วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 21:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๘. โดยเครื่องประกอบเสริม: อย่างที่ได้กล่าวแล้ว นอกจากตัวปริตรเองแล้ว มีบทสวดเสริมประกอบที่แต่งหรือจัดเติมเพิ่มขึ้นมาตามกาลเวลาอีกมาก ใช้สวดนำก่อนก็มี สวดแทรกก็มี สวดต่อท้ายก็มี เช่น

ก่อนเริ่มสวด ก็มีการชุมนุมเทวดา คือกล่าวคำเชิญชวนเทวดามาฟัง เรียกว่ามาฟังธรรม หรือมาฟังพุทธวจนะ และเมื่อเริ่มสวด ก่อนจะถึงตัวพระปริตร ก็สวดต้นตำนาน ซึ่งมีประมาณ ๔ บท แล้วจะสวดตัวตำนาน คือ พระปริตรไปตามลำดับ

ครั้นจบปริตรทั้งหมดแล้ว สวดท้ายตำนาน ทำนองบทแถมอีกจำนวนหนึ่ง (อาจจะถึง ๑๐ บท) เสร็จแล้วจึงเป็นอันจบการสวด


ยิ่งกว่านั้น ถ้ามีเวลา ที่จะสวดอย่างเต็มพิธีจริงๆ นอกจากชุมนุมเทวดา (เรียกว่าขัดนำ) ตอนจะเริ่มสวดแล้ว ในช่วงที่สวดตัวตำนาน ก็มีการขัดตำนานแทรกคั่นไปตลอดด้วย คือ ระหว่างที่สวดปริตรหนึ่งจบแล้ว ก่อนจะสวดปริตรลำดับต่อไป ก็หยุดให้หัวหน้า

(บัดนี้นิยมให้รูปที่ ๓ ผู้ขัดนำ คือ รูปที่ชุมนุมเทวดา) ขัดตำนาน คือสวดบทแนะนำให้รู้จักปริตรบทที่จะสวดต่อไปนั้น (บทขัดของปริตรใด ก็เรียกตามชื่อของปริตรนั้น เช่น บทขัดมงคลสูตร บทขัดรตนปริตร ฯลฯ ซึ่งบอกให้รู้ว่า ปริตรนั้นเกิดขึ้นมาอย่างไร มีคุณหรืออานิสงส์ในการสวดอย่างไร และเชิญชวนให้สวด)

ขัดคั่นอย่างนี้ไปจนจบปริตรทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ แม้แต่ในพิธีใหญ่ๆ ก็น้อยนักที่จะมีการขัดตำนานในการสวดเจ็ดตำนานหรือสิบสองตำนาน เพราะจะทำให้การสวดยาวมาก แต่ที่ยังนิยมปฏิบัติกันอยู่ ก็คือ ในกรณีที่มีการสวดบทพิเศษเพิ่มเข้ามา เช่น สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในงานทำบุญอายุครั้งสำคัญ เมื่อขัดนำตำนาน คือชุมนุมเทวดาแล้ว ก็ต่อด้วยบทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรติดไปเลย จากนั้น สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และเจ็ดตำนานย่อไปจนจบ โดยไม่มีการขัดตำนานใดๆอีก

ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องของแบบแผนในพิธีที่เพิ่มขบวนขึ้นมาเป็นเรื่องของประเพณีและเนื่องด้วยสังคม แต่ผู้ปฏิบัติในทางส่วนตัว เมื่อมุ่งสาระ พึงกำหนดชัดอยู่ที่ตัวปริตร

นอกจากแบบแผนพิธีในการสวดแล้ว เครื่องประกอบสำคัญที่รู้กันดีก็คือน้ำมนต์ และสายสิญจน์ ซึ่งมีมาแต่โบราณ
แต่ในคัมภีร์ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า ปริตโตทก (น้ำปริตร) และปริตตสูตร (สายหรือด้ายปริตร) ตามลำดับ

รวมแล้ว ในเรื่องปริตรนี้ ข้อสำคัญอยู่ต้องมีจิตใจเป็นกุศล นอกจากมีเมตตานำหน้าและมั่นในสัจจะบนฐานแห่งธรรมแล้ว

ก็พึงรู้เข้าใจสาระขอปริตรนั้นๆ โดยมีกัมมัสสกตาปัญญาอันมองเห็นความมีกรรม (การกระทำ) เป็นของตน ซึ่งผลที่ประสงค์จะสำเร็จด้วยความพากเพียรในการกระทำของตน

เมื่อมีจิตใจโล่งเบาสดชื่นผ่องใสด้วยมั่นใจในคุณพระปริตร ที่คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้แล้ว ก็จะได้มีสติมั่น มีสมาธิแน่วมุ่งหน้าทำการนั้นๆ ให้ก้าวต่อไปด้วยความเข้มแข็งมีกำลังหนักแน่นและแจ่มใสชัดเจนจนถึงความ สำเร็จ

สำหรับพระภิกษุ ต้องตั้งใจปฏิบัติในเรื่องปริตรนี้ต่อคฤหัสถ์ด้วยจิตเมตตากรุณา พร้อมไปกับความสังวรระวัง มิให้ผิดพลาดจากพระวินัย ในแง่ดิรัจฉานวิชา และเวชกรรม เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ็ดตำนาน

๑. มงคลสูตร

๒ รตนปริตร (มักเรียก รตนสูตร)

๓. เมตตปริตร (มักเรียก กรณียเมตตสูตร)

๔/ - ขันธปริตร

๕/ - โมรปริตร

๖/- ธชัคคปริตร (มักเรียก ธชัคคสูตร)

๗/- อาฎานาฎิยปริตร

-/๗. โพชฌังคปริตร มีอังคุลิมาลปริตรนำ

(ลำดับสุดท้ายนี้ อาจเข้าแทนลำดับใดหนึ่งใน ๔-๗)


สิบสองตำนาน

๑. มงคลสูตร

๒. รตนปริตร (มักเรียก รตนสูตร)

๓. เมตตปริตร (มักเรียก กรณียเมตตสูตร)

๔. ขันธปริตร มีฉัททันตปริตร ตาม

๕. โมรปริตร

๖. วัฏฏกปริตร

๗. ธชัคคปริตร (มักเรียก ธชัคคสูตร)

๘. อาฎานาฎิยปริตร

๙. อังคุลิมาลปริตร

๑๐. โพชฌังคปริตร

๑๑. อภยปริตร (มีขึ้นในยุคหลัง)

๑๒. ชยปริตร (มีขึ้นในยุคหลัง)

(พึงทราบว่า องคุลิมาลปริตฺต และโพชฺฌงฺคปริตฺต นั้น เรียกเป็นภาษาไทยว่า อังคุลิมาลปริตร หรือองคุลิมาลปริตร และโพชฌังคปริตร หรือ โพชฌงคปริตร ก็ได้ ยังไม่มีกำหนดเป็นยุติ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน โมรปริตร

โมรปริตร คือ โมรปริตรของนกยูงทอง เป็นพระปริตรที่กล่าวคุณของพระพุทธเจ้าแล้วน้อมพระพุทธคุณมาพิทักษ์คุ้มครอง ให้มีความสวัสดี

มีประวัติว่าสมัยหนึ่ง ครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกยูงทอง อาศัยอยู่บนเขาทัณฑกหิรัญบรรพตในป่าหิมพานต์

พระโพธิสัตว์จะเพ่งดูพระอาทิตย์ในเวลาพระอาทิตย์อุทัย แล้วร่ายมนต์สาธยายกล่าวนมัสการพระอาทิตย์สองคาถาแรกว่า “อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา” เป็นต้น แล้วจึงออกแสวงหาอาหาร

ครั้นกลับจากการแสวงหาอาหาร ในเวลาพระอาทิตย์อัสดง ก็เพ่งดูพระอาทิตย์ พร้อมกับร่ายมนต์สาธยายสองคาถาหลังว่า

อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา” เป็นต้น ด้วยอานุภาพพระปริตร ที่กล่าวนมัสการอยู่ทุกเช้า เย็น เช่นนี้ นกยูงทองจึงอยู่เป็นสุข และปลอดภัยแคล้วคลาดจากอันตรายทุกอย่างด้วยมนต์บทนี้

วันหนึ่ง พรานป่าจากหมู่บ้านใกล้เมืองพาราณสี ได้พบนกยูงทองโดยบังเอิญ จึงบอกความนั้นแก่บุตรของตน

ขณะนั้น พระนางเขมาเทวี มเหสีพระเจ้าพาราณสี ทรงพระสุบินว่า พระนางเห็นนกยูงทอง แสดงธรรมอยู่ จึงกราบทูลพระสวามีว่า ทรงประสงค์จะฟังธรรมของนกยูงทอง

ท้าวเธอจึงรับสั่งให้พรานป่าสืบหา พรานป่าที่เคยได้ยินคำบอกเล่าของบิดา ได้มากราบทูลว่า นกยูงทองมีอยู่จริง ที่เขาทัณฑกหิรัญบรรพต

ท้าวเธอจึงทรงมอบหมายให้เขาจับนกยูงทองมาถวาย พรานป่าคนนั้น ได้เดินทางไปป่าหิมพานต์ แล้ววางบ่วงดักนกยูงทองไว้ทุกแห่งในที่แสวงหาอาหาร

เวลาผ่านไปถึง ๗ ปี เขาก็ยังจับไม่ได้ เพราะนกยูงทองแคล้วคลาดบ้าง ป่วงไม่แล่นบ้าง จนในที่สุดต้องเสียชีวิตอยู่ในป่านั้น

ฝ่ายพระนางเขมาเทวี ก็ทรงประชวรสิ้นพระชนม์ เพราะเสียพระทัยไม่สมประสงค์

พระเจ้าพาราณสีจึงพิโรธ ได้รับสั่งให้จารึกอักษรลงในแผ่นทองว่า ผู้กินเนื้อนกยูงทองที่เขาทัณฑกหิรัญบรรพตจะไม่แก่ไม่ตาย

หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ก็สิ้นพระชนม์

พระราชาองค์อื่นที่ครองราชย์สืบต่อมา ได้พบข้อความนั้น จึงส่งพรานป่าไปจับนกยูงทอง แต่ก็ไม่มีใครสามารถจับได้

กาลเวลาได้ล่วงเลยไปจนเปลี่ยนพระราชาถึง ๖ พระองค์

ครั้นถึงสมัย พระราชาองค์ที่ ๗ พระองค์ก็รับสั่งให้พรานป่าไปจับนกยูงทองนั้นอีก

พรานป่าคนนี้ฉลาดหลักแหลม สังเกตการณ์อยู่หลายวัน ก็รู้ว่า นกยูงทอง ไม่ติดบ่วง เพราะมีมนต์ขลัง คือ ก่อนออกไปหาอาหาร จะทำพิธีร่ายมนต์ จึงไม่มีใครสามารถจับได้

เขาคิดว่า จะต้องจับนกยูงทองก่อนที่จะร่ายมนต์ จึงได้นำนางนกยูงตัวหนึ่งมาเลี้ยงให้เชื่อง ฝึกหัดให้ฟ้อนรำขับร้องชำนาญดี แล้วก็นำไปปล่อยไว้ที่เชิงเขา โดนดักบ่วงอยู่ใกล้ๆ จากนั้นได้ทำสัญญาณให้นางนกยู่รำแพนส่งเสียง

พระโพธิสัตว์ เมื่อได้ยินเสียงนางนกยูง ก็มีใจเร่าร้อนด้วยกิเลส จึงลืมสาธยายมนต์คุ้มครองตน เผลอตัวบินไปหานางนกยูงโดยเร็ว เป็นเหตุให้ติดบ่วงที่ดักไว้

ครั้นแล้ว พรานป่าก็นำพระโพธิสัตว์ไปถวายพระเจ้าพาราณสี

เมื่อพระโพธิสัตว์เข้าเฝ้าพระเจ้าพาราณสีแล้ว ได้ทูลถามว่า

“เพราะเหตุไร พระองค์จึงจับหม่อมฉันมา”

ท้าวเธอตรัสว่า “เพราะมีจารึกว่าผู้กินเนื้อนกยูงทองจะไม่แก่ ไม่ตาย”

พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ผู้กินเนื้อหม่อมฉันจะไม่ตาย” แต่หม่อมฉันจะต้องตายมิใช่หรือ”

“ถูกแล้วเจ้าต้องตาย”

“เมื่อหม่อมฉันจะต้องตายแล้ว ผู้กินเนื้อหม่อมฉันจะไม่ตายได้อย่างไร”

ท้าวเธอตรัสว่า “เพราะเจ้ามีขนสีทอง จึงทำให้ผู้กินเนื้อเจ้าไม่ตาย”

พระโพธิสัตว์ทูลว่า “หม่อมฉันมีขนสีทอง ก็เพราะภพก่อน เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในพระนครพาราณสีนี้ได้รักษาเบญจศีลเป็นนิตย์ และชักชวนให้ราษฎรรักษาด้วย”

ท้าวเธอตรัสว่า “ที่ท่านพูดว่า เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิใครเป็นพยาน “ พระโพธิสัตว์จึงได้ทูลเรื่องที่พระองค์เคยฝังราชรถที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ที่สระมงคลโบกขรณี พระเจ้าพาราณสี จึงรับสั่งให้ไขน้ำออกจากสระ แล้วกู้ราชรถนั้นขึ้นมา

ครั้นพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงเชื่อคำพระโพธิสัตว์

หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์ จึงแสดงธรรมถวายแก่พระราชาว่า “ดูก่อนมหาราช นอกจากอมตะมหานิพพานแล้ว สิ่งทั้งหลายนอกนั้น ล้วนเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งขึ้นเป็นของไม่ยั่งยืนถาวร เพราะมีขึ้นแล้วก็มีไม่ เป็นของสิ้นไป เสื่อมไปโดยธรรมชาติ”

พระเจ้าพาราณสี ทรงทำสักการะพระโพธิสัตว์ ด้วยความเลื่อมใส ทรงยกราชสมบัติมอบให้แก่พระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวเชิญชวนให้อยู่ในพระราชวังด้วยกัน

พระพระโพธิสัตว์ ถวายคืนราชสมบัตินั้น และพักอยู่สองสามราตรี เมื่อจะกลับสู่ป่าหิมพานต์ พระโพธิสัตว์ได้ถวายโอวาทกำชับพระราชาให้ดำรงอยู่ในความไม่ประมาท (ชา.อฏ.2/35)

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ก.พ. 2017, 19:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน ขันธปริตร

ขันธปริตร หรืออหิราชสูตร คือ พระปริตรที่กล่าวถึง การเจริญเมตตาแก่พญางูทั้ง ๔ ตระกูล และเจริญเมตตาแก่สรรพสัตว์ มีประวัติว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี มีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด เหล่าภิกษุได้กราบทูลความนี้แด่พระพุทธองค์

พระพุทธองค์ ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย งูไม่น่าจะขบกัดภิกษุเลย เพราะโดยปกติ ภิกษุย่อมอยู่ด้วยเมตตา ชะรอยภิกษุนั้นไม่ได้แผ่เมตตาก่อนเป็นปุเรจาริก จึงถูกงูขบกัดถึงมรณะได้ หากภิกษุแผ่เมตตาจิตในพญางูทั้ง ๔ ตระกูลแล้ว จะไม่ถูกงูกัด”

แล้วตรัสสอนให้แผ่เมตตาให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูล คือ งูตระกูลวิรูปักษ์ งูตระกูลเอราบถ งูตระกูลฉัพยาบุตร และงูตระกูลกัณหาโคดม
(องฺ.จตุกฺก. 21/6783...)

ในอรรถกถาชาดก (ชา. อฏ.3/144) มีประวัติ ดังนี้ เมื่อภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“เราตถาคต เคยสอนขันธปริตร ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่” กล่าวคือ เมื่อพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นฤๅษีที่ป่าหิมพานต์ ได้พำนักอยู่ร่วมกับฤๅษีเป็นอันมาก ขณะนั้น มีฤๅษีตนหนึ่งถูกงูกัดเสียชีวิต จึงได้สอนขันธปริตรแก่พวกฤๅษีเพื่อป้องกันภัยจากอสรพิษ

..........

ปุเรจาริก “อันดำเนินไปก่อน” เป็นเครื่องนำหน้า, เป็นตัวนำ, เป็นเครื่องชักพาให้มุ่งให้แล่นไป เช่น ในคำว่า “ทำเมตตาให้เป็นปุเรจาริก แล้วสวดพระปริตร” “ความเพียรอันมีศรัทธาเป็นปุเรจาริก”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 ม.ค. 2017, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลงต่อสิ กำลังสนุก

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2017, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน วัฏฏกปริตร

วัฏฏกปริตร คือ ปริตรของนกคุ่ม เป็นพระปริตรที่กล่าวถึงสัจวาจาของพระพุทธเจ้า ที่เคยกระทำเมื่อเสวยพระชาติเป็นนกคุ่ม แล้วอ้างสัจวาจานั้นมาพิทักษ์คุ้มครอง ให้พ้นจากอัคคีภัย

มีประวัติปรากฏ ๒ แห่ง .... พระปริตรที่นิยมสวดเฉพาะสี่คาถาหลังโดยเว้นเจ็ดคาถาแรก เนื่องจากสี่คาคาเหล่านั้นแสดงสัจวาจาของพระโพธิสัตว์

ในคัมภีร์จริยาปิฎกแสดงว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระปริตรนี้แก่พระสารีบุตรเพื่อแสดงบารมีที่พระองค์เคยสั่งสมในภพต่างๆ

ส่วนในคัมภีร์อรรถกถาชาดก (ชา.อฏ.1/291) มีประวัติว่า สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าร่วมกับภิกษุสงฆ์เสด็จจาริกอยู่ในแคว้นมคธ ทรงพบไฟป่าโดยบังเอิญ เมื่อไฟป่าลุกลามล้อมมาถึงสถานที่ ๑๖ กรีสะ นับเป็นพื้นที่หว่านเมล็ดพืชได้ ๗๐๔ ทะนาน ไฟป่านั้น ได้ดับลงทันที เหมือนถูกน้ำดับไป

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไฟป่านี้มิใช่ดับลงด้วยอานุภาพของตถาคตในภพนี้ แต่ดับลงด้วยอานุภาพของสัจวาจาที่ตถาคตเคยกระทำในชาติที่เกิดเป็นนกคุ่ม สถานที่นี้ จะเป็นสถานที่ ที่ไม่มีไฟไหม้ตลอดกัป แล้วตรัสพระปริตรแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น

(มนต์บทนี้ ถือว่าป้องกันไฟได้ นิยมกันมาก เรียกว่า คาถานกคุ่ม)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2017, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน ชัยปริตร


ชัยปริตร คือ ชัยปริตรที่กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า ทรงกำจัดมารและเสนามารด้วยขันติบารมี พระเมตตาบารมี และอธิษฐานบารมี

ทรงบำเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย แล้วอ้างสัจจวาจานั้นมาพิทักษ์คุ้มครองให้มีความสวัสดี

คาถา ๑-๓ แสดงชัยชนะของพระพุทธเจ้า เป็นคาถาที่โบราณาจารย์ประพันธ์ขึ้นภายหลัง

ส่วนคาถา ๔-๕-๖ เป็นพุทธพจน์ที่นำมาจากอังคุตตรนิกาย ปุพพัณหสูตร (องฺ.ติก. ๒๐/๑๕๖/๒๘๗) บทสวดมนต์บางฉบับมีคาถาเพิ่มว่า โส อัตถะลัทโธ สุขิโต ...สา อัตถะ ลัทธา สุขิตา ....

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2017, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน โพชฌังคปริตร

โพชฌังคปริตร คือ ปริตรที่กล่าวถึงโพชฌงค์ ซึ่งเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ แล้วอ้างสัจวาจานั้นมาพิทักษ์คุ้มครองให้มีความสวัสดี

เรื่องนี้ มีปรากฏในพรรษาที่ ๑๖ ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ พระมหากัสสปเถระ ได้อาพาธหนักที่ถ้ำปิปผลิคูหา

พระพุทธเจ้าได้เสด็จเยี่ยมและแสดง โพชฌงค์ ๗ เมื่อพระเถระสดับ โพชฌงค์เหล่านี้แล้ว ได้เกิดความปีติว่า โพชฌงค์ ๗ เคยปรากฏแก่เราในขณะรู้แจ้งสัจธรรม หลังออกบวชแล้ว ๗ วัน คำสอนของพระพุทธองค์เป็นทางพ้นทุกข์โดยแท้ ครั้นดำริเช่นนี้ พระเถระได้เกิดปีติอิ่มเอิบใจ ทำให้เลือดในกายและรูปธรรมอิ่มผ่องใส โรคของพระเถระจึงอันตรธานไปเหมือนหยาดน้ำกลิ้งลงจากใบบัว

นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังตรัสโพชฌงค์ ๗ แก่พระมหาโมคคัลานเถระ ผู้อาพาธที่ภูเขาคิชฌกูฎอีกด้วย

ครั้นพระเถระสดับโพชฌงค์นี้แล้ว ก็หายจากอาพาธนั้นทันที

อนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันนั้น ทรงประประชวรหนัก จึงรับสั่งให้พระจุนทเถระสาธยายโพชฌงค์ ๗ ครั้นสดับแล้ว พระองค์ทรงหายจากประชวรนั้น

โพชฌังคปริตรที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็นร้อยแก้ว ที่ปรากฏในมหาวรรคสังยุตปฐมคิลานสูตร ทุติยคิลานสูตร และตติยคิลานสูตร (สํ.มหา. ๑๙/๑๙๕/๗/๗๑-๔)

ส่วนโพชฌังคปริตรปัจจุบันเป็นร้อยกรอง พระเถระชาวลังกาจรนาขึ้น โดยนำข้อความจากพระสูตรมาประพันธ์เป็นร้อยกรอง

โพชฌงค์ ๗ มีดังต่อไปนี้ คือ

๑. สติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ สติ

๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ การเลือกเฟ้นธรรม

๓. วิริยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ ความเพียร

๔. ปิติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ ความอิ่มใจ

๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ ความสงบใจ

๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ ความมีใจตั้งมั่น

๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจ้ง คือ ความมีใจวางเฉย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2017, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน อังคุลิมาลปริตร

อังคุลิมาลปริตร คือ ปริตรของพระอังคุลิมาล มีประวัติว่า เมื่ออังคุลิมาลยังไม่ได้บวช มีชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรปุโรหิตในสำนักพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีความประพฤติเรียบร้อย แต่ถูกริษยาจากศิษย์อาจารย์ทิศาปาโมกข์ รวมทั้งอาจารย์เกิดความหวาดระแวง จึงออกอุบายทำลายอหิงสกะ จนต้องกลายเป็นโจรองคุลิมาล

พระพุทธองค์ ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยอรหัตผลขององคุลิมาล ทราบด้วยพระพุทธญาณว่า

“ผู้นี้เป็นฉิมภวิกสัตว์ หากเราไปโปรด ความสวัสดีจะบังเกิดแก่องคุลิมาล เขาจักยืนฟังคำสังสอนของเราในป่านั้นแล้วจักกลับใจรู้สึกตัวขอบวช และเมื่อบวชไปไม่นานก็จะแจ้งซึ่งอภิญญา ๖ แทงตลอดบรรลุถึงพระอรหันต์ได้ในภายหน้า แต่ถ้าเราไม่ไปองคุลิมาลจักประทุษร้ายทำอนันตริยกรรมต่อมารดา เราพึงต้องทำการสงเคราะห์องคุลิมาล”
พระองค์จึงเสด็จไปโปรดองคุลิมาลในวันนั้นเอง

มีประวัติว่า ในพรรษาที่ ๑๙ ของพระพุทธองค์ วันหนึ่งเมื่อ เมื่อพระองคุลิมาลออกบิณฑบาตอยู่ ท่านได้พบหญิงมีครรภ์กำลังรอถวายอาหารบิณฑบาต เมื่อนางเห็นองคุลิมาลก็ตกใจวิ่งหนี ไปติดรั้วบ้านด้วยเหตุท้องแก่ จึงเป็นทุกข์ เพราะคลอดบุตรไม่ได้

พระองคุลิมาลเกิดความสงสาร จึงได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องนี้

พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระปริตรนั้นแก่พระองคุลิมาล และท่านได้กลับไปสาธยายให้หญิงนั้นฟัง เมื่อนางได้ฟังพระปริตรนี้ก็คลอดบุตรได้โดยสะดวก ทั้งมารดาและบุตรก็ได้รับความสวัสดี
(ม.อฏ.2-245)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2023, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1035


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2025, 09:52 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2552

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2025, 09:01 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2961


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร