วนเกิดขึ้นแล้วปรวนแปรและสิ้นสุดด้วยแตกดับ ควรระงับความทุกข์อันเนื่องมาจากสาเหตุนั้นเสีย ความเข้าใจนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ได้เสด็จไปโปรดพวกกัสสปชฎิล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธ ให้เลื่อมใสยอมรับคำสอนของพระองค์ก่อน พระปรีชาอันให้ดำริที่จะกระทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา


ปัญญาเป็นคำกลาง สำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวแล้ว และปัญญานั้นมีหลายขั้นหลายระดับ เช่น แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ในความหมายจำเพาะ หมายถึง ปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง ระดับใดระดับหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ คุณสมบัติเฉพาะหรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง เช่น ญาณ วิชชา วิปัสสนา สัมปชัญญะ ปริญญา อภิญญา โพธิ ปฏิสัมภิทา เป็นต้น


นี่ก๊อปมาจากหนังสือใช่ม่ะ..เล่มไหน ทำไม ไม่ลงลิงค์เลย..บอกหน้ามา หัวข้อมา เล่มมา ก็พอ..

ไม่เห็นต้องก๊อปยาวๆแบบนี้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่ได้อจากภูมิจิตของตน

มันออกจากสัญญา สังขาร ที่เป็นขันธ์ห้า

แล้วก็ท่องมาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา

ทำไม ยึดสิ่งที่ไม่ใช่เราเป็ฯสาระ อยุ่ได้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ นี่คือ บุคลิคของคุณกรัชกายหรือ

เมยเพิ่งเข้ามาไหม่ เลยยังไม่ค่อยรุ้จักคุณกรัชกายดีนัก

เลยไม่กล้าวิจารณ์ จึงถามเจ้าตัวเอา มันน่าจะดีกว่า..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ที่เราๆท่านๆพูดถึงพูดเน้นๆกันนักว่าธรรมะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันก็คือชีวิตซึ่งรวมหมดทั้งร่างกายและจิตใจนี่เอง (รูปธรรมนามธรรม)

คคห.นี้ ต้องการให้สังเกตความหมายปัญญาตัวเดียว แต่จำเป็นต้องเอามาทั้งสามตัวเพราะมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และให้สังเกตคำว่า ญาณ ด้วยซึ่งก็คือเป็นชื่อหนึ่งของปัญญานั่นเอง ดู ยาวหน่อย

(หน้าที่ของ สัญญา - วิญญาณ – ปัญญา)

สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง สัญญา และวิญญาณได้พูดมาแล้วพอเป็นพื้นความเข้าใจ

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา

ปัญญาช่วยเสริมสัญญา และวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น
เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

(* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น
แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้น กับ ส่วนนี้ กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก

พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
แต่
ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้
กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * ( ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)



ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิมัคค์เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณ และปัญญาไว้ ว่า สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค (คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค

ท่านอุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์

สัญญา เปรียบเหมือนเด็กยังไม่เดียงสา มองดูเหรียญแล้วรู้แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกัน ใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณ เปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้วรู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้แท้ เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญาเปรียบเหมือนเหรัญญิก ซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั่งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดม ชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ


อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางทีมีแต่สัญญา และวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่ แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วย กับ สัญญา และวิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังลงไปซ่อนตัวในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่าผู้ตามหาเห็นรอยเท้าแล้วจะเข้าใจว่า เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ต่อมาเมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของลูกทั้งสองแล้ว ก็รู้ทันทีว่าลูกทั้งสองเดินถอยหลังไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดหนักทางส้นเท้า ความรู้เท่าทันนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ปัญญามีความรอบคอบและลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้ประโยชน์จากสัญญาด้วย


การที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วคำนึงเห็นความทุกข์ที่มวลมนุษย์ต้องประสบทั่วสากล และเข้าใจถึงภาวะที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ล้วนเกิดขึ้นแล้วปรวนแปรและสิ้นสุดด้วยแตกดับ ควรระงับความทุกข์อันเนื่องมาจากสาเหตุนั้นเสีย ความเข้าใจนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ได้เสด็จไปโปรดพวกกัสสปชฎิล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธ ให้เลื่อมใสยอมรับคำสอนของพระองค์ก่อน พระปรีชาอันให้ดำริที่จะกระทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา


ปัญญาเป็นคำกลาง สำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวแล้ว และปัญญานั้นมีหลายขั้นหลายระดับ เช่น แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ในความหมายจำเพาะ หมายถึง ปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง ระดับใดระดับหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ คุณสมบัติเฉพาะหรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง เช่น ญาณ วิชชา วิปัสสนา สัมปชัญญะ ปริญญา อภิญญา โพธิ ปฏิสัมภิทา เป็นต้น


นี่ก๊อปมาจากหนังสือใช่ม่ะ..เล่มไหน ทำไม ไม่ลงลิงค์เลย..บอกหน้ามา หัวข้อมา เล่มมา ก็พอ..

ไม่เห็นต้องก๊อปยาวๆแบบนี้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่ได้อจากภูมิจิตของตน

มันออกจากสัญญา สังขาร ที่เป็นขันธ์ห้า

แล้วก็ท่องมาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา

ทำไม ยึดสิ่งที่ไม่ใช่เราเป็ฯสาระ อยุ่ได้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ นี่คือ บุคลิคของคุณกรัชกายหรือ

เมยเพิ่งเข้ามาไหม่ เลยยังไม่ค่อยรุ้จักคุณกรัชกายดีนัก

เลยไม่กล้าวิจารณ์ จึงถามเจ้าตัวเอา มันน่าจะดีกว่า..



ถามภูมิจิต เรื่องญาณพาพ้นสามโลกก็ไม่ตอบ จะเอาลิงค์เอาหน้าหนังสือ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
คุณกรัชกาย...

การปฎิบัติธรรม เขาปฎิบัติ เพื่อเน้นเอาผลปฎิบัติ

ไม่ได้เน้นเอาปริยัติหรือบัญญัติ

เมื่อเราอ่านวิธีทำ วิธีเดินให้ถูกต้องแล้ว

ก็ลงมือปฎิบัติทันที เพื่อเอาผล หรือ วิมุติของการปฎิบัติที่จะเกิดขึ้น
.
.
บางอย่างมองผ่านๆมันก็ได้..

ได้ผลแล้ว ค่อยมาเก็บละเอียด เอา ข้างทาง

อย่า เน้นอักษร อย่าจับผิดอักษร ...

อ่านแล้วให้ใช้ความรู้สึกเป็นหลัก ..

เพื่อเอา มวลรวมของ บทความนั้นๆ

การจับผิดอักษร มันทำให้การสื่อความหมายของมวลรวมเพี้ยนไป

เราไปให้คำสำคัญกับเรื่องเล็กเรื่องน้อย

จนลืมเป้าหมายใหญ่สุด ว่า ปฎิบัติเพื่ออะไร..

มองผ่านมันบ้าง..

ทำเป็นไม่เห็นบ้าง..

เฉยๆ บ้าง...ก็ได้

เพื่อให้ผลประโยชน์เกิดขึ้นกับตนเองสูงสุด
.
.
ตอนนี้จับปลาผิดตัวในบทความอยู่นะ คุณกรัชกาย..

ลองพิจารณาเนื้อความมวลรวมอีกที

เอาใจไปสัมผัสกับทุกๆตัวอักษรที่อ่าน

มันจะทราบเจตนาในทุกๆเจตนาของผู้โพส

ว่าเขาต้องการสื่ออะไร ในเจตนาแบบไหน..
.
.
เมื่อเราจับปลาผิดตัว...มันก็ทำให้เราเดินผิดไปจากเป้าหมายหลัก.. :b53:


สรุปรวมรวม...คือ...อย่าจับแค่ตัวอักษร..ให้พิจารณาเนื้อความ...ใช่มั้ยครับ..

งั้น..มาเริ่มกันเลย..นะครับ

สายน้ำเมย เขียน:
แนบไฟล์:
014ญาณรู้14.01.61.jpg


ญาณและฌาน เป็นเครื่องมือ ในการนำออกจากทุกข์และวัฏฏะ เท่านั้น
.
.
เมื่อเรายังหลง...ก็ยังวนต่อไป เราจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหนในทางธรรม

...หลงก็คือหลงอยู่ดี...

มีคำพูดที่ว่า..เมื่อถึงฝั่งก็ไม่ยกเรือขึ้นฝั่งด้วย...เรือจึงเป็นเครื่องมือแค่นั้น

เรือที่พาตนไปถึงฝั่ง ก็คือ ฌานและญาณรู้
.
.
ญาณรู้มีสองแบบ ญาณรู้แบบโลกียะที่เป็นไปในทางโลก

และญาณรู้ที่เป็นแบบโลกุตระที่เป็นไปในทางธรรม

โลกียะจะใช้ญาณรู้ เพื่อวนเวียนอยู่ในสามโลกอย่างเดียว

และโลกุตระก็จะให้ญาณรู้ เพื่อเป็นการพาตนออกจากสามโลกอย่างเดียวเช่นกัน
.
.
การทำตนให้ข้ามโคตรได้ จึงสำคัญเพื่อให้ญาณรู้เราสามารถใช้ได้ตรงทางมากขึ้น
.
.
เมื่อเราฝึกจิตให้หยุดนิ่ง จิตที่หยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้า เรียกว่าฌาน

เมื่อใดจิตเราหยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้าได้

เมื่อนั้นจิตเราก็สามารถเข้าถึงฌานทันที

และเมื่อจิตเราหยุดนิ่งแล้ว จะมีข้อธรรมผุดขึ้นที่จิตตรงกลางใจของเรา

ข้อธรรมที่ผุดขึ้นหรือสิ่งที่ผุดขึ้นนี้ เรียกว่า ญาณรู้

.
.
เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ..

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ

.
.
ฌานสมาบัติเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อจิตสงบจากนิวรณ์

จิตที่สงบจากนิวรณ์เกิดจากจิตที่สงบเย็น

จิตที่สงบเย็นเกิดจากจิตที่ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นและเบียดเบียนตนเอง

...ที่เราเรียกว่า ศีล
.
.
ศีลจึงเป็นพื้นฐานของสมาธิ

สมาธิละเอียดเข้าจะไปในลำดับของฌาน

เมื่อมีฌานจิตมั่นคง ญาณรู้ก็เกิดขึ้นได้

ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ศีล สมาธิ ญาณรู้

ถ้าเป็นฝ่ายโลกุตระ จะเรียกว่า ปัญญญาณ หรือ ปัญญา ก็ได้

ศีลสมาธิปัญญา เป็นเครื่องมือให้เราหลุดพ้น
.
.
ปัญญาที่เป็นเครื่องมือ คือ ญาณรู้ นั่นเอง :b53:


จากข้อความนี้....

อ้างคำพูด:
เมื่อเราฝึกจิตให้หยุดนิ่ง จิตที่หยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้า เรียกว่าฌาน

เมื่อใดจิตเราหยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้าได้

เมื่อนั้นจิตเราก็สามารถเข้าถึงฌานทันที

และเมื่อจิตเราหยุดนิ่งแล้ว จะมีข้อธรรมผุดขึ้นที่จิตตรงกลางใจของเรา

ข้อธรรมที่ผุดขึ้นหรือสิ่งที่ผุดขึ้นนี้ เรียกว่า ญาณรู้


ธรรมผุด...จะเกิดตอนเข้าฌานทุกครั้ง...เลยรึยังงัยครับ?

จากข้อความนี้...
ผมไม่แน่ใจว่า..ญาณของคุณสายน้ำเมย..กับ..ผม..จะเข้าใจตรงกันมั้ย?

อ้างคำพูด:
เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ..

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ


ญาณ...ที่ผมเข้าใจ..ก็พวก..ญาณ9 ญาณ 16...
ญาณ..ของคุณสายน้ำเมย....เป็นแบบไหน...เหมือนกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่าครับ?


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 29 ม.ค. 2018, 21:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ถามอะไร ไม่เข้าใจคะ คุณกรัชกาย?


คุณสายน้ำเดินหน้าไปเรื่อย ไม่หันกลับไปดูข้างหลังบ้างเลยว่าอะไรยังไง

ขออีกสัก คคห.เถอะน่า ถ้าไม่รู้ว่าถามอะไรอีก คงต้อง ? :b1:

อ้างคำพูด:
โลกียะจะใช้ญาณรู้ เพื่อวนเวียนอยู่ในสามโลกอย่างเดียว
และโลกุตระก็จะให้ญาณรู้ เพื่อเป็นการพาตนออกจากสามโลกอย่างเดียวเช่นกัน



ที่คุณว่า "ญาณโลกุตระพาตนออกไปจากสามโลก" ญาณมันจะพาไปคุณไปอยู่โลกไหนขอรับ ถ้าไม่อยู่ในโลกมนุษย์ (มนุษยโลก) ลองตอบชัดๆสิครับ ญาณจะพาไปอยู่โลกไหน


ถึง..คุณกรัชกาย..

ที่ไม่ตอบโพสนั้น เพราะเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องตอบ ในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องที่ควรตอบ

เมยจึงนิ่งไปและเฉยไป..เพิกไป..และผ่านมันไป..แต่คุณกรัชกายยังติดอยู่ ไม่ยอมปล่อย..

สำหรับเมย...คำถามนี้มันไม่ใช่สาระ...มันเป็นการคุยที่โต้ตอบ เพื่อเอาชนะ ทางอักษร

หรือเอาชนะ แบบนักปาด..ที่ปาดกันไปปาดกันมา ตายทั้งคู่

ถึงชนะ อีกฝ่ายจนทาง...แต่คนชนะ ก็ได้อัตตา มานะ เป็นรางวัล

จึงนิ่งเสีย...(ชัดเจนในเหตุผลหรือยังคะ ที่เมยไม่ตอบ) :b53:

จาก....สายน้ำเมย



ไม่ตอบไม่ใช่การแก้ปัญหาหรอก คือ อยากจะรู้ว่า โลกที่คุณสายน้ำเมยคิดนี่มันโลกอะไร แนวไหน ตอบสิครับ โลกอะไร


เชิญ ลาน1 คุณกรัชกาย เมยอยู่ที่ลาน1เสมอ :b53:



สรุปยังงี้ได้ไหม คือคุณสายน้ำเมยมโน ไปตามเรื่อง ได้ไหมครับ :b10:

้อ้อลืมไป เคยบอกแล้วว่าคิดเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ที่เราๆท่านๆพูดถึงพูดเน้นๆกันนักว่าธรรมะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันก็คือชีวิตซึ่งรวมหมดทั้งร่างกายและจิตใจนี่เอง (รูปธรรมนามธรรม)

คคห.นี้ ต้องการให้สังเกตความหมายปัญญาตัวเดียว แต่จำเป็นต้องเอามาทั้งสามตัวเพราะมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และให้สังเกตคำว่า ญาณ ด้วยซึ่งก็คือเป็นชื่อหนึ่งของปัญญานั่นเอง ดู ยาวหน่อย

(หน้าที่ของ สัญญา - วิญญาณ – ปัญญา)

สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง สัญญา และวิญญาณได้พูดมาแล้วพอเป็นพื้นความเข้าใจ

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา

ปัญญาช่วยเสริมสัญญา และวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น
เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

(* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น
แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้น กับ ส่วนนี้ กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก

พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
แต่
ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้
กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * ( ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)



ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิมัคค์เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณ และปัญญาไว้ ว่า สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค (คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค

ท่านอุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์

สัญญา เปรียบเหมือนเด็กยังไม่เดียงสา มองดูเหรียญแล้วรู้แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกัน ใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณ เปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้วรู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้แท้ เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญาเปรียบเหมือนเหรัญญิก ซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั่งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดม ชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ


อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางทีมีแต่สัญญา และวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่ แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วย กับ สัญญา และวิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังลงไปซ่อนตัวในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่าผู้ตามหาเห็นรอยเท้าแล้วจะเข้าใจว่า เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ต่อมาเมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของลูกทั้งสองแล้ว ก็รู้ทันทีว่าลูกทั้งสองเดินถอยหลังไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดหนักทางส้นเท้า ความรู้เท่าทันนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ปัญญามีความรอบคอบและลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้ประโยชน์จากสัญญาด้วย


การที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วคำนึงเห็นความทุกข์ที่มวลมนุษย์ต้องประสบทั่วสากล และเข้าใจถึงภาวะที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ล้วนเกิดขึ้นแล้วปรวนแปรและสิ้นสุดด้วยแตกดับ ควรระงับความทุกข์อันเนื่องมาจากสาเหตุนั้นเสีย ความเข้าใจนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ได้เสด็จไปโปรดพวกกัสสปชฎิล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธ ให้เลื่อมใสยอมรับคำสอนของพระองค์ก่อน พระปรีชาอันให้ดำริที่จะกระทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา


ปัญญาเป็นคำกลาง สำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวแล้ว และปัญญานั้นมีหลายขั้นหลายระดับ เช่น แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ในความหมายจำเพาะ หมายถึง ปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง ระดับใดระดับหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ คุณสมบัติเฉพาะหรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง เช่น ญาณ วิชชา วิปัสสนา สัมปชัญญะ ปริญญา อภิญญา โพธิ ปฏิสัมภิทา เป็นต้น


นี่ก๊อปมาจากหนังสือใช่ม่ะ..เล่มไหน ทำไม ไม่ลงลิงค์เลย..บอกหน้ามา หัวข้อมา เล่มมา ก็พอ..

ไม่เห็นต้องก๊อปยาวๆแบบนี้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่ได้อจากภูมิจิตของตน

มันออกจากสัญญา สังขาร ที่เป็นขันธ์ห้า

แล้วก็ท่องมาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา

ทำไม ยึดสิ่งที่ไม่ใช่เราเป็ฯสาระ อยุ่ได้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ นี่คือ บุคลิคของคุณกรัชกายหรือ

เมยเพิ่งเข้ามาไหม่ เลยยังไม่ค่อยรุ้จักคุณกรัชกายดีนัก

เลยไม่กล้าวิจารณ์ จึงถามเจ้าตัวเอา มันน่าจะดีกว่า..



ถามภูมิจิต เรื่องญาณพาพ้นสามโลกก็ไม่ตอบ จะเอาลิงค์เอาหน้าหนังสือ


เพราะคุณกรัชกายปัญญาอ่อนไง..จึงไม่ตอบ...ไร้สาระ อยากเอาชนะ แค่ตัวหนังสือ

มันบ่งบอกว่า มันเป็นเด็กน้อยนะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ที่เราๆท่านๆพูดถึงพูดเน้นๆกันนักว่าธรรมะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันก็คือชีวิตซึ่งรวมหมดทั้งร่างกายและจิตใจนี่เอง (รูปธรรมนามธรรม)

คคห.นี้ ต้องการให้สังเกตความหมายปัญญาตัวเดียว แต่จำเป็นต้องเอามาทั้งสามตัวเพราะมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และให้สังเกตคำว่า ญาณ ด้วยซึ่งก็คือเป็นชื่อหนึ่งของปัญญานั่นเอง ดู ยาวหน่อย

(หน้าที่ของ สัญญา - วิญญาณ – ปัญญา)

สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง สัญญา และวิญญาณได้พูดมาแล้วพอเป็นพื้นความเข้าใจ

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา

ปัญญาช่วยเสริมสัญญา และวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น
เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

(* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น
แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้น กับ ส่วนนี้ กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก

พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
แต่
ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้
กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * ( ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)



ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิมัคค์เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณ และปัญญาไว้ ว่า สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค (คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค

ท่านอุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์

สัญญา เปรียบเหมือนเด็กยังไม่เดียงสา มองดูเหรียญแล้วรู้แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกัน ใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณ เปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้วรู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้แท้ เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญาเปรียบเหมือนเหรัญญิก ซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั่งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดม ชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ


อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางทีมีแต่สัญญา และวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่ แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วย กับ สัญญา และวิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังลงไปซ่อนตัวในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่าผู้ตามหาเห็นรอยเท้าแล้วจะเข้าใจว่า เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ต่อมาเมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของลูกทั้งสองแล้ว ก็รู้ทันทีว่าลูกทั้งสองเดินถอยหลังไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดหนักทางส้นเท้า ความรู้เท่าทันนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ปัญญามีความรอบคอบและลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้ประโยชน์จากสัญญาด้วย


การที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วคำนึงเห็นความทุกข์ที่มวลมนุษย์ต้องประสบทั่วสากล และเข้าใจถึงภาวะที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ล้วนเกิดขึ้นแล้วปรวนแปรและสิ้นสุดด้วยแตกดับ ควรระงับความทุกข์อันเนื่องมาจากสาเหตุนั้นเสีย ความเข้าใจนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ได้เสด็จไปโปรดพวกกัสสปชฎิล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธ ให้เลื่อมใสยอมรับคำสอนของพระองค์ก่อน พระปรีชาอันให้ดำริที่จะกระทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา


ปัญญาเป็นคำกลาง สำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวแล้ว และปัญญานั้นมีหลายขั้นหลายระดับ เช่น แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ในความหมายจำเพาะ หมายถึง ปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง ระดับใดระดับหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ คุณสมบัติเฉพาะหรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง เช่น ญาณ วิชชา วิปัสสนา สัมปชัญญะ ปริญญา อภิญญา โพธิ ปฏิสัมภิทา เป็นต้น


นี่ก๊อปมาจากหนังสือใช่ม่ะ..เล่มไหน ทำไม ไม่ลงลิงค์เลย..บอกหน้ามา หัวข้อมา เล่มมา ก็พอ..

ไม่เห็นต้องก๊อปยาวๆแบบนี้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่ได้อจากภูมิจิตของตน

มันออกจากสัญญา สังขาร ที่เป็นขันธ์ห้า

แล้วก็ท่องมาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา

ทำไม ยึดสิ่งที่ไม่ใช่เราเป็ฯสาระ อยุ่ได้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ นี่คือ บุคลิคของคุณกรัชกายหรือ

เมยเพิ่งเข้ามาไหม่ เลยยังไม่ค่อยรุ้จักคุณกรัชกายดีนัก

เลยไม่กล้าวิจารณ์ จึงถามเจ้าตัวเอา มันน่าจะดีกว่า..



ถามภูมิจิต เรื่องญาณพาพ้นสามโลกก็ไม่ตอบ จะเอาลิงค์เอาหน้าหนังสือ


เพราะคุณกรัชกายปัญญาอ่อนไง..จึงไม่ตอบ...ไร้สาระ อยากเอาชนะ แค่ตัวหนังสือ

มันบ่งบอกว่า มันเป็นเด็กน้อยนะ..



ถูกขอรับ เพราะความเป็นเด็กน้อยนั่นแหละ จึงถามว่า ญาณโลกุตระที่พ้นสามโลกนั่นโลกอะไรบ้าง และเมื่อได้ญาณโลกุตระแล้ว จะไปอยู่โลกไหน ถ้าไม่ใช่โลกมนุษย์ เอ้า ตอบสิเอ้า จะไปอยู่ดาวอังคารหรอ อิอิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ที่เราๆท่านๆพูดถึงพูดเน้นๆกันนักว่าธรรมะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันก็คือชีวิตซึ่งรวมหมดทั้งร่างกายและจิตใจนี่เอง (รูปธรรมนามธรรม)

คคห.นี้ ต้องการให้สังเกตความหมายปัญญาตัวเดียว แต่จำเป็นต้องเอามาทั้งสามตัวเพราะมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และให้สังเกตคำว่า ญาณ ด้วยซึ่งก็คือเป็นชื่อหนึ่งของปัญญานั่นเอง ดู ยาวหน่อย

(หน้าที่ของ สัญญา - วิญญาณ – ปัญญา)

สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง สัญญา และวิญญาณได้พูดมาแล้วพอเป็นพื้นความเข้าใจ

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา

ปัญญาช่วยเสริมสัญญา และวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น
เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

(* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding)


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น
แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้น กับ ส่วนนี้ กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก

พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
แต่
ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้
กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * ( ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)



ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิมัคค์เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณ และปัญญาไว้ ว่า สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค (คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค

ท่านอุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์

สัญญา เปรียบเหมือนเด็กยังไม่เดียงสา มองดูเหรียญแล้วรู้แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกัน ใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณ เปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้วรู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้แท้ เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญาเปรียบเหมือนเหรัญญิก ซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั่งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดม ชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ


อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางทีมีแต่สัญญา และวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่ แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วย กับ สัญญา และวิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังลงไปซ่อนตัวในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่าผู้ตามหาเห็นรอยเท้าแล้วจะเข้าใจว่า เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ต่อมาเมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของลูกทั้งสองแล้ว ก็รู้ทันทีว่าลูกทั้งสองเดินถอยหลังไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดหนักทางส้นเท้า ความรู้เท่าทันนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ปัญญามีความรอบคอบและลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้ประโยชน์จากสัญญาด้วย


การที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วคำนึงเห็นความทุกข์ที่มวลมนุษย์ต้องประสบทั่วสากล และเข้าใจถึงภาวะที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ล้วนเกิดขึ้นแล้วปรวนแปรและสิ้นสุดด้วยแตกดับ ควรระงับความทุกข์อันเนื่องมาจากสาเหตุนั้นเสีย ความเข้าใจนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ได้เสด็จไปโปรดพวกกัสสปชฎิล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธ ให้เลื่อมใสยอมรับคำสอนของพระองค์ก่อน พระปรีชาอันให้ดำริที่จะกระทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา


ปัญญาเป็นคำกลาง สำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวแล้ว และปัญญานั้นมีหลายขั้นหลายระดับ เช่น แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ในความหมายจำเพาะ หมายถึง ปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง ระดับใดระดับหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ คุณสมบัติเฉพาะหรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง เช่น ญาณ วิชชา วิปัสสนา สัมปชัญญะ ปริญญา อภิญญา โพธิ ปฏิสัมภิทา เป็นต้น


นี่ก๊อปมาจากหนังสือใช่ม่ะ..เล่มไหน ทำไม ไม่ลงลิงค์เลย..บอกหน้ามา หัวข้อมา เล่มมา ก็พอ..

ไม่เห็นต้องก๊อปยาวๆแบบนี้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่ได้อจากภูมิจิตของตน

มันออกจากสัญญา สังขาร ที่เป็นขันธ์ห้า

แล้วก็ท่องมาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา

ทำไม ยึดสิ่งที่ไม่ใช่เราเป็ฯสาระ อยุ่ได้

ก๊อปแปะ ก๊อปแปะ นี่คือ บุคลิคของคุณกรัชกายหรือ

เมยเพิ่งเข้ามาไหม่ เลยยังไม่ค่อยรุ้จักคุณกรัชกายดีนัก

เลยไม่กล้าวิจารณ์ จึงถามเจ้าตัวเอา มันน่าจะดีกว่า..



ถามภูมิจิต เรื่องญาณพาพ้นสามโลกก็ไม่ตอบ จะเอาลิงค์เอาหน้าหนังสือ


เพราะคุณกรัชกายปัญญาอ่อนไง..จึงไม่ตอบ...ไร้สาระ อยากเอาชนะ แค่ตัวหนังสือ

มันบ่งบอกว่า มันเป็นเด็กน้อยนะ..



ถูกขอรับ เพราะความเป็นเด็กน้อยนั่นแหละ จึงถามว่า ญาณโลกุตระที่พ้นสามโลกนั่นโลกอะไรบ้าง และเมื่อได้ญาณโลกุตระแล้ว จะไปอยู่โลกไหน ถ้าไม่ใช่โลกมนุษย์ เอ้า ตอบสิเอ้า จะไปอยู่ดาวอังคารหรอ อิอิ


คำว่าในสามโลก เป็นภาษาพูด ที่สามารถตรงกับภาษาธรรมว่า..สามภพ

ญานรู้ในโลกุตระ จะพาให้เราพ้นในสามภพได้ คือ กามภพ รูปภพ และอรุปภพ...

เมื่อเราสามารถพ้นในสามภพได้..เราก็อยุ่ในโลกปกติได้ ในลักษณะ ไม่ยึดติดในสมมุติ

ทุกสิ่งในโลกนี้และในสามภพ คือสมมติ..อยุ่ไปจนกายแตก มันดับไป ไม่เกิดอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อนะ...

ในบทความนี้ พูดถึงในส่วนของญานรู้เท่านั้น

เมื่อมีญานรู้แล้ว ต้องใช้ญานรู้ที่รู้มานะแหละ เพียรลงมือปฎิบัติต่อ

ผลของการลงมือปฎิบัตกรรมฐาน โดยใช้ญาณรู้เป็นตัวช่วย..

จะทำให้เราถึงผลในวิมุติข้อ3-5 ได้หรือที่เรียกว่า เราได้ ภาวนามยปัญญา
.
.
แต่ถ้าเราไม่เอาญานรู้ที่ได้รู้มา เพียรลงมือปฎิบัตต่อ

เราหยุดแค่นั้น..ญาณรุ้ตรงนี้ มันตรงเข้าได้แค่ จินตมยปัญญาเท่านั้น

สามารถ เข้าถึงวิมุตติ ข้อ1และข้อ2ได้เท่านั้น

วนไปวนมา ไม่ก็เสื่อมลง และวนไปวนมาในข้อ1และข้อ2 อีกอยู่อย่างนี้

ไปจนตาย..

ต้องนำญานรู้ไปใช้เป็นเครื่องมือต่อ...เพื่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริงที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา

โดยการลงมือกระทำในข้อกรรมฐาน ที่พระสัมมา ไดบอกกล่าวไว้ว่า..เดินอย่างไร จึงจะละสังโยชน์ได้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
ต่อนะ...

ในบทความนี้ พูดถึงในส่วนของญานรู้เท่านั้น

เมื่อมีญานรู้แล้ว ต้องใช้ญานรู้ที่รู้มานะแหละ เพียรลงมือปฎิบัติต่อ

ผลของการลงมือปฎิบัตกรรมฐาน โดยใช้ญาณรู้เป็นตัวช่วย..

จะทำให้เราถึงผลในวิมุติข้อ3-5 ได้หรือที่เรียกว่า เราได้ ภาวนามยปัญญา
.
.
แต่ถ้าเราไม่เอาญานรู้ที่ได้รู้มา เพียรลงมือปฎิบัตต่อ

เราหยุดแค่นั้น..ญาณรุ้ตรงนี้ มันตรงเข้าได้แค่ จินตมยปัญญาเท่านั้น

สามารถ เข้าถึงวิมุตติ ข้อ1และข้อ2ได้เท่านั้น

วนไปวนมา ไม่ก็เสื่อมลง และวนไปวนมาในข้อ1และข้อ2 อีกอยู่อย่างนี้

ไปจนตาย..

ต้องนำญานรู้ไปใช้เป็นเครื่องมือต่อ...เพื่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริงที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา

โดยการลงมือกระทำในข้อกรรมฐาน ที่พระสัมมา ไดบอกกล่าวไว้ว่า..เดินอย่างไร จึงจะละสังโยชน์ได้ :b8:



แล้วเดินอย่างไรล่ะ ?

ก็ทำนองเดียวกับทั่วๆไป ทำนองเดียวกับที่กำลังเป็นข่าว คือ ยกศัพท์แสงขึ้นมาพูดโยงไปโยงมา เช่น สติ สัมปชัญญะ กรรมฐาน อุเบกขา ญาณ ปัญญา ฯลฯ พูดไปพูดมาบรรลุทำแล้ว เป็นนั่นเป็นนี่ตามที่่ตัวเองอยากเป็นแล้ว คือ อยากเป็นอะไรก็คิดเอาพูดเอา :b1: เหมือนคนนอนฝันว่าถูกหวย 75 ล้านในฝันดีใจใหญ่ ตื่นมาหายเกลี้ยง :b32: ล้างหน้าล้างตาเตรียมรถเข็ญไปขายหมูปิ้งเหมือนทุกๆวัน

https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5B2478E1

https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5AE964ED

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 22:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วเดินอย่างไรล่ะ ?


เมยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตน เพื่อให้คุณกรัชกาย มายืนยันนะคะ

ไม่มีธรรมใดได้มาโดยง่าย ถ้าเราไม่ลงมืปฎิบัติเอง :b8:

คำสอนครูบาอารย์ท่านได้บอกได้สอนมาสมบูรณ์แล้ว

เราไม่จำเป็นต้องมาวัดรอยเท้าท่านในการสอนทางเดิน :b8:

กรรมฐานสี่สิบและมหาสติสี่ บอกวิธีเดินชัด..เพื่อในนักปฎิบัติฝึกตน

เพื่อประโยชน์ของตนเอง
.
.
ธรรมนั้นได้มาโดยยาก...คนที่ไม่เห็นค่า...เมยไม่ให้หรอกคะ

ด่าไปเมยเถอะ... เมยไม่สนใจหรอก...อย่างมากรำคาญก็ด่าคืนเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำอย่างไร ถึงได้ผล..นั้น

การขอความรู้กันเพื่อเปิดปัญญา...เขาไม่ใช้วิธีพูดแบบคุณกรัชกายหรอกคะ

ทุกคำที่พูดออกมา..มันสามารถบ่งบอกคุณภาพจิตของคนที่พูดนั้นๆได้

มันสามารถดูจากการโพสว่า..คนๆนั้นมีคุณภาพจิตดีหรือไม่

วุฒิภาวะทางธรรมเป็นอย่างไร..ธรรมในจิตเป็นอย่างไร จึงพูดแบบนั้นออกมา

ทุกอักษรมันสื่อถึงจิตผู้พูดได้...

จึงพูดว่า...การปราถนาจะให้คนพูดธรรม..มันควรมีวิธีที่ดีกว่านี้...
.
.
ปีที่แล้ว..ต้นปี..เมยเคยพิมพ์ วิธีเดินยังไงจึงละสังโยชน์ได้ ให้เพื่อนๆชาวลานหนึ่งได้อ่าน

เมยพิมพ์เพื่อเป็นการทำบุญให้ตนเองเนื่องในวันปีไหม่

และเหตุที่เมยมาพิมพ์ที่หน้าลาน..ก็เหตุผลเดียวกัน

คือการทำบุญให้ตัวเอง..ไม่ได้คิดจะมาสร้างเจ้ากรรมนายเวรขึ้นมาไหม่

หวังว่าจะเข้าใจนะคะ :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มองไม่เห้น..ก็เลยเอามา..
:b9: :b9:

กบนอกกะลา เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
คุณกรัชกาย...

การปฎิบัติธรรม เขาปฎิบัติ เพื่อเน้นเอาผลปฎิบัติ

ไม่ได้เน้นเอาปริยัติหรือบัญญัติ

เมื่อเราอ่านวิธีทำ วิธีเดินให้ถูกต้องแล้ว

ก็ลงมือปฎิบัติทันที เพื่อเอาผล หรือ วิมุติของการปฎิบัติที่จะเกิดขึ้น
.
.
บางอย่างมองผ่านๆมันก็ได้..

ได้ผลแล้ว ค่อยมาเก็บละเอียด เอา ข้างทาง

อย่า เน้นอักษร อย่าจับผิดอักษร ...

อ่านแล้วให้ใช้ความรู้สึกเป็นหลัก ..

เพื่อเอา มวลรวมของ บทความนั้นๆ

การจับผิดอักษร มันทำให้การสื่อความหมายของมวลรวมเพี้ยนไป

เราไปให้คำสำคัญกับเรื่องเล็กเรื่องน้อย

จนลืมเป้าหมายใหญ่สุด ว่า ปฎิบัติเพื่ออะไร..

มองผ่านมันบ้าง..

ทำเป็นไม่เห็นบ้าง..

เฉยๆ บ้าง...ก็ได้

เพื่อให้ผลประโยชน์เกิดขึ้นกับตนเองสูงสุด
.
.
ตอนนี้จับปลาผิดตัวในบทความอยู่นะ คุณกรัชกาย..

ลองพิจารณาเนื้อความมวลรวมอีกที

เอาใจไปสัมผัสกับทุกๆตัวอักษรที่อ่าน

มันจะทราบเจตนาในทุกๆเจตนาของผู้โพส

ว่าเขาต้องการสื่ออะไร ในเจตนาแบบไหน..
.
.
เมื่อเราจับปลาผิดตัว...มันก็ทำให้เราเดินผิดไปจากเป้าหมายหลัก.. :b53:


สรุปรวมรวม...คือ...อย่าจับแค่ตัวอักษร..ให้พิจารณาเนื้อความ...ใช่มั้ยครับ..

งั้น..มาเริ่มกันเลย..นะครับ

สายน้ำเมย เขียน:
แนบไฟล์:
014ญาณรู้14.01.61.jpg


ญาณและฌาน เป็นเครื่องมือ ในการนำออกจากทุกข์และวัฏฏะ เท่านั้น
.
.
เมื่อเรายังหลง...ก็ยังวนต่อไป เราจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหนในทางธรรม

...หลงก็คือหลงอยู่ดี...

มีคำพูดที่ว่า..เมื่อถึงฝั่งก็ไม่ยกเรือขึ้นฝั่งด้วย...เรือจึงเป็นเครื่องมือแค่นั้น

เรือที่พาตนไปถึงฝั่ง ก็คือ ฌานและญาณรู้
.
.
ญาณรู้มีสองแบบ ญาณรู้แบบโลกียะที่เป็นไปในทางโลก

และญาณรู้ที่เป็นแบบโลกุตระที่เป็นไปในทางธรรม

โลกียะจะใช้ญาณรู้ เพื่อวนเวียนอยู่ในสามโลกอย่างเดียว

และโลกุตระก็จะให้ญาณรู้ เพื่อเป็นการพาตนออกจากสามโลกอย่างเดียวเช่นกัน
.
.
การทำตนให้ข้ามโคตรได้ จึงสำคัญเพื่อให้ญาณรู้เราสามารถใช้ได้ตรงทางมากขึ้น
.
.
เมื่อเราฝึกจิตให้หยุดนิ่ง จิตที่หยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้า เรียกว่าฌาน

เมื่อใดจิตเราหยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้าได้

เมื่อนั้นจิตเราก็สามารถเข้าถึงฌานทันที

และเมื่อจิตเราหยุดนิ่งแล้ว จะมีข้อธรรมผุดขึ้นที่จิตตรงกลางใจของเรา

ข้อธรรมที่ผุดขึ้นหรือสิ่งที่ผุดขึ้นนี้ เรียกว่า ญาณรู้

.
.
เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ..

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ

.
.
ฌานสมาบัติเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อจิตสงบจากนิวรณ์

จิตที่สงบจากนิวรณ์เกิดจากจิตที่สงบเย็น

จิตที่สงบเย็นเกิดจากจิตที่ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นและเบียดเบียนตนเอง

...ที่เราเรียกว่า ศีล
.
.
ศีลจึงเป็นพื้นฐานของสมาธิ

สมาธิละเอียดเข้าจะไปในลำดับของฌาน

เมื่อมีฌานจิตมั่นคง ญาณรู้ก็เกิดขึ้นได้

ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ศีล สมาธิ ญาณรู้

ถ้าเป็นฝ่ายโลกุตระ จะเรียกว่า ปัญญญาณ หรือ ปัญญา ก็ได้

ศีลสมาธิปัญญา เป็นเครื่องมือให้เราหลุดพ้น
.
.
ปัญญาที่เป็นเครื่องมือ คือ ญาณรู้ นั่นเอง :b53:


จากข้อความนี้....

อ้างคำพูด:
เมื่อเราฝึกจิตให้หยุดนิ่ง จิตที่หยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้า เรียกว่าฌาน

เมื่อใดจิตเราหยุดนิ่งจากนิวรณ์ห้าได้

เมื่อนั้นจิตเราก็สามารถเข้าถึงฌานทันที

และเมื่อจิตเราหยุดนิ่งแล้ว จะมีข้อธรรมผุดขึ้นที่จิตตรงกลางใจของเรา

ข้อธรรมที่ผุดขึ้นหรือสิ่งที่ผุดขึ้นนี้ เรียกว่า ญาณรู้


ธรรมผุด...จะเกิดตอนเข้าฌานทุกครั้ง...เลยรึยังงัยครับ?

จากข้อความนี้...
ผมไม่แน่ใจว่า..ญาณของคุณสายน้ำเมย..กับ..ผม..จะเข้าใจตรงกันมั้ย?

อ้างคำพูด:
เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ..

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ


ญาณ...ที่ผมเข้าใจ..ก็พวก..ญาณ9 ญาณ 16...
ญาณ..ของคุณสายน้ำเมย....เป็นแบบไหน...เหมือนกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่าครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ธรรมผุด...จะเกิดตอนเข้าฌานทุกครั้ง...เลยรึยังงัยครับ?

จากข้อความนี้...
ผมไม่แน่ใจว่า..ญาณของคุณสายน้ำเมย..กับ..ผม..จะเข้าใจตรงกันมั้ย?

อ้างคำพูด:

เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ.. 

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้ 

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ


ญาณ...ที่ผมเข้าใจ..ก็พวก..ญาณ9 ญาณ 16...
ญาณ..ของคุณสายน้ำเมย....เป็นแบบไหน...เหมือนกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่าครับ?




จริงๆ..ในเชิงปฎิบัติ อุปจารสมาธิ ธรรมก็แจ้งแก่จิตได้แล้วคะ

แต่ที่แจ้งตรงอุปจารสมาธิได้ ก็เกิดจากการที่จิตสะสมกำลังจากการบ่มเพาะฌานมา...
.
.
แต่ในบัญญัติ ได้พูดไว้ชัดเจนว่า...เมื่อวิตกวิจารณ์ดับไป...จะมีธรรมผุดขึ้นกลางใจขึ้นมาได้

บ้านๆว่า ก็ตรงกับฌานสองพอดี ในนี้มีตำราบอกไว้ สามารถหาอ้างอิงได้
.
.
.ส่วนเรื่องญาณรู้...ในบทความนี้ พูดถึงสาเหตุของการเกิดของญาณ ว่าเกิดตรงจุดใด

ส่วนเรื่องญาน9และญาณ16 นั้น เป็นชื่อประเภทของญาณ

ว่าญาณที่เกิดจากเหตุการพิจารณาอย่างไร จึงเกิดญาณนั้นขึ้นมา

และเป็นลำดับการเกิดก่อนเกิดหลังของญาณ

ญาณข้อที่หนึ่งเกิดก่อนข้อที่สองสามสี่ห้า..อย่างนี้เป็นต้น

เมยพิจารณาได้อย่างนี้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2018, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
อ้างคำพูด:
ธรรมผุด...จะเกิดตอนเข้าฌานทุกครั้ง...เลยรึยังงัยครับ?

จากข้อความนี้...
ผมไม่แน่ใจว่า..ญาณของคุณสายน้ำเมย..กับ..ผม..จะเข้าใจตรงกันมั้ย?

อ้างคำพูด:

เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ.. 

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้ 

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ


ญาณ...ที่ผมเข้าใจ..ก็พวก..ญาณ9 ญาณ 16...
ญาณ..ของคุณสายน้ำเมย....เป็นแบบไหน...เหมือนกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่าครับ?




จริงๆ..ในเชิงปฎิบัติ อุปจารสมาธิ ธรรมก็แจ้งแก่จิตได้แล้วคะ

แต่ที่แจ้งตรงอุปจารสมาธิได้ ก็เกิดจากการที่จิตสะสมกำลังจากการบ่มเพาะฌานมา...
.
.
แต่ในบัญญัติ ได้พูดไว้ชัดเจนว่า...เมื่อวิตกวิจารณ์ดับไป...จะมีธรรมผุดขึ้นกลางใจขึ้นมาได้

บ้านๆว่า ก็ตรงกับฌานสองพอดี ในนี้มีตำราบอกไว้ สามารถหาอ้างอิงได้
.
.
.ส่วนเรื่องญาณรู้...ในบทความนี้ พูดถึงสาเหตุของการเกิดของญาณ ว่าเกิดตรงจุดใด

ส่วนเรื่องญาน9และญาณ16 นั้น เป็นชื่อประเภทของญาณ

ว่าญาณที่เกิดจากเหตุการพิจารณาอย่างไร จึงเกิดญาณนั้นขึ้นมา

และเป็นลำดับการเกิดก่อนเกิดหลังของญาณ

ญาณข้อที่หนึ่งเกิดก่อนข้อที่สองสามสี่ห้า..อย่างนี้เป็นต้น

เมยพิจารณาได้อย่างนี้ :b8:



นั่นมันการพูด ก็เหมือนกับอ.อ้อยของศิษย์นั่นแหละพูดไป

https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5B2478E1

นี่แหละผู้บรรลุธรรมเมืองไทย อิอิ บรรลุเอาดื้อๆ

ทีนี้ มาถึงวิธีทำวิธีปฏิบัติทำยังไง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ไม่ใช่พูดอ้างญาณนั่นนี่เอา ปริยัติ ยังว่าไม่ตรงเลย อิอิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2018, 08:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
อ้างคำพูด:
ธรรมผุด...จะเกิดตอนเข้าฌานทุกครั้ง...เลยรึยังงัยครับ?

จากข้อความนี้...
ผมไม่แน่ใจว่า..ญาณของคุณสายน้ำเมย..กับ..ผม..จะเข้าใจตรงกันมั้ย?

อ้างคำพูด:

เมื่อจิตหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จิตจะมีความละเอียดเข้าไปๆ.. 

ความละเอียดของจิตที่หยุดนิ่งนี้ สามารถเทียบเข้าลำดับของฌานได้ 

เราจึงสามารถพูดได้ว่า ญาณรู้เกิดจากการทำฌานสมาบัติ


ญาณ...ที่ผมเข้าใจ..ก็พวก..ญาณ9 ญาณ 16...
ญาณ..ของคุณสายน้ำเมย....เป็นแบบไหน...เหมือนกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่าครับ?




จริงๆ..ในเชิงปฎิบัติ อุปจารสมาธิ ธรรมก็แจ้งแก่จิตได้แล้วคะ

แต่ที่แจ้งตรงอุปจารสมาธิได้ ก็เกิดจากการที่จิตสะสมกำลังจากการบ่มเพาะฌานมา...
.
.
แต่ในบัญญัติ ได้พูดไว้ชัดเจนว่า...เมื่อวิตกวิจารณ์ดับไป...จะมีธรรมผุดขึ้นกลางใจขึ้นมาได้

บ้านๆว่า ก็ตรงกับฌานสองพอดี ในนี้มีตำราบอกไว้ สามารถหาอ้างอิงได้
.
.
.ส่วนเรื่องญาณรู้...ในบทความนี้ พูดถึงสาเหตุของการเกิดของญาณ ว่าเกิดตรงจุดใด

ส่วนเรื่องญาน9และญาณ16 นั้น เป็นชื่อประเภทของญาณ

ว่าญาณที่เกิดจากเหตุการพิจารณาอย่างไร จึงเกิดญาณนั้นขึ้นมา

และเป็นลำดับการเกิดก่อนเกิดหลังของญาณ

ญาณข้อที่หนึ่งเกิดก่อนข้อที่สองสามสี่ห้า..อย่างนี้เป็นต้น

เมยพิจารณาได้อย่างนี้ :b8:



นั่นมันการพูด ก็เหมือนกับอ.อ้อยของศิษย์นั่นแหละพูดไป

https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5B2478E1

นี่แหละผู้บรรลุธรรมเมืองไทย อิอิ บรรลุเอาดื้อๆ

ทีนี้ มาถึงวิธีทำวิธีปฏิบัติทำยังไง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ไม่ใช่พูดอ้างญาณนั่นนี่เอา ปริยัติ ยังว่าไม่ตรงเลย อิอิ


จริงๆเรื่องโลกธรรม มันเป็นเรื่องของโลกนะ...ทุกๆคนต้องเจอเป็นปกติ

แต่กรรม วิบากกรรม เป็นเรื่องของธรรม

การใส่ร้าย การป้ายสี การกล้าวตู่ ในข้อหาต่างๆ

เมื่อเราทำกับใคร..ผลสะท้อนกลับย่อมเกิดขึ้นกับเราได้ ในคำว่าวิบาก

ทุกคำพูดมันบ่งบอกภูมิปัญญา...บ่งบอกคุณธรรมในจิต

เมื่อเราพุดอะไรออกไป...เราต้องเป็นผลรับผิดชอบของคำนั้น
.
.
.
ในภาพที่เอามาให้ดู มันเป็นเรื่องปกตินะ...เป็นธรรมดาของโลก

เราไม่เคยติดตามอ่านผลงานของ อ.อ้อย

เพราะเราถือว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะมีเกิดขึ้นได้

เมื่อเรามั่นคงในธรรม เราย่อมไม่เป็นบุคคลตื่นข่าวใดๆ

มีหน้าที่ทำตน ฝึกตน ตามข้อกรรมฐาน พิจารณาตน

จับผิดแต่ในตนเอง เพื่อหาข้อพร่องของตน จะได้แก้ไขตนเอง

ให้ดียิ่งๆขึ้นไป...

ส่วนคนอื่นนั้น...มันเรื่องของเขา...กรรมของเขา วิบากของเรา

เราดีพอหรือยัง..ถึงจะอวดอ้างศักดา ไปวิจารณ์ใครๆ

สำหรับเรา เราเจียมตัวและสังวรตัว...จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องใดๆของโลก
.
.
.
แต่ถ้าพุดกลางๆแล้ว

ธรรมของพระสัมมามีสี่สาย..แบ่งโดยเอาความสามารถเป็นเกณฑ์

คือสุขวิปัสสโส วิชชาสาม อภิญญาหก และสัมภิทาญาณ

บุคคลที่เป็นสุขวิปัสสโก ไม่สามารถเข้าใจและเข้าถึง บุคคคประเภทที่เหลือได้

บุคคลประเภทวิชชาสาม ไม่สามารถเข้าถึง บุคคลประเภท อภิญญาหก สัมภิทาญาณได้

และบุคคลประเภทอภิญญาหก ไม่สามารถเข้าถึงสัมภิทาญาณได้
.
.
ใรทางกลับกัน

บุคคลประเภทสัมภืทาญาณจะสามารถเข้าใจและเข้าถึง

อภิญญาหก วิชชาสามและสุขวิปัสสโก

บุคคลประเภทอภิญญาหก สามารถเข้าในและเข้าถึง

บุคคลประเภทวิชชาสามและสุขวิปัสสโกได้

บุคคลประเภทวิชชาสามสามมาถเข้าใจบุคคลประเภทสุขวิปัสสโกได้
.
.
แต่บุคคลประเภทสุขวิปัสสโกจะเข้าใจและเข้าถึงได้ในคนประเภทเดียวกัน

แต่นั่นต้องดูภูมิธรรมในจิตด้วยนะ

ปุถุชนไม่สามารถดุอริยสาวกในทุกระดับได้

โสดาผลไม่สามารถดูกสิทาคามีผลได้ อย้างนี้เป็นต้น
.
.
นี่พูดกลางๆ...มันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดากันที่คนจะวิจารณ์และพูดไป

เรื่องของคนอื่น..มันไม่เกี่ยวกับเรา

แต่เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่า เราจะสร้างกรรมให้แก่ตนเองโดยวิธีใด

กุศล..อกุศล..อัพยากฤต..กิริยา..

เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้เลือลงมือกระทำ...ด้วยสติและสัมปชัญญะทั้งหมดที่เรามีอยู่ :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2018, 08:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทีนี้ มาถึงวิธีทำวิธีปฏิบัติทำยังไง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ


ลืมเห็น..

ส่วนประโยคนี้...เมื่อศรัทธาของคนยังไม่เกิด..พูดจนปากฉีกถึงหู เขาก็ไม่รับฟัง

แม้เราจะพยายามพิสูจน์ตน เพื่อให้เขาเชื่อ และมั่นใจในเรา

ทุ่มเทลงไปเท่าไหร...มันก็ศูนย์เปล่า.... :b53:
.
.
บางอย่างต้องปล่อยให้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ตน

ให้คำพูดการกระทำ มันยืนยันและเป็นพยานในภูมิธรรมที่ตนมีในจิต

ระยะเวลาเท่านั้น...ที่มันจะช่วยเราในการแสดงจุดยืนของตนเองได้..
.
.
ปากแบบคุณกรัชกาย มีทุกมุมของสังคม

ขอบคุณนะ..ที่มาเป็นครูในการฝึกตน

ไม่เจอคนแบบคุณกรัชกายตอนนี้...วันหน้าก็ต้องเจออีกอยู่ดี

คุณกรัชกายอาจะดูเบบี๋ไปเลยก็ได้ ในเรื่องวาจาที่วิจารณ์คน

ขอบคุณสำหรับน้ำใจ ที่เอาตนเองมาสร้างกรรมและวิบาก

เพื่อเป็นครูในการฝึกการโดนกระทบให้เรา :b8: :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 67 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron