วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 159 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2016, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


เขาทั้ง 2 ยังสะแกนร่างกายไม่เป็นไม่ถูกวิธี โรคกรรมที่ปรากฏในกายจึงไม่สามารถถูกชำระออกได้

ให้เขาโทรไปคุยกับอโสกะสิ จะแนะวิธีผ่านปัญหานี้ให้ได้
แล้วจงกลับไปเข้าคอร์ส 10 วันอีกหลายๆครั้งโดยสลับกันระหว่างผู้ปฏิบัติ กับธรรมบริกร
[/size]



ไหนลองตรงนี้สิครับ ว่าไป :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2016, 20:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เขาทั้ง 2 ยังสะแกนร่างกายไม่เป็นไม่ถูกวิธี โรคกรรมที่ปรากฏในกายจึงไม่สามารถถูกชำระออกได้

ให้เขาโทรไปคุยกับอโสกะสิ จะแนะวิธีผ่านปัญหานี้ให้ได้
แล้วจงกลับไปเข้าคอร์ส 10 วันอีกหลายๆครั้งโดยสลับกันระหว่างผู้ปฏิบัติ กับธรรมบริกร
[/size]



ไหนลองตรงนี้สิครับ ว่าไป :b14:

grin
พิมพ์คุยนี่มันเมื่อยนิ้วน่าดูนะ!
huh
ถ้าอยากอ่านให้รอมีเวลามากกว่านี้ก่อนนะครับ
smiley
กรัชกายไปทำการบ้านในกระทู้ที่สั่งรอไปก่อนนะ
อย่าให้เสียเวลาเปล่า เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ
cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เขาทั้ง 2 ยังสะแกนร่างกายไม่เป็นไม่ถูกวิธี โรคกรรมที่ปรากฏในกายจึงไม่สามารถถูกชำระออกได้

ให้เขาโทรไปคุยกับอโสกะสิ จะแนะวิธีผ่านปัญหานี้ให้ได้
แล้วจงกลับไปเข้าคอร์ส 10 วันอีกหลายๆครั้งโดยสลับกันระหว่างผู้ปฏิบัติ กับธรรมบริกร
[/size]



ไหนลองตรงนี้สิครับ ว่าไป


พิมพ์คุยนี่มันเมื่อยนิ้วน่าดูนะ!

ถ้าอยากอ่านให้รอมีเวลามากกว่านี้ก่อนนะครับ

กรัชกายไปทำการบ้านในกระทู้ที่สั่งรอไปก่อนนะ
อย่าให้เสียเวลาเปล่า เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ


ยังมีอีกเยอะก็พูดๆสะซี่ จะเหลือน้อยลงๆ เออ

พูดแบบนี้ เรียกไปน้ำขุ่นๆ :b32: พิมพ์แล้วเมื่อยนิ้วก็ตัดนิ้วทิ้งสะซี่ พูดมาได้เมื่อยนิ้วน่าดู คิกๆๆ เขาโทรไปถาม ตอบไม่ได้ มิบอกเมื่อยปากอีกรึ :b32:

รับตรงๆเถอะท่านอโศกว่าไม่รู้ไม่เคยทำ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เออ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

เขาทั้ง 2 ยังสะแกนร่างกายไม่เป็นไม่ถูกวิธี โรคกรรมที่ปรากฏในกายจึงไม่สามารถถูกชำระออกได้

ให้เขาโทรไปคุยกับอโสกะสิ จะแนะวิธีผ่านปัญหานี้ให้ได้
แล้วจงกลับไปเข้าคอร์ส 10 วันอีกหลายๆครั้งโดยสลับกันระหว่างผู้ปฏิบัติ กับธรรมบริกร




อ้างคำพูด:
เขาทั้ง 2 ยังสะแกนร่างกายไม่เป็นไม่ถูกวิธี โรคกรรมที่ปรากฏในกายจึงไม่สามารถถูกชำระออกได้


พอสภาวะเกิดทางร่างกาย ท่านอโศกก็ว่าต้องสะแกนร่างกาย เพื่อให้โรคเวนโรคกำถูกชำระ ว่างั้น แล้วสภาวะเกิดทางจิต คือ เหมือนได้ยินเสียงอยู่ตลอด มิต้องสะแกนเสียง สะแกนจิตรึท่านอโศก

ตัวอย่างนี้


ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ในสายโคเอ็นก้าที่พิษณุโลก หลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร ... กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด แต่ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายในลานธรรมช่วยชี้แนะด้วยค่ะ


สะแกนอะไร เอ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 19:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 21:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ในกรณีที่ภาวนาไปแล้วมีเสียงแว่วอยู่ในหูตลอดเวลา แก้ได้หลายวิธี

1.ถ้าฝึกมาทางหนอ ให้กำหนดว่าเสียงหนอๆๆๆไปจนกว่าเสียงนั้นจะดับไปจากหูหรือจากใจ

2.กรณีฝึกมาทางพุทโธตามลมหายใจเข้าออก ให้ดึงจิตกลับมาอยู่ที่พุทโธและลมหายใจเข้าออกให้ถี่ๆยิ่งขึ้นจนตัดเสียงนั้นไปได้

3.กรณีเจริญวิปัสสนาภาวนามาตรงๆให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตเสียงและอารมณ์ลูกที่เกิดจากเสียงทุกอย่าง ให้ทันปัจจุบัน จนเสียงและอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากเสียงนั้นจนดับขาดไปหมด
วันหน้าเสียงอย่างนั้นจะไม่มากวนอีก
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2016, 04:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ในกรณีที่ภาวนาไปแล้วมีเสียงแว่วอยู่ในหูตลอดเวลา แก้ได้หลายวิธี

1.ถ้าฝึกมาทางหนอ ให้กำหนดว่าเสียงหนอๆๆๆไปจนกว่าเสียงนั้นจะดับไปจากหูหรือจากใจ

2.กรณีฝึกมาทางพุทโธตามลมหายใจเข้าออก ให้ดึงจิตกลับมาอยู่ที่พุทโธและลมหายใจเข้าออกให้ถี่ๆยิ่งขึ้นจนตัดเสียงนั้นไปได้

3.กรณีเจริญวิปัสสนาภาวนามาตรงๆให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตเสียงและอารมณ์ลูกที่เกิดจากเสียงทุกอย่าง ให้ทันปัจจุบัน จนเสียงและอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากเสียงนั้นจนดับขาดไปหมด
วันหน้าเสียงอย่างนั้นจะไม่มากวนอีก
onion


:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2016, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ในกรณีที่ภาวนาไปแล้วมีเสียงแว่วอยู่ในหูตลอดเวลา แก้ได้หลายวิธี

1.ถ้าฝึกมาทางหนอ ให้กำหนดว่าเสียงหนอๆๆๆไปจนกว่าเสียงนั้นจะดับไปจากหูหรือจากใจ

2.กรณีฝึกมาทางพุทโธตามลมหายใจเข้าออก ให้ดึงจิตกลับมาอยู่ที่พุทโธและลมหายใจเข้าออกให้ถี่ๆยิ่งขึ้นจนตัดเสียงนั้นไปได้

3.กรณีเจริญวิปัสสนาภาวนามาตรงๆให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตเสียงและอารมณ์ลูกที่เกิดจากเสียงทุกอย่าง ให้ทันปัจจุบัน จนเสียงและอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากเสียงนั้นจนดับขาดไปหมด
วันหน้าเสียงอย่างนั้นจะไม่มากวนอีก



แรกเริ่มกรัชกายถามท่านอโศกซึ่งบอกว่าเคยทำแบบ อ.โกเอ็นก้า (ดูที่ขีดเส้นใต้ของท่านอโศกเอง และผู้มีปัญหาเอง ) แล้วก็คุยกันมาๆ จึงนำสองตัวอย่างให้ดูซึ่งเขามีอาการทางกาย ท่านก็อโศกก็ว่า ยังสะแกนร่างกายไม่ถูกวิธี ...

กรัชกายเอารายที่สามมาซึ่งเกิดจากได้ยินเสียงแว่ว กรัชกายก็ถามว่าจะสะแกนอะไร ท่านก็ว่า...



อ้างคำพูด:
ความรู้สึกหลังออกจากสมาธินี้ คืออะไรครับ แล้วผมจะแก้ไขมันยังไง?

ผมได้มีโอกาสไปเข้าคอสวิปัสสนาที่สถานปฏิบัติธรรม ธรรมอาภาของอาจารย์โกเอ็นก้า ครั้งแรกผมรู้สึกดีกับการปฏิบัติมากครับ ใจสงบ เย็นดี กายสบายเหมือนมีละอองเล็กๆเบาๆเย็นรอบตัว ช่วงวันสุดท้ายที่มีแผ่เมตตาผมรู้สึกเหมือนน้ำเย็นสาดจากหัวถึงเท้า เหมือนตัวว่างเปล่า มันทำให้สดชื่นเบาสบาย

ระหว่างอยู่ที่บ้านก็นั่งสมาธิบ้างทำๆหยุดๆ ดูลมหายใจ ใจสงบดี แต่ก็ไม่ได้ทำต่อเนื่องครับ

ครั้งที่สองที่ไปคือเมื่อปีที่แล้ว การปฏิบัติก็เป็นไปปกติ มีความรู้สึกถึง กลุ่มก้อนละเอียด และ กลุ่มก่อนหยาบบนผิวหนัง แต่คราวนี้รู้สึกเลยเขามาในร่างกาย คล้ายๆมวลสารขนาดหมวกกันน็อก ตันๆครอบหัวอยู่แล้วค่อยๆไหลทะลุมาที่บ่าแล้วออกไปที่หลัง จากนั้นก็มีก้อนใหม่วนเวียน บางทีก็ทีละสองก้อน ผมก็นั่งดูมันเคลื่อนไปเหมือนนั่งดูแม่น้ำที่มีเรือผ่าน

ตอนแรกความรู้สึกหนักตันที่ค่อยๆเคลื่อนนี้จะอยู่เฉพาะตอนทำสมาธิครับ ช่วงวันหลังๆแค่หลับตาจะนอนก็เห็นเลยครับ วันสุดท้ายก้อนนี้มันเกาะอยู่แม้ตอนลืมตา แล้วมันก็เคลื่อนลงมาที่หน้า ปาก ในปาก แล้วก็ติดแหมะอยู่ในนั้น

ตอนนี้ผมมีความรู้สึกดันๆตึงๆที่เคลื่อนไปมาได้ ค้างอยู่บนเพดานปาก ไม่หลุดไปไหน ย้ายไปซ้ายที ขวาที

ตอนกลับมาใหม่ๆผมคิดว่ามันก็ดีเป็นเหมือนการบ้านให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ถึงเวลาคงหายเอง... ปีนึงผ่านไปก็ยังรู้สึกเหมือนวันแรก... เริ่มไม่ชอบครับ เวลานั่งสมาธิมันก็จะอยู่ตรงนั้น

ผมแก้ปัญหาด้วยการ แผ่เมตตาหลังสมาธิ ทำบุญถวายสัฆทาน อุทิศส่วนกุศลก็ไม่รู้สึกว่าเบาลงเลย

ทำให้ผมกังวล ว่าอาจจะเป็นโรคในช่องปาก ไปพบหมอทันตแพทย์ก็เจอฟันคุด จัดการผ่าออก พอยาชาหมดฤทธิ์ ก้อนนี้ยังอยู่... หลายเดือนให้หลังก็ให้หมอหูคอจมูกส่องกล้องเข้าไปในโพรงจมูก แต่ไม่พบความผิดปกติ

ความรู้สึกนี้ไม่ทำให้เจ็บปวด แต่เวลาที่ต้องใช้สมาธิ ในการทำงาน หรือเวลาพักผ่อนนั่งนิ่งๆ ความรู้สึกนี้ก็จะชัดมาก่อนเลย ไม่รู้จะปรึกษาใคร รบกวนท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ


http://pantip.com/topic/34139751


ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

............

ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม ในสายโคเอ็นก้าที่พิษณุโลกหลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่าการพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร ... กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด แต่ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ทั้งหลายในลานธรรมช่วยชี้แนะด้วยค่ะ



ท่านอโศกพูดอะไรตอบอะไรเหมือนไม่ดูที่มาที่ไป (ไม่ดูตาม้าตาเรือ) เบื้องต้นว่ายังไง เบื้องกลางมายังไง สุดท้ายยังไง

ตัวอย่างที่สามมาจากวิธีทำเดียวกัน ถามว่า เขาจะสะแกนอะไร :b32: (สองรายแรกสะแกนร่างกาย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
ยังฟุ้งซ่านอยู่กับอาการของกายใจเช่นนี้ยังสะแกนกายไม่
ได้หรอกครับ สติจะต้องคมกล้า สมาธิต้องมั่นคงและพ้นนิวรณ์กว่านี้จึงจะมีสิทธิ์มารู้ความละเอียดอ่อนระดับกระแสสั่นสะเทือนในร่างกายและทำการสะแกนกายได้ครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2016, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
grin
ยังฟุ้งซ่านอยู่กับอาการของกายใจเช่นนี้ยังสะแกนกายไม่
ได้หรอกครับ สติจะต้องคมกล้า สมาธิต้องมั่นคงและพ้นนิวรณ์กว่านี้จึงจะมีสิทธิ์มารู้ความละเอียดอ่อนระดับกระแสสั่นสะเทือนในร่างกายและทำการสะแกนกายได้ครับ
onion


เชิญไปสะแกนร่างกายกันที่ กท.

viewtopic.php?f=1&t=53517

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
viewtopic.php?f=1&t=53521
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ทำไมพระอริยบุคคลท่านจึงสามารถหยุดความคิดนึกได้
อริยบุคคลชั้นต้นก็หยุดได้มากน้อยตามระดับชั้นของตน
ส่วนพระอรหันต์นั้นท่านหยุดความคิดนึกได้เด็ดขาดคือสั่งความคิดได้เต็ม 100% คือหยิบจับหรือเอาความคิดมาใช้หรือทิ้งความคิดไปได้ดั่งใจ
ทั้งนี้เพราะพระอริยบุคคลแต่ละชั้นท่านเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่และคำสั่งในการใช้ชีวิตใหม่ดุจคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยน OS เป็นชนิดใหม่ น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ

มาดูตัวอย่างว่าเมื่อบรรลุธรรมแล้วชีวิตมันเปลี่ยนใหม่อย่างไรจากสิ่งที่หลวงพ่อชาเล่าให้สหธรรมมิกฟังแล้วมีศิษย์แอบนำมาเล่าต่อดังนี้

วันบรรลุธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท

“กายระเบิดเสียงดังมาก” “ความรู้” ที่มีอยู่นั้น “ละเอียดที่สุด”

วัน หนึ่งขณะที่เดินจงกรมอยู่ เวลาประมาณห้าทุ่มกว่า รู้สึกแปลกๆ
มันแปลกมาแต่ตอนกลางวันแล้ว รู้สึกว่า ไม่คิดมาก มีอาการสบายๆ เขามีงานอยู่ในหมู่บ้านไกลประมาณสิบเส้น

จากที่พักซึ่งเป็น วัดป่า เมื่อ เดินจงกรมเมื่อยแล้วเลยมานั่งที่กระท่อม มีฝาแถบตองบังอยู่

เวลานั่งรู้สึกว่า คู้ขาเข้าเกือบไม่ทัน

เอ๊ะ จิตมันอยากสงบ มันเป็นเองของมัน พอนั่ง จิตก็สงบจริงๆ รู้สึกตัว หนักแน่น เสียงเขาร้องรำอยู่ในบ้านมิใช่ว่าจะไม่ได้ยิน

ยังได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ ไม่ได้ยินก็ได้ แปลกเหมือนกัน

เมื่อไม่เอาใจใส่ ก็เงียบ ไม่ได้ยิน จะให้ได้ยินก็ได้ ไม่รู้สึกรำคาญภายใน “จิต” เหมือน “วัตถุสองอย่าง” “ตั้งอยู่ไม่ติดกัน”

“ดูจิต” กับ “อารมณ์” ตั้งอยู่คนละส่วน เหมือนกระโถนกับกาน้ำ นี่ก็เลยเข้าใจว่า เรื่องจิตเป็นสมาธิ

นี่ถ้าน้อมไปก็ได้ยินเสียง ถ้าว่างก็เงียบ ถ้ามันมีเสียงขึ้น ก็ดูตัว “ผู้รู้” ขาดกันคนละส่วน

จึง พิจารณาว่า "ถ้าไม่ใช่อย่างนี้มันจะใช่ตรงไหนอีก"

มันเป็นอย่างนี้ “ไม่ติดกันเลย” ได้พิจารณาอย่างนี้เรื่อยๆ

จึงเข้าใจว่าอ้อ! อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน

เรียกว่า “สันตติ” คือ “ความสืบต่อขาด” มันเลยเป็น “สันติ”

แต่ก่อนมันเป็น “สันตติ” ทีนี้เลยกลายเป็น “สันติ”

ออกมาจึงนั่งทำความเพียรต่อไป

จิต ในขณะที่นั่งทำความเพียรคราวนั้นไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งอื่นเลย ถ้าเราจะหยุดความเพียรก็หยุดได้ตามสบาย

เมื่อเราหยุดความเพียร เจ้าเกียจคร้านไหม เจ้าเหนื่อยไหม
เจ้ารำคาญไหม เปล่า ไม่มี ตอบไม่ได้ ของเหล่านี้ไม่มีในจิตมีแต่ความ “พอดีหมดทุก” อย่างในนั้น

ประสบการณ์การ “รู้ธรรม ๓ วาระ”

ถ้า เราจะหยุดก็หยุดเอาเฉยๆ นี่แหละ ต่อมาจึงหยุด พักหยุดแต่การนั่งเท่านั้น ใจเหมือนเก่ายังไม่หยุด

เลยดึงเอาหมอนลูกหนึ่งมาวางไว้ตั้งใจจะพักผ่อน เมื่อเอนกายลง จิต ยังสงบอยู่อย่างเดิม พอศีรษะจะถึงหมอนมีอาการน้อมในใจ

“ไม่รู้มันน้อมไปไหน” แต่ “มันน้อมเข้าไป” “น้อมเข้าไป” “คล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่ง” ไปถูก “สวิตซ์ไฟเข้า” ไปดันกับ “สวิตซ์อันนั้น”

“กายก็ระเบิดเสียงดังมาก” “ความรู้” ที่มีอยู่นั้น “ละเอียดที่สุด” พอมัน “ผ่านตรงจุดนั้น” ก็ “หลุดเข้าไปข้างในโน้น” ไปอยู่ข้างในจึงไม่มีอะไร แม้อะไรๆ ทั้งปวงก็ “ส่งเข้าไปไม่ได้” ส่งเข้าไปไม่ถึง ไม่มีอะไรเข้าไป ถึง “หยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่ง” ก็ “ถอยออกมา”

คำว่า “ถอยออกมา” นี้ไม่ใช่ว่า “เราจะให้มันถอยออกมาหรอก”
เราเป็นเพียง “ ผู้ดูเฉยๆ” เราเป็น “ผู้รู้” เท่านั้น อาการเหล่านี้
เป็นออกมาๆ ก็มาถึง ปกติจิตธรรมดา

เมื่อ เป็นปกติดังเดิมแล้วคำถามก็มีขึ้นมาว่า "นี่มันอะไร?" คำตอบเกิดขึ้นว่า "สิ่งเหล่านี้ของเป็นเองไม่ต้องสงสัยมัน" พูดเท่านี้จิตก็ยอม เมื่อหยุดอยู่พักหนึ่งก็ “น้อมเข้าไปอีก” เรา “ไม่ได้น้อม” “มันน้อมเอง” พอน้อมเข้าไปๆ ก็ไปถูกสวิตซ์ไฟดังเก่า

ครั้งที่สองนี้ “ร่างกายแตกละเอียดหมด” หลุดเข้าไปข้างในอีก

“เงียบยิ่งเก่งกว่าเก่า” “ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง” “เข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมันพอสมควร” แล้วก็ถอยออกมา ตามสภาวะของมันในเวลานั้นมัน “เป็นอัตโนมัติ” “มิได้แต่ง” ว่าจงเป็นอย่างนั้นจงเป็นอย่างนี้ จงออกอย่างนี้จงเข้าอย่างนั้น “ไม่มี” เราเป็นเพียง “ผู้ทำความรู้” “ดูอยู่เฉยๆ” มันก็ถอยออกมาถึงปกติ มิได้สงสัยแล้วก็นั่งพิจารณาน้อมเข้าไปอีก

ครั้งที่สามนี้ “โลกแตกละเอียดหมดทั้งพื้นปฐพี” “แผ่นดินแผ่นหญ้าต้นไม้ภูเขาโลกเป็นอากาศธาตุหมด” “ไม่มีคนหมดไปเลยตอนสุดท้ายนี้ไม่มีอะไร”

เมื่อเข้าไปอยู่ตามปรารถนา ของมัน ไม่รู้ว่ามันอยู่อย่างไร “ดูยากพูดยาก” “ของสิ่งนี้ไม่มีอะไรจะมาเปรียบปานได้เลย” “นานที่สุดที่อยู่ในนั้น” พอถึงกำหนดเวลา “ก็ถอนออกมา” คำว่า “ถอนเราก็มิได้ถอนหรอก” “มันถอนของมันเอง” เราเป็น “ผู้ดูเท่านั้น” ก็เลยออกมาเป็นปกติ “สามขณะ” นี้ใครจะเรียกว่าอะไรใครรู้เราจะเรียกอะไรเล่า
“พลิกโลกพลิกแผ่นดิน”

ที่ เล่ามานี้

เรื่อง “จิตตามธรรมชาติทั้งนั้น” อาตมามิได้กล่าวถึงจิตถึงเจตสิก ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น “มีศรัทธา” ทำเข้าไปจริงๆ เอา “ชีวิตเป็นเดิมพัน” เมื่อถึงวาระที่เป็นอย่างนี้ออกมาแล้ว “โลกนี้แผ่นดินนี้มันพลิกไปหมด” “ความรู้ความเห็นมันแปลกไปหมด”

ทุกสิ่งทุกอย่างในระยะนั้นถ้าคนอื่นเห็นอาจจะว่าเราเป็นบ้าจริงๆ ถ้าผู้ควบคุมสติไม่ดีอาจเป็นบ้าได้นะเพราะมันไม่เหมือนเก่าสักอย่างเลย “เห็นคนในโลกไม่เหมือนเก่า” แต่มันก็เป็น “เราผู้เดียวเท่านั้น” แปลกไปหมดทุกอย่าง ความนึกคิดทั้งหลายทั้งปวงนั้นเขาคิดไปทางโน้นแต่เราคิดไปทางนี้ เขาพูดมาทางนี้เราพูดไปทางโน้น เขาขึ้นทางโน้นเราลงทางนี้มันต่างกับมนุษย์ไปหมดมันก็เป็นของมันเรื่อยๆไป

ท่านมหา ลองไปทำดูเถอะ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ไม่ต้องไปดูไกลอะไรหรอก “ดูจิตของเราต่อๆ ไป” “มันอาจหาญที่สุดอาจหาญมาก” นี่คือเรื่องกำลังของจิต เรื่องกำลังของจิตมันเป็นได้ถึงขนาดนี้

หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
smiley
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2017, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ทำไมพระอริยบุคคลท่านจึงสามารถหยุดความคิดนึกได้
อริยบุคคลชั้นต้นก็หยุดได้มากน้อยตามระดับชั้นของตน
ส่วนพระอรหันต์นั้นท่านหยุดความคิดนึกได้เด็ดขาดคือสั่งความคิดได้เต็ม 100% คือหยิบจับหรือเอาความคิดมาใช้หรือทิ้งความคิดไปได้ดั่งใจ
ทั้งนี้เพราะพระอริยบุคคลแต่ละชั้นท่านเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่และคำสั่งในการใช้ชีวิตใหม่ดุจคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยน OS เป็นชนิดใหม่ น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ

มาดูตัวอย่างว่าเมื่อบรรลุธรรมแล้วชีวิตมันเปลี่ยนใหม่อย่างไรจากสิ่งที่หลวงพ่อชาเล่าให้สหธรรมมิกฟังแล้วมีศิษย์แอบนำมาเล่าต่อดังนี้

วันบรรลุธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท

“กายระเบิดเสียงดังมาก” “ความรู้” ที่มีอยู่นั้น “ละเอียดที่สุด”

วัน หนึ่งขณะที่เดินจงกรมอยู่ เวลาประมาณห้าทุ่มกว่า รู้สึกแปลกๆ
มันแปลกมาแต่ตอนกลางวันแล้ว รู้สึกว่า ไม่คิดมาก มีอาการสบายๆ เขามีงานอยู่ในหมู่บ้านไกลประมาณสิบเส้น

จากที่พักซึ่งเป็น วัดป่า เมื่อ เดินจงกรมเมื่อยแล้วเลยมานั่งที่กระท่อม มีฝาแถบตองบังอยู่

เวลานั่งรู้สึกว่า คู้ขาเข้าเกือบไม่ทัน

เอ๊ะ จิตมันอยากสงบ มันเป็นเองของมัน พอนั่ง จิตก็สงบจริงๆ รู้สึกตัว หนักแน่น เสียงเขาร้องรำอยู่ในบ้านมิใช่ว่าจะไม่ได้ยิน

ยังได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ ไม่ได้ยินก็ได้ แปลกเหมือนกัน

เมื่อไม่เอาใจใส่ ก็เงียบ ไม่ได้ยิน จะให้ได้ยินก็ได้ ไม่รู้สึกรำคาญภายใน “จิต” เหมือน “วัตถุสองอย่าง” “ตั้งอยู่ไม่ติดกัน”

“ดูจิต” กับ “อารมณ์” ตั้งอยู่คนละส่วน เหมือนกระโถนกับกาน้ำ นี่ก็เลยเข้าใจว่า เรื่องจิตเป็นสมาธิ

นี่ถ้าน้อมไปก็ได้ยินเสียง ถ้าว่างก็เงียบ ถ้ามันมีเสียงขึ้น ก็ดูตัว “ผู้รู้” ขาดกันคนละส่วน

จึง พิจารณาว่า "ถ้าไม่ใช่อย่างนี้มันจะใช่ตรงไหนอีก"

มันเป็นอย่างนี้ “ไม่ติดกันเลย” ได้พิจารณาอย่างนี้เรื่อยๆ

จึงเข้าใจว่าอ้อ! อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน

เรียกว่า “สันตติ” คือ “ความสืบต่อขาด” มันเลยเป็น “สันติ”

แต่ก่อนมันเป็น “สันตติ” ทีนี้เลยกลายเป็น “สันติ”

ออกมาจึงนั่งทำความเพียรต่อไป

จิต ในขณะที่นั่งทำความเพียรคราวนั้นไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งอื่นเลย ถ้าเราจะหยุดความเพียรก็หยุดได้ตามสบาย

เมื่อเราหยุดความเพียร เจ้าเกียจคร้านไหม เจ้าเหนื่อยไหม
เจ้ารำคาญไหม เปล่า ไม่มี ตอบไม่ได้ ของเหล่านี้ไม่มีในจิตมีแต่ความ “พอดีหมดทุก” อย่างในนั้น

ประสบการณ์การ “รู้ธรรม ๓ วาระ”

ถ้า เราจะหยุดก็หยุดเอาเฉยๆ นี่แหละ ต่อมาจึงหยุด พักหยุดแต่การนั่งเท่านั้น ใจเหมือนเก่ายังไม่หยุด

เลยดึงเอาหมอนลูกหนึ่งมาวางไว้ตั้งใจจะพักผ่อน เมื่อเอนกายลง จิต ยังสงบอยู่อย่างเดิม พอศีรษะจะถึงหมอนมีอาการน้อมในใจ

“ไม่รู้มันน้อมไปไหน” แต่ “มันน้อมเข้าไป” “น้อมเข้าไป” “คล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่ง” ไปถูก “สวิตซ์ไฟเข้า” ไปดันกับ “สวิตซ์อันนั้น”

“กายก็ระเบิดเสียงดังมาก” “ความรู้” ที่มีอยู่นั้น “ละเอียดที่สุด” พอมัน “ผ่านตรงจุดนั้น” ก็ “หลุดเข้าไปข้างในโน้น” ไปอยู่ข้างในจึงไม่มีอะไร แม้อะไรๆ ทั้งปวงก็ “ส่งเข้าไปไม่ได้” ส่งเข้าไปไม่ถึง ไม่มีอะไรเข้าไป ถึง “หยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่ง” ก็ “ถอยออกมา”

คำว่า “ถอยออกมา” นี้ไม่ใช่ว่า “เราจะให้มันถอยออกมาหรอก”
เราเป็นเพียง “ ผู้ดูเฉยๆ” เราเป็น “ผู้รู้” เท่านั้น อาการเหล่านี้
เป็นออกมาๆ ก็มาถึง ปกติจิตธรรมดา

เมื่อ เป็นปกติดังเดิมแล้วคำถามก็มีขึ้นมาว่า "นี่มันอะไร?" คำตอบเกิดขึ้นว่า "สิ่งเหล่านี้ของเป็นเองไม่ต้องสงสัยมัน" พูดเท่านี้จิตก็ยอม เมื่อหยุดอยู่พักหนึ่งก็ “น้อมเข้าไปอีก” เรา “ไม่ได้น้อม” “มันน้อมเอง” พอน้อมเข้าไปๆ ก็ไปถูกสวิตซ์ไฟดังเก่า

ครั้งที่สองนี้ “ร่างกายแตกละเอียดหมด” หลุดเข้าไปข้างในอีก

“เงียบยิ่งเก่งกว่าเก่า” “ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง” “เข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมันพอสมควร” แล้วก็ถอยออกมา ตามสภาวะของมันในเวลานั้นมัน “เป็นอัตโนมัติ” “มิได้แต่ง” ว่าจงเป็นอย่างนั้นจงเป็นอย่างนี้ จงออกอย่างนี้จงเข้าอย่างนั้น “ไม่มี” เราเป็นเพียง “ผู้ทำความรู้” “ดูอยู่เฉยๆ” มันก็ถอยออกมาถึงปกติ มิได้สงสัยแล้วก็นั่งพิจารณาน้อมเข้าไปอีก

ครั้งที่สามนี้ “โลกแตกละเอียดหมดทั้งพื้นปฐพี” “แผ่นดินแผ่นหญ้าต้นไม้ภูเขาโลกเป็นอากาศธาตุหมด” “ไม่มีคนหมดไปเลยตอนสุดท้ายนี้ไม่มีอะไร”

เมื่อเข้าไปอยู่ตามปรารถนา ของมัน ไม่รู้ว่ามันอยู่อย่างไร “ดูยากพูดยาก” “ของสิ่งนี้ไม่มีอะไรจะมาเปรียบปานได้เลย” “นานที่สุดที่อยู่ในนั้น” พอถึงกำหนดเวลา “ก็ถอนออกมา” คำว่า “ถอนเราก็มิได้ถอนหรอก” “มันถอนของมันเอง” เราเป็น “ผู้ดูเท่านั้น” ก็เลยออกมาเป็นปกติ “สามขณะ” นี้ใครจะเรียกว่าอะไรใครรู้เราจะเรียกอะไรเล่า
“พลิกโลกพลิกแผ่นดิน”

ที่ เล่ามานี้

เรื่อง “จิตตามธรรมชาติทั้งนั้น” อาตมามิได้กล่าวถึงจิตถึงเจตสิก ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น “มีศรัทธา” ทำเข้าไปจริงๆ เอา “ชีวิตเป็นเดิมพัน” เมื่อถึงวาระที่เป็นอย่างนี้ออกมาแล้ว “โลกนี้แผ่นดินนี้มันพลิกไปหมด” “ความรู้ความเห็นมันแปลกไปหมด”

ทุกสิ่งทุกอย่างในระยะนั้นถ้าคนอื่นเห็นอาจจะว่าเราเป็นบ้าจริงๆ ถ้าผู้ควบคุมสติไม่ดีอาจเป็นบ้าได้นะเพราะมันไม่เหมือนเก่าสักอย่างเลย “เห็นคนในโลกไม่เหมือนเก่า” แต่มันก็เป็น “เราผู้เดียวเท่านั้น” แปลกไปหมดทุกอย่าง ความนึกคิดทั้งหลายทั้งปวงนั้นเขาคิดไปทางโน้นแต่เราคิดไปทางนี้ เขาพูดมาทางนี้เราพูดไปทางโน้น เขาขึ้นทางโน้นเราลงทางนี้มันต่างกับมนุษย์ไปหมดมันก็เป็นของมันเรื่อยๆไป

ท่านมหา ลองไปทำดูเถอะ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ไม่ต้องไปดูไกลอะไรหรอก “ดูจิตของเราต่อๆ ไป” “มันอาจหาญที่สุดอาจหาญมาก” นี่คือเรื่องกำลังของจิต เรื่องกำลังของจิตมันเป็นได้ถึงขนาดนี้

หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี




ถามท่านอโศกหน่อย

กายระเบิดจริงๆ หรือนั่งสมาธิแล้วกายระเบิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2017, 07:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
นิมิตเห็นกายระเบิด
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2017, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
นิมิตเห็นกายระเบิด


อิอิ หลงนิมิต ถูกหลอกแล้ว เออ

เห็นปุ๊บ ให้ว่าในใจปั้บ เห็น.....ได้ยินปุ๊บ ก็ เสียง.....ได้กลิ่นปุ๊บ ก็ กลิ่น.....ฯลฯ คิดปุ๊บ ก็ คิด....เป็นต้น ตามสภาวะนั้นๆ

นั่นแหละ เติมหนอเข้าไป เป็นเห็นหนอๆๆ เสียงหนอๆๆๆ กลิ่นหนอๆๆ คิดหนอๆๆ ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 159 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร