วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
bigtoo เขียน:
อริยะสาวกละธรรมสี่ประการ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่บักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมีย ไม่โกหก พุทธแสดงไว้แบบนี้ หมายความว่าอะไร

หาก bigtoo จะยก ข้อธรรมใน สิงคาลกสูตร มานั้น
ก็ควรจะยก มาให้ครบบท อย่ายกมาครึ่งหนึ่งครับ
สิ่งที่ bigtoo ควรยกมาเป็นอย่างนี้ครับ

Quote Tipitaka:
"สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่
ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้
ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
กรรมกิเลส ๔ เป็นไฉน ที่อริยสาวกละได้แล้ว ดูกรคฤหบดีบุตร กรรม
กิเลส คือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ กรรม
กิเลส ๔ เหล่านี้ ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๗๕] ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท และการคบหาภรรยาผู้อื่น
เรากล่าวว่าเป็นกรรมกิเลส บัณฑิตไม่สรรเสริญ ฯ

[๑๗๖] อริยสาวกไม่กระทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ เป็นไฉน ปุถุชนถึง
ฉันทาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโทสาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโมหา-
*คติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงภยาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ฯ
ดูกรคฤหบดีบุตร ส่วนอริยสาวกย่อมไม่ถึงฉันทาคติ ย่อมไม่ถึงโทสาคติ
ย่อมไม่ถึงโมหาคติ ย่อมไม่ถึงภยาคติ ท่านย่อมไม่ทำกรรมอันลามกโดยฐานะ ๔
เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๗๗] ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว
ความหลง ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม ดังดวงจันทร์ในข้างแรม
ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรมเพราะความรัก ความชัง ความกลัว
ความหลง ยศย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ดุจดวงจันทร์ในข้างขึ้น ฯ
[๑๗๘] อริยสาวกย่อมไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ เป็นไฉน ดูกร
คฤหบดีบุตร การประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการ
เที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การเที่ยว
ดูมหรสพเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอัน
เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบ
เนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบ
เนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ ฯ"

bigtoo อาจจะอ้างว่า นานๆ ยกแก้วที ไม่ได้ประกอบเนืองๆ
แต่ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ
เจ้านายยกชน ก็ชนทุกทีครับ ถึงแม้จะนานๆครั้ง ก็ยังเป็นการประกอบเนืองๆ ครับ

การยกธรรมบท 14 ประการ มาเพียง 4 ประการนั้น
เป็นการยกมาเพื่อสนับสนุนตามฉันทาคติของตนครับ

:b8: :b8: :b8:


bigtoo เขียน:
งง ก็ใช่พระพุทธตรัสว่าอริยสาวกละธรรมสี่ประการได้เท่านั้นมีอะไรต้องสงสัยล่ะ พระพุทธเจ้ากบ่าวธรรมะขัดกันเหรอครับ สุราก็เลยจัดลงทางเสื่อม ทางเสื่อมเป็นยังไงล่ะ ท่านก็ดูเอาซิ คือการประกอบเนื่องๆจึงจะเรียกว่าทางเสือม มันมีอะไรยากนักเหรอ ง่ายนิดเดียว งง เวลาพระองค์แสดงธรรมะพระองค์ก็แสดงเพื่อไม่เป็นการย่อหย่อน แต่เวลาตอบคำถามใครๆท่านก็แสดงธรรมที่เป็นจริงก็เท่านั้น อริยสาวกละกิเลสกรรมสี่ประการ ก็แค่นี้ มีอะไรล่ะก็ชัดเจนไม่ใช่เหรอ


:b32: :b32: :b32:

ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด.. :b32: :b32:


ไม่ใช้ความคิดแล้วใช้อะไร เออ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา ยังถือศีลหาเมีย หารถอยู่ไหม คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
bigtoo เขียน:
อริยะสาวกละธรรมสี่ประการ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่บักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมีย ไม่โกหก พุทธแสดงไว้แบบนี้ หมายความว่าอะไร

หาก bigtoo จะยก ข้อธรรมใน สิงคาลกสูตร มานั้น
ก็ควรจะยก มาให้ครบบท อย่ายกมาครึ่งหนึ่งครับ
สิ่งที่ bigtoo ควรยกมาเป็นอย่างนี้ครับ

Quote Tipitaka:
"สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่
ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้
ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
กรรมกิเลส ๔ เป็นไฉน ที่อริยสาวกละได้แล้ว ดูกรคฤหบดีบุตร กรรม
กิเลส คือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ กรรม
กิเลส ๔ เหล่านี้ ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๗๕] ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท และการคบหาภรรยาผู้อื่น
เรากล่าวว่าเป็นกรรมกิเลส บัณฑิตไม่สรรเสริญ ฯ

[๑๗๖] อริยสาวกไม่กระทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ เป็นไฉน ปุถุชนถึง
ฉันทาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโทสาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโมหา-
*คติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงภยาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ฯ
ดูกรคฤหบดีบุตร ส่วนอริยสาวกย่อมไม่ถึงฉันทาคติ ย่อมไม่ถึงโทสาคติ
ย่อมไม่ถึงโมหาคติ ย่อมไม่ถึงภยาคติ ท่านย่อมไม่ทำกรรมอันลามกโดยฐานะ ๔
เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๗๗] ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว
ความหลง ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม ดังดวงจันทร์ในข้างแรม
ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรมเพราะความรัก ความชัง ความกลัว
ความหลง ยศย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ดุจดวงจันทร์ในข้างขึ้น ฯ
[๑๗๘] อริยสาวกย่อมไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ เป็นไฉน ดูกร
คฤหบดีบุตร การประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการ
เที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การเที่ยว
ดูมหรสพเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอัน
เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบ
เนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบ
เนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ ฯ"

bigtoo อาจจะอ้างว่า นานๆ ยกแก้วที ไม่ได้ประกอบเนืองๆ
แต่ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ
เจ้านายยกชน ก็ชนทุกทีครับ ถึงแม้จะนานๆครั้ง ก็ยังเป็นการประกอบเนืองๆ ครับ

การยกธรรมบท 14 ประการ มาเพียง 4 ประการนั้น
เป็นการยกมาเพื่อสนับสนุนตามฉันทาคติของตนครับ

:b8: :b8: :b8:


bigtoo เขียน:
งง ก็ใช่พระพุทธตรัสว่าอริยสาวกละธรรมสี่ประการได้เท่านั้นมีอะไรต้องสงสัยล่ะ พระพุทธเจ้ากบ่าวธรรมะขัดกันเหรอครับ สุราก็เลยจัดลงทางเสื่อม ทางเสื่อมเป็นยังไงล่ะ ท่านก็ดูเอาซิ คือการประกอบเนื่องๆจึงจะเรียกว่าทางเสือม มันมีอะไรยากนักเหรอ ง่ายนิดเดียว งง เวลาพระองค์แสดงธรรมะพระองค์ก็แสดงเพื่อไม่เป็นการย่อหย่อน แต่เวลาตอบคำถามใครๆท่านก็แสดงธรรมที่เป็นจริงก็เท่านั้น อริยสาวกละกิเลสกรรมสี่ประการ ก็แค่นี้ มีอะไรล่ะก็ชัดเจนไม่ใช่เหรอ


:b32: :b32: :b32:

ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด.. :b32: :b32:


ไม่ใช้ความคิดแล้วใช้อะไร เออ


ก็ธรรมดา...เมื่อยังถนัดคุ้นชินกับตรรกะ..อยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
bigtoo เขียน:
อริยะสาวกละธรรมสี่ประการ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่บักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมีย ไม่โกหก พุทธแสดงไว้แบบนี้ หมายความว่าอะไร

หาก bigtoo จะยก ข้อธรรมใน สิงคาลกสูตร มานั้น
ก็ควรจะยก มาให้ครบบท อย่ายกมาครึ่งหนึ่งครับ
สิ่งที่ bigtoo ควรยกมาเป็นอย่างนี้ครับ

Quote Tipitaka:
"สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่
ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้
ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
กรรมกิเลส ๔ เป็นไฉน ที่อริยสาวกละได้แล้ว ดูกรคฤหบดีบุตร กรรม
กิเลส คือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ กรรม
กิเลส ๔ เหล่านี้ ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๗๕] ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท และการคบหาภรรยาผู้อื่น
เรากล่าวว่าเป็นกรรมกิเลส บัณฑิตไม่สรรเสริญ ฯ

[๑๗๖] อริยสาวกไม่กระทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ เป็นไฉน ปุถุชนถึง
ฉันทาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโทสาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโมหา-
*คติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงภยาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ฯ
ดูกรคฤหบดีบุตร ส่วนอริยสาวกย่อมไม่ถึงฉันทาคติ ย่อมไม่ถึงโทสาคติ
ย่อมไม่ถึงโมหาคติ ย่อมไม่ถึงภยาคติ ท่านย่อมไม่ทำกรรมอันลามกโดยฐานะ ๔
เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัส
คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๗๗] ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว
ความหลง ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม ดังดวงจันทร์ในข้างแรม
ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรมเพราะความรัก ความชัง ความกลัว
ความหลง ยศย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ดุจดวงจันทร์ในข้างขึ้น ฯ
[๑๗๘] อริยสาวกย่อมไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ เป็นไฉน ดูกร
คฤหบดีบุตร การประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการ
เที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การเที่ยว
ดูมหรสพเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอัน
เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบ
เนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบ
เนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ ฯ"

bigtoo อาจจะอ้างว่า นานๆ ยกแก้วที ไม่ได้ประกอบเนืองๆ
แต่ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ
เจ้านายยกชน ก็ชนทุกทีครับ ถึงแม้จะนานๆครั้ง ก็ยังเป็นการประกอบเนืองๆ ครับ

การยกธรรมบท 14 ประการ มาเพียง 4 ประการนั้น
เป็นการยกมาเพื่อสนับสนุนตามฉันทาคติของตนครับ

:b8: :b8: :b8:


bigtoo เขียน:
งง ก็ใช่พระพุทธตรัสว่าอริยสาวกละธรรมสี่ประการได้เท่านั้นมีอะไรต้องสงสัยล่ะ พระพุทธเจ้ากบ่าวธรรมะขัดกันเหรอครับ สุราก็เลยจัดลงทางเสื่อม ทางเสื่อมเป็นยังไงล่ะ ท่านก็ดูเอาซิ คือการประกอบเนื่องๆจึงจะเรียกว่าทางเสือม มันมีอะไรยากนักเหรอ ง่ายนิดเดียว งง เวลาพระองค์แสดงธรรมะพระองค์ก็แสดงเพื่อไม่เป็นการย่อหย่อน แต่เวลาตอบคำถามใครๆท่านก็แสดงธรรมที่เป็นจริงก็เท่านั้น อริยสาวกละกิเลสกรรมสี่ประการ ก็แค่นี้ มีอะไรล่ะก็ชัดเจนไม่ใช่เหรอ


:b32: :b32: :b32:

ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด.. :b32: :b32:


ไม่ใช้ความคิดแล้วใช้อะไร เออ


ก็ธรรมดา...เมื่อยังถนัดคุ้นชินกับตรรกะ..อยู่



กบไม่ใช่ความคิดแล้วใช้อารัย หรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมพูดเมื่อไร..ว่าผมไม่คิด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมพูดเมื่อไร..ว่าผมไม่คิด...


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลาพูด
ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด


จะให้เขาใช้อะไร ไม่ใช้ความคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมสี่ประการย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้
ธรรมสี่ประการ





คหบดี !
ธรรมสี่ประการนี้ น่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก


ธรรมสี่ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?


ขอโภคทรัพย์
จงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรม


นี้เป็นธรรมประการที่หนึ่ง
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก







เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลาย
โดยทางธรรมแล้ว


ขอยศจงเฟื่องฟูแก่เรา
พร้อมด้วยญาติและมิตรสหาย


นี้เป็นธรรมประการที่สอง
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก







เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลาย
โดยทางธรรมแล้ว


ได้ยศ
พร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว


ขอเราจงเป็นอยู่นาน
จงรักษาอายุให้ยั่งยืน


นี้เป็นธรรมประการที่สาม
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก







เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลาย
โดยทางธรรมแล้ว


ได้ยศ
พร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว


เป็นอยู่นาน
รักษาอายุให้ยั่งยืนแล้ว


เมื่อตายแล้ว
ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์


นี้เป็นธรรมประการที่สี่
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก







คหบดี !
ธรรมสี่ประการนี้แล น่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก


คหบดี !
ธรรมสี่ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้
ธรรมสี่ประการ อันน่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก


ธรรมสี่ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?


( ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา )
สัทธาสัมปทา ๑

( ความถึงพร้อมด้วยศีล )
สีลสัมปทา ๑

( ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค )
จาคสัมปทา ๑

( ความถึงพร้อมด้วยปัญญา )
ปัญญาสัมปทา ๑







คหบดี !
ก็สัทธาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?


อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า
เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

เป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง

เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึก
ได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์


นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา







ก็สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?


อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้เว้นขาด
จากปาณาติบาต

เป็นผู้เว้นขาด
จากอทินนาทาน

เป็นผู้เว้นขาด
จากกาเมสุมิจฉาจาร

เป็นผู้เว้นขาด
จากมุสาวาท

เป็นผู้เว้นขาด
จากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท



นี้เรียกว่า สีลสัมปทา







ก็จาคสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?


อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
มีใจปราศจากมลทิน คือความตระหนี่

มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ
มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ

เป็นผู้ควรแก่การขอ
ยินดีในการให้และการแบ่งปัน


นี้เรียกว่า จาคสัมปทา







ก็ปัญญาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?


บุคคลมีใจอันความโลภอย่างแรงกล้า
คือ อภิชฌาครอบงำแล้ว
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ

เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำ
และละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข



บุคคลมีใจอันพยาบาท ถีนมิทธะ
อุทธัจจกุกกุจจะ อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ

เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำ
และละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข



คหบดี !
อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า
อภิชฌาวิสมโลภะ เป็นอุปกิเลสแห่งจิต

ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะ
อันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้



อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า
พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต

ย่อมละเสีย
ซึ่งสิ่งที่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเหล่านั้น



คหบดี !
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่า
อภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต ดังนี้แล้ว

เมื่อนั้นย่อมละเสียได้



เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่า
พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ดังนี้แล้ว

เมื่อนั้นย่อมละสิ่งเหล่านั้นเสียได้



อริยสาวกนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญาหนาแน่น
เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา


นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา







คหบดี !
ธรรมสี่ประการเหล่านี้แล


ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรมสี่ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมพูดเมื่อไร..ว่าผมไม่คิด...


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลาพูด
ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด


จะให้เขาใช้อะไร ไม่ใช้ความคิด


ตอบสิกบนอกกะลา คำพูดนั่น หมายควายว่ายังไง :b32:

พูดหลายครั้งแล้วว่าเสียเวลาเปล่า และบอกอีกว่า ให้เซ็ตซีโร่ของเดิมให้หมดแล้วเริ่มต้นศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่เลย จับเอาแต่ถวายสังฆทาน ตักบาตรพระร้อย พระประจำวัน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ฯลฯ ปล่อยปลา ปล่อยนกเอาก่อน :b21: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมพูดเมื่อไร..ว่าผมไม่คิด...


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลาพูด
ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด


จะให้เขาใช้อะไร ไม่ใช้ความคิด


บอกให้รู้ใว้..ว่า..อาการ..งง..เป็นเรื่องธรรมดาเพราะใช้ความคิด..ม่ายต้องแปลกใจ

ผมก็ไม่แปลกใจ...ถ้าเขาจะ..งง...

วันไหนที่ผม..รู้สึก..งง...งง...ผมก็จะเตือนตนเองว่า..นี้แหละ..เพราะใช้ความคิดอยู่..ความเห็นอยู่ในระดับตรรกะ...ยังไม่เข้าใจ..ยังไม่ทะลุ..ยังไม่บรรลุ..วันไหนเข้าใจแล้วก็หาย..งง..ไปเอง

ผมไม่ได้รังเกียงการคิด..นะ...เพราะรู้ระดับของมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2017, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
งง ก็ใช่พระพุทธตรัสว่าอริยสาวกละธรรมสี่ประการได้เท่านั้นมีอะไรต้องสงสัยล่ะ พระพุทธเจ้ากบ่าวธรรมะขัดกันเหรอครับ สุราก็เลยจัดลงทางเสื่อม ทางเสื่อมเป็นยังไงล่ะ ท่านก็ดูเอาซิ คือการประกอบเนื่องๆจึงจะเรียกว่าทางเสือม มันมีอะไรยากนักเหรอ ง่ายนิดเดียว งง เวลาพระองค์แสดงธรรมะพระองค์ก็แสดงเพื่อไม่เป็นการย่อหย่อน แต่เวลาตอบคำถามใครๆท่านก็แสดงธรรมที่เป็นจริงก็เท่านั้น อริยสาวกละกิเลสกรรมสี่ประการ ก็แค่นี้ มีอะไรล่ะก็ชัดเจนไม่ใช่เหรอ


ฺbigtoo ไม่ต้อง งง หรอกครับ
พระพุทธองค์ บอกอยู่แล้วตั้งแต่ต้นครับ ว่า ธรรมทั้ง 14 ประการนั้น เป็น กรรมอันลามก


Quote Tipitaka:
สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่
ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้
ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2017, 04:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
bigtoo เขียน:
งง ก็ใช่พระพุทธตรัสว่าอริยสาวกละธรรมสี่ประการได้เท่านั้นมีอะไรต้องสงสัยล่ะ พระพุทธเจ้ากบ่าวธรรมะขัดกันเหรอครับ สุราก็เลยจัดลงทางเสื่อม ทางเสื่อมเป็นยังไงล่ะ ท่านก็ดูเอาซิ คือการประกอบเนื่องๆจึงจะเรียกว่าทางเสือม มันมีอะไรยากนักเหรอ ง่ายนิดเดียว งง เวลาพระองค์แสดงธรรมะพระองค์ก็แสดงเพื่อไม่เป็นการย่อหย่อน แต่เวลาตอบคำถามใครๆท่านก็แสดงธรรมที่เป็นจริงก็เท่านั้น อริยสาวกละกิเลสกรรมสี่ประการ ก็แค่นี้ มีอะไรล่ะก็ชัดเจนไม่ใช่เหรอ


ฺbigtoo ไม่ต้อง งง หรอกครับ
พระพุทธองค์ บอกอยู่แล้วตั้งแต่ต้นครับ ว่า ธรรมทั้ง 14 ประการนั้น เป็น กรรมอันลามก


Quote Tipitaka:
สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่
ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้
ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
ผมไม่ทราบว่าแต่ละท่านเข้าใจในคำสอนได้ทั่วถึงขนาดไหนนะครับ พระศาสดานั้นเวลาสอนธรรมะแก่บุคคลทั่วไป ท่านจะสอนตามอินทรีย์ของแต่ละคน บุคคลใดพร้อมจะบรรลุเป็นอรหันต์ท่านก็แสดงถึงอรหันต์มรรคเพื่อให้เกิดอรหันตผลเลย และเมื่อท่านเกิดมีการสนทนาบุคคลใดที่ถามท่าน ท่านจะตอบเป็นนัยยะที่เป็นจริงตามสมควรแก่ธรรมนั้น

เรื่องการสอนของท่านแก่สาวกทั่วไป ท่านจะสอนระเบียบวินัยข้อปฎิบัติความประพฤติที่ไม่มีความยิ่งหย่อนเลย อย่างเช่นเรื่องการพนัน ดื่มสุรา ท่านจะสอนว่าดื่มได้นิดหน่อย เล่นการพนันได้นิดหน่อย ท่านจะสอนแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าท่านกล่าวสอนแบบนี้ ความพอดีของคำว่านิดหน่อยอยู่ตรงไหน ก็จะมีคนนำคำสอนที่หย่อนยานไปปฎิบัติกัน

ท่านจึงสอนอยู่บนพื้นฐานแห่งความสมบูรณ์บริบูรณ์ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลหรือข้อวัตรปฎิบัติ ขนาดจนถึงต้องมีสติตลอดเวลาถึงจะเรียกว่าไม่ประมาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครจะมีสติบริบูรณ์ได้ นอกจากพระอรหัรต์ แต่ท่านก็ยังต้องกล่าวเช่นนนั้นเพื่อไม่เป็นที่ไม่ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท มาส่วนในเรื่องของศิลนั้น ศิลเป็นเรื่องของเจตนาทางใจ

ผู้ที่ปรารถนาเป็นยอริยะนั่นจะต้องมีเจตนารักษาศิลบริบูรณ์ในทุกข้อนี่คือตัวเจตนาตั้งไว้ แต่ไม่มีใครที่จะมีสติได้บริบูรณ์แม้แต่โสดาบันก็ไม่บริบูณณ์ แต่ตัวเจตนานั้นต้องบริสุทธิ์ ที่นี้มาดูกิเลสกรรมอะไรที่อริยะละได้ พระพุทธเจ้าตรัสตอบกับสิงคลกะว่าอย่างไร

ท่านตรัสว่า กิเลสกรรมสี่อย่างที่อริยะละได้ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่โกหก นี่ไงครับ กิเลสที่อริยะละได้มีเท่านนี้มีสี่อย่างที่ละได้ขาดชัดเจนมาก สุรา การพนันการเที่ยวเตร่ก็ยังล่ะไม่ได้ขาดในเรื่องความเป็นกิเลส

แต่ในความเป็นศิลที่มีตัวเจตนานั้นคือเจตนา100%ครับแต่ไม่ใช่กิเลส ท่านใช้คำชัดเจนว่าละกิเลสได้เพียงสี่ ขอท่านพิจารณาโดยแยบคลายจากหลายพระสูตร ท่านจึงแสดงธรรมต่อไปว่า ทางเสื่อมหกประการนั้น มีหกอย่างนะ ที่มันจะพาไปสู่ความเสื่อมได้ ถ้าประกอบเนื่องๆ ท่านจึงกล่าวไว้ชัดเจน ว่าการประกอบเนื่องในการดื่มสุรา การประกอบเนืองๆในการพนัน ฯ

ทีนี้มาดูตัวสุราทำไมต้องประกอบเนืองถึงจะเป็นทางเสื่อม การที่ทำอะไรแล้วเกิดโทษได้มันถึงจะเป็นทางเสื่อม ผมเล่นการพนันมาทั่งชีวิตเล่นแบบละโมภโลภมาก กับการเล่นหลังจากได้ศึกษาธรรมะมา ผมได้ทดลองตัวเองตลอดเวลาในสิ่งที่เคยทำไม่ดี ผมจึงเห็นจิตที่แตกต่างกันละหว่างฟ้ากับเหว หลายปีที่แทบไม่เคยเล่น แต่ในบริบทของชีวิตของสังคมมีหลายนัยยะมากไม่สามารถที่จะคลาดคะเนได้เลย

เราอาจตกอยู่ในสถานะการที่จะต้องร่วมสนุกสนานตามฐานะนั้นๆ สมมุตว่าสังคนแห่งการท่องเที่ยวมีการดื่มหรือฉลองอะไร เราถูกยัดเยียดให้ดื่ม เราอาจจะต้องดื่มเพื่อตอบเป็นการรับเชิญของเพื่อนๆทั้งๆที่เราไม่คิดที่จะดื่ม แค่การดื่มบริมาณเล็กน้อยอาจจะ5ccหรือนิดหน่อย ทางเสื่อมมันเกิดได้ตรงไหน โทษมันเกิดได้อย่างไร อย่าวไรถึงจะว่าเป็นกิเลส อะไรจะเกิดขาดเจตนาไม่ทราบครับ

แต่ตัวท่านจะอาจคิดว่าเราก็ปฎิเสธไปซิก็จบ ครับท่านสามารถทำได้ครับมันเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ในความจริงในความเป็นสัทธรรมต่างหากสำคัญที่สุดในการตอบคำถามที่ตรงธรรมะ ที่พระศาสดาได้ตอบไว้แก่สาธุชนไว้ตามความจริว แต่ส่วนของกิเลสแล้วอริยะจะหมดกิเลสได้สี่อย่างตามนั้น

ที่นี้มาดูเรื่องศิลบางคนในโลกยังผิดศิลทำไมถึงบรรลุธรรมะได้ครับ เราแทบไม่เคยรู้เลยว่าคนผิดศิลจะบรรลุธรรมได้ใช่มั้ยครับ และแทบไม่รู้เลยคนรักษาศิลห้าตกนรกก็มีเพราะอะไรเป็นเช่นนั้น แม้คนรักษาศิลห้ายังตกนรกได้ แต่เราจะสอนกันมั้ยว่ารักษาศิลห้ายังตกนรกนะ การตอบของพระองค์ทำไมถึงตอบว่าตกนรกได้ แต่สอนว่าเป็นทางพ้นนรกครับ ท่านคิดดูดีๆ ก็เพราะเราศึกษาธรรมมะไมทั่วถึง เราไปจับประเด็นเพียงประเด็นเดียวคือคำสอนที่เป็นการไม่ย่อหย่อนเท่านั้นเอง

เข้าไม่ถึงประเด็นความเป็นจริงแตกต่างของสัตว์หรืออินทรีย์แตกต่างกันนั้นเอง พระองค์จึงแสดงบุคคล10จำพวก ผมเองทำไมกล่าวสุราการพนัน สามารถดื่มได้ ทั้งๆที่ตัวผมไม่ดื่มไม่เล่นการพนันมานานมากแล้ว แต่มันตรงธรรมตามที่พระศาสดากล่าวไว้ต่างหาก ถ้าผมสอนธรรมะแก่บุคคลใดผมก็จะสอนในสิ่งที่ไม่เป็นการหย่อนยาน แต่ถ้าสนทนาเพื่อหาความจริงตามธรรมะผมก็จะแสดงคำตามพระพุทธองค์

เพราะคนเราสะสมมาไม่เหมือนกัน คำสอนจึงมีทางออกแก่คนที่ปรารถนาบรรลุธรรมบนเส้นทางนี้แต่ ยังไม่พร้อมที่จะบริสุทธิ์ในทุกๆด้าน เพราะบริบทแต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านเองมาอีกทางเขามาอีกทาง พอเข้าใจนะครับ สรุปคือ พระองค์สอนธรรมะที่ไม่เป็นการหย่อนยาน และตอบธรรมะเป็นไปเพื่อความตรงต่อธรรม พระะสูตรทุกพระสูตรจึงไม่สามารถขัดแย้งกันได้เลยโดย ดูที่ เจตน และการละกิเลส ละอะไรเป็นทางเสื่อม สอดคล้อวกันมากครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2017, 05:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากยัง..ตะแคง...อย่างนี้อยู่...ก็เอาเหอะ..

วันไหนเป็นโสดาบันแล้ว....Bigtoo ก็คงรู้ได้เอง..ว่าสติในศีล..ของอริยะ..เขาเป็นอย่างไร..อริยะเขายังเห็นแก่โลกธรรมดีกว่าความสุขในศีลมั้ย...

จริงๆแล้ว..แอลกอฮอร์มันไม่สามารถละลายความเป็นอริยะในขณะผ่านลงไปตามลำคอได้หรอก...แต่อาการจิบเหล้าเพื่อเข้าสังคมนั้นนะ...เป็นอาการของคนที่เห็นแก่โลกธรรมมากกว่าศีล..ไม่ใช่อาการของอริยะที่มีสติสมบูรณ์ในศีล

ยิ่งอาการครุ่นคิดว่า..เหล้า10cc จะทำให้ตนขาดจากอริยะมั้ยนะ??..นี้นะ...ชัดเจนว่า...เป็นอาการของคนที่เป็นอริยะแบบคิดเอาเอง..เป็นอริยะแบบคาดการคิดคำนวนเอา...
ต้องไปควานหาหลักคิดเพื่อมาคำนวนว่า...เหล้า10cc ทำไม่จะไม่ทำให้ตนขาดจากอริยะไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2017, 06:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตย. อริยะคิดคำนวน...ที่หย่อนในศีลเพื่อโลกธรรม..ผ่านไปแล้ว

ผมมีตัวอย่าง..อริยะคำนวนที่ถือศีลแบบสีลัพพตปรามาส..อีกแบบ

มีสมาชิกในลานธรรมะลานหนึ่ง...ถูกเพื่อนสมาชิกอีกท่านตามราวี..กล่าวหาว่า.ประกาสตนเป็นโสดาบัน..ตามจิกไม่เลิก...ผมไม่เคยเห็นสมาชิกท่านกล่าวว่าตนเป็นโสดาบันเลยนะ(แต่รู้ว่าเขาคิดอยู่ว่าเป็น)...กระผมก็บอกว่า..คุณก็ประกาศไปซีว่าเป็นปุถุชน..คนอื่นจะได้เลิกทำกรรมทางวาจาเสียดสีนั้นเสีย...

เขาบอกว่าประกาศไม่ได้หรอกเด้วจะเป็นการโกหกไป..

ผมบอกว่า..ศีลข้อวาจา...จะผิดเมื่อมีคนเสียประโยชน์จากการพูดนั้น..คำว่า"ผมเป็นปุถุชนคราบ"..ไม่ทำให้ใครเสียประโยนช์หรอกน่า...มีแต่ได้...เพราะเพื่อนสมาชิกจะได้เลิกวาจาเสียดสี

เขาบอกทำนองว่า..ไม่ได้หรอก...

ผมบอกว่า..เฮ้ย..อริยะนี้..เป็นแล้วมีการกลับกลาย..ไม่เป็น....ได้หรือ?...

การกลัวคำว่า"ผมเป็นปุถุชนคราบ" จะละลาย...อริยะของตน..ได้นี้..ก็ชัดเจนว่า..อริยะที่ตนคิด..เป็นอริยะจากหลักการ..ตรรกะ..คิดคำนวน..จากสังโยชน์ 3...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2017, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่คิดว่า ตนเองเป็นอริยะ มีส่วนดีนะ ไม่ใช่ไม่มี
อย่างน้อย เขาก็ทำสิ่งที่เขาคิดว่า อริยะ ต้องมีข้อวัตร แบบนี้ๆ
เป็นเรื่องปกติของอวิชชาที่มีอยู่ เพราะไม่ได้รู้แจ้งด้วยปัญญา

ส่วนเสียคือ จะทำสัทธรรมปฏิรูปไปโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อ ที่ตนคิดว่าใช่ แบบผิดๆ

เช่นกรณีที่นำมาพูดทำนองว่า ถ้าเป็นอนาคามี จะเห็นว่าโลกนี้อัปรีย์
ถ้ามีคนบอกว่าตนเองเป็นอนาคามี แล้วพูดว่า โลกนี้อัปรีย์

บ่งบอกถึง ผู้พูดไม่รู้ทันผัสสะ และไม่รู้ทันกิเลสที่มีเกิดขึ้นในใจตน
จึงปล่อยให้ก้าวล่วงออกมา

เหตุปัจจัยจากอวิชชาที่มีอยู่ จึงไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุ
ไม่ว่าจะมีเราหรือไม่มีเราเกิดขึ้นบนโลกใบนี้



หากอีกฝ่ายจะเสนอว่า เขาเชื่อแบบผิดๆ
ก็ควรหาพระธรรมคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทตรงตรัสไว้มาอ้างอิง มาแสดงให้ดู
ไม่ใช่ไปต่อว่าอีกฝ่าย หรือกระทำการเบียดเบียนอีกฝ่ายจะทางกาย วาจาก็ดี
การกระทำแบบนี้ เท่ากับว่า นำกรรมของผู้อื่น(ที่ตนคิดว่าผู้นั้นเห็นผิด)
มาสร้างกรรมใหม่ ให้มีเกิดขึ้นในตน

หากนำพระธรรมคำสอน มาแสดงให้เห็นแล้ว
ผู้นั้นยังคงมีความเชื่อในแบบของเขา อันนี้ต้องปล่อย
เมื่อไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกัน ย่อมไม่มาเชื่อกัน
ภพชาติของการเกิด ต้องดับกันเอง ของใครของมัน




อย่างวลัยพรนี่ง่ายมากเลยนะ เคยมีคนถามว่า เป็นโสดาบันหรือเปล่า เป็นอริยะหรือเปล่า
ตอบได้ทันทีเลยนะ ไม่ได้เป็น และไม่ใช่อริยะ พูดได้แบบเต็มใจ ไม่เสแสร้ง
และไม่คิดว่าตนโกหกด้วย เพราะเป็นเรื่องจริง

หลักการที่วลัยพรมี มีเพียงข้อเดียว
ขึ้นชื่อว่าการเกิดล้วนเป็นทุกข์ เกิดเป็นอะไร ก็เป็นทุกข์
ผลคือ ไม่มีการนำความเป็นนั่นนี่ น้อมเข้าหาตัว
การทำความเพียรจึงสบาย(ใจ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 02 ธ.ค. 2017, 12:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2017, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมพูดเมื่อไร..ว่าผมไม่คิด...


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลาพูด
ก็งง...เป็นธรรมดา..เพราะใช้ความคิด


จะให้เขาใช้อะไร ไม่ใช้ความคิด


บอกให้รู้ใว้..ว่า..อาการ..งง..เป็นเรื่องธรรมดาเพราะใช้ความคิด..ม่ายต้องแปลกใจ

ผมก็ไม่แปลกใจ...ถ้าเขาจะ..งง...

วันไหนที่ผม..รู้สึก..งง...งง...ผมก็จะเตือนตนเองว่า..นี้แหละ..เพราะใช้ความคิดอยู่..ความเห็นอยู่ในระดับตรรกะ...ยังไม่เข้าใจ..ยังไม่ทะลุ..ยังไม่บรรลุ..วันไหนเข้าใจแล้วก็หาย..งง..ไปเอง

ผมไม่ได้รังเกียงการคิด..นะ...เพราะรู้ระดับของมัน


ก็คิดไม่ออกไง จึงงง มันคิด แต่คิดไม่ออก เพราะไม่รู้ ไม่มีข้อมูลเรื่องที่คิด

กบเอ้ย อย่าบ้าจะบรรลุนั่นนี่เลย อิอิ ถามจริงๆ ที่จะบรรลุบรรแระนั่นน่ามันอะไร จะบรรลุอะไร ในเมื่อตนก็ไม่รู้ว่าบรรลุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร แล้วจะบรรลุอะไร มันคนเพ้อเจ้อนั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร