วันเวลาปัจจุบัน 06 ต.ค. 2025, 03:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2017, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5385


 ข้อมูลส่วนตัว


พวกหนังสือ ซีดี ที่ญาติโยมเอาไปนี้ ขออย่าเอาไปบูชาไว้บนหิ้งนะ ขอให้ปฏิบัติบูชา คือเอาไปอ่าน เอาไปฟัง จะเป็นการบูชาอย่างถูกต้อง ถ้าจะเอาไปตั้งไว้บนหิ้งหรือไว้บนหัวนอนแล้วก็กราบตอนนอนก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะไม่ใช่เป็นเครื่องรางของขลัง
.
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ ความรู้ที่เราจะต้องน้อมเข้ามาในใจของเราด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง ถ้าเราอ่านเราฟังแล้วมันก็จะเข้ามาสู่ในใจของเรา พออยู่ในใจเราแล้วทีนี้จะมีหนังสือซีดีหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว เพราะเรามีความรู้อยู่ในใจของเรา เรามีพระพุทธศาสนาในใจของเราที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้ พระพุทธศาสนาภายนอกนี้ เขาทำลายได้ เขาระเบิดพระพุทธรูปได้ เขาทำลายโบสถ์ ทำลายเจดีย์ได้ แต่เขาไม่สามารถทำลายธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราเอาเข้าสู่ใจของเรา
.
ดังนั้น ขอให้เราเอาเข้าสู่ใจของเราให้ได้ แล้วต่อไปหนังสือจะขาดหรือแผ่นมันจะเสียก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่การจะให้มันเข้าได้อย่างถาวร ต้องเข้าด้วยการอ่านและการปฏิบัติ ทั้ง ๒ อย่าง อ่านอย่างเดียวนี้ยังไม่พอเพราะว่ามันลืมได้ อ่านไปสักพักหนึ่ง ถ้าเราไม่อ่านอีกเดี๋ยวก็ลืม แต่ถ้าเราอ่านแล้วเรานำเอาไปปฏิบัติจนเกิดผลขึ้นมา มันจะไม่ลืมไปจนวันตาย จะไม่ลืมไปกี่ภพกี่ชาติก็จะไม่ลืม
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






ถาม : ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่นเป็นอย่างไรครับ

พระอาจารย์ : อันนี้ต้องทำเอาเอง
เหมือนกับกินข้าวอิ่มเป็นยังไง
อธิบายไปก็ไม่เหมือนกับตัวเองสัมผัสเอง
อยากจะรู้กินข้าวอิ่มเป็นยังไง
ก็ลองกินดูสิ..เดี๋ยวก็อิ่มเอง
อยากจะรู้ว่าการตั้งมั่นของจิตเป็นยังไง
ก็..ฝึกสติไป นั่งสมาธิไป เดี๋ยวก็จะเจอเอง
...........................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 30/6/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






...ความอยากปฏิบัติธรรม
การอยากจะรักษาศีล
การอยากจะบวช
.
...อย่างนี้เป็น.."ความอยาก" ที่
จะนำสู่การ.."ออกจากกองไฟ"
.
...แต่การอยากมี อยากเป็น
อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
อยากไม่ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้
เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ
ความอยากอันนี้แหละ
.
...เป็นตัวที่จะดึงใจให้
"เข้าสู่กองไฟ กองทุกข์"
...........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 11/10/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







"ธรรมะดับทุกข์ "

เรื่องของ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" จิตใจของแต่ละคนนี้ ต้องตนเองเป็นผู้รักษา เป็นผู้ช่วย ช่วยอะไร ก็ช่วยเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ต่างๆ จิตใจของพวกเราทุกคนนี้มีความทุกข์อยู่เรื่อยๆ ร่างกายของพวกเรานี้เราดูแลกันได้ เรารู้จักดูแลกัน ทำให้ร่างกายเราไม่ค่อยทุกข์เท่าไร ร่างกายเราสุขสบาย แต่ใจของเรานี้แต่ละวัน รู้สึกว่าจะไม่สุขสบายเหมือนร่างกาย หรือไม่ต้องทุกข์กับเรื่องนั้นก็ต้องทุกข์กับเรื่องนี้ ไม่ทุกข์กับเรื่องนี้ก็ไปทุกข์กับเรื่องโน้น คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันมีเรื่องให้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้จักวิธีทำให้มันไม่ทุกข์นั่นเอง เรารู้แต่วิธีสร้างความทุกข์ แต่เราไม่รู้จักวิธีดับทุกข์กัน ถ้าไม่ได้พบกับธรรมะคำสอนของพุทธเจ้านี้ ไม่มีวันที่จะรู้วิธีดับความทุกข์ได้เลย ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหนก็ตาม ต่อให้เป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหนก็ตาม ความทุกข์ก็ยังจะมีเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิมเสียอีก ถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะไม่รู้จักวิธีดับความทุกข์ จะรู้แต่วิธีสร้างความทุกข์ โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังสร้างความทุกข์อยู่ เวลาเกิดความทุกข์ ก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้สร้างความทุกข์ให้ตนเอง นี่คือปัญหาของจิตใจของพวกเราทุกคน.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





"อารมณ์ที่เป็นกลาง"

ถาม : การนั่ง "อานาปานสติ" ต้องอยู่ในอารมณ์ของการดูลม อารมณ์นี้เหมือนกับอารมณ์รัก โกรธหรือเปล่าเจ้าคะ

พระอาจารย์ :ไม่หรอก อันนี้ดูเฉยๆ ดูโดยไม่มีอารมณ์ ดูเฉยๆ เพราะลมนี้มันไม่ทำให้เกิดรักเกิดชังขึ้นมา เราดูลมเท่าไหร่มันก็ไม่รักมันไม่ชัง ไม่เหมือนกับดูหน้าคนนั้นดูหน้าคนนี้ใช่ไหม ดูหน้าคนนี้ก็รักขึ้นมา ดูหน้าคนนี้ก็ชังขึ้นมา ถึงใช้เป็นอารมณ์กรรมฐานไม่ได้ อารมณ์ของสมถะไม่ได้ ต้องใช้อารมณ์ที่เป็นกลาง เช่น พุทโธ นี้ก็เป็นอารมณ์กลาง คิดถึงพุทโธไปเท่าไหร่ก็ไม่มีรักไม่มีชัง แต่ถ้าคิดถึงเงินนี้ เดี๋ยวรักขึ้นมาแล้ว ชักห่วงขึ้นมาแล้ว ดังนั้นอารมณ์ที่จะใช้เป็นสมถะนี้ ต้องเป็นอารมณ์ที่ไม่ทำให้เกิดรักเกิดชังขึ้นมา.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"ให้เราทำตัวเป็นเหมือนแผ่นดิน"

ถาม : หนูเป็นคนใจร้อนมาก หนูอยากจะฝึกตัวเองให้ใจเย็น ดูลมหายใจ แต่ใจก็ยังร้อนอยู่ เวลาใครทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ หนูก็จะมีอารมณ์ขึ้นเสียงหงุดหงิด หนูไม่อยากเป็นแบบนี้ค่ะ หนูควรฝึกตัวเองอย่างไรดีคะ

พระอาจารย์ : ก็นอกจากการฝึกสติแล้ว ก็ให้ลดความอยากลง อย่าไปอยากอย่าไปจู้จี้จุกจิก หัดยินดีตามมีตามเกิด มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนฝนฟ้าอากาศดินน้ำลมไฟ ฝนตกแดดออกนี้เราไปห้ามเขาไม่ได้ เขาจะตกก็ปล่อยเขาตกแดดจะออกก็ปล่อยเขาออกไป ใครจะทำอะไรไม่ถูกใจ เราก็ปล่อยเขาทำไป เราต้องมองเขาว่าเราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ หรือถ้าจะมองอีกแง่หนึ่งก็ลองมองว่าเราเป็นเหมือนคนรับใช้ของทุกๆ คนก็แล้วกัน ทุกๆ คนที่เราพบปะเจอกันนี้ให้มองเขาว่าเป็นเหมือน เจ้านายเรา เราเป็นเพียงแต่คนรับใช้ มีแต่คอยรอรับคำสั่ง แล้วเราก็จะสบายใจ เพราะว่าเราไม่ต้องไปคอยสั่งเขาให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เราเป็นลูกจ้างเป็นแจ๋ว เป็นคนรับใช้ พระพุทธเจ้าบอกให้เราทำตัวเป็นปฐพี เป็นแผ่นดินที่พร้อมจะให้ใครเหยียบก็ได้ใครอยากจะถ่ายอุจจาระใส่แผ่นดินก็ได้ ใครอยากจะขุดดินก็ได้ ใครอยากจะทำอะไรกับดินดินไม่เดือดร้อน ดินยินดีให้ทำ เราต้องปรับทัศนะตัวเราใหม่ อย่าไปถือว่าเราเก่งเราฉลาดเราดีเรารู้มากเราสูง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันก็จะทำให้เราเกิดความอยากที่จะไปควบคุมบังคับคนหรือสิ่งต่างๆ ให้อยู่ภายใต้อำนาจของเรา พอเราไม่สามารถทำได้ เราก็จะหงุดหงิดรำคาญใจ จะทุกข์ใจขึ้นมา ฉะนั้นให้รู้ละอัตตาตัวตน พูดง่ายๆ อย่าถือว่าตนเองใหญ่ อย่าถือว่าตนสำคัญ ขอให้ถือว่าตนเป็นเหมือนคนรับใช้ เป็นเหมือนแผ่นดิน เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว.

ธรรมะบนเขา

วันที่ 2 กรกฎาคม 2560

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







สังเกตดูต้นไม้ใบหญ้า ส่วนไหนไม่เป็นประโยชน์ มันก็หลุดร่วงออกไป ออกไป เรา อันไหนไม่เป็นประโยชน์ยิ่งเก็บไว้ เก็บไว้ ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ โดยเฉพาะอารมณ์ ถ้าเราปล่อยวาง ปล่อยวางก็เบาไปเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ

สังเกตดูต้นไม้ใบหญ้า ใบมันร่วงหล่น ทำให้ต้นมันสูงใหญ่ขึ้น สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ มันก็ผลัดออก ผลัดออก ก็เห็นกันอยู่ รู้กันอยู่ ตลอดดอก ตลอดผลมากมายขนาดนั้นหล่ะ กว่าจะเป็นหมากเป็นผลได้ แต่รสชาติจริงๆเหลือนิดเดียว

เหมือนเราทำงานตรากตรำทั้งวันทั้งคืน ขวนขวายอยู่อย่างนั้น แต่ก็รับประทานเพียงสามมื้อเท่านั้น สังเกตดูอารมณ์ก็เหมือนกัน สามารถทำให้เราเป็นสุข เป็นทุกข์ได้ ตื่นนอนขึ้นมา ก็ปรุงแต่งแต่เรื่องโลกเท่านั้น เรื่องของอรรถของธรรมไม่เคยปรุงแต่ง

ถ้าเราสะสมความไม่ดี โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็จะกลายเป็นนิสัย สิ่งไหนไม่ดีก็ให้ตัดออกโดยอัตโนมัติ ให้สังเกตุดูใจของเรานี่แหละ ท่านจึงว่า เข้าวัดฟังธรรม จะฟังเวลาไหน ดูเวลาไหน ถ้าไม่ดูไม่ฟังเวลานี้ เวลาหมดชีวิตไปจะไม่มีทางที่จะดูจะฟังได้ แม้เกาะอยู่กับวัดกับวา ก็ไม่มีทางเป็นบุญ เป็นกุศลได้ มีแต่เป็นเปรตเป็นผีเฝ้าอยู่วัด

พระอาจารย์จันมี อนาลโย






"ความโง่เขลาของเรา"

อย่าไปกังวลอย่าไปห่วงกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ เพราะอย่างไรก็ต้องตายจากกันไปในที่สุด ห่วงก็ตาย ไม่ห่วงก็ตาย ห่วงแล้วก็จะเสียเวลา ไม่มีเวลามาภาวนา ถ้าไม่ห่วงก็จะได้มีเวลามาภาวนามาปฏิบัติ มาแยกธาตุแยกขันธ์ มากำจัดต้นเหตุที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นขุ่นมัววุ่นวาย ทุกข์อยู่ตลอดเวลา ก็คือความโลภ ความโกรธความหลง ความอยากทั้งสาม คือ กามตัณหา ความอยากใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น วิภวตัณหา ความอยากไม่มี อยากไม่เป็น พอไม่มีความอยากเหล่านี้อยู่ในใจแล้ว ใจก็จะเป็นอุเบกขาไปตลอด เพราะจะเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อก่อนอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เห็นแล้วว่า อยากแล้วมันทุกข์อยากไปทำไม เขาจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปห้ามเขาได้ที่ไหน เขาอยากจะเป็นอะไรก็ปล่อยเขาเป็นไปก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรเลยปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ ความอยากของเราเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามเรื่องของเขา เขาเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา เราจะไปเปลี่ยนเขาได้อย่างไร เขาทำบุญมาเขาก็จะเป็นคนดี เขาทำบาปมาเขาก็จะต้องเป็นคนไม่ดี เราจะไปอยากให้เขาไม่ดี หรืออยากให้เขาดีได้อย่างไร เขาดีเขาก็ต้องดีของเขา เขาไม่ดีเขาก็ต้องไม่ดีของเขา แต่เรามันมักจะหลงพออะไรเป็นของเรา ก็อยากจะให้ดีไปหมด ไม่คิดว่าทำได้หรือเปล่า บางคนทำบาปมาแล้วก็มาหลงมาติดในท้องเรา อย่างนี้ ออกมาก็เป็นลูกเรา พอมันเป็นลูกเรา เราก็อยากจะให้มันเป็นคนดี แต่มันเป็นมหาโจรมาเกิดอย่างนี้แล้วมันจะดีได้อย่างไร ชาติก่อนมันเป็นมหาโจร จะมาสอนมันให้มันเป็นคนดีมันไม่เป็นหรอก นอกจากว่ามันเป็นคนฉลาด มันเห็นโทษของการเป็นมหาโจร
อย่างองคุลีมาลนี่ฉลาด พอถูกพระพุทธเจ้าทักเท่านั้นเองก็เข้าใจก็กลับตัวได้ เราก็มีหน้าที่เตือนเขาเท่านั้น ว่าคุณกำลังทำไม่ดีนะ แต่ถ้าเขาไม่กลับตัวเราก็ไปบังคับเขาไม่ได้ รักกันขนาดไหนแต่ถึงเวลาทำกิจกรรมแล้ว ตัวใครตัวมัน ใครชอบทำอะไรก็ยังไปอย่างนั้น คนชอบบวชชีก็จะไปบวชชี คนชอบไปมีสามีก็ต้องไปหาสามี จะรักกันขนาดไหนกลืนกินกันขนาดไหน แต่พอถึงเรื่องการกระทำแล้ว มันบังคับกันไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราอย่าไปวุ่นวายกับเรื่องราวของคนอื่นมากจนเกินไป ดูแลในขอบเขตของเหตุผล ทำได้เท่าไหร่ก็ทำไปมีหน้าที่สอนก็สอนไป มีหน้าที่เลี้ยงดูเขาก็เลี้ยงดูเขาไป พอเขาโตแล้วเขาพึ่งตัวเขาเองได้แล้วก็จบ เรามาดูแลตัวเราเองดีกว่า ตัวเราที่ยังวุ่นวายยังทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี้ ให้มันหายวุ่นวายกันเสียทีไม่ดีกว่าหรือ ไปมัวแต่แก้ปัญหาของคนอื่นจนลืมแก้ปัญหาของตัวเองไป นี่แหละคือความโง่เขลาของพวกเรา อย่าไปคิดว่านี่เป็นการทำบุญน่ะ เป็นการทำลายตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ
"ผู้ไกลจากทุกข์"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"แท้จริง ความนึกคิด ไม่ใช่ทุกข์
แต่การไปยึดความนึกคิด มาเป็นของตน
จึงเป็นทุกข์

ผู้ใดทำใจ ให้นึกถึงความเป็นกลางได้
ผู้นั้น จึงจะพ้นทุกข์"

-:-หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี-:-






"ปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เราได้เห็นจริง ได้สัมผัสจริง

เพราะฉะนั้น ความดี ต้องทำในปัจจุบัน
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี
ต้องทำเสียในปัจจุบัน ที่เรายังมีชีวิตอยู่

เราต้องการความดี
ก็ต้องทำให้เป็นความดี ในปัจจุบันนี้
ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ
ก็ต้องทำให้เป็นไป ในปัจจุบันนี้"

-:-หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ-:-






"ไม่ต้องไปรอท่าว่า เมื่อถึงวันตาย
ข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธ เอาให้ได้
อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน
เตรียมตัว เตรียมใจไว้ก่อน
ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้เป็นต้นไป"

-:-หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร-:-





ผู้ภาวนาได้คุณธรรมอันเป็นพลัง

ผู้ภาวนาได้พลัง ได้คุณธรรมอันเป็นพลัง พลังก็คือ พละ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นแล้ว จะรวมพร้อมลงเป็นหนึ่งเรียกว่า เอกายโนมัคโค
.
ในเมื่อจิตเป็นเอกายโนมัคโค ศีล สมาธิ ปัญญา รวมลงเป็นหนึ่ง เป็นเอกายโนมัคโค ย่อมเป็นใหญ่ ในการที่จะสอดส่องธรรม
.
จิตก็เป็นปกติ สติก็เป็นปกติ สมาธิก็เป็นสติรู้พร้อมอยู่ที่จิตอย่างเดียว แล้วสามารถที่จะวิจัยธรรมเองโดยอัตโนมัติ
.
โยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยแยบคาย เจตนาสัญญา อะไรหายขาดไปหมด
ยังเหลือแต่ความเป็นเอง ของจิตโดยอัตโนมัติ
.
เมื่อจิตถึงซึ่งความเป็นเองโดยอัตโนมัติ อะไรจะเกิดขึ้นดับไปภายในจิต
จิตกำหนดรู้ๆๆ แล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ได้ยึดเอาอะไรไว้สร้างปัญหาให้ยุ่ง
.
มีแต่ความปลอดโปร่ง มีแต่ความเบิกบาน มีแต่ความแช่มชื่น มีแต่ความดูดดื่มในคุณธรรม มีปีติ ความสุข
.
พร้อมๆกันนั้น พุทธะผู้รู้ พุทธะผู้ตื่น พุทธะผู้เบิกบานจิตเบ่งบานพร้อม ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่มีเศร้าไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ความเป็นธรรมโดยเที่ยงตรง
.
นั่นคือ คุณธรรมบังเกิดขึ้นในจิต

โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron