วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 17:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2017, 12:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b37:
ทุกวันนี้เป็นโอกาสอันดีของคนรุ่นใหม่ ที่มีมิตรสหายช่วยกันค้นคว้า เฟ้นหาธรรมจากคัมภีร์พระไตรปิฎก มาแปะให้อ่านให้ศึกษากันอย่างมากมายและกว้างขวาง จนลานหูลานตาไปหมดสำหรับผู้ที่ไม่รู้จักวิธีจับประเด็น เลือกเฟ้นธรรม
สิ่งสำคัญก็คือขอให้ทุกท่านรู้จักเลือกเฟ้น จับประเด็นธรรมจากแต่ละเรื่องมาให้ได้หัวใจหรือแก่นของธรรมเรื่องนั้นๆ
เสมอๆจึงจะเกิดประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติธรรมของตนเอง

สังเกต เพิ่มความสังเกตกันให้ดีๆจนได้ที่ เราก็จะได้พบว่า
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นล้วนรวมลงไปที่เรื่อง

ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับเหตุทุกข์และดับทุกข์
วิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับเหตุทุกข์
หรือ
อริยสัจ 4 นั่นเอง

ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของความรู้ทางภาคปริยัติศาสนาซึ่งเราสามารถหาได้ง่ายและเยอะจริงๆในปัจจุบัน
นี่คือมุมมองทางด้านธรรมะก้อปแปะ

ส่วนอีกมุมมองหนึ่งคือ

ธรรมะจากกายใจในชีวิตปัจจุบัน ซึ่งหาคนมาโพสต์แบ่งปัน
ได้ค่อนข้างยาก อันเราจะได้สนทนากันต่อไป
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2017, 14:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าจะเอาแบบอโสกะนั้นน่ะ ป่านนี้คำสอนของพระพุทธเจ้า
สูญสิ้นไปนานแล้ว
ธรรมของอโสกะเป็นธรรมที่ผลิตออกมาจากใจตนเองทั้งนั้น
ซึ่งในลักษณะนั้นมันเป็นธรรมที่มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาบรรลุ
ในโลกใบนี้เสียอีก เรียกว่าธรรมอันนอกศาสนา

ประโยชน์ของการตัดแปะก็เพื่อให้คำสอนของพระองค์
ตั้งอยู่ได้นาน หาหลักฐานอ้างอิงได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับธรรมที่ผลิต
ขึ้นมาเองหาหลักฐานไม่ได้ สุดท้ายได้คำตอบว่าไม่มีในตำรา
ทำไปเถอะแล้ว ก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง จนได้ยินคำพูดนี้จนจำเจ

พระองค์เห็นข้อนี้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าในอดีตนั้น ตั้งอยู่ไม่นาน
เพราะไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้ให้เป็นหมวดหมู่ อาศัยการจดจำตามๆกันมา

ฉะนั้นอาศัยว่าใครสนใจที่จะศึกษาและปฏิบัติตามตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแท้จริง
ก็ต้องศึกษาตามพระไตรปิฏก และอรรถกถา

เขาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ากันอโสกะ อย่าไปยัดเยียด
คำสอนของตัวเองเลย จนกลายเป็นพระศาสดาขึ้นอีกท่านหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2017, 10:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
"ธรรมะจากกายใจในชีวิตประจำวัน" หรือเราอาจจะเรียกสั้นๆว่า "ธรรมะจากใจ"

การจะเข้าไปสัมผัสรู้ธรรมะจากใจได้นั้นก็ต้องเริ่มจากการศึกษาธรรมะก้อปแปะมาก่อน จนจับประเด็นคำสอนและหลักปฏิบัติจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำได้แล้ว ลงมือปฏิบัติจริง พิสูจน์ธรรม ก็จะได้รู้ เห็น ธรรมในกายใจตามที่มันเป็นจริง
สิ่งที่เราได้รู้ได้เห็นตามจริงเหล่านั้นมันจะตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอน หากยังขยันปฏิบัติธรรมไปเรื่อยจน

"ธรรมถึงใจ ใจถึงธรรม"

หลังจากนั้น จะพบ จะเห็น จะหยิบ จะยก จะวางอะไร ก็จะล้วนเป็นธรรมะ อธิบายเป็นธรรมะได้หมด โดยไม่จำเป็นจะต้องให้เหมือนตามในตำราที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเพราะถึงแม้บัญญัติ คำพูดและเรื่องที่เกิดรู้ขึ้นในจิตของเราจะเป็นอย่างไร
แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์เทียบเป็นธรรมดูแล้ว มันก็จะเป็นเนื้อหาสาระที่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2017, 06:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006
อนัตตา

ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุ(ท่านผู้เห็นภัยในทุกข์)ทั้งหลาย
อนัตตาโต...ที่สภาวธรรมอันเกิดขึ้นเองเป็นเอง บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของเรานั้น
อนุปัสสันโต
เธอจงตามเฝ้าดู
ภาวิโต
เธอจงตามเฝ้าสังเกต พิจารณา
พหุลีกะโต
ทำให้มาก เจริญให้มาก
(ในการตามเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณานั้น)
อภิญญายะ
มรรคญาณย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
สัมโพธายะ
ผลญาณย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
นิพพานายะ
นิพพานย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
สังวัตติ
เป็นของเธอโดยชอบ ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป

:b53:
เรียน ท่านผู้เชี่ยวชาญในการค้นคัมภีร์และก้อปแปะทั้งหลายครับ
ท่านใดเคยเห็นเคยได้ยินเคยได้อ่านผ่าน ธรรมบทว่าด้วย "อนัตตา"
ที่ยกมาให้ดูข้างต้นนี้บ้างหรือเปล่าครับ
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2017, 19:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โธ่ ! เด็กน้อยเอย...

ได้ไอติมมาแท่งหนึ่งพอได้ชิมรสว่ามันอร่อย
ก็วิ่งเที่ยวอวดใครๆเขาไปทั่ว นึกว่ารสแบบนี้จะมีไครไหมหนอ
ที่จะเคยได้ชิมแบบเราบ้าง ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2017, 07:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
โธ่ ! เด็กน้อยเอย...

ได้ไอติมมาแท่งหนึ่งพอได้ชิมรสว่ามันอร่อย
ก็วิ่งเที่ยวอวดใครๆเขาไปทั่ว นึกว่ารสแบบนี้จะมีไครไหมหนอ
ที่จะเคยได้ชิมแบบเราบ้าง ?

wink
ช่างน่าสงสารท่านผู้เฒ่า ที่เฝ้าอิจฉาริษยาหนุ่มน้อย ที่เก่งเกินหน้าตน
:b3:
ถ้าเป็นผู้เฒ่ารู้ธรรม ถึงธรรมจริง เขามีแต่จะสาธุอนุโมทนาบุญตามเมื่อได้พบเห็นสิ่งดีงามและธรรมะอันถูกต้อง ธรรมะเพื่อความหลุดพ้นที่คนรุ่นใหม่ได้นำมาแบ่งปันสู่กันฟัง สู่กันศึกษา
เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริง ให้ถึงความจริง
:b11:
นี่ก็จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องยกเป็นกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้เห็นความจริงว่า

"ธรรมะก้อปแปะ นั้น ตัวธรรมล้วนเป็นสิ่งที่ดีเลิศประเสริฐจริงอยู่แล้วเพราะแปลมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าและอรรคสาวกมหาสาวกทั้งหลาย
แต่
ผู้ไปคัดเลือกก้อปธรรมนั้นมา ถ้าไม่ศึกษา ไม่ค้นหาและจับเอาประเด็นธรรมที่ดีๆมาใส่ใจลงมือปฏิบัติพัฒนากายใจตนเอง ให้หมดจด สะอาด ใส ตามโอวาทของพระบรมศาสดา ก็จะเป็นดุจ "กบเฒ่าเฝ้ากอบัว" ตัวอยู่ใกล้ธรรมแต่ใจห่างธรรม
ไร้ธรรม พิสูจน์ดูกันได้ง่ายๆ ถ้าใครเป็นหนอนตำราแต่เพียงอย่างเดียวคือ

เขาจะเต็มไปด้วยสักกายทิฏฐิ อัตติมานะ มักโกรธ ขุ่นมัวง่าย
จิตใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา บังคับวาจา กาย ใจ ตนเองไม่ค่อยได้ มักพอใจแต่คำสรรเสริญเยินยอ วางท่าดีแต่ทีเหลว
ขุ่นมัวและโกรธเร็วเป็นประจำ ข้อนี้จะค่อนข้างชัดเจนที่สุด
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2017, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
อนัตตา

ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุ(ท่านผู้เห็นภัยในทุกข์)ทั้งหลาย
อนัตตาโต...ที่สภาวธรรมอันเกิดขึ้นเองเป็นเอง บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของเรานั้น
อนุปัสสันโต
เธอจงตามเฝ้าดู
ภาวิโต
เธอจงตามเฝ้าสังเกต พิจารณา
พหุลีกะโต
ทำให้มาก เจริญให้มาก
(ในการตามเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณานั้น)
อภิญญายะ
มรรคญาณย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
สัมโพธายะ
ผลญาณย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
นิพพานายะ
นิพพานย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
สังวัตติ
เป็นของเธอโดยชอบ ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป

:b53:
เรียน ท่านผู้เชี่ยวชาญในการค้นคัมภีร์และก้อปแปะทั้งหลายครับ
ท่านใดเคยเห็นเคยได้ยินเคยได้อ่านผ่าน ธรรมบทว่าด้วย "อนัตตา"
ที่ยกมาให้ดูข้างต้นนี้บ้างหรือเปล่าครับ
s006


ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุ(ท่านผู้เห็นภัยในทุกข์)ทั้งหลาย
อนิจจตาโต....ที่สภาวธรรมทั้งหลายมีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
ทุกขตาโต.....ที่สภาวธรรมทั้งหลายมีความบีบคั้น เกิดดับเป็นธรรมดา
อนัตตาโต...ที่สภาวธรรมอันเกิดขึ้นเองเป็นเอง บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของเรานั้น
อนุปัสสันโต
เธอจงตามเฝ้าดู
ภาวิโต
เธอจงตามเฝ้าสังเกต พิจารณา
พหุลีกะโต
ทำให้มาก เจริญให้มาก
(ในการตามเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณานั้น)
อภิญญายะ
มรรคญาณย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
สัมโพธายะ
ผลญาณย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
นิพพานายะ
นิพพานย่อมจะเกิดขึ้นกับเธอ
สังวัตติ
เป็นของเธอโดยชอบ ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป

^ ^
ธรรมสามประการนี้ควรเห็นควรรู้ ไม่ใช่เห็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงประการเดียว.....
เห็นแต่อนัตตา มีประโยชน์ แต่ไม่สำเร็จประโยชน์....

ผู้ปฏิบัติควรเห็นธรรมสามประการนี้โดยถ้วนทั่วมิใช่เห็นเพียงประการเดียว
เคยคิดพิจรณาหรือไม่ครับ จขกท.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2017, 17:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ คุณเช่นนั้นที่มาช่วยขยายความให้ครบไตรลักษณ์

พอดีผมได้รับมามีแต่เรื่องอนัตตา ตัวเดียวดังที่เห็นจึงก้อปมาแปะให้ลองพิจารณากันครับ

อนึ่ง ทั้งอนิจจัง ความไม่เที่ยง

ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้

ทั้งสองอย่างที่กล่าวนี้ล้วนแล้วแต่ไปรวมลงที่ อนัตตา ตัวเดียว
คือ บังคับบัญชาไม่ได้เพราะไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวกู ของกู

ดังนั้นจดจำแค่ อนัตตา พิสูจน์แค่ อนัตตา ตัวเดียวก็สามารถกระเทือนรู้ไปถึง อนิจจังและทุกขังด้วยทันทีครับ

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2017, 18:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงได้บอกไงเด็กๆ
ได้ไอ่ติมเเท่งวิ่งโล่เที่ยวอวดชาวบ้าน
ไม่อิจฉาหรอก สมเพชน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2017, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า "อนัตตา" เป็นรวมรวบธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด ไม่เหลือ
ที่ในศาสนาพวกอื่นไม่มี "อนัตตา" เป็นธรรมที่กว้างขวางลึกซึ้ง
ไม่ว่าจะกล่าวหรือยกธรรมอันใดขึ้นมาแสดง ทั้งที่เป็นโลกียะ หรือโลกุตตรั
ที่เป็นสังขตะ และสังขตะ ทั้งเป็นของทิพย์ และมิใช่ของทิพย์
ทั่วทั้งจักรวาลที่หาสิ้นใสุดมิได้ล้วนแล้วก็เป็นอนัตตาทั้งสิ้น

อนัตตา เป็นธรรมที่ใครๆมีความเห็นแย้งไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2017, 08:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
คำว่า "อนัตตา" เป็นรวมรวบธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด ไม่เหลือ
ที่ในศาสนาพวกอื่นไม่มี "อนัตตา" เป็นธรรมที่กว้างขวางลึกซึ้ง
ไม่ว่าจะกล่าวหรือยกธรรมอันใดขึ้นมาแสดง ทั้งที่เป็นโลกียะ หรือโลกุตตรั
ที่เป็นสังขตะ และสังขตะ ทั้งเป็นของทิพย์ และมิใช่ของทิพย์
ทั่วทั้งจักรวาลที่หาสิ้นใสุดมิได้ล้วนแล้วก็เป็นอนัตตาทั้งสิ้น

อนัตตา เป็นธรรมที่ใครๆมีความเห็นแย้งไม่ได้

:b4:
คุณธรรมา ก็อดอวด เรื่อง "อนัตตา" ไม่ได้เช่นกันหรือนี้?

งั้นก็ต้องถือว่าเอาไอติมมาแบ่งกันกิน แล้วแจกกันไปให้ทั่วก็แล้วกันนะครับ


ขออนุโมทนาบุญด้วย
55555555

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2017, 06:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ คุณเช่นนั้นที่มาช่วยขยายความให้ครบไตรลักษณ์

พอดีผมได้รับมามีแต่เรื่องอนัตตา ตัวเดียวดังที่เห็นจึงก้อปมาแปะให้ลองพิจารณากันครับ

อนึ่ง ทั้งอนิจจัง ความไม่เที่ยง

ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้

ทั้งสองอย่างที่กล่าวนี้ล้วนแล้วแต่ไปรวมลงที่ อนัตตา ตัวเดียว
คือ บังคับบัญชาไม่ได้เพราะไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวกู ของกู


ดังนั้นจดจำแค่ อนัตตา พิสูจน์แค่ อนัตตา ตัวเดียวก็สามารถกระเทือนรู้ไปถึง อนิจจังและทุกขังด้วยทันทีครับ
:b38:


:b12: :b12: :b12:

อาการอย่างนี้..บ่งบอก...อะไรหลายๆอย่าง...นะ

อย่างแรกสุดเลย...ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ด้วยญาณ....แต่เห็นด้วยสัญญา..

ไตรลักษณ์..นี้...รวมอยู่ที่จุดเดียว..คือ..อนิจจัง

ทุกขัง..อนัตตา...เป็นผลจากการเห็นอนิจจัง...ช่ำปอดในอนิจจัง...ความรู้จะขยายไปยัง..ทุกขัง..อนัตตา..เอง...อุทยัพพยญาณเต็มขั้นแล้วสรุปรวมลงที่ภังคาญาณ...(ในลำดับญาณ..ไม่มีทุกขญาณ..น่าจะมีนะ..แต่ก็พอจะเหมารวมในอุทยัพพยญาณ..ก็แล้วกัน)..จิตมันเร็ว...เห็นอะไรอะไรก็เห็นเป็นของดับไปหมด...เป็นของไม่มีเจ้าของ..ควบคุมมันไม่ได้..ไม่ได้เป็นตัวตนอย่างที่เห็น..อย่างที่เคยเคยรู้สึก...

เลยบอกต่อๆกันว่า..อนัตตาคือบทสุปของไตรลักษณญาณ..ซึ่งก็ถูกต้องที่สุดแล้ว..

แต่...

พอเห็นอนัตตาเป็นบทสรุป...กิเลสก็จับอนัตตามาปฏิบัติ...จับอนัตตามาพิจารณา..นี้นะซี...

ผมถึงว่า..เห็นไตรลักษณ์ด้วยสัญญา..

ตรงกับชื่อกระทู้ได้เหมือนกัน..คือ..ก๊อปสัญญา..ก๊อปความยึดมั่น..ของตน..มาแปะ..
อ้างคำพูด:
ดังนั้นจดจำแค่ อนัตตา พิสูจน์แค่ อนัตตา ตัวเดียวก็สามารถกระเทือนรู้ไปถึง อนิจจังและทุกขังด้วยทันทีครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2017, 14:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
เมื่อตั้งใจ ไปเที่ยวทะเล ไปถึงและเห็นทะเลครั้งแรกในชีวิต
บางคนก็จะเห็นชัดว่าหาดทรายชายทะเลนี้
ช่างขาว สวยจริงๆ

บางคนก็เห็นท้องฟ้าเหนือทะเลแล้วชื่นชมว่า
ท้องฟ้าเหนือทะเลนี้ช่างงามยิ่งนัก หาใดปาน

บางคนก็เห็นเกลียวคลื่นและท้องน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล
สุดลูกหูลูกตา ทำให้ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

เห็นไม่เหมือนกันแล้วแต่ฐานจิตของแต่ละคนว่ามีเหตุปัจจัยทางด้านไหนมามาก

แต่ชื่อกิจกรรมบอกชัดว่า "ไปเที่ยวทะเล" ดังนั้นควรจะได้เห็น
อะไรเป็นสำคัญ ......

ก็ "เห็นและรู้จักทะเลเป็นสำคัญ"

ในการศึกษาปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เมื่อรู้ชัดว่าเหตุทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิดคือตัณหา อันเกิดขึ้นมาด้วยความเห็นผิดยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

ศัตรูคู่ปรับ คู่ที่จะเอาชนะอัตตาได้ คือ อนัตตา
ความเห็นถูกต้องว่า ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็น อนัตตา

ดังนั้นการชี้ชัดและเชื้อเชิญให้สนใจอนัตตา จึงเป็นงานที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ปรารถนาถอนเหตุทุกข์ให้ได้ทันในปัจจุบันชาติ

เห็นอนิจจังชัด ก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางอัตตาตัวตนเข้าถึง อนัตตา

เห็นทุกขังชัดก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางอัตตาตัวตนเข้าถึง อนัตตา

เห็นอนัตตาชัด ก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางอัตตาตัวตนเข้าถึง อนัตตา

ในที่สุดก็มาสิ้นสุดที่ อนัตตา

ดังพุทธดำรัสว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา"

ใครจะชวนใครทำลายอัตตาให้ได้ โดยทางใด ก็ตามถนัด ตามสบายของใครมัน ขอแต่อย่าให้มันกลายเป็น วิธีของมึง วิธีของกู ขึ้นมาก็แล้วกัน
555555
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สามัญญลักษณะ สามประการ มีความโยงใย กันเหมือน สามเหลี่ยมที่โยงถึงกัน
แต่
ต้องทำความเข้าใจให้เห็นลักษณะตามเป็นจริงให้เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ
ซึ่ง
ในสมัยนี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ

ความเห็นสิ่งต่างๆ ว่าเที่ยงยั่งยืน เปรียบง่ายๆ ใกล้ตัว เช่นเด็กน้อยพึ่งรู้เดียงสา จะเห็นว่าบิดามารดาตัวเองแข็งแรงตลอดเวลา ไม่แก่ ทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่ถดไม่ถอย เป็นต้น เด็กน้อยนั้นกล่าวคือไม่เห็นอนิจจะลักษณะอันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงของบิดามารดา
เปรียบเปรยไกลไปอีกหน่อย ก็เช่นพวกมีวาทะว่าสรรพสิ่งเที่ยงยั่งยืนดุจเสาระเนียด โลกเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง มนุษย์เกิดตายก็เป็นมนุษย์อยู่อย่างเดิม เป็นคนเดิมไม่ได้ไปเกิดเป็นสัตว์ หรือเทวดาใดๆได้ เป็นต้น
การเห็นอนิจจัง ก็จะละความเห็นผิดชนิดนี้ได้

ความเห็นเรื่องไม่มีบุญบาป ตายแล้วดับสูญ เกิดมาเมื่อตายแล้วก็ไม่มีภพมีชาติใดๆ ไม่มีกรรมวิบากใดๆ ตายแล้วสูญไปเลย
ความเห็นเช่นนี้ มีแต่การเห็นทุกขัง คือเห็นความเกิด ความดับ เกิดแล้วมีดับ ดับแล้วมีเกิด อันเป็นสามัญลักษณะของขันธ์ 5

อีกพวกหนึ่ง คือการเห็นอัตตาภายนอก อัตตาภายใน มีอัตตาใหญ่ดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไป
มีอัตตาภายในกระทำสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เป็นวาทะว่ามีอัตตา
อีกพวกหนึ่ง เห็นว่า อัตตาเราเป็นของอัตตาอีกอัตตาหนึ่งภายนอก หรือสิ่งต่างเป็นของอัตตาเรา มีอัตตาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สิ่งต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตามแต่อัตตาจะทำให้เป็นไป
อีกจำพวกหนึ่ง ก็มีความเห็นเกี่ยวกับอัตตาว่า ตัวเขากับอัตตาเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าตายไปถึงความพินาศไป อัตตาก็จะขาดสูญไปด้วย

ความเห็นถูกต้องเกี่ยวกับอนัตตา ก็จะเข้ามาละความเห็นผิดเกี่ยวกับอัตตา นั้นๆ ลงไปได้

ความเห็นตามสภาวะอันแท้จริงสามประการ จึงจำต้องเห็นแจ้ง เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจในความยึดถือ
ทั้งหลายทั้งปวง เกี่ยวกับ ทิฏฐุปาทาน สีลพตุปาทาน กามุปาทาน อัตตาวทุปาทาน

เมื่อเห็นเกิดความรู้ความเห็นตามเป็นจริง จิตจึงสามารถที่จะเข้าถึงความคลายกำหนัด เข้าถึงความหน่ายอันเป็นการละวางอุปาทานได้

ดังนั้น
การเห็นเฉพาะอนัตตาเพียงประการเดียว จึงไม่เพียงพอต่อการละวาง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2017, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
"พาหิยะ เมื่อเธอเห็น ก็จงสักแต่ว่าเห็น
เมื่อเธอได้ยิน ก็จงสักแต่ว่าได้ยิน
........................
.........................
แต่ไม่มี พาหิยะ ในการเห็นหรือการได้ยินนั้น"

smiley
นี่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมะที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอน
ท่านพาหิยะ

เป็นคำสอนเรื่องอนัตตา เรื่องเดียวตรงๆเลย

ท่านพาหิยะน้อมพิจารณาก็เห็นจริงว่าเมื่อไม่มีพาหิยะ คือไม่มีอัตตามาเกี่ยวข้องแล้ว ก็เหลือแต่ อนัตตา ทุกอย่างก็จบสิ้น

ทันใดนั้นจิตของท่านพาหิยะก็โพล่งรู้และบรรลุธรรมขึ้นไปตามลำดับชั้นจนถึงอรหัตผล ในที่นั้นเอง

นี่แค่ซึ้งถึงอนัตตาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร