วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 23:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2016, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
โอวาทปาติโมกข์เป็นการกล่าวสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ซึ่งทรงตรัสไว้ว่า
1.สัพพะปาปัสสะอกรณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง ด้วยการรักษาศีล
2.กุสลัสสูปสัมปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม ด้วยบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
3.สะจิตตะปริโยทปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ด้วยวิปัสสนาภาวนา

ในหมวดของการชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้น เป็นเรื่อของการชำระกิเลสออกจากใจให้หมดนั่นเอง

การชำระกิเลสนั้นมีอยู่ 3 ระดับดังตอไปนี้
ระดับที่ ๑ ตัดด้วยศีล มีพระบาลีว่า สีเลนะ วีติกกะมะกิเลเส วิโสธะนัง ปะกาสิตัง โหติ ฯ การรักษาศีล ๕ ศีล ๘ อย่างเคร่งครัดของฆราวาสก็ดี การปฏิบัติตามพระวินัย ๒๒๗ ข้อ และการปฏิบัติธุตงควัตร ๑๓ ข้อ อย่างเคร่งครัดของพระสงฆ์ก็ดี เป็นการชำระวีติกกมะกิเลสที่เกิดทางกายและทางวาจา (ป้องกันสิ่งที่จะพึงก้าวล่างทางกายและทางวาจา)
ระดับที่ ๒ ตัดด้วยสมาธิ มีพระบาลีว่า สะมาธิยา วิกขัมภะนะกิเลเส วิโสธะนัง ปะกาสิตัง โหติ ฯ การปฏิบัติโดยใช้สติกับสมาธินำหน้า เช่น การปฏิบัติตามสมถะ ๔๐ ซึ่งมีอนุสสติ ๑๐ เป็นเครื่องชำระวิกขัมภนกิเลส (ข่มกิเลสไว้) การปฏิบัติในลักษณะนี้ให้ผลได้ตลอดชาตินี้แล้ว เมื่อละอัตภาพก็ไปเกิดเป็นพรหม เมื่อหมดอายุพรหมก็กลับมาเกิดอีกตามแต่บุญกรรมที่ทำไว้
ระดับที่ ๓ ตัดด้วยปัญญา มีพระบาลีว่า ปัญญายะ อนุสสะยะกิเลเส สะมุจเฉทะนัง วิโสธะ นัง ปะกาสิตัง โหติ ฯ การใช้องค์มรรค คือสัมมาทิฏฐิดูรูปธาตุนามธาตุให้เห็นสภาวะที่มิใช่ตัวตน และใช้สัมมาสังกัปปะพิจารณาว่าเป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน หากใช้ปัญญาองค์มรรค ๒ ประการนำหน้าแล้ว สามารถที่จะตัดอนุสัยกิเลสซึ่งเป็นกิเลสชนิดละเอียดอันซ่อนอยู่ในกมลสันดานนั้น ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้วก็เกิดความเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมาได้
วิธีการตัดกิเลสทั้ง ๓ ระดับ ก็คือ
๑. ศีล ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดกิ่งไม้
๒. สมาธิ ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดต้นไม้
๓. ปัญญา ตัดกิเลส เหมือนกับการขัดรากถอนโคนต้นไม้ทั้งต้น
ศีล ตัดกิเลสทาง กาย วาจา
สมาธิ ตัดกิเลสทางสัญญาและความคิด
ปัญญาตัดกิเลสที่ฝังแน่นในใจ

บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าพึงตระหนักให้ดี ฯ

การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา สมองและใจ

ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติภาวนาจึงต้องเป็นไปตามระดับของการตัดกิเลส 3 ระดับดังที่กล่าวมาซึ่งอาจสรุปได้อีกอย่างว่า
1.ชำระกาย วาจาด้วยศีล
2.ชำระนิวรณ์ 5 ด้วย สมาธิ สมถะ
3.ชำระจิตใจด้วยวิปัสสนาภาวนา

อารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมก็เป็นไปตามลำดับอย่างนี้
การแนะนำช่วยเหลือสั่งสอนผู้ปฏิบัติธรรมก็ควรเอาหลักทั้ง 3 ระดับนี้ไปใช้เป็นเครื่องเปรียบเทียบ ชี้วัดแนะนำสั่งสอน

เมื่อกายวาจาเขายังไม่สงบ ก็สอนเรื่องศีลให้รักษาศีล 5 ให้ได้ดีก่อนเมื่อศีล 5 รักษาได้ดีมีกายใจสงบเพียงพอแล้วก็จะสามารถทำสมาธิได้ สมาธิมีเป้าหมายสงบนิวรณ์ 5 ลงให้ได้เป็นสำคัญ ในนิวรณ์ทั้ง 5 ข้อนั้น มีอุทธัจจะนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปของจิตเป็นเรื่องใหญ่ที่จะพบเห็นในผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ อุทธัจจะมากทำให้วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ปีติ นิมิตก็จัดได้ว่าเป็นนิวรณ์ธรรมด้วยเพราะทำให้เกิดความฟุ้งซ่านและลังเลสงสัยเป็นปัญหาและอุปสรรคในผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ให้อาจารย์ผู้สอนต้องแก้ไขให้ได้ด้วย จึงจะสามารถยกระดับขึ้นไปสู่การเจริญปัญญาหรือวิปัสสนาภาวนาได้อย่างแท้จริงและมีประสิทธิภาพ

การแก้ไขปัญหาของผู้ปฏิบัติที่กายวาจาไม่สงบก็ให้เน้นศีล

การแก้ไขปัญหาของผู้ปฏิบัติที่ความคิดไม่สงบ มีนิวรณ์ ปีติและนิมิตรบกวนก็ให้เน้นเรื่องสติ สัมปชัญญะและสมาธิ

การแก้ไขปัญหาของผู้ปฏิบัติที่เจริญปัญญาไม่เป็นก็ให้เน้นเรื่องสัมปชัญญะ การเฝ้าดูเฝ้าสังเกตปัจจุบันอารมณ์

ฝากให้คุณกรัชกายพิจารณาและนำไปใช้ด้วย

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2016, 21:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

โอวาทปาติโมกข์เป็นการกล่าวสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ซึ่งทรงตรัสไว้ว่า
1.สัพพะปาปัสสะอกรณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง ด้วยการรักษาศีล
2.กุสลัสสูปสัมปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม ด้วยบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
3.สะจิตตะปริโยทปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ด้วยวิปัสสนาภาวนา

ในหมวดของการชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้น เป็นเรื่อของการชำระกิเลสออกจากใจให้หมดนั่นเอง

การชำระกิเลสนั้นมีอยู่ 3 ระดับดังตอไปนี้
ระดับที่ ๑ ตัดด้วยศีล มีพระบาลีว่า สีเลนะ วีติกกะมะกิเลเส วิโสธะนัง ปะกาสิตัง โหติ ฯ การรักษาศีล ๕ ศีล ๘ อย่างเคร่งครัดของฆราวาสก็ดี การปฏิบัติตามพระวินัย ๒๒๗ ข้อ และการปฏิบัติธุตงควัตร ๑๓ ข้อ อย่างเคร่งครัดของพระสงฆ์ก็ดี เป็นการชำระวีติกกมะกิเลสที่เกิดทางกายและทางวาจา (ป้องกันสิ่งที่จะพึงก้าวล่างทางกายและทางวาจา)
ระดับที่ ๒ ตัดด้วยสมาธิ มีพระบาลีว่า สะมาธิยา วิกขัมภะนะกิเลเส วิโสธะนัง ปะกาสิตัง โหติ ฯ การปฏิบัติโดยใช้สติกับสมาธินำหน้า เช่น การปฏิบัติตามสมถะ ๔๐ ซึ่งมีอนุสสติ ๑๐ เป็นเครื่องชำระวิกขัมภนกิเลส (ข่มกิเลสไว้) การปฏิบัติในลักษณะนี้ให้ผลได้ตลอดชาตินี้แล้ว เมื่อละอัตภาพก็ไปเกิดเป็นพรหม เมื่อหมดอายุพรหมก็กลับมาเกิดอีกตามแต่บุญกรรมที่ทำไว้
ระดับที่ ๓ ตัดด้วยปัญญา มีพระบาลีว่า ปัญญายะ อนุสสะยะกิเลเส สะมุจเฉทะนัง วิโสธะ นัง ปะกาสิตัง โหติ ฯ การใช้องค์มรรค คือสัมมาทิฏฐิดูรูปธาตุนามธาตุให้เห็นสภาวะที่มิใช่ตัวตน และใช้สัมมาสังกัปปะพิจารณาว่าเป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน หากใช้ปัญญาองค์มรรค ๒ ประการนำหน้าแล้ว สามารถที่จะตัดอนุสัยกิเลสซึ่งเป็นกิเลสชนิดละเอียดอันซ่อนอยู่ในกมลสันดานนั้น ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้วก็เกิดความเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมาได้
วิธีการตัดกิเลสทั้ง ๓ ระดับ ก็คือ
๑. ศีล ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดกิ่งไม้
๒. สมาธิ ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดต้นไม้
๓. ปัญญา ตัดกิเลส เหมือนกับการขัดรากถอนโคนต้นไม้ทั้งต้น
ศีล ตัดกิเลสทาง กาย วาจา
สมาธิ ตัดกิเลสทางสัญญาและความคิด
ปัญญาตัดกิเลสที่ฝังแน่นในใจ

บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าพึงตระหนักให้ดี ฯ

การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา สมองและใจ

ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติภาวนาจึงต้องเป็นไปตามระดับของการตัดกิเลส 3 ระดับดังที่กล่าวมาซึ่งอาจสรุปได้อีกอย่างว่า
1.ชำระกาย วาจาด้วยศีล
2.ชำระนิวรณ์ 5 ด้วย สมาธิ สมถะ
3.ชำระจิตใจด้วยวิปัสสนาภาวนา

อารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมก็เป็นไปตามลำดับอย่างนี้
การแนะนำช่วยเหลือสั่งสอนผู้ปฏิบัติธรรมก็ควรเอาหลักทั้ง 3 ระดับนี้ไปใช้เป็นเครื่องเปรียบเทียบ ชี้วัดแนะนำสั่งสอน

เมื่อกายวาจาเขายังไม่สงบ ก็สอนเรื่องศีลให้รักษาศีล 5 ให้ได้ดีก่อนเมื่อศีล 5 รักษาได้ดีมีกายใจสงบเพียงพอแล้วก็จะสามารถทำสมาธิได้ สมาธิมีเป้าหมายสงบนิวรณ์ 5 ลงให้ได้เป็นสำคัญ ในนิวรณ์ทั้ง 5 ข้อนั้น มีอุทธัจจะนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปของจิตเป็นเรื่องใหญ่ที่จะพบเห็นในผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ อุทธัจจะมากทำให้วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ปีติ นิมิตก็จัดได้ว่าเป็นนิวรณ์ธรรมด้วยเพราะทำให้เกิดความฟุ้งซ่านและลังเลสงสัยเป็นปัญหาและอุปสรรคในผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ให้อาจารย์ผู้สอนต้องแก้ไขให้ได้ด้วย จึงจะสามารถยกระดับขึ้นไปสู่การเจริญปัญญาหรือวิปัสสนาภาวนาได้อย่างแท้จริงและมีประสิทธิภาพ

การแก้ไขปัญหาของผู้ปฏิบัติที่กายวาจาไม่สงบก็ให้เน้นศีล

การแก้ไขปัญหาของผู้ปฏิบัติที่ความคิดไม่สงบ มีนิวรณ์ ปีติและนิมิตรบกวนก็ให้เน้นเรื่องสติ สัมปชัญญะและสมาธิ

การแก้ไขปัญหาของผู้ปฏิบัติที่เจริญปัญญาไม่เป็นก็ให้เน้นเรื่องสัมปชัญญะ การเฝ้าดูเฝ้าสังเกตปัจจุบันอารมณ์

ฝากให้คุณกรัชกายพิจารณาและนำไปใช้ด้วย


เห็นท่านอโศกหายไป ใจคอหายหมดเลย :b13:

เข้าเรื่องของฝาก :b1: ก็ดีอ่ะนะ ถ้าขึ้นเทศน์บนธรรมาสน์ แต่ถ้านำไปใช้ขณะภาวนามัย ฟุ้งซ่านขอรับผม :b1: ซึ่งเขาไม่นิยมใช้กัน :b32: อย่างนี้เป็นการปรุงแต่งความคิดระดับหนึ่งทีเดียวนะ บอกไม่เชื่อ

ไม่พูดพล่ามทำเพลง เอ้านี่

เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 13:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


wink
ยกเรื่องมาแปะถามก็ดีแล้วจะได้อธิบายตามหลักเรื่องกิเลส 3
ที่ยกมาให้อ่าน

กรณีของศิษย์คนนี้ติดนิมิต เป็นอุปาทานและความฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป จัดอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังติดนิวรณ์ธรรม ต้องมาย้ำสอนให้เขาเพิ่มกำลังของสติให้ทันปัจจุบันยิ่งกว่านี้ เพราะถ้าสติทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี นิมิตและความคิดฟุ้งซ่านจะไม่เกิด
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ยกเรื่องมาแปะถามก็ดีแล้วจะได้อธิบายตามหลักเรื่องกิเลส 3
ที่ยกมาให้อ่าน

กรณีของศิษย์คนนี้ติดนิมิต เป็นอุปาทานและความฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป จัดอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังติดนิวรณ์ธรรม ต้องมาย้ำสอนให้เขาเพิ่มกำลังของสติให้ทันปัจจุบันยิ่งกว่านี้ เพราะถ้าสติทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี นิมิตและความคิดฟุ้งซ่านจะไม่เกิด


ยังมองไม่เห็นคำแนะนำวิธีปฏิบัติจากท่านอโศกเลย เห็นแต่พร่ำสติทันปัจจุบันอารมณ์เป็นนกแก้วนกขุนทอง :b32:

อ้างคำพูด:
ถ้าสติทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี นิมิตและความคิดฟุ้งซ่านจะไม่เกิด


นี่คือความเข้าใจผิดก้อนใหญ่

ถ้านิมิตไม่เกิด ความฟุ้งซ่านไม่มี แสดงว่ายังปฏิบัติไม่ถูกทาง เพราะอะไร ? เพราะคนไม่ใช่สิ่งของซึ่งทำสำเร็จรูปมาแล้วแกะกล่องใช้ได้เลย ไม่ใช่ๆ

นิมิตเป็นตัวบอกว่าคุณปฏิบัติถูกทางแล้ว และจะต้องฝึกต่อไป เหมือนคนเดินทางจะพบนั่นเห็นนี่ข้างๆทาง แม้แต่ความฟุ้งซ่าน ซึ่งก็เป็นธัมมานุปัสสนา คือนิวรณ์ตัวหนึ่ง แสดงว่าคุณเดินทางพบกับด่านที่คุณจะต้องทำให้จิตถึงสมาธิ เพื่อกำราบความฟุ้งซ่านนั่นให้อยู่หมัด

ไม่ใช่อย่างที่ท่านอโศกพูดเพ้อพร่ำสติตามทันปัจจุบันอารมณ์ ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง พูดเอาแต่ดีแต่ได้ คิดแต่แง่ดีแง่เดียว อิอิ

ท่านอโศกจำไว้ชีวิตหรือรูปธรรมนามธรรมมีทั้งฝ่ายบวกฝ่ายลบ หมายถึงมีทั้งด้านดีด้านร้าย ชีวิตไม่ใช่ตอไม้ที่ตายแล้ว บอกเท่าไหร่ไม่จำ

แหมๆพอนิมิตเป็นต้นเกิดบอกไม่ใช่ธรรมะ คิกๆๆ คิดดังนี้แล้วก็ลงนอน ลุกขึ้นมาลองทำคือลองแหย่ๆดูหน่อย พอจิตใจฟุ้งซ่านไม่อยู่กับกรรมฐาน ก็คิดว่าไม่ใช่ธรรมะ ลงนอนต่อ ฯลฯ :b32: ท่านอโศกไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม คิกๆๆๆ แต่เป็นนักฉวยโอกาส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกต่ออีกหน่อยว่า ใครก็ตาม จะเป็นมนุษย์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ถ้าคิดว่าปฏิบัติธรรม, ปฏิบัติกรรมฐาน, ปฏิบัติทางจิต เป็นต้น สบายๆเบิร์ดๆ แมคอินไตย :b32: ล่ะก็ อย่าริทำเลยขอรับ เอาเวลาไปปลูกผักปลูกหญ้า รดน้ำต้นไม้จะดีกว่า

แค่คุณจงกรม ซ้าย ย่าง หนอ ขวา ย่าง หนอ กว่าจะได้ 30 นาที กว่าจะถึง 60 นาที ก็เหนื่อยล้าปวดกล้ามเนื้อแล้ว พร้อมกับใช้อริยาบถนั่งฝึกฝนจิตก็ด้วย ก็ต้องประสบทุกข์เวทนามากมาย ถ้าคนไม่สู้แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ และจะคิดจะลงมือทำการทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ เพราะใจไม่สู้ ทุกข์หน่อย เหนื่อยหน่อย ก็บอกศาลาแล้ว :b32: แค่ล้างจานยังไม่สำเร็จเลย พูดไปทำไมมี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

วิธีการตัดกิเลสทั้ง ๓ ระดับ ก็คือ
๑. ศีล ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดกิ่งไม้
๒. สมาธิ ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดต้นไม้
๓. ปัญญา ตัดกิเลส เหมือนกับการขัดรากถอนโคนต้นไม้ทั้งต้น
ศีล ตัดกิเลสทาง กาย วาจา
สมาธิ ตัดกิเลสทางสัญญาและความคิด
ปัญญาตัดกิเลสที่ฝังแน่นในใจ

บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าพึงตระหนักให้ดี ฯ

การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา สมองและใจ

ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติภาวนาจึงต้องเป็นไปตามระดับของการตัดกิเลส 3 ระดับดังที่กล่าวมาซึ่งอาจสรุปได้อีกอย่างว่า
1.ชำระกาย วาจาด้วยศีล
2.ชำระนิวรณ์ 5 ด้วย สมาธิ สมถะ
3.ชำระจิตใจด้วยวิปัสสนาภาวนา


(ไปก๊อบมาจากไหนอีกล่ะ) เอาเถอะจะนำมาจากไหนไม่ว่ากัน แต่ขอถามหน่อย เอาเห็นๆง่ายๆ ทางกาย วาจา ดังว่านั่นแหละ ด้านลึกคือจิตใจยกไว้ก่อน :b32:

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา สมองและ
ใจ


ท่านอโศกยกตัวอย่างข้อ 1 ที่ว่าชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา นั่นสิครับทำไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

วิธีการตัดกิเลสทั้ง ๓ ระดับ ก็คือ
๑. ศีล ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดกิ่งไม้
๒. สมาธิ ตัดกิเลส เหมือนกับการตัดต้นไม้
๓. ปัญญา ตัดกิเลส เหมือนกับการขัดรากถอนโคนต้นไม้ทั้งต้น
ศีล ตัดกิเลสทาง กาย วาจา
สมาธิ ตัดกิเลสทางสัญญาและความคิด
ปัญญาตัดกิเลสที่ฝังแน่นในใจ

บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าพึงตระหนักให้ดี ฯ

การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา สมองและใจ

ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติภาวนาจึงต้องเป็นไปตามระดับของการตัดกิเลส 3 ระดับดังที่กล่าวมาซึ่งอาจสรุปได้อีกอย่างว่า
1.ชำระกาย วาจาด้วยศีล
2.ชำระนิวรณ์ 5 ด้วย สมาธิ สมถะ
3.ชำระจิตใจด้วยวิปัสสนาภาวนา


(ไปก๊อบมาจากไหนอีกล่ะ) เอาเถอะจะนำมาจากไหนไม่ว่ากัน แต่ขอถามหน่อย เอาเห็นๆง่ายๆ ทางกาย วาจา ดังว่านั่นแหละ ด้านลึกคือจิตใจยกไว้ก่อน :b32:

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงานชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา สมองและ
ใจ


ท่านอโศกยกตัวอย่างข้อ 1 ที่ว่าชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา นั่นสิครับทำไง



ท่านอโศกทิ้งกระทู้ทิ้งคำถามที่นี่ไปโผล่ที่โน่นแระ ตอบไม่ได้เผ่นหนีทุกที ไม่สู้ปัญหาเลย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b11:
กายกรรม 3
1.ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์อื่น แก้ด้วยศีลข้อปาณาติบาตร
2.ลักทรัพย์ แก้ด้วยศีลข้อ อทินนาทานาเวรมณี
3.ประพฤติผิดในกามแก้ด้วยศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร

วจีกรรม 4 แก้ด้วยศีลข้อมุสาวาทาเวรมณี
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2016, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b11:
กายกรรม 3
1.ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์อื่น แก้ด้วยศีลข้อปาณาติบาตร
2.ลักทรัพย์ แก้ด้วยศีลข้อ อทินนาทานาเวรมณี
3.ประพฤติผิดในกามแก้ด้วยศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร

วจีกรรม 4 แก้ด้วยศีลข้อมุสาวาทาเวรมณี



ท่านอโศกนี่ไม่มีครูจริงๆ :b1:



ในสมัยอรรถกถา ท่านนิยมแสดงสิกขา ๓ ในแง่ที่เป็นระดับขั้นต่างๆของการละกิเลส คือ

๑. ศีล เป็นวีติกกมปหาน = เป็นเครื่องละวีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย วาจา

๒. สมาธิ เป็นปริยุฏฐานปหาน = เป็นเครื่องละปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลาง ที่เร้ารุมอยู่ในจิตใจ ซึ่งบางท่านระบุว่าได้แก่ นิวรณ์ ๕

๓. ปัญญา เป็นอนุสยปหาน = เป็นเครื่องละอนุสยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียด ที่แอบแนบนอนคอยอยู่ในสันดาน รอแสดงตัวในเมื่อได้เหตุกระตุ้น ได้แก่ อนุสัย ๗


นอกจากนี้ ท่านยังได้แสดงในแง่อื่นๆ อีก เช่น
ศีลเป็นตทังคปหาน

สมาธิเป็นวิกขัมภนปหาน

ปัญญาเป็นสมุฏจเฉทปหาน

ศีลเป็นเครื่องละทุจริต

สมาธิเป็นเครื่อละตัณหา

ปัญญาเป็นเครื่องละทิฏฐิ ดังนี้ เป็นต้น

(ที่มาหลายแห่ง เช่น วินย.อ.1/22 เป็นต้น)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
viewtopic.php?f=1&t=53521
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 17:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b11:
กายกรรม 3
1.ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์อื่น แก้ด้วยศีลข้อปาณาติบาตร
2.ลักทรัพย์ แก้ด้วยศีลข้อ อทินนาทานาเวรมณี
3.ประพฤติผิดในกามแก้ด้วยศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร

วจีกรรม 4 แก้ด้วยศีลข้อมุสาวาทาเวรมณี



ท่านอโศกนี่ไม่มีครูจริงๆ :b1:



ในสมัยอรรถกถา ท่านนิยมแสดงสิกขา ๓ ในแง่ที่เป็นระดับขั้นต่างๆของการละกิเลส คือ

๑. ศีล เป็นวีติกกมปหาน = เป็นเครื่องละวีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย วาจา

๒. สมาธิ เป็นปริยุฏฐานปหาน = เป็นเครื่องละปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลาง ที่เร้ารุมอยู่ในจิตใจ ซึ่งบางท่านระบุว่าได้แก่ นิวรณ์ ๕

๓. ปัญญา เป็นอนุสยปหาน = เป็นเครื่องละอนุสยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียด ที่แอบแนบนอนคอยอยู่ในสันดาน รอแสดงตัวในเมื่อได้เหตุกระตุ้น ได้แก่ อนุสัย ๗


นอกจากนี้ ท่านยังได้แสดงในแง่อื่นๆ อีก เช่น
ศีลเป็นตทังคปหาน

สมาธิเป็นวิกขัมภนปหาน

ปัญญาเป็นสมุฏจเฉทปหาน

ศีลเป็นเครื่องละทุจริต

สมาธิเป็นเครื่อละตัณหา

ปัญญาเป็นเครื่องละทิฏฐิ ดังนี้ เป็นต้น

(ที่มาหลายแห่ง เช่น วินย.อ.1/22 เป็นต้น)

grin
อ้างคำพูด:
ท่านอโศกยกตัวอย่างข้อ 1 ที่ว่าชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา นั่นสิครับทำไง

:b34:
ถามแค่นี้แล้วไปเอาอะไรมาตอบเสียยาวยืด อวดภูมิรู้หรือ?
huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b11:
กายกรรม 3
1.ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์อื่น แก้ด้วยศีลข้อปาณาติบาตร
2.ลักทรัพย์ แก้ด้วยศีลข้อ อทินนาทานาเวรมณี
3.ประพฤติผิดในกามแก้ด้วยศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร

วจีกรรม 4 แก้ด้วยศีลข้อมุสาวาทาเวรมณี



ท่านอโศกนี่ไม่มีครูจริงๆ :b1:



ในสมัยอรรถกถา ท่านนิยมแสดงสิกขา ๓ ในแง่ที่เป็นระดับขั้นต่างๆของการละกิเลส คือ

๑. ศีล เป็นวีติกกมปหาน = เป็นเครื่องละวีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาทางกาย วาจา

๒. สมาธิ เป็นปริยุฏฐานปหาน = เป็นเครื่องละปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลาง ที่เร้ารุมอยู่ในจิตใจ ซึ่งบางท่านระบุว่าได้แก่ นิวรณ์ ๕

๓. ปัญญา เป็นอนุสยปหาน = เป็นเครื่องละอนุสยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียด ที่แอบแนบนอนคอยอยู่ในสันดาน รอแสดงตัวในเมื่อได้เหตุกระตุ้น ได้แก่ อนุสัย ๗


นอกจากนี้ ท่านยังได้แสดงในแง่อื่นๆ อีก เช่น
ศีลเป็นตทังคปหาน

สมาธิเป็นวิกขัมภนปหาน

ปัญญาเป็นสมุฏจเฉทปหาน

ศีลเป็นเครื่องละทุจริต

สมาธิเป็นเครื่อละตัณหา

ปัญญาเป็นเครื่องละทิฏฐิ ดังนี้ เป็นต้น

(ที่มาหลายแห่ง เช่น วินย.อ.1/22 เป็นต้น)

grin
อ้างคำพูด:
ท่านอโศกยกตัวอย่างข้อ 1 ที่ว่าชำระกิเลสให้สิ้นจากกาย วาจา นั่นสิครับทำไง

:b34:
ถามแค่นี้แล้วไปเอาอะไรมาตอบเสียยาวยืด อวดภูมิรู้หรือ?



ถามอยากตอบอย่าง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2017, 17:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
เพราะด้วยความยินดียินร้าย อันเกิดต่อมาจากสุขเวทนาและทุกขเวทนา จึงทำให้เกิดตัณหาทั้ง 3 ตามมาทันที ถ้าสติปัญญารู้ไม่ทัน

ทางที่จะไม่ทำให้เกิดตัณหา ซึ่งเป็นสมุทัยสัจจะ หรือ

ทางที่จะหยุดยั้งและขุดถอนสมุทัย

พระบรมศาสดาทรงสอนไว้เป็นหลักสำคัญว่า

"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"

เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

วิธีถอนสมุทัย ง่ายๆและสั้นๆเช่นนี้แต่ทำไมจึงดูยาก ทำไมผู้คนจึงยังไปถกเถียงสนทนาค้นหาวิธีการอื่นกันอีกมากมาย
เพราะอะไรหนอ?

ทำไมเราไม่มาเจ้มข้นเจาะลึก วิตก วิจารณ์กันลงไปให้ชัดเจนจนเป็นหลักและรายละเอียดเพิ่มเติมจากสติปัฏฐาน 4 ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสนำไว้แล้ว ปล่อยให้เราค้นคว้าหาวิธีกำจัดความยินดียินร้ายกันเอาเอง ด้วยตนเอง

"เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ทำยังไง"

ใครมีเทคนิคที่ใช้ได้ผลดี เชิญนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2017, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


"รู้ด้วยกิเลส..แก้สมุทัยไม่ได้(หรอก)"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2017, 22:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
"รู้ด้วยกิเลส..แก้สมุทัยไม่ได้(หรอก)"

:b17:
ต้องหมดกิเลสแล้วถึงจะรู้ยังงั้นหรือกบ ?

s006
ถามว่าจะเอาออกเสียให้ได้ ทำยังไง กับความยินดียินร้าย
s004


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร