วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 20:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะจิตดวงสุดท้าย ภาคปริยัติ ลงครบหมดแล้ว
ภาคสภาวะหรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของคำเรียกต่างๆ
จะนำมาทะยอยลงให้อ่าน



ที่แน่ๆ กว่าจะรู้ชัดในสภาวะจิตดวงสุดท้าย
ต้องหลง(สภาวะ) ก่อนที่จะเกิดความรู้ชัด
รู้ว่าทาง หรือไม่ใช่ทาง


นำมาบางส่วน ที่หลงสภาวะ
ที่กล่าวว่า หลงสภาวะนี้ เพราะเกิดการน้อมใจเชื่อว่า สภาวะที่เกิดขึ้น
เคยอ่านเจอประมาณว่า เป็นนั่นนี่ จึงคิดว่า คำที่บอกเล่าต่อๆกันมา น่าจะใช่




14 มี.ค. 2008

ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งเห็นทุกข์ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุกข์ ทำไมทุกข์มันช่างมากมายอย่างนี้หนอ
เมื่อก่อนเข้าใจว่า เมื่อเห็นทุกข์ ย่อมเข้าใจในทุข์ ย่อมอยู่ในทุกข์ได้โดยไม่ต้องไปทุกข์กับทุกข์นั้นๆ
แต่ทุกข์ครั้งนี้เราเห็นมันคนละอย่างกับทุกข์ที่เราเคยเห็น เคยเข้าใจ

ทุกข์ครั้งก่อนคือทุกข์ทั่วๆไปที่เกิดขึ้นในครองชีวิต ในการมีชีวิตอยู่
แต่ทุกข์ครั้งนี้เป็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด ไม่อยากเกิดมาทุกข์แบบนี้อีกแล้ว
เกิดมานี่มันช่างวุ่นวาย วุ่นวายทั้งข้างนอกและข้างใน มันดูวุ่นวายไปหมด

เมื่อคืนปฏบัติ เจอเวทนา ตัดใจเลยสู้กับเวทนา
พิจรณาลงไปว่าเวลาตายเราจักต้องทรมาณมากกว่านี้เยอะ เวทนาที่เคยเจอมีทั้งหนักและเบา

ครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัส ปวดจนหลังมากๆร้าวมาที่ก้นกบ เหมือนมันจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
บังคับตัวเองเลย ตั้งหลังให้ตรง แล้วสู้กับเวทนาที่เกิด

ใจก็คิดพิจรณาไปด้วย เพราะเรายังมีอุปทานยึดมั่นถือมั่นในกายของเรา มันจึงยังมีเวทนาเกิดอยู่ตลอด
มันเกิดแล้วก็หายอยู่อย่างนั้น หนักเบาไม่เท่ากัน มันไม่เที่ยง
เราไปบังคับว่าให้เกิดหรือไม่ให้เกิดไม่ได้


พิจรณาหนักๆ พิจรณาว่ามันไม่เที่ยง
แล้วจากที่ปวดสุดๆมันก็รู้สึกซ่าๆไปทั้งขา ซ่าๆไปตามส่วนที่ปวด
แล้วมันก็ค่อยๆหายปวดไป แล้วนั่งต่อไปจนกระทั่งครบเวลาที่ตั้งไว้


เวทนานี่เจอมาหลายรอบละหนักๆทั้งนั้น
แต่ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งเหมือนร่างกายเรามันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ตั้งใจไว้แล้ว ต่อไปนี้จะปฏิบัติ เพื่อเตรียมตัวตาย เมื่อถึงเวลาที่ต้องตายจริงๆ
จะได้มีสติรู้ตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ








31 มีนาคม ’51

วันนี้ ระหว่างเดินจงกรม เกิดเวทนาสุดๆ อยู่ๆมีอาการเหมือนกล้ามเนื้อหลังจะเป็นตะคริว
มันเป็นกลุ่มเป็นก้อนๆขึ้นมา แต่ยังไม่ถึงขั้นตะคริว

ความคิดอันดับแรกที่เกิดก็คือ กลัวสุดๆ กลัวเป็นอัมพาต เพราะหลังนี่สำคัญมากๆ
หายใจยาวๆ กำหนดรู้หนอๆๆแล้วหยุดเดิน เปลี่ยนอารมณ์มาจับตรงเวทนาแทน
ค่อยๆเอามือออกจากการที่จับไว้ตรงกระเบนเหน็บ หายใจยาวๆ กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ
เปลี่ยนเอามือมากุมไว้ข้างหน้า แต่ยกมือขึ้นไม่ได้ หลังมันจะเป็นตะคริว ความรู้สึกยังกลัวอยู่แบบบอกไม่ถูก

แต่ใจก็คิด ถ้าจะเป็นอะไรไปเพราะการปฏิบัติ ก็ให้มันเป็นไป ยังกำหนดรู้อยู่อย่างนั้น
หายใจยาวๆ ค่อยๆลองยกแขนมากุมไว้ข้างหน้า ยังหายใจยาวๆ ใช้สติจับอยู่ที่อาการทุกขณะ
พอยกมือมากุมไว้ข้างหน้าได้แล้ว ก็เริ่มยกมือไปกุมไว้ข้างหลัง

พอกุมมือได้ สักพัก มีอาการเหมือน แผ่นหลังมันแตกออกเป็นส่วนๆ
เหมือนกายมันแยกออกจากกัน มันดังเปรี๊ยะในความรู้สึก
แล้วมันก็รู้สึกว่าในหัวสมองมันโล่งไปหมดเลย มันโล่งแบบบอกไม่ถูก ทั้งตัวนี่เบาไปหมด

พอมานั่งสมาธิต่อ แค่หย่อนตัวนั่งลง ยังไม่ทันจะหายใจเข้าเลย มันเข้าสู่สมาธิทันที
ไม่ได้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร เพียงแต่มองว่า เวทนาแต่ละครั้งนี่ มันช่างสุดๆจริงๆ



ครั้งที่ 1 ที่จำได้คือ เวทนาที่เกิดตอนนั่งสมาธิ อันนี้เกิดที่ขา แต่ที่เหมือนกันคือมันหฤโหดสุดๆเหมือนๆกัน
เหมือนกายมันระเบิดแยกออกจากกันเหมือนกัน แต่ตรงนี้พอมันแตกออกมา มันกลับมีตัวรู้เกิดขึ้น
ผลที่ตามมาจากการเดินจงกรมแล้วเกิดเกิดเวทนาเวทนาครั้งนี้ คือ โรคปวดหลังนี่
เป็นมาตั้งแต่สมัยทำงาน ส่วนมากจะเป็นกัน ยกคนไข้ประจำ
มันก็เลยเป็นเรื้อรังมาตลอด ( หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท )

ความที่ว่าเจอเวทนาบ่อยๆ แบบโหดๆ เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า
สามารถมีสติพิจรณาเวทนาที่เกิดได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน
วันนั้นเจอเวทนาสองชั่วโมงเต็มๆ (วันไปปฏิบัติที่วัดมหาธาตุ)

พระอาจารย์ท่านบอกว่า ขณะที่เดินจงกรม สมาธิเราเกิดมากเกินไป
ให้เรารู้ไปในอริยบทย่อยให้บ่อยๆ เพื่อจะได้มีสติให้มากขึ้นกว่านี้
สังเกตุเห็นหลายครั้งละ ว่าหลังจากเดินจงกรม
พอมานั่งสมาธิต่อ ทำไมเราถึงเข้าสู่สมาธิได้เร็ว เพราะอย่างนี้นี่เอง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้องถามพระอาจารย์ละ เดี๋ยวนี้เลิกถาม
เพราะท่านบอกไว้แล้วว่า ไม่ต้องไปให้ค่าความหมายในสิ่งที่เกิดหรือเห็น ให้ตัดความสงสัยออกไป

ตั้งแต่เจอเวทนาหนที่สองนี่ เรามองเห็นความกลัวที่เรามีอยู่
ไม่เคยกลัวเท่าครั้งไหนๆเลย ครั้งนี้กลัวมากๆ เหมือนความกลัวอันนี้ที่แท้มันมีอยู่แล้ว
เพียงแต่มันถูกซ่อนเอาไว้ แล้วถ้าเกิดต้องตายจริงๆมิขาดสติไปหรือนี่ รู้แต่ว่า ประมาทไม่ได้แล้ว
ความสงสัยต่างๆที่เคยมีมากมาย เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีเลย มันสงบมากๆจนตัวเราเองก็ยังแปลกใจเลย









13 เมย. '51
ขณะที่เกิดเวทนา พิจรณาเห็นเวทนาตั้งแต่เกิด ขณะที่เกิด และดับลงไป
เวียนวนอยู่อย่างนั้น ดูไปดูมา เหมือนมันวูบหายไป

สักพักเราก็คิดว่าน่าจะพอละ เลยหยิบนาฬิกามาดู วางไว้ข้างตัว
ไม่ได้ตั้งจับเวลา ทุกทีจะตั้งเวลา ที่ไหนได้ ตี 3

ทำไมมันไวอย่างนี้ สรุปก็คือ จิตมันไว มันไปเข้าอยู่ในสมาธิ เพราะเรารู้สึกว่ามีช่วงเวลาที่หายไป
นี่ขนาดพิจรณาเวทนาที่เกิดนะ ว่ามีสติรู้ตัวดีแล้วนา สุดท้ายก็เสียท่าสมาธิอีก มันช่างไม่เที่ยงจริงๆเลย








23 เม.ย. ’51

การที่จิตรวมเป็นหนึ่งในทุกขณะอริยาบทได้ นี่ดีจริงๆ ( พักนี้เกิดถี่มาก )
ช่วยตัดความวุ่นวายภายนอกตัวไปได้มาก ๆ รู้สึกถึงความสว่างโล่งไปหมด

วันนี้ก็ปฏิบัติเหมือนเดิม เดินจงกรม กับรู้ลงไปในอริยาบทย่อยเวลาทำงาน
พอพักเที่ยงก็นั่งสมาธิต่อ เดี่ยวนี้อย่างที่บอกไว้ จิตจะรวมเป็นหนึ่งเข้าสู่สมาธิเร็วมากๆ
เมื่อเข้าสู่สมาธิแล้ว โอภาสจะเกิด เกิดบ่อยมาก (ซึ่งเมื่อก่อน น้อยครั้งที่จะเกิดสว่างมากๆแบบนี้)

วันนี้สติดี จับตรงช่วงที่สว่างมากๆได้ 6 ครั้ง ในเวลานั่ง 1 ช.ม. นอกนั้นสว่างปกติ สว่างตลอด
แต่ก็มีสติรู้ตัวตลอด เวทนาจับได้ตั้งแต่เกิดแล้วก็ทรงๆอาการอยู่อย่างนั้น

ตอนนี้ไม่กลัวเวทนาแล้วไม่ถอยด้วย เพราะรู้ว่า ถ้าสติดี เราเอาเวทนาอยู่ เป็นการฝึกสติ
ถึงแม้ว่าจะยังแยกกายออกจากจิตยังไม่ได้เด็ดขาดได้ตลอดก็ตาม

จำได้มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เกิดเวทนา เห็นตั้งแต่เกิดจนดับ เกิดดับ อยู่อย่างนั้น
ขณะนั้นจิตมีสติรู้ตัวอยุ่ตลอดเวลา ไม่เข้าไปรับรู้กับเวทนาที่เกิด มีหน้าที่ดูอย่างเดียว

โอภาสนี่ก็แปลกดีนะ บางทีก็สว่างโล่งไปหมด สว่างมากๆ บางทีก็สว่างเหมือนไฟนีออนนธรรมดา
บางทีก็สว่างแค่ตา เราก็คิดเอาเองว่า อันไหนสว่างมากก็คือสมาธิแรงกว่าระดับอื่นๆ
แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่ดูไปตามความเป็นจริงที่เกิด





30 ก.ค.’51
มันเป็นขั้นเป็นตอนของมันเองนะการปฏิบัตินี่
ยิ่งมีสติ สัมปชัญญะมากเท่าไหร่ จิตยิ่งพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ

วันก่อน ปฏิบัติช่วงเย็น ขณะที่นั่งจิตรวมตัวเป็นสมาธิ ทุกทีจะจับไม่ได้เลยเวลามันดับ
แต่ตั้งแต่สติดี มันจับได้ทันทีตอนมันดับ มันดับหมดเลย ไม่รับรู้อะไรเลย เหมือนหนังกำลังฉายแล้วดับไปเดี๋ยวนั้น
สติมันจับได้ทัน ซึ่งเกิดดับกับตัวเราหลายครั้ง เพียงแต่เมื่อก่อนสติมันยังด้อย มันเลยจับไม่ทัน
ดับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนที่กำลังคลายตัวออกมา
เที่ยวนี้จับได้เลย ดับปั๊บ สติจับไทนทีว่ามันดับ ขาดวั๊บไปเลย








31 ก.ค.
เป็นมา 2 วันแล้ว สมาธิมันมากเกิน นอนไม่หลับเลย พอหลับตาลง สว่างวาบทันที โอภาสเต็มๆ
ลุกขึ้นเดินจงกรม แล้วก็นั่งสมาธิต่อ นั่งจนถึงตี 2 ถึงกำหนดนอนได้ ไม่งั้นทำยังไงก็ไม่หลับ ไม่กำหนดก็ไม่หลับ

เมื่อคืนก็เป็นอีก ก็ทำแบบเดิมถึงตี 2 สมาธิแบบนี้ไม่ดีเลย เพราะพอนั่งมันจะดิ่งขาดวั๊บไปเลย สติไม่ทัน
จริงๆแล้วครูบาฯส่วนมากท่านจะบอกว่า ถ้าสมาธิมากเกินไปมันไม่ง่วง ไม่ให้นังแต่ให้หาอะไรทำเพื่อเจริญสติ
แต่มันดึกแล้วจะไปทำอะไรได้ เกรงใจคนอื่นเขาเสียงดังก๊อกๆแก๊กๆ งานบ้านน่ะเยอะถ้าจะทำ
คิดแล้วก็ขำ เหมือนขโมยทำ ค่อยๆยก ค่อยๆหยิบ เสียงจะได้ไม่ดัง นึกภาพออกเลย แมวขโมย

3 วันเต็มๆแล้ว มันไม่หลับไม่นอน เมื่อคืนก็นั่งพิจรณาถึงเรื่องการทำงานของขันธ์ 5
(คิดเพื่อไม่ให้สมองมันไปคิดในเรื่องไร้สาระ)


แล้วเราก็คิดว่าการทำงานของขันธ์ 5 มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย
แต่สิ่งที่สำคัญคือจิตต่างหากที่เกิดอุปทานไปยึดมั่นถือมั่นเอง ตรงนี้ต่างหากที่ควรจะแก้ไข
วิธีการแก้ไขก็คือการเจริญสติให้มากขึ้นเท่านั้น

เมื่อมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นในสมมติบัญญัตินั้นๆก็ยิ่งน้อยลง
จากยึดมากก็ยึดน้อยลง สุดท้ายก็จะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดๆเลย จะกลายเป็นเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงสักแต่ว่าได้ยินเสียงฯลฯ ความคิดที่เกิดขึ้นก็จะรู้ทันว่าเป็นกุศลหรืออกุศลมันจะแยกแยะได้ทัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2017, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แรกเริ่มของการทำความเพียร


21 กันยายน 2015

ทำแบบ สะเปะสะปะ คือ การปฏิบัติ อาศัยการทำสมาธิ ที่ทำได้มาตั้งแต่เด็กๆ
ทำเพราะอยากรู้ อยากเห็น ตามที่อ่านเจอในหนังสือปกอ่อน เรื่อง กฏแห่งกรรม
เล่าโดยหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม มีทั้งหมด ๘ เล่ม ซื้อมาหมดเลย

ทำไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่า ทำแล้วเงินไหลมา มีงานพิเศษ รายได้พิเศษเข้ามามากมาย
ทำแบบไม่รู้อะไรเลย ไม่มีคนแนะนำ ไม่มีพี่เลี้ยง

สภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้น ขณะทำความเพียร ตอนที่ยังไม่รู้ชัดเกี่ยวกับผัสสะ
ยังไม่รู้ชัดสิ่งต่างๆที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ ก็เล่นเอาหลงเรื่องญาณ ๑๖ นานเหมือนกันนะ
หลงน้อมเข้าสู่ความมี ความเป็น ตามตำราที่มีเขียนอธิบายไว้

กว่าจะรู้ว่า เป็นความปกติของสิ่งที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ
ที่มีเกิดขึ้นเฉพาะใน สมาธิที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เกิดขึ้นร่วมด้วยเท่านั้น
ที่มีชื่อเรียกว่า สัมมาสมาธิ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้

ถึงแม้ว่า จะน้อมเข้าสู่ความมี ความเป็น(ถือมั่น)
ไม่เคยประมาท ยังคงทำความเพียรต่อเนื่อง

ผลของการทำความเพียรต่อเนื่อง สมาธิมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ
โอภาสเอย สุดแสนอลังการจริงๆ รักษาโรคด้วยตัวเอง




นี่คือ ครั้งแรก ที่เกือบสัมผัสความตาย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้

ตอนที่ป่วยมาก เกือบตายนะ ชีวิตเกือบสิ้นไปแล้ว
เพราะได้สมาธินี่แหละ รักษาโรคที่เป็นอยู่ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลียเกินไป

จากการที่เสียเลือดมาก ประจำเดือนมามากผิดปกติ
อาการเหมือนคนตกเลือด ป่วยเป็นเดือน รักษาตัวด้วยการอบสมุนไพร
อาบน้ำด้วยน้ำต้มสมุนไพร ทำสมาธิระหว่างอบตัว

เดินจงกรม ทำสมาธิในระหว่างวัน ทำทั้งวัน
เรียกว่า ๒๔ ชม. แม้เวลาจะนอน ไม่มีการว่างเว้น ทำตลอด

สภาวะตอนนี้ ยังไม่รู้ชัดเกี่ยวกับลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ตามความเป็นจริง
ของสิ่งที่มีชื่อเรียกว่า ความตาย

เพียงแต่รู้ว่า จิตที่เป็นสมาธิ กำลังสมาธิที่มีมาก(โอภาสสว่างประมาณไม่ได้ สว่างมาก)
สมาธิที่มีเกิดขึ้นแบบนี้ ใช้รักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยได้







ครั้งที่สอง เฉียดตาย

ตอนนี้เจอตอนไปวัดตาลเอน อยุทธยา ระหว่างข้ามถนน มองซ้าย มองขวา เห็นโล่งทั้งสองฝั่ง
จึงเดินข้าม แว่บเดียวจริงๆ มีรถสองคัน วิ่งสวนทางกัน เรายืนอยู่ตรงกลาง

เสียงแตรรถดัง ความรู้สึกรถวิ่งเฉียดหน้าไป
เสียงตะโกนจากคนในรถว่า อยากตายหรือไง

วินาทีนั้น ใจมันนิ่งสงบ ไม่มีการขยับตัว ยืนอยู่นิ่งๆ
ท่าทกลางรถวิ่งสวนกัน ใจสงบมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย

รถกระบะวิ่งผ่านหน้า
รถเมล์ประจำทาง วิ่งผ่านด้านหลัง
เฉียดฉิวเส้นยาแดง ถ้าขยับตัวนิดเดียว ...

หลังจากนั้นมา มักคิดถึงแต่ความตาย คิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน เล่าให้ท่านจิ๋วฟัง

ท่านบอกว่า จะรีบไปไหน นิมนต์อยู่ก่อน อยู่นานๆ

หลังจากนั้นมา ความรู้สึกที่ว่า จะต้องตาย หายไปหมด







รู้ชัดในความตาย ครั้งที่ ๑

เจอลักษณะอาการที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เรียกว่า ความตาย

รู้ชัดในแต่ละขณะ ก่อนเกิด กำลังเกิด เกิดทันที เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที
อาการเหมือนคลอดออกมาจากช่องคลอดแม่ แต่รู้สึกตัวตลอด ระหว่างคลอดออกมา
อาการเหมือนเด็กแรกเกิดที่หมอใช้เครื่องดูดในการทำคลอด ความรู้สึกรู้ชัดแบบนั้นเลย

ตั้งแต่นั้นมา ใจมันอาจหาญ ไม่มีความสะดุ้ง ไม่มีความกลัวตาย
เพราะรู้แล้วว่า ความตายเป็นแค่ภาษาสมมุติทางโลก ที่ใช้เรียกคน ที่วิญญาณได้ทิ้งร่างไปแล้ว

สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เรียกว่า ความตายนั้น
เป็นเพียงการเปลี่ยนเปลือก เปลี่ยนรูป ตามเหตุปัจจัยของการเกิด ที่ยังมีอยู่
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จึงมีเกิดขึ้นกับผู้ที่ยังมีห่วงๆ มีความอาลัยต่างๆ สิ่งที่ยังมีข้องอยู่ในจิต

สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นบ่วงผูกมัด ร้อยเหล่าสรรพสัตว์ ทั้งดี และชั่ว เป็นไปตามกรรมที่เคยกระทำไว้
จิตระลึกถึงสิ่งใด ขณะกำลังจะหมดลมหายใจ ไปเกิดตามนั้นทันที นรก สวรรค์ จุดแบ่งแยก อยู่ที่ตรงนี้

ส่วนผู้ที่รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตเนืองๆ ผู้ที่ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย
ขณะใกล้หมดลมหายใจ ย่อมรู้สึกตัวอยู่ ไม่มีความนึกคิดถึงเรื่องราวใดๆ
คือ ตายก็ตาย ไม่ห่วง ไม่กังวล






ตอนนี้ สภาพธรรมต่างๆ ที่วลัยพรได้พบเห็นอยู่ รู้ชัดอยู่
ไม่มีการน้อมเข้าสู่ความมี ความเป็น การได้เป็นนั่นนี่
ความรู้สึกนึกคิดแบบนั้นไม่เคยมีเกิดขึ้น ตั้งแต่รู้ชัด ในสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ

ที่สำคัญ จุดเปลี่ยน เกิดจากภาพต่างๆ ที่ปรากฏขณะคิดพิจรณา ในการดำเนินชีวิต
และภาพต่างๆ ที่ปรากฏขณะจิตเป็นสมาธิ

มีแต่ตอกย้ำว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร
ภพภูมิดีเลิศประเสริฐศรีขนาดไหน ล้วนเป็นทุกข์

ยิ่งเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า กี่กัปป์ กี่กัลล์ กี่อสงไขย
สุดท้าย ก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะเกิดสั้น จะเกิดยาว ล้วนเป็นทุกข์

เมื่อรู้ชัดแบบบนี้แล้ว
ไม่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏ ไม่มีการน้อมเข้าหาตัว
หรือน้อมใจเชื่อเข้าสู่ความมี ความเป็น โสดา สกิทาคา อนาคามี อรหันต์
สักนิดเดียว ไม่มีเกิดขึ้นในจิต

แค่รู้ว่า ตอนนี้มีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ๆ
แต่ไม่มีการให้ค่าให้ความหมายใดๆ

มีแต่รู้ว่า เหตุมี ผลย่อมมี
เมื่อเพียรละในเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่
ความประมาทพลาดพลั้ง จะด้วยเจตนาใดๆก็ตาม
เมื่อกระทำลงไปแล้ว ผลรับกลับมา ย่อมมีแน่นอน จะเร็วหรือช้า ต้องรับผลแน่นอน

และอาศัยการทำความเพียรต่อเนื่อง
ผลของการทำความเพียร ทำให้กำลังสมาธิที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ
มีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ยังไม่มากเหมือนกับเมื่อก่อน
โดยการดูโอภาสที่เกิดขึ้นเป็นหลัก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2017, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


17 ส.ค. 2009

เหตุปัจจัยจากอวิชชาที่มีอยู่
จึงเป็นเหตุให้ทำกรรมที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง
เพราะทำกรรม จึงเป็นเหตุให้เกิดผลแห่งกรรม



เมื่อกรรมส่งผล(วิบาก)
เหตุปัจจัยจากอวิชชาที่มีอยู่
จึงเป็นเหตุให้สร้างกรรมใหม่ให้มีเกิดขึ้นอีกเกิด เกิดวิบากอีก
ในที่สุดก็วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ จนหาเบื้องต้นและหาที่สุดไม่ได้

ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริสัจทั้ง ๔
ก็ไม่สามารถที่จะออกจากภพ หรือจากโลกได้
เหมือนคนตาบอดลักควาย หรือพายเรือในหนองฉะนั้น





นิทานคนตาบอดลักควาย

คนตาบอดริอ่านเป็นขโมย เข้าไปลักควายเขา
จับควายได้แล้วขึ้นขี่หลังตีควายไปเรื่อย
ควายก็เดินวนอยู่ในคอกเรื่อยไป
แต่ควายจะเดินไปถึงไหนก็หารู้ไม่
ตีควายเรื่อยไปจนสว่างนึกว่าไปไกลแล้ว
ที่แท้ควายเดินวนอยู่ในรั้วบ้านนั่นเอง

จนเจ้าของตื่นขึ้นมาเห็น และร้องถามว่า
นั่นจะเอาควายเขาไปไหน

จึงรู้สึกว่าตนหลงตีควายเสียแย่
ในที่สุดก็วนเวียนอยู่ในรั้วบ้านนั่นเอง
การที่เป็นเช่นนี้ก็ เพราะตาของตัวบอดไม่แลเห็นทางออก
จึงได้เวียนอยู่ไม่รู้จักสิ้นสุด



ข้อนี้ฉันใด ปุถุชนที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่ก็ฉันนั้น ไม่เห็นอริยสัจ
ไม่เห็นลู่ทางที่จะสลัดออกไปจากโลกหรือกองทุกข์ได้
ไม่ผิดอะไรกับคนตาบอดลักควาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น

เพราะเหตุฉะนั้น เราท่านทั้งหลายจึงพากันท่องเที่ยว
ไปๆมาๆอยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จักสิ้นสุด

ส่วนอุปมาคนพายเรือในหนองกระจ่างดีอยู่แล้ว
จึงจะพายไปจนเมื่อย จะช่วยกันสักสิบพาย
ก็พายวนอยู่ในหนองนั่นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2017, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาคปฏิบัติ



สภาวะจิตดวงสุดท้าย(อนุโลมญาณ)

เป็นสภาวะ อุปทานขันธ์ ๕
ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง



สำหรับผู้ที่เจริญสมถะและวิปัสสนา
(ปฏิทาวรรคที่ ๒)

เป็นสภาวะที่มีเกิดขึ้นในสัมมาสมาธิ

กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น
เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความรู้ชัด
อยู่ภายในกาย เวทนา จิต ธรรม ต่อเนื่อง

มีเกิดขึ้นก่อนเกิดจุติจิต(ตาย)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2017, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะจิตดวงสุดท้าย ครั้งที่ ๑

อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ(อัปปณิหิตวิโมกข์) ผลญาณ
นิพพาน
ปฏิจสมุปบาทและอริยสัจ ๔
ผัสสะและอริยสัจ ๔
ปัจจเวกขณญาณ





ศิล
เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
เป็นศีลที่ เป็นไทจากตัณหา

วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกตัณหา และทิฏฐิลูบคลำ
เป็นศีลที่เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ




เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
(วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดทีหลัง)

ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเห็นโดยความไม่เที่ยง
ชื่อว่า วิปัสสนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์
ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา

สภาวะที่จิตปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์
และสภาวะที่จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ

วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง ด้วยประการดังนี้





สมถะที่เป็นสัมมาสมาธิ

เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)

[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง


อุปกิเลส ไม่มีกำเริบเกิดขึ้นอีก



สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ
เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน
คือ ความเห็นดังนี้ว่า

ทานที่ให้แล้ว มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี
มารดามี บิดามี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่

นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ฯ













สภาวะจิตดวงสุดท้าย ครั้งที่ ๒

อนุโลมญาณ โวทาน มรรคญาณ(สุญญตวิโมกข์) ผลญาณ
อวิชชา สังขาร วิญญาณ(รู้ชัดในการตาย/จุติจิตและการเกิด/ปฏิสนธิจิต)

จิ.(จิต/วิญญาณธาตุรู้)
เจ.(เจตสิก)
รุ.(รูป/อุปทานขันธ์ ๕)
นิ.(นิพพาน)


๑. มีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

จิ. หมายถึง จิต กล่าวคือ วิญญาณ/ธาตุรู้

เจ. หมายถึง เจตสิก กล่าวคือ ธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มีความเป็นไปต่าง ๆ


รุ. หมายถึง รูป กล่าวคือ ผัสสะ
เป็นสภาวะของความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕

นิ. หมายถึง นิพพาน กล่าวคือ ความดับภพ
ได้แก่ การไม่สร้างกรรมใหม่ ให้มีเกิดขึ้นอีก
โดยการไม่สร้างเหตุออกไปตามความรู้สึกนึกคิดที่มีเกิดขึ้น

กล่าวโดยย่อ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ




๒. มีเกิดขึ้นในสภาวะจิตดวงสุดท้าย(ความตาย)
เป็นที่มาของ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ

จิ. หมายถึง จิต กล่าวคือ วิญญาณ/ธาตุรู้

เจ. หมายถึง เจตสิก กล่าวคือ ธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มีความเป็นไปต่าง ๆ


รุ. หมายถึง รูป กล่าวคือ ผัสสะ
เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริงของสภาวะของความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕

นิ. หมายถึง นิพพาน กล่าวคือ ความดับภพ
ได้แก่ การดับเหตุปัจจัยของการเกิด
อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง

กล่าวโดยย่อ อวิชชา สังขาร วิญญาณ





เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
(วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดทีหลัง)

เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)

เจริญสมถะและวิปัสสนาเคียงคู่กันไป(มรรค-อริยมรรคมีองค์ ๘)






สัมมาทิฏฐิ

กัจจานโคตตสูตร
ว่าด้วยพระกัจจานโคตร

{๔๒} [๑๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี

ครั้งนั้น ท่านพระกัจจานโคตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่พระองค์ตรัสว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ นี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอจึงเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ


{๔๓} กัจจานะ โดยมากโลกนี้อาศัยที่สุด ๒ อย่าง
คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้นของโลก
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
ความไม่มีในโลก ก็ไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก
ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว
ความมีในโลก ย่อมไม่มี



โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส
แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น
อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้

ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละ
เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ
พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ






{๔๔} ที่สุดอย่างที่ ๑ นี้ คือ
สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ที่สุดอย่างที่ ๒ นี้ คือ สิ่งทั้งปวง ไม่มีอยู่

ตถาคตไม่เข้าไปใกล้ที่สุดทั้ง ๒ อย่างนี้
ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลางว่า

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้


อนึ่ง เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้

กัจจานโคตตสูตรที่ ๕ จบ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 03 พ.ย. 2017, 18:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2017, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เคลัญญสูตรที่ ๑

[๓๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมเป็นผู้มีสติอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเป็นผู้มีปรกติเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ย่อมเป็นผู้มีปรกติเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ย่อมเป็นผู้มีปรกติเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ย่อมเป็นผู้มีปรกติเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้มีสติอย่างนี้แล ฯ


[๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมเป็นผู้มีสัมปชัญญะอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกในการแล ในการเหลียว
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า เหยียดออก
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกตัวในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกตัวในการกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
ย่อมเป็นผู้มีปรกติทำความรู้สึกตัวในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด นิ่ง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รอกาลเวลา
นี้เป็นคำเราสั่งสอนพวกเธอ ฯ





[๓๗๗] ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ สุขเวทนาย่อมบังเกิดขึ้น เธอย่อมรู้อย่างนี้ว่า
สุขเวทนานี้บังเกิดขึ้นแล้วแก่เราแล ก็แต่ว่าสุขเวทนานั้น
อาศัยจึงเกิดขึ้น ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น อาศัยอะไร อาศัยกายนี้เอง
ก็กายนี้แลไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

ก็สุขเวทนาอาศัยกายอันไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยกันเกิดขึ้นแล้วจึงเกิดขึ้น จักเที่ยงแต่ที่ไหน ดังนี้

เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป
ความคลายไป ความดับ ความสละคืนในกายและสุขเวทนาอยู่

เมื่อเธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป
ความคลายไป ความดับ ความสละคืนในกายและสุขเวทนาอยู่
ย่อมละราคานุสัยในกายและในสุขเวทนาเสียได้ ฯ





[๓๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติสัมปชัญญะ
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
ทุกขเวทนาย่อมบังเกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า

ทุกขเวทนานี้ บังเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่าทุกขเวทนานั้น
อาศัยจึงเกิดขึ้น ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น อาศัยอะไร อาศัยกายนี้เอง
ก็กายนี้แลไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

ก็ทุกขเวทนาอาศัยกายอันไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยกันเกิดขึ้น แล้วจึงบังเกิดขึ้น จักเที่ยงแต่ที่ไหน ดังนี้

เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับ ความสละคืนในกายและในทุกขเวทนาอยู่

เมื่อเธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับ ความสละคืนในกายและในทุกขเวทนาอยู่
ย่อมละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนาเสียได้ ฯ





[๓๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุนั้นมีสติสัมปชัญญะ
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
อทุกขมสุขเวทนาย่อมบังเกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า

อทุกขมสุขเวทนานี้บังเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่าอทุกขมสุขเวทนานั้น
อาศัยจึงเกิดขึ้น ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น อาศัยอะไร อาศัยกายนี้เอง
ก็กายนี้แลไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

ก็อทุกขมสุขเวทนาอาศัยกายอันไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยกันเกิดขึ้น แล้วจึงบังเกิดขึ้น จักเที่ยงแต่ที่ไหน ดังนี้

เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับ ความสละคืนในกายและในอทุกขมสุขเวทนาอยู่

เมื่อเธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับ ความสละคืนในกายและในอทุกขมสุขเวทนาอยู่
ย่อมละอวิชชานุสัยในกายและในอทุกขมสุขเวทนาเสียได้ ฯ





[๓๘๐] ถ้าภิกษุนั้นเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่าเพลิดเพลิน

ถ้าเธอเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ
ถ้าเธอเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่าเพลิดเพลิน

ถ้าเธอเสวยสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยสุขเวทนานั้น
ถ้าเธอเสวยทุกขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยทุกขเวทนานั้น
ถ้าเธอเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยอทุกขมสุขเวทนานั้น

ภิกษุนั้นเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด

ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อตายไป เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลิน
จักเป็นความเย็นในโลกนี้ทีเดียว ฯ






[๓๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน
อาศัยน้ำมันและไส้จึงโพลงอยู่ได้ เพราะสิ้นน้ำมันและไส้
ประทีปนั้นไม่มีเชื้อพึงดับไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ถ้าเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
เสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด

ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อตายไป
เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลิน
จักเป็นความเย็นในโลกนี้ทีเดียว ฯ





ผลของการเจริญสติปัฎฐาน ๔(สมถะและวิปัสสนา)

ความเบื่อหน่ายในเหตุปัจจัยที่มีอยู่
และความเบื่อหน่ายในภพชาติของการเกิด
เป็นเหตุปัจจัยให้ เมื่อสภาวะจิตดวงสุดท้ายเกิด



สภาวะจิตดวงสุดท้าย แม้ครั้งที่ ๑
จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการรักชีวิต ไม่ยื่นไปรับความรักชีวิต


"ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ ภิกษุ เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ,
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.

เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตที่สุดรอบ ดังนี้.

ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้"



สภาวะจิตดวงสุดท้าย แม้ครั้งที่ ๒
ย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่งามในกาย ๑
มีความสำคัญว่าเป็นของปฏิกูลในอาหาร ๑
มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง ๑
พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ๑
มีมรณสัญญาปรากฏขึ้นด้วยดี ณ ภายใน ๑

ซึ่งเมื่อเจริญมรณสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ
ถอยกลับจากการรักชีวิต ไม่ยื่นไปรับความรักชีวิต
อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่
เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ
ย่อมหดงอเข้าหากันไม่คลี่ออกฉะนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร