วันเวลาปัจจุบัน 12 ต.ค. 2025, 12:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5392


 ข้อมูลส่วนตัว


...ขอให้เรามาทบทวน
ดูตัวเราเองว่าตอนนี้
เรามีการปฏิบัติกันบ้างหรือเปล่า
มีมากมีน้อยเพียงไร
ควรจะเพิ่มให้มากขึ้นหรือยัง
มีอะไรทำให้ต้องไม่สามารถปฏิบัติได้
.
...มีใครรับประกันได้ว่า
"วันนี้หรือพรุ่งนี้จะไม่ตายกัน"
แล้วยังมามัวทำอะไรต่างๆที่ไร้สาระ
ที่ไร้ประโยชน์แก่จิตใจกันทำไม
..............................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 23/7/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






...มีสติอยู่ทุกระยะ...

..สตินี้ ท่านเปรียบเทียบไว้คล้าย ๆ กับไม้พายเรือ เรือน้อย เรือใหญ่ ก็พวกหางเสือ เรือถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้กดดันทำงานตามหน้าที่แล้ว ก็จะขวางลำ ขวางกิ่งไม้ โดนต้นไม้ ไม่ไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ นี้ฉันใดก็ดี เรื่องของจิตถ้าไม่มีสติแล้ว ก็ไปตามเรื่องมันหละ ปล่อยใจไปอย่างนี้หมดโลกหมดแผ่นดิน..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..






...เพราะมี
มนุษย์นี้ เท่านั้นแหละ
.
...
ที่จะมาสร้างบุญสร้างกุศล
มาสร้าง..ความสงบสุข..
ให้แก่ "จิตใจ"
มาดับความทุกข์
มาดับ "การเวียนว่ายตายเกิด"
ให้กับจิตใจได้ หลุดพ้นจาก..
การเวียนว่ายตายเกิดได้
.
...ต้องหลุดด้วยการ
"มาเกิดเป็นมนุษย์"
และก็ต้องมี "พระพุทธศาสนา"
เป็นผู้นำทาง.
.........................................
.
คุัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 22/3/2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






เหน็ดเหนื่อยหน่อย ก็ขอให้อดทน

ไม่ว่าจากหน้าที่การงาน หรือจากการกระทบกระทั่งกับวาจาของคน ให้ถือเป็นกฎของธรรมดา ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ถูกนินทามาก่อนทั้งสิ้น แม้กระทั่งพระอรหันต์ทุก ๆ องค์ก็ถูกนินทาเช่นกัน แล้วให้สังเกตปฏิปทาของท่านทั้งหลายเหล่านี้ จักสงบไม่ไปต่อเวรต่อกรรมกับใคร พวกเจ้าเองก็พึงทำตามปฏิปทาเช่นนี้ด้วย ดังนั้นสำหรับการปฏิบัติงานทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อทำไปแล้วใครจักติ ใครจักชม ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกัน

จงอย่าเล็งผลเลิศจากวานที่ทำ เพราะงานทุกอย่างย่อมมีการบกพร่องเป็นของธรรมดา แล้วจงอย่าโลภในงานว่าจักให้เสร็จเร็ว เนื่องด้วยการทำงานต้องอาศัยร่างกายและเวลาซึ่งมีขีดจำกัด สำหรับร่างกายของแต่ละคนซึ่งไม่เสมอกัน ให้ทำเท่าที่จักทำได้ การมุ่งหวังจักให้งานเสร็จเร็ว ก็ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นในจิต เป็นการทำงานที่ขาดทุนมากกว่ากำไร การทำงานอย่าฝืนร่างกาย แล้วก็อย่าฝืนอารมณ์ของจิต การทำงานจักต้องอาศัยอารมณ์สบายและร่างกายสบาย งานจึงจักออกมาให้ผลดี อนึ่งการทำกรรมฐานนั้นแตกต่างกันไปตรงที่ว่าจักต้องทำให้ได้ตลอดเวลา แต่ก็จักต้องไม่ทรมานร่างกายเช่นกัน และจักต้องอาศัยจิตที่มีอารมณ์ตั้งมั่นสบาย ๆ อยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาเช่นกัน จำหลักเหล่านี้เอาไว้ให้ดี จักได้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง.

คำสอนหลวงปู่ฤาษีลิงดำ (วัดท่าซุง)







"ลองถามตัวเองว่า แต่ละวัน เราเสียเวลา
และพลังงาน ไปกับการคร่ำครวญ
หรือวิตกกังวล มากมายเพียงใด

บางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้
ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่อง
ก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรากลับตีโพยตีพาย
ไปล่วงหน้าแล้ว

แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ก็เถอะ
ลองตั้งสติ และมองให้รอบด้าน
อาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหนักหนาเลย
เป็นแต่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราเท่านั้น"

-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-






"ขอให้ทุกท่าน กลับมาดูตัวเอง
ดูความบกพร่อง ของตัวเอง
เพื่อจะได้ แก้ไขปรับปรุง
อันไหนมันไม่ดี ก็แก้ไข
สิ่งไหนมันดีแล้ว ก็ให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไป
จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่ผู้ที่ทำตามใจตัวเอง"

-:- หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม -:-


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 07:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าไม่บ้าใบ้เสียสติพิการตั้งแต่เกิด ก็ย่อมจะมี สติ ปัญญา ติดมาด้วยทุกคน
แต่สติปัญญาที่ได้มานั้น เป็น สติปัญญาสามัญตามธรรมชาติที่จะใช้รักษาและพาตนให้รอดพ้นภยันตรายต่างๆจนมีชีวิตอยู่รอดได้ ลองสังเกตดูกันให้ดีนะครับ ทุกคนมีสติปัญญาครองตัวครองใจกันอยู่ตลอด มิฉนั้นคงเดินชนกัน เตะไม้เตะตอ ล้มหกคะเมนกันทั้งวัน

แต่ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายที่ยังไม่ได้พบพระพุทธศาสนา
ยังไม่ได้ศึกษาและรับรู้รับฟังข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สิ ถึงจะเรียกว่า

"ผู้ขาดสติปัญญาทางธรรม"

ใครจะได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริงและมีสติปัญญาทางธรรม ก็ต้อง มาอบรมสติปัญญาของตนด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจซาบซึ้งจนเป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน จนเปลี่ยนจาก
ผู้ไม่รู้พุทธธรรม มา เป็นผู้รู้ถูกต้องและเป็น

"ผู้มีสติปัญญาทางธรรม"

สติปัญญาทางธรรมนั้นเป็นอย่างไร ฝากให้ทุกท่านช่วยกันหาคำตอบไปด้วยตนเองก่อนสักระยะหนึ่งแล้วค่อยก้อปมาแปะสู่กันอ่านแล้วค่อยเอามาวิตกวิจารณ์สนทนากันต่อนะครับ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 07:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าไม่บ้าใบ้เสียสติพิการตั้งแต่เกิด ก็ย่อมจะมี สติ ปัญญา ติดมาด้วยทุกคน
แต่สติปัญญาที่ได้มานั้น เป็น สติปัญญาสามัญตามธรรมชาติที่จะใช้รักษาและพาตนให้รอดพ้นภยันตรายต่างๆจนมีชีวิตอยู่รอดได้ ลองสังเกตดูกันให้ดีนะครับ ทุกคนมีสติปัญญาครองตัวครองใจกันอยู่ตลอด มิฉนั้นคงเดินชนกัน เตะไม้เตะตอ ล้มหกคะเมนกันทั้งวัน

แต่ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายที่ยังไม่ได้พบพระพุทธศาสนา
ยังไม่ได้ศึกษาและรับรู้รับฟังข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สิ ถึงจะเรียกว่า

"ผู้ขาดสติปัญญาทางธรรม"

ใครจะได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริงและมีสติปัญญาทางธรรม ก็ต้อง มาอบรมสติปัญญาของตนด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจซาบซึ้งจนเป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน จนเปลี่ยนจาก
ผู้ไม่รู้พุทธธรรม มา เป็นผู้รู้ถูกต้องและเป็น

"ผู้มีสติปัญญาทางธรรม"

สติปัญญาทางธรรมนั้นเป็นอย่างไร ฝากให้ทุกท่านช่วยกันหาคำตอบไปด้วยตนเองก่อนสักระยะหนึ่งแล้วค่อยก้อปมาแปะสู่กันอ่านแล้วค่อยเอามาวิตกวิจารณ์สนทนากันต่อนะครับ
:b8:


ใช่เลยคุณ อโสกะ
ที่พูดมานั่นน่ะมันคือมีอยู่ในอโสกะทั้งนั้น
ไม่ต้องไปสนใจใครที่ไหน สนใจที่ตัวเองนั่นแหละไม่ผิดทางหรอก
เชื่อเถอะบอกเอาบุญ ไม่ใช่บอกเพื่อจะมาเบียดเบียนกัน


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราเกิดมา ถ้าไม่บ้า ไม่พิกาลพิกาลทางสมอง
ก็พอมี สติติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดเกิดมา
คือ
สติสมปฤดี มีความระลึกได้ ในการงานต่างๆ ที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันเป็นต้น มีการระลึกได้ถึงเรื่องราวในอดีต
มีการระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำที่พูดในอดีตได้ ซึ่งจะประกอบด้วยปัญญาบ้างหากการระลึกนั้นระลึกในสิ่งที่เป็นกุศล
อาจจะไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาก็มี เป็นการระลึกได้ทั่วๆไป
สติชนิดนี้ไม่ได้เป็นองค์แห่งมรรค ไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

แต่
มีสติอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากการภาวนา ทำให้มีให้เป็นขึ้น คือสติสัมปชัญญะ เป็นสติในองค์มรรค
เห็นได้ในสติปัฏฐาน 4 เป็นสติที่ประกอบด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม ประกอบด้วยปัญญา (คือสัมปชัญญะ) เป็นสติอันเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง ในการสร้างกุศล เจริญกุศล

การเจริญสติปัฏฐาน 4 จึงนับว่าเป็นการเจริญสติในธรรมอันเป็นเครื่องสร้างกุศล และเป็นองค์แห่งมรรคด้วย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2017, 06:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เอามาฝากคุณธรรมา ในกระทู้นี้
และเผื่อถึงกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับ

“ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหารดีแทคพูดเรื่อง “เกมคิดดี” ในงาน Ignite Thailand

“คิดดี-คิดบวก”

เขาเชื่อว่าฝึกได้

“ธนา” เล่าถึงทีมขายเคลื่อนที่ของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เงินเดือนน้อยที่สุดขององค์กร แต่ทำงานหนักที่สุด

แต่ปรากฏว่าน้องกลุ่มนี้เป็นคนที่มีพลังมาก ไม่เคยบ่น และเมื่อว่างจากการทำงานก็มีจิตสาธารณะไปช่วยชุมชนกวาดลานวัด

“ธนา” สงสัยมานาน ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงมี “ทัศนคติ” ที่ดี

จนเมื่อเขาได้คลุกคลีกับน้องๆ กลุ่มนี้

“ธนา” จึงได้รู้จัก “เกมคิดดี”

เกมนี้น้องๆ จะเล่นกันเป็นประจำตอนพัก มีกติกาคือให้ทุกคนคิดถึงทุกอย่างในแง่ดี

หัวหน้าจะตั้งคำถาม

“แดดออกดีอย่างไร?”

น้องคนหนึ่งยกมือ
"ดีเพราะชาวบ้านจะมาที่ตลาด ทุกคนมารวมตัวกันที่เดียว ไม่ต้องไปขายไกลๆ"

“ฝนตกดีอย่างไร”

อีกคนหนึ่งตอบ “ฝนตก คนออกจากบ้านไม่ได้ เราจะมีโอกาสคุยกับลูกค้านานขึ้น”

“หมาเห่าดีอย่างไร”

คราวนี้เริ่มยาก ทุกคนหันไปมองหน้ากัน แล้วคนหนึ่งก็คิดได้

“เราจะไม่เจ็บคอตะโกนเรียก เพราะเจ้าของบ้านจะเดินออกมาเอง”

โหย…ใช้ได้

หา “มุมบวก” เก่งจริงๆ

“ธนา” เชื่อว่า “ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต

หลักคิดของเขาก็คือ ถ้าเราไม่ชอบอะไรก็ตาม ให้พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ได้

แต่ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งนั้น

“ธนา” เชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นทั้ง “พรสวรรค์” และ “พรแสวง”

ใครที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็ถือว่าเป็นคนโชคดี

แต่ถ้าใครไม่มีเรดาร์แบบนี้ติดตัวมา เขาก็เชื่อว่าสามารถฝึกฝนได้

แล้ว “ธนา” ก็เริ่มต้นเล่น “เกมคิดดี” บนรถกับลูกสาวทั้ง 2 คน

คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ อีกคนอายุ 5 ขวบครึ่ง

เขาบอกลูกๆว่าลองคิดทุกอย่างในแง่บวก หา “ข้อดี” ของทุกเรื่องราวในชีวิตให้เจอ

ถามว่าอยู่ที่บ้านดีอย่างไร
“มีของเล่นเยอะ”

อยู่ที่โรงเรียนดีอย่างไร
“ได้เจอเพื่อน”

“แล้วรถติดดีอย่างไร”
คราวนี้ลูกสาวทั้ง 2 คนเริ่มโยเย เพราะแต่ละคนเบื่อสภาพรถติดมาก จะบ่นตลอดเวลา

“ไม่เห็นมีอะไรดีเลย” ลูกคนโตเริ่มโวย

“ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเราเล่นเกมคิดดี” คุณพ่อไม่ยอม

ลูกสาวคนเล็กนั่งคิดอยู่แวบหนึ่งแล้วก็ยกมือ

“พ่อ หนูคิดออกแล้ว รถติดมีข้อดี เพราะพ่อจะได้หันหน้ามาคุยกับหนู”

น่ารักมาก…

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่รถติด ลูกสาวทั้ง 2 คน จะตะโกนลั่นรถ

“รถติดแล้ว คุณพ่อหันมาคุยหน่อย”

ลูกสาวของ “ธนา” ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชื่อดังแถวชิดลม ซึ่งก็ไม่ไกลจากออฟฟิศของเขา อาคารจามจุรี สแควร์ ใกล้สวนลุมพินี

ตอนที่รู้ว่าลูกสอบติดที่ “มาแตร์” ด้านหนึ่งก็ดีใจ แต่ด้านหนึ่งก็ทุกข์ใจ เพราะต้องไปส่งลูกสาวทุกเช้า

จากเดิมตื่น 7 โมง ก็ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เพื่อไปส่งลูกให้ทันเข้าเรียน 7 โมง

สัปดาห์แรก “ธนา” ทุกข์หนัก และคิดในแง่ลบว่าชีวิตของเขาต้องเป็นอย่างนี้อีก 12 ปี เชียวหรือ

แต่เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็เริ่ม “เกมคิดดี”

เขาใช้เวลาช่วงส่งลูกเสร็จ ก่อนเข้าทำงาน ไปวิ่งที่สวนลุมพินี

เช้าวันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายเขา “ประเสริฐ” เป็นนักวิ่งระดับแข่งมาราธอน
เขาวิ่งทุกเช้าวันละ 40 นาที ระยะทาง 10 กิโลเมตร

“ตอนแรกผมวิ่งแค่ 300 เมตร ก็จะเป็นลม แต่ตอนนี้วิ่งทุกเช้ามา 4 ปีแล้ว”

“ธนา” เริ่มเอะใจ จึงถามถึงเหตุผลที่ “ประเสริฐ” หันมาวิ่ง

“ลูกสาวผมเรียนที่มาแตร์” เขาตอบ

“ลูกพี่อยู่ ป.4 ใช่ไหม” ธนาถาม

“ใช่” ประเสริฐทำหน้างงๆ “คุณธนารู้ได้ไง”

“ธนา” ไม่ได้เล่าต่อ

แต่เขาจบเรื่องเล่าบนเวทีด้วยการทำนายอนาคตตัวเอง

“ผมรู้แล้วว่าอีก 4 ปี ผมจะเป็นนักวิ่งมาราธอนแน่นอน”

นิทาน เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เราเปลี่ยน โลก ไม่ได้ แต่ เราเปลี่ยน วิธีคิด เราได้ มาฝึก คิดบวก กันเถอะ
:b27:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2017, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าบ้าได้มั้ย?..ก๊อปข้อความเดียว..แต่โพสต์ไปหลายกระทู้...

ไม่มีสติ..


โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2017, 20:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่าบ้าได้มั้ย?..ก๊อปข้อความเดียว..แต่โพสต์ไปหลายกระทู้...

ไม่มีสติ..

onion

เอามาฝากคุณธรรมา ในกระทู้นี้
และเผื่อถึงกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับ

:b34:
ดูดีๆนะกบ
:b19:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron