วันเวลาปัจจุบัน 09 ต.ค. 2025, 12:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 28 ต.ค. 2017, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โกสลสูตร
ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔



[๖๙๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พราหมณคามชื่อโกศล ในแคว้นโกศล
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ แล้วได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายที่เป็นผู้มาใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้ อันเธอ
ทั้งหลายพึงให้สมาทาน พึงให้ตั้งอยู่ พึงให้ดำรงมั่นในการเจริญสติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?





[๖๙๒] มาเถิด ผู้มีอายุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรู้กายตามความเป็นจริง

จงพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... เพื่อรู้เวทนาตามความเป็นจริง
จงพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... เพื่อรู้จิตตามความเป็นจริง

จงพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรู้ธรรมตามความเป็นจริง.








[๖๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัต
ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม

ก็ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อกำหนดรู้กาย

ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... เพื่อกำหนดรู้เวทนา
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... เพื่อกำหนดรู้จิต

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อกำหนดรู้ธรรม.









[๖๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว มีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ
สิ้นสังโยชน์ที่จะนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ

ก็ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว พรากจากกายแล้ว

ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... พรากจากเวทนาแล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...พรากจากจิตแล้ว

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว พรากจากธรรมแล้ว.







[๖๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายที่เป็นผู้มาใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้
อันเธอทั้งหลายพึงให้สมาทาน พึงให้ตั้งอยู่ พึงให้ดำรงมั่น ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.


จบ สูตรที่ ๔


http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... 941&Z=3970




หมายเหตุ;

ให้สังเกตุคำว่า "มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 29 ต.ค. 2017, 21:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 28 ต.ค. 2017, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจาก มีสติสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น

ยังต้องใส่ใจ ต่อ
---เพื่อรู้....ตามความเป็นจริง .....(พระพุทธองค์ใช้คำว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย)
---เพื่อกำหนดรู้.....(พระพุทธองค์ใช้คำว่า พระเสขะ)
---ความพรากจาก...(พระพุทธองค์ ใช้สำหรับมีแก่พระอเสขะ)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 29 ต.ค. 2017, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มีธรรมเอกผุดขึ้น


๑๐. วิตักกสัณฐานสูตร
ว่าด้วยอาการแห่งวิตก

[๒๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.



[๒๕๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้หมั่นประกอบอธิจิต
ควรมนสิการถึงนิมิต ๕ ประการ ตามเวลาอันสมควร
นิมิต ๕ ประการเป็นไฉน?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อาศัยนิมิตใดแล้ว มนสิการนิมิตใดอยู่
วิตกทั้งหลายอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ย่อมเกิดขึ้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นควรมนสิการนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น อันประกอบด้วยกุศล
เมื่อเธอมนสิการนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น อันประกอบด้วยกุศลอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้างโมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้

เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล

เหมือนช่างไม้ หรือลูกมือของช่างไม้ผู้ฉลาด
ใช้ลิ่มอันเล็ก ตอก โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น เมื่ออาศัยนิมิตใดแล้ว มนสิการนิมิตใดอยู่
วิตกทั้งหลายอันเป็นบาปอกุศลประกอบด้วยฉันทะบ้าง
ประกอบด้วยโทสะบ้าง ประกอบด้วยโมหะบ้าง ย่อมเกิดขึ้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นควรมนสิการนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น อันประกอบด้วยกุศล
เมื่อเธอมนสิการนิมิตนั้นอันประกอบด้วยกุศลอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล
อันประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอัน เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายในนั้นแล.




[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่า เมื่อภิกษุนั้นมนสิการนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น
อันประกอบด้วยกุศลอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง
โทสะบ้าง โมหะบ้าง ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทีเดียว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นควรพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นว่า
วิตกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอกุศล แม้อย่างนี้ วิตกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโทษ
แม้อย่างนี้ วิตกเหล่านี้ล้วนแต่มีทุกข์เป็นวิบาก แม้อย่างนี้ ดังนี้

เมื่อเธอพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล
ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายในนั้นแล


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนหญิงสาวหรือชายหนุ่มที่ชอบแต่งตัว
รู้สึกอึดอัด ระอา เกลียดชังต่อซากงู ซากสุนัข หรือซากมนุษย์ ซึ่งผูกติดอยู่ที่คอ
แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น หากเมื่อเธอมนสิการนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น อันประกอบด้วยกุศลอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นควรพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นว่า
วิตกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอกุศล
แม้อย่างนี้ วิตกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโทษ
แม้อย่างนี้ วิตกเหล่านี้ล้วนแต่มีทุกข์เป็นวิบาก แม้อย่างนี้ ดังนี้

เมื่อเธอพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล
ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายในนั้นแล






[๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่า เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงถึงความไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตกเหล่านั้น
เมื่อเธอถึงความไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตกเหล่านั้นอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล
ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะ
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้

เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ไม่ต้องการจะเห็นรูปที่ผ่านมา
เขาพึงหลับตาเสีย หรือเหลียวไปทางอื่นเสีย แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น
หากเมื่อเธอพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง ฯลฯ
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นในภายในนั้นแล.






[๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่า เมื่อภิกษุนั้นถึงความไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นควรมนสิการสัณฐานแห่งวิตกสังขารของวิตกเหล่านั้น
เมื่อเธอมนสิการสัณฐานแห่งวิตกสังขารของวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายในนั้นแล


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนบุรุษพึงเดินเร็ว เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
เราจะเดินเร็วทำไมหนอ ถ้ากระไร เราพึงค่อยๆ เดิน เขาก็พึงค่อยๆ เดิน
เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราค่อยๆเดินไปทำไมหนอ ถ้ากระไร เราควรยืน
เขาพึงยืน เขาพึงมีความคิดอย่างนี้อีกว่า เราจะยืนทำไมหนอ ถ้ากระไร เราควรนั่ง
เขาพึงนั่ง เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจะนั่งทำไมหนอ ถ้ากระไร เราควรนอน เขาพึงลงนอน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษคนนั้น มาผ่อนทิ้งอิริยาบถหยาบๆ เสีย พึงสำเร็จอิริยาบถละเอียดๆ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น

หากว่า เมื่อเธอมนสิการสัณฐานแห่งวิตกสังขารของวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง ฯลฯ
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นในภายในนั้นแล.






[๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่า
เมื่อภิกษุนั้นมนสิการถึงสัณฐานแห่งวิตกสังขารของวิตกแม้เหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ

ภิกษุนั้นพึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับ จิตด้วยจิต
เมื่อเธอกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิตอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศลประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายในนั้นแล



ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากจับบุรุษผู้มีกำลังน้อยกว่าไว้ได้แล้ว
บีบ กด เค้นที่ศีรษะ คอ หรือก้านคอไว้ให้แน่น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น
หากเมื่อเธอมนสิการถึงสัณฐานแห่งวิตกสังขารของวิตกแม้เหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ

ภิกษุนั้นพึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตไว้ด้วยจิต
เมื่อเธอกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตอยู่ได้
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายในนั้นแล.



ผู้ชำนาญในทางเดินแห่งวิตก

[๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาศัยนิมิตใดแล้ว มนสิการนิมิตใดอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ย่อมเกิดขึ้น

เมื่อเธอมนสิการนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น อันประกอบด้วยกุศล
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่นในภายใน นั้นแล



เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาโทษของวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วย ฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล


เมื่อภิกษุนั้นถึงความไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตกเหล่านั้นอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล
ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล





เมื่อภิกษุนั้นมนสิการสัณฐานแห่งวิตกสังขารของวิตกเหล่านั้นอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล


เมื่อภิกษุนั้นกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิตอยู่
วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้
จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ชำนาญในทางเดินของวิตก
เธอจักจำนง วิตกใดก็จักตรึกวิตกนั้นได้ จักไม่จำนงวิตกใด ก็จักไม่ตรึกวิตกนั้นได้
ตัดตัณหาได้แล้ว คลี่คลายสังโยชน์ได้แล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว เพราะละมานะได้โดยชอบ


พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของผู้มีพระภาค แล้วแล.



http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=4099&Z=4207

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2017, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่ควรรู้ เกี่ยวกับ "สมถะ"

สมถะ หมายถึง จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
กล่าวคือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน
ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ

มี ๓ ชนิด



๑. อย่างหยาบ ได้แก่ สมถะที่เป็นมิจฉาสมาธิ
ได้แก่ การทำความเพียรทุกรูปแบบ เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน
รูปฌาน
อรูปฌาน
ฌานสมาบัติ
นิโรธสมาบัติ

ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขาดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เป็นเหตุปัจจัยให้ วิญญาณ/ธาตุรู้ ไม่สามารถมีเกิดขึ้นได้




๒. อย่างกลาง ได้แก่ สมถะที่เป็นสัมมาสมาธิ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ได้แก่ การทำความเพียรทุกรูปแบบ ใช้คำบริกรรม
เช่น พุทธโธ พองหนอ ยุบหนอ กสิณต่างๆฯลฯ เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

ลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน

รูปฌาน รูปยังมีอยู่ ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)

อรูปฌาน รูปไม่ปรากฏ ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)

ฌานสมาบัติ สิ่งที่เกิดขึ้น ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)
มีเกิดขึ้น และดับไป

นิโรธสมาบัติ สิ่งที่เกิดขึ้น ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)
มีเกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น และดับไปในที่สุด


ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เป็นเหตุปัจจัยให้ วิญญาณ/ธาตุรู้
(หรือที่เรียกว่า ธรรมเอกผุด สามารถมีเกิดขึ้นได้)

เป็นเหตุปัจจัยให้ รู้ชัดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ





๓. อย่างละเอียด ได้แก่ สมถะที่เป็นสัมมาสมาธิ มีรูปนามเป็นอารมณ์
ได้แก่ จิตที่ละอารมณ์บัญญัติขาดแล้ว ไม่มีการหวนกลับไปใช้คำบริกรรมบัญญัติต่างๆในการภาวนาอีก

ลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน

รูปฌาน รูปยังมีอยู่ ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)

อรูปฌาน รูปไม่ปรากฏ ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)

ฌานสมาบัติ สิ่งที่เกิดขึ้น ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)
มีเกิดขึ้น และดับไป(ดับทั้งตัว)
เมื่อสมาธิคลายตัว จะรู้ชัดทั้งตัว

นิโรธสมาบัติ สิ่งที่เกิดขึ้น ใจที่รู้อยู่(วิญญาณ/ธาตุรู้)
มีเกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น และดับไปในที่สุด(ดับทีละส่วน จิตดับท้ายสุด)
เมื่อสมาธิคลายตัว จิตเกิดก่อน ส่วนอื่นๆปราฏต่อมา

ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เป็นเหตุปัจจัยให้ วิญญาณ/ธาตุรู้
(หรือคำที่เรียกว่า ธรรมเอกผุด สามารถมีเกิดขึ้นได้)

กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น
เป็นเหตุปัจจัยให้ รู้ชัดอยู่ภายในกาย เวทนา จิต ธรรม ได้ต่อเนื่อง





สรุป สภาวะสมถะที่เป็นสัมมาสมาธิ

เป็นผู้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เป็นเหตุปัจจัยให้ วิญญาณ/ธาตุรู้ หรือที่เรียกว่า ธรรมเอกผุด มีเกิดขึ้น
ในรูปฌาน อรูปฌาน ฌานสมาบัติ ๘ นิโรธสมาบัติ

กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น
เป็นเหตุปัจจัยให้รู้ชัดอยู่ภายในกาย เวทนา จิต ธรรม ได้ต่อเนื่อง


๑. ภังคญาณ จิตทิ้งคำบริกรรม ที่เป็นบัญญัติ มีรูปนามเป็นอารมณ์

๒.ภยญาณ

๓.อาทีนวญาณ

๔. นิพพทาญาณ

๕. มุญฺจิตุกัมยตาญาณ

๖. ปฏิสังขาญาณ

๒-๖ เป็นเรื่องของ ไตรลักษณ์ที่มีเกิดขึ้นเนืองๆ ที่เกิดจากการกำหนดรู้
อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา

นิพพทาญาณตรงนี้ เป็นแค่ความเบื่อหน่ายจากสภาวะที่ต้องเจอเดิมๆซ้ำๆ
บางครั้งรู้สึกเบื่อ เบื่อจนไม่มีที่จะอยู่ แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเบื่อเพราะอะไร
ยังไม่ใช่ความเบื่อหน่ายภพชาติของการเกิด



๗. สังขารุเปกขาญาณ(อุเบกขา)
เมื่ออนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา มีเกิดขึ้นเนืองๆ
ย่อมทำให้เกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
จิตจึงเกิดการปล่องวางตามความเป็นจริง
(ปล่อยวางจากอุปทานขันธ์ ๕ ที่มีอยู่)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ย. 2017, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะหรืออาการที่ตั้งชื่อเองว่า จิตสัปหงก คือเกิดขึ้นภายใน
มันจะงุบๆ ลงไป พร้อมกับมีโอภาสเกิดขึ้นทุกครั้ง

อาการเหมือน หัวสัปหงก เวลาที่สมาธิมีกำลังมากกว่าสติ
จะหัวทิ่มหัวตำ เหมือนคนง่วงนอนหรือคนนอนหลับ
ภายนอก อาจจะดูเหมือนเป็นแบบนั้น
ภายในไม่ใช่แบบนั้น


บางครั้งก็มีหัวทิ่มหัวตำ โอภาสจะเกิดทุกครั้ง สว่างมากๆ
หูยังรับรู้เสียงได้ แต่แบบคลุมเครือ

ถ้ากำลังสมาธิมากกว่านี้ ภายนอกจะดับหมด
จะรู้ชัดอยู่ภายใน กายและจิต คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
แม้กระทั่ง เวลาที่ทุกอย่างดับหายไปหมด ทั้งนอกและใน
จะรู้ชัดทุกขณะอาการต่างๆที่มีเกิดขึ้น



การรู้ชัดรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่จิตเริ่มเป็นสมาธิ
บางครั้ง รู้สึกวูบลงไป พร้อมกับโอภาสที่มีเกิดขึ้น
บางครั้ง รู้สึกวาบขึ้นมาในใจ พร้อมกับมีโอภาสเกิดขึ้น
บางครั้ง ปีติ สุขเกิด ความสงบมีเกิดขึ้น
พร้อมๆกับมีโอภาสเกิดขึ้น

รูปปรากฏบ้าง รูปหายไปบ้าง
เวทนาทางกาย มีเกิดขึ้น ไม่เกิดบ้าง
จิตคิดพิจรณา ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิก็ดี
สัญญาต่างๆ มีเกิดขึ้นไม่แน่นอน



บางครั้งปีติกล้า อยากร้องไห้
ปีติที่เกิดจาก จิตคิดพิจรณาทบทวนการทำความเพียร
ตั้งแต่แรกเริ่ม จนมามีวันนี้ได้
มีวันนี้ได้ เพราะทำความเพียรอย่างหนัก
เหมือนคนที่ทำงานหนักมาก
แล้วได้รับผลตอบแทนมากกว่าแรงที่ลงไป



สภาวะก่อนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อก่อนจะรู้ชัดว่า จิตเป็นสมาธิ รู้ชัดว่าจิตเป็นสมาธิ
จิตกำลังเป็นสมาธิ รู้ชัดว่าจิตกำลังเป็นสมาธิ






รู้ชัดในรายละเอียดมากขึ้น

สภาวะนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว
ทุกวันนี้ก็มีเกิดขึ้นทุกครั้ง ก่อนจิตเป็นสมาธิ
จะรู้สึกวาบขึ้นในใจ แล้วโอภาสเกิด(จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ)
ไม่ก็รู้สึกวูบลงไปแล้ว แล้วโอภาสเกิด(จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ)
มีชื่อเรียกว่า ภวังค์

เพียงแต่เมื่อก่อนไม่รู้ว่ามีคำเรียก



ถ้าสมาธิมีกำลังมาก กายหายไปหมด เหลือแต่ใจที่รู้อยู่
ก่อนที่จะดับหายไปหมด

บางครั้งจะทรงๆอยู่อย่างนั้นเกือบทั้งวัน
เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้

ถ้าเป็นสมัยก่อน จะตื่นเต้น ดีใจ
เดี่ยวนี้ไม่ละ รู้สึกเฉยๆ เพราะเจอมาหมดแล้ว
มองว่า เป็นเรื่องปกติที่เกิดจากการทำความเพียรต่อเนื่อง





ตอนนี้ สภาวะไม่ต้องอาศัยรูปแบบ
จะยืน เดิน นั่ง นอน หรือทำอะไรก็ตาม
จะรู้ชัดจิตเป็นสมาธิ ที่มีเกิดขึ้นเนืองๆ

เวลาที่ความอิ่มเอิบใจ ความสุขเกิด
นิพพิทา ความเบื่อหน่าย จะหายไป
เวลาจิตสงบ รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต
นิพพิทาก็จะเกิด จะเป็นแบบนี้สลับไปมา

เวลานอน สภาวะไม่ต่างกับอิริยาบทอื่นๆในเวลาปกติ
พอวูบลงไป โอภาสเกิดทันที หากกำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ไม่มากพอ
กลายเป็นว่า คืนนั้น รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตทั้งคืน
สัญญาต่างๆ มีเกิดขึ้นมากมาย ก็แค่รู้


บางคืน พอวูบลงไป โอภาสเกิดทันที จะรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต
ถ้าสมาธิมีกำลังมาก สักพักทุกอย่างดับ รู้สึกตัวอีกที หลายชม.เหมือนกัน
ยิ่งถ้าเป็นวันที่เจ้านายหยุดงาน สี่โมงเช้าถึงจะรู้สึกตัว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 08 พ.ย. 2017, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องภวังค์และสมาธิ

เจ้านายถามว่า ที่ว่าภวังค์ ใช่สมาธิหรือเปล่า

เราบอกว่า ไม่ใช่
ก่อนอื่นต้องรู้ชัดในมิจฉาและสัมมาสมาธิก่อน จึงจะเข้าใจภวังค์

เขาถามว่า แล้วอาการที่หัวเขาหมุนๆ ใช่ตกภวังค์หรือเปล่า

เราถามว่า ตอนนั่ง รู้ชัดจิตเป็นสมาธิมั๊ย
เขาบอกว่า รู้ อาการหัวหมุนๆ จะมีเกิดขึ้นช่วง 45 นาที

เราถามว่า เวลาเกิดอาการหัวหมุน ข้างในรู้มั๊ย
เขาตอบว่า รู้ตัวตลอด

เราบอกว่า เวลาจิตเป็นสมาธิ ต้องเข้าใจก่อนว่า กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น มีเกิดแล้วก็ดับ
ถ้ากำลังสมาธิที่เกิดขึ้น ไม่แนบแน่น จะทรงตัวอยู่ไม่นาน
กำลังสมาธิที่เกิดขึ้นสามารถอ่อนกำลังลงได้
แล้วเริ่มต้นจิตเป็นสมาธิใหม่ได้อีก

อาการหัวหมุน หรือเหวี่ยงไปรอบๆ เป็นอาการของปีติ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น มีกำลังมากกว่าสติ จึงมีอาการแบบนั้น
เหมือนที่วลัยพรเขียนไว้เรื่องจิตสัปหงก กับ อาการหัวสัปหงก แล้วมีโอภาสเกิด
เป็นลักษณะเดียวกัน คือ กำลังสมาธิมีมากกว่าสติ

จะกำหนดรู้ก็ได้ คือ กำหนดรู้หนอๆๆๆๆ จนกว่าอาการที่เกิดขึ้นจะคลายตัวลง
หรือรู้ตามความเป็นจริงก็ได้ คือ รู้ตามความเป็นจริงของสภาวะที่มีเกิดขึ้น
ไม่ต้องใช้คำกำหนดรู้หนอแต่อย่างใด

พักหลังเขาไม่เดินจงกรมก่อนนั่ง สภาวะเลยเป็นแบบนั้น
ให้เดินจงกรมก่อนแล้วค่อยนั่ง

สภาวะเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ วันนี้อาจเป็นแบบนี้ วันต่อๆไป
พอสภาวะนี้หายไป สภาวะอื่นมีเกิดขึ้นแทน ทั้งหมดไม่เที่ยง ถือมั่นไม่ได้

เรื่องภวังค์ เป็นความละเอียดของจิตเป็นสมาธิ คือ มีเกิดขึ้นก่อนจิตเป็นสมาธิ
ภวังค์ จะมีเกิดขึ้นก่อน คือ รู้สึกวูบลงไป แล้วมีโอภาสเกิดขึ้น
รู้สึกตัวตลอด นี่เป็นเรื่องของสัมมาสมาธิ แล้วสักพักทุกสิ่งดับหายไปหมด
อาการดับเกิดจาก กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ขณะนั้นๆ นี่เรื่องปกติ




ส่วนที่่บอกว่า จิตตกภวังค์นั้น เป็นเรื่องของ มิจฉาสมาธิ
คือ พอรู้สึกวูบลงไป แล้วทุกอย่างดับหายไปหมด
หรือที่ว่า กายหายไปหมด ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว
นี่เป็นลักษณะของมิจฉาสมาธิ

บอกตามตรง วลัยพรเลิกสนใจเรื่องสมาธิมานานแล้ว
ตั้งแต่รู้ชัดในรายละเอียดทั้งหมด ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในวิโมกข์ ๘
ไม่เคยมีความสนใจใดๆอีก เพราะรู้ชัดด้วยตนเองหมดแล้ว

อีกอย่าง ทุกวันนี้ เรื่องจิตเป็นสมาธิ ในอิริยาบท แม้กระทั่งไม่ว่าจะทำอะไร
จิตมักตั้งมั่นเป็นสมาธิเนืองๆ ยิ่งทำให้ไม่สนใจเรื่องสมาธิ
มุ่งเฉพาะเรื่องการเพียรละเหตุปัจจัยที่มีอยู่มากกว่า

สังเกตุสิ หากไม่ไปวุ่นวายนอกตัว หรือไปข้องเกี่ยวกับใครๆ
จิตจะไม่ค่อยมีวิตก วิจารณ์ เพราะไม่มีอะไรให้คิด นิวรณ์ต่างๆ ไม่ค่อยมี
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่ายเพราะเหตุนี้

สำหรับคนที่ยังข้องอยู่กับโลก โดยเฉพาะคนที่ยังทำงานประจำหรือยังอยู่กับสังคม
เวลาทำสมาธิ จึงต้องใช้รูปแบบ เพื่อให้จิตมีที่เกาะ

สรุป ภวังค์ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น คือ รู้สึกวูบลงไป
เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นก่อนจิตเป็นสมาธิในมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ

จิตตกภวังค์ เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นของมิจฉาสมาธิ



เขาถามว่า แล้วอัปนาสมาธิกับฌานล่ะ
เราบอกว่า ต้องรู้ก่อนนะว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
กับกำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น คนละตัว คนละสภาวะกัน

อัปนาสมาธิ เป็นเรื่องของกำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น
มีลักษณะเด่นเฉพาะคือ โอภาส

ฌาน หมายถึง จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ที่มีองค์ประกอบ
เช่น ฌาน ๑ ประกอบด้วย วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา อะไรทำนองนี้



ปิดท้ายอีกครั้งเรื่องภวังค์ ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเหมือนกันหมดทุกคน
สภาวะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก่อนเกิด ขณะกำลังเกิด และคลายตัวหรือดับลงไป
เป็นเรื่องของ ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะนั้นๆ

เอาแค่ว่า จิตเป็นสมาธิ รู้ชัดว่าจิตเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัว
รู้ชัดอยู่ภายในกาย เวทนา จิต ธรรม ตรงนี้คือ หัวใจหลัก
ของจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ที่เป็นสัมมาสมาธิ

เกินจากนั้น ครูมาสอน ความไม่เที่ยง ยึดมั่นถือมั่นอะไรไม่ได้
ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม แค่รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร