วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 04:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2017, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5363


 ข้อมูลส่วนตัว


"วิธีสร้างความสงบของใจ"

ต้องผ่านขั้นร่างกายให้ได้ก่อนถึงค่อยไปสู่ขั้นจิต เขานิยมกันสมัยนี้เห็นชอบปฏิบัติจิต ดูจิตกันเหลือเกินแต่ไม่รู้ว่าดูเพื่ออะไร ดูไปแต่ก็มาติดอยู่ที่ร่างกาย ยังมากลัวเจ็บ มากลัวตายอยู่ ยังมามีความรักความใคร่ในร่างกายของตัวเองอยู่ ยังมาทุกข์กับร่างกายอยู่ ไปดูจิตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ดูไปก็ไม่สามารถที่จะไปทำลายความอยากที่มีภายในจิตใจได้ เพราะมันละเอียดกว่ากันมันลึกกว่ากัน เหมือนกับการเรียนหนังสือ ถ้าเราเรียนระดับประถมนี้มันอยากไปเรียนในระดับมัธยมเลย เรียนให้จบระดับประถมก่อน แล้วค่อยก้าวขึ้นสู่ระดับมัธยม เพราะความรู้มันต่างระดับกัน ความสามารถของเรายังไม่อยู่ในระดับนั้น ไปโรงเรียนก็เรียนไม่ได้ เรียนก็ไม่ผ่าน ไปดูจิตก็ยังปล่อยวางร่างกายไม่ได้ก็อย่าไปดูเลย ร่างกายมันหยาบมันง่ายกว่าก็ยังปล่อยไม่ได้ แล้วจะไปปล่อยจิตได้อย่างไร

นี่คือปัญหาของผู้ปฏิบัติ หรือผู้ศึกษาในสมัยนี้ คือศึกษาปฏิบัติโดยไม่มีครูไม่มีอาจารย์ ไม่มีขั้นไม่มีตอนกัน ศึกษาไปแล้วก็อ่านไป แล้วก็เอาไปคาดคะเน แล้วก็เอาไปปฏิบัติแบบผิดๆ ถูกๆ นั่งสมาธิก็ไม่รู้ว่านั่งเพื่ออะไร นั่งอย่างไร คิดว่านั่งหลับตา นั่งหลับตาแล้วก็ดูจิตไป แล้วก็เห็นโน่นเห็นนี่ขึ้นมา แล้วก็เกิดความสงสัยต่างๆ ขึ้นมาว่ามันเป็นอะไร อันนี้ไม่ใช่เป็นการนั่งสมาธิ เป็นการนั่งเพื่อสร้างปัญหาให้กับตัวเอง การนั่งสมาธินี้เพื่อกำจัดปัญหา ปัญหาก็คือกิเลสตัณหา การจะกำจัดกิเลสตัณหา หรือคุมกิเลสตัณหาได้ ก็ต้องนั่งด้วยสติ ต้องมีสติ พุทธานุสติก็บริกรรมพุทโธๆ ไป อานาปานสติก็ดูลมหายใจเข้าออกไป อย่าไปปล่อยให้ใจคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วผลิตสิ่งนั้นสิ่งนี้มาหลอกใจ ถ้านั่งแล้วไม่มีสติควบคุมใจ เดี๋ยวจิตมันก็จะสร้างอะไรต่างๆ ขึ้นมาหลอกจิตให้คิดหลงไปว่า เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา

การนั่งนี้ต้องการนั่งให้จิตสงบ ให้จิตว่าง ให้จิตนิ่ง ให้จิตรวมเป็นหนึ่ง ให้จิตมีพลังของอุเบกขา คือ นิ่งเฉย สักแต่ว่ารู้ ไม่รัก ไม่ชัง ไม่กลัว ไม่หลง เพราะนี่คือกำลังของจิตที่เราจะเอาไปใช้ทำลายกิเลสตัณหาต่อไป.

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๐

"วิธีสร้างความสงบของใจ"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






"...ผู้เบียดเบียนเขา แม้จะได้สิ่งที่มุ่งไว้ แต่ผลที่แท้จริงอันจักเกิดจากกรรม คือการเบียดเบียนที่ได้ประกอบการทำลงไปนั้น จักเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ผู้กระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมนั้นให้ผลสัตย์ซื่อนัก เหมือนผลของยาพิษร้ายแรง กรรมนั้นเมื่อทำแล้วก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าไปแล้ว จักไม่เกิดผลร้ายแก่ชีวิตและร่างกายย่อมไม่มี ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นกรรมดีก็จักให้ผลดี ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จักให้ผลชั่ว

เราเป็นพุทธศาสนิกนับถือพุทธศาสนา พึงมีปัญญาเชื่อให้จริงจังถูกต้อง ในเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมเถิด จักเป็นสิริมงคล เป็นความสวัสดีแก่ตนเอง..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
องค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฺฒโน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2017, 10:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


... สาธุ สาธุ สาธุ ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 07:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 08:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
การทำสมาธิให้เกิดขึ้นจนหยุดความนึกคิดปรุงแต่งได้จนใจเป็นหนึ่งเดียวนั้น อาจจะมิต้องเริ่มต้นนับหนึ่งก็ได้สำหรับหลายท่านหลายคนที่มีพื้นจิตพื้นสมาธิดีมาแต่กำเนิด

ทุกท่านสามารถทดสอบตัวเองก่อนได้ว่ามีพื้นจิตพื้นสมาธิที่สร้างสมมาแต่อดีตมากน้อยเพียงไร

ใครสามารถกำหนดจิตสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจและชีพจรได้เร็วเท่าไหร่ ก็แสดงได้ว่า อดีตชาติท่านได้สะสมกรรมและวิบากในด้านสมาธิมามากน้อยเพียงไร เช่น

1.สามารถกำหนดรู้อาการเต้นของชีพจรได้ในชั่วพริบตาเดียว
แสดงว่ามีพื้นจิตพื้นสมาธิสร้างสมไว้ดีมาก สามารถจะเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อไปได้เลย

2.สามารถกำหนดรู้อาการเต้นของชีพจรได้ในเวลา 5 -1 นาที
จัดอยู่ในขั้นสมาธิดี แต่ต้องมาทำสมถะเพิ่มเติมอีกหน่อยก็ต่อยอดเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

3.สามารถกำหนดรู้อาการเต้นของชีพจรได้ในเวลาเกินกว่า 5 นาที อย่างนี้ต้องเจรญสมถะภาวนาก่อนสัก 1-3 วันจึงจะเจริญวิปัสสนาต่อได้

4.ถ้าทำยังไงก็ไม่สามารถกำหนดหรือสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของชีพจรได้เลย อย่างนี้ต้องไปไต่เต้านับ 1 ขึ้นมาตามลำดับ
จาก
พบกัลยาณมิตร
ทาน
ศีล
สมถะภาวนา
จนสามารถสัมผัสรู้ชีพจรได้ตามข้อ 1-2-3 จึงจะสามารถเจริญวิปัสสนาภาวนา เดินตามรอยเท้ารอยบาทของพระพุทธเจ้าได้

ลองพิสูจน์กันดูนะครับ ได้ผลเป็นอย่างไรก็เอามาสนทนาเล่าสู่กันฟังในกระทู้อันเปี่ยมค่าของคุณรสมนนี้นะครับ

smiley tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

การทำสมาธิให้เกิดขึ้นจนหยุดความนึกคิดปรุงแต่งได้จนใจเป็นหนึ่งเดียวนั้น อาจจะมิต้องเริ่มต้นนับหนึ่งก็ได้สำหรับหลายท่านหลายคนที่มีพื้นจิตพื้นสมาธิดีมาแต่กำเนิด

ทุกท่านสามารถทดสอบตัวเองก่อนได้ว่ามีพื้นจิตพื้นสมาธิที่สร้างสมมาแต่อดีตมากน้อยเพียงไร

ใครสามารถกำหนดจิตสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของหัวใจและชีพจรได้เร็วเท่าไหร่ ก็แสดงได้ว่า อดีตชาติท่านได้สะสมกรรมและวิบากในด้านสมาธิมามากน้อยเพียงไร เช่น

1.สามารถกำหนดรู้อาการเต้นของชีพจรได้ในชั่วพริบตาเดียว
แสดงว่ามีพื้นจิตพื้นสมาธิสร้างสมไว้ดีมาก สามารถจะเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อไปได้เลย

2.สามารถกำหนดรู้อาการเต้นของชีพจรได้ในเวลา 5 -1 นาที
จัดอยู่ในขั้นสมาธิดี แต่ต้องมาทำสมถะเพิ่มเติมอีกหน่อยก็ต่อยอดเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

3.สามารถกำหนดรู้อาการเต้นของชีพจรได้ในเวลาเกินกว่า 5 นาที อย่างนี้ต้องเจรญสมถะภาวนาก่อนสัก 1-3 วันจึงจะเจริญวิปัสสนาต่อได้

4.ถ้าทำยังไงก็ไม่สามารถกำหนดหรือสัมผัสรู้อาการเต้นตอดของชีพจรได้เลย อย่างนี้ต้องไปไต่เต้านับ 1 ขึ้นมาตามลำดับ
จาก
พบกัลยาณมิตร
ทาน
ศีล
สมถะภาวนา
จนสามารถสัมผัสรู้ชีพจรได้ตามข้อ 1-2-3 จึงจะสามารถเจริญวิปัสสนาภาวนา เดินตามรอยเท้ารอยบาทของพระพุทธเจ้าได้

ลองพิสูจน์กันดูนะครับ ได้ผลเป็นอย่างไรก็เอามาสนทนาเล่าสู่กันฟังในกระทู้อันเปี่ยมค่าของคุณรสมนนี้นะครับ


อ้างคำพูด:
หลายคนที่มีพื้นจิตพื้นสมาธิดีมาแต่กำเนิด


หมายถึงคนที่เกิดมาแล้วมีสมาธิดีมาเลยใช่ไหมขอรับ

วิธีการจับชีพจรนี่ กรัชกายแนะนำให้แบบนี้นะ (ผิดถูกยังไงท่านอโศกท้วงได้) คือ เอาหัวแม่มือเรากดเบาๆตรงข้อมือเราเอง ก็รู้สึกถึงการเต้นของชีพจรตุ๊บๆๆๆๆๆๆๆแล้ว :b32: แต่ปัจจุบันมีเครื่องวัดความดันแล้ว ไม่ต้องแมะเหมือนคนโบราณ พอได้ไหมขอรับ :b10:

ถ้าจับแล้วชีพจรไม่เต้นตุ๊บๆๆ จองศาลาวัดเลย :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=kRodBjnWGMo

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s005
ยังหยาบมากเลยกรัชกายที่สัมผัสรู้ชีพจรด้วยนิ้วมือ เอาไใช้ทำมาหากินด้านการปฏิบัติธรรมยังไม่ได้

ต้องสัมผัสรู้ด้วยตาปัญญาหรือตาใจ(ธรรมจักษุ)จึงจะเร็ว ทันและเข้าถึงสภาวธรรมจริงๆแล้วเชื่อมโยงต่อไปสู่การเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

ทำเป็นไหมกรัชกาย
รู้จักตาปัญญาไหม?
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ยังหยาบมากเลยกรัชกายที่สัมผัสรู้ชีพจรด้วยนิ้วมือ เอาไใช้ทำมาหากินด้านการปฏิบัติธรรมยังไม่ได้

ต้องสัมผัสรู้ด้วยตาปัญญาหรือตาใจ(ธรรมจักษุ)จึงจะเร็ว ทันและเข้าถึงสภาวธรรมจริงๆแล้วเชื่อมโยงต่อไปสู่การเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

ทำเป็นไหมกรัชกาย
รู้จักตาปัญญาไหม?



นั่นว่าตามตรรกะไหน นิกายใดล่ะ หือ :b10: มันเหมือนหัวกุฏท้ายมังกือนะ เออ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 19:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
อพิโธ่เอ๋ยกรัชกาย แค่บอกเทคนิคการชี้วัดและสังเกตว่าสมาธิของใครดีมากน้อยแค่ไหน มีเครื่องช่วยชี้วัดบอกได้ด้วยสภาวะในกายง่ายๆเท่านั้นคืออาการเต้นตอดของหัวใจและชีพจร แค่นี้นักวิชาการใหญ่ก็งงตามไม่ทันแล้ว เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่มีในตำรา มีแต่ในภาคปฏิบัติจริงและประสยการณ์ของคนที่ทำตริงมาแล้วเท่านั้น

นี่ยังไม่ได้บอกว่า ถ้าใครสามารถใช้สติปัญญาสังเกตรู้กระแสสั่นสะเทือนในร่างกายได้ นั่นคือยอดสุดของเครื่องชี้วัดระดับความสามารถในการทำสมาธิเพราะมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมากยากที่คนทั่วไปจะรู้และเข้าใจ

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2017, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

อพิโธ่เอ๋ยกรัชกาย แค่บอกเทคนิคการชี้วัดและสังเกตว่าสมาธิของใครดีมากน้อยแค่ไหน มีเครื่องช่วยชี้วัดบอกได้ด้วยสภาวะในกายง่ายๆเท่านั้นคืออาการเต้นตอดของหัวใจและชีพจร แค่นี้นักวิชาการใหญ่ก็งงตามไม่ทันแล้ว เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่มีในตำรา มีแต่ในภาคปฏิบัติจริงและประสยการณ์ของคนที่ทำตริงมาแล้วเท่านั้น

นี่ยังไม่ได้บอกว่า ถ้าใครสามารถใช้สติปัญญาสังเกตรู้กระแสสั่นสะเทือนในร่างกายได้ นั่นคือยอดสุดของเครื่องชี้วัดระดับความสามารถในการทำสมาธิเพราะมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมากยากที่คนทั่วไปจะรู้และเข้าใจ



เหมือนเคยบอกว่า แพทย์ พยาบาล ผู้ทำงานเกี่ยวร่างกายเก่งหาตัวจับยากนะเออ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2017, 19:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
พยาบาลเขาต้องรู้ชีพจรด้วยการจับหรือแมะ เพื่อนับจำนวนครั้งต่อนาที แต่เขาไม่เก่งการสัมผัสรู้ชีพจรด้วยตาปัญญาหรือตาใจหรอกครับถ้าไม่ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม
:b38:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร