วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 22:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
เวทนาปัจจัยยา ตัณหา


s006

จากความคิดของอโสกะ...ข้างต้น..แสดงตัวตนของอโสกะได้หลายๆอย่าง...

อย่างแรก..
แสดงว่าอโสกะ..เข้าใจประโยตนี้ว่า...เวทนาเป็นเหตุเกิดของตัณหา..ใช่มั้ยคับ?

อย่างที่สอง...แสดงว่าอโสกะยังไม่เข้าใจคำว่า..เวทนาในปฏิจจสมุปบาท...เพราะอโสกะหลงไปเข้าใจปะปนกับ...โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนสะ..อุปายาท...

เอาแค่นี้ก่อน...


asoka เขียน:
:b12:
กบเข้าใจอะไรดีแล้วก็ขอให้กบเจริญไปตามเส้นทางเดินของกบนะครับ
onion


ส่วนกระทู้นี้ผมตั้งใจจะมาวิเคราะห์วิตก วิจารณ์และให้ข้อสังเกตแก่ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน 4 ทั้งหลายได้เห็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐานสูตรที่มารวมลงในคำพูดเดียวกันทั้ง
4 ฐานว่า

"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" นั้น มันมีความหมายลึกซึ้งเพียงใดในเชิงปฏิบัติ


คุณกบจะเห็นเสริมก็เห็นได้ แต่ถ้าจะมาเห็นขวาง ก็พึงพิจารณาให้ดี ว่าเป็นการขวางทางธรรมหรือไม่ จะกลายเป็นการทำบาปชั่วด้วยความหลงว่าปารถนาดีนะครับ


:b9: :b9: :b9:

อโสกะ..กลัวรึ..กลัวความจริง หรือ??

:b13:

อ้างคำพูด:
คุณกบจะเห็นเสริมก็เห็นได้ แต่ถ้าจะมาเห็นขวาง ก็พึงพิจารณาให้ดี ว่าเป็นการขวางทางธรรมหรือไม่ จะกลายเป็นการทำบาปชั่วด้วยความหลงว่าปารถนาดีนะครับ


พูดง่ายๆ....อย่าขัดคออโสกะ..ว่างั้นเตอะ...

พูดยากเน๊าะ..กับคนที่ว่าละสักกายทิฏฐิแล้ว..นี้นะ?..

เห็นมีอยู่เต็มๆ..เลยนี้....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกไม่มา เอ้าเผื่อเป็นประโยชน์บ้าง เสริมความหมาย "เห็นกายในกาย" ให้อีกท่อนหนึ่ง

เคยว่าหลายครั้งว่า ธรรมะก็ที่บัญญัติเรียกว่าคน,ว่ามนุษย์ เป็นต้น ซึ่งเดินแกว่งไปแกว่งมา ส่ายไปส่ายมานี่แหละ แต่พอเรียกว่าคน ว่า...แล้วเราคิดว่าไม่ใช่ธรรมะ เพราะถูกสมมุติบัญญัติว่านั่น ว่านี่บังสัจธรรมความจริง

..........

"เห็นกายในกาย" (พุทธธรรม หน้า ๗๖๗)

“ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายใน (= ของตนเอง) อยู่บ้าง ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอก (=ของคนอื่น) อยู่บ้าง พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอก อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายอยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเสื่อมสิ้นไปในกายอยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น และความเสื่อมสิ้นไปในกายอยู่บ้าง

“ก็แล เธอมีสติดำรงต่อหน้าว่า “มีกายอยู่” เพียงแค่เพื่อความรู้ เพียงแค่เพื่อความระลึก แลเธอเป็นอยู่อย่างไม่อิงอาศัย ไม่ถือมั่นสิ่งใดๆในโลก”

(บาลีพร้อมคำแปล)

กาเย กายานุปสฺสี แปลว่า "พิจารณาเห็นกายในกาย" นี้เป็นคำแปลตามแบบที่คุ้นๆกัน ซึ่งต้องระวังความเข้าใจไม่ให้เขว แต่ก็พึงเห็นใจท่านที่พยายามแปลกันมา เพราะบางคำบางข้อความนั้น จะหาถ้อยคำที่สื่อความหมายให้ตรงและชัดได้แสนยาก

ความหมายของข้อความนี้ก็คือ มองเห็นโดยรู้เข้าใจทันความจริงทุกขณะ หรือตลอดเวลา

เห็นกายในกาย คือ มองเห็นในกายว่าเป็นกาย หมายความว่า

มองเห็นกายตามสภาวะ ซึ่งเป็นที่ประชุม หรือประกอบกันเข้าแห่งส่วนประกอบคืออวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ เห็นตรงความจริง และเห็นแค่ที่เป็นจริง ไม่ใช่มองเห็นกาย เป็นเขา เป็นเรา เป็นนายนั่นนายนี่ เป็นของฉัน ของคนนั้นคนนี้ หรือในผม ในขน ในหน้าตา เห็นเป็นชายนั้นหญิงนี้ เป็นต้น

เป็นอันว่า เห็นตรงตามความจริง ตรงตามสภาวะ ให้สิ่งที่ดูตรงกันกับสิ่งที่เห็น
คือ
ดูกาย ก็เห็นกาย ไม่ใช่ดูกาย ไพล่ไปเห็นนาย ก. บ้าง

ดูกาย ไพล่ไปเห็นคนชัง บ้าง

ดูกาย ไพล่เห็นเป็นของชอบ อยากชม บ้าง เป็นต้น เข้าคติคำของโบราณาจารย์ว่า “สิ่งที่ดู มองไม่เห็น ไพล่ไปเห็นสิ่งที่ไม่ได้ดู เมื่อไม่เห็น ก็หลงติดกับ เมื่อติดอยู่ ก็พ้นไปไม่ได้” *

..........

* ข้อความว่า "กายในกาย" นี้ อรรถกถาอธิบายไว้ถึง ๔-๕ นัย โดยเฉพาะชี้ถึงความมุ่งหมาย เช่น ให้กำหนดโดยไม่สับสนกัน คือ ตามดูกายในกาย ไม่ใช่ตามดูเวทนา ไม่ใช่ตามดูจิต ไม่ใช่ตามดูธรรม

ในกาย อีกอย่างหนึ่งว่า ตามดูกายส่วนย่อย ในกายส่วนใหญ่ คือตามดูกายแต่ละส่วนๆ ในกายที่เป็นส่วนรวมนั้น เป็นการแยกออกดูไปทีละอย่าง จนมองเห็นว่าทั้งหมดนั้นไม่มีอะไร นอกจากเป็นที่รวมของส่วนประกอบย่อยๆ ลงไป ไม่มี นาย ก. นาง ข. เป็นต้น

เป็นการวิเคราะห์หน่อยรวมออก หรือคลี่คลายความเป็นกลุ่มก้อน เหมือนกับลอกใบกล้วยและกาบกล้วย ออกจากต้นกล้วย จนไม่เห็นมีต้นกล้วย ดังนี้เป็นต้น

(เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็พึงเข้าใจทำนองเดียวกัน)



นำ คคห. หนึ่ง ซึ่งกล่าวบรรยาย "กายในกาย" ไว้ ว่าหมายถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ทุกรูปทุกนามว่างั้น :b1:

อ้างคำพูด:
ดูกายดูใจแบบไหนที่ถือว่า "ผิด" ไปจากความเป็นจริง เมื่อมีที่ผิดแสดงว่าการดูกายดูใจแบบที่ถูกต้องตามความเป็นจริงย่อมมีอยู่เป็นของคู่กัน (ทิวนิยม) บริบทในเรื่องการ

"ดูกาย" นี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่หมายถึงกายที่มีรูปร่างให้จับต้องได้ แต่เป็นกายในกายที่เป็นภายใน ที่เรียกว่า อทิสมานกาย, นามกาย หรือทิพยกาย คือ กายทิพย์ เป็นกายในกาย ที่ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ทุกรูป-นาม ที่ยังมีชีวิตินทรีย์ เป็นกายที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิด


จาก

http://pantip.com/topic/35921476

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่คิดเข้าใจอย่างนั้นแล้วไปแนะนำผู้เจริญภาวนา ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติกรรมฐาน จะทำให้ผู้ปฏิบัติเพี้ยน หลุดโลก คิกๆๆ อ้าวจริงๆ หรือใครจะเถียง :b1:

ตย.เยอะแยะ

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 16:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




อริยสัจ 4_resize.jpg
อริยสัจ 4_resize.jpg [ 58.29 KiB | เปิดดู 2343 ครั้ง ]
:b40:
จะเห็นกายในกาย
เห็นเวทนาในเวทนา
เห็นจิตในจิต
เห็นธรรมในธรรม

ถ้าเพียงสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่ารู้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่...
ปุถุชนคนธรรมดาผู้หนาด้วยกิเลสทั้งหลาย การรู้เห็นภายในทั้ง 4 ฐานนั้นล้วนจะไปลงท้ายด้วย อภิชฌาและโทมนัสสัง
หรือความยินดียินร้ายทุกฐาน

ยินดียินร้ายเป็นเวทนาทางจิต ที่จะต่อไปสู่การเกิดตัณหา
(นะกบ....ลำดับธรรมให้ดี)
พระบรมศาสดาทรงชี้เน้นไว้ที่ช่วงต่อของเวทนาสู่ตัณหานี้เป็นสำคัญ

ถ้าเอายินดียินร้ายออกเสียได้ ตัณหาก็ไม่เกิด หรือสมุทัยทำงานไม่ได้ กรรมก็ไม่เกิด

ลึกลงไปในความยินดียินร้ายคือ อัตตา ผู้ยินดียินร้าย เมื่อผู้ยินดียินร้ายไม่ได้รับการตอบสนองด้วยตัณหา มันก็จะไม่ได้อาหารเพราะ ตัณหาเปรียบเหมือนอาหารของอัตตา ในทางตรงกันข้าม
อนัตตา เป็นอาหารของสติปัญญา

จิตเป็นอนัตตาทุกครั้ง ปัญญาก็ได้กินอาหารทุกครั้งทำนองกลับกัน
จิตเป็นอนัตตาทุกครั้ง อัตตาก็อดอาหารไม่ได้อาหารทุกครั้งเช่นกัน

ดังนั้นอัตตาในใจปุถุชนทุกคนซึ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะได้กินอาหารคือตัณหาสนองตอบอยู่ตลอดเวลา มันจะถูกทำให้ขาดอาหารผอมลงๆทุกครั้งที่ยินดียินร้ายไม่เกิด ตัณหาไม่เกิด จนในที่สุดอัตตาตัวนี้ก็จะผอมและอดอาหารตายด้วยตัวของมันเองเมื่อเจอกับวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฏฐาน 4อยู่ตลอดเวลา

นี่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน เป็นกระบวนการที่เหตุสุขคือสติ ปัญญา สมาธิ
มาทำลายเหตุทุกข์คือตัณหาและอัตตา จนอัตตาตายขาด
หมดสิ้น นิโรธะ หรือผลสุขก็จักเกิดขึ้นมาให้ได้รับเองโดยไม่ต้องทะยานอยากได้


ฟังอธิบายนี้แล้วดูจากรูปที่แนบมาให้ยิ่งจะเข้าใจอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา สติปัฏฐาน 4 ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนถึงที่สุด

:b36:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b40:
จะเห็นกายในกาย
เห็นเวทนาในเวทนา
เห็นจิตในจิต
เห็นธรรมในธรรม

ถ้าเพียงสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่ารู้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่...
ปุถุชนคนธรรมดาผู้หนาด้วยกิเลสทั้งหลาย การรู้เห็นภายในทั้ง 4 ฐานนั้นล้วนจะไปลงท้ายด้วย อภิชฌาและโทมนัสสัง
หรือความยินดียินร้ายทุกฐาน

ยินดียินร้ายเป็นเวทนาทางจิต ที่จะต่อไปสู่การเกิดตัณหา
(นะกบ....ลำดับธรรมให้ดี)
พระบรมศาสดาทรงชี้เน้นไว้ที่ช่วงต่อของเวทนาสู่ตัณหานี้เป็นสำคัญ

ถ้าเอายินดียินร้ายออกเสียได้ ตัณหาก็ไม่เกิด หรือสมุทัยทำงานไม่ได้ กรรมก็ไม่เกิด

ลึกลงไปในความยินดียินร้ายคือ อัตตา ผู้ยินดียินร้าย เมื่อผู้ยินดียินร้ายไม่ได้รับการตอบสนองด้วยตัณหา มันก็จะไม่ได้อาหารเพราะ ตัณหาเปรียบเหมือนอาหารของอัตตา ในทางตรงกันข้าม
อนัตตา เป็นอาหารของสติปัญญา

จิตเป็นอนัตตาทุกครั้ง ปัญญาก็ได้กินอาหารทุกครั้งทำนองกลับกัน
จิตเป็นอนัตตาทุกครั้ง อัตตาก็อดอาหารไม่ได้อาหารทุกครั้งเช่นกัน

ดังนั้นอัตตาในใจปุถุชนทุกคนซึ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะได้กินอาหารคือตัณหาสนองตอบอยู่ตลอดเวลา มันจะถูกทำให้ขาดอาหารผอมลงๆทุกครั้งที่ยินดียินร้ายไม่เกิด ตัณหาไม่เกิด จนในที่สุดอัตตาตัวนี้ก็จะผอมและอดอาหารตายด้วยตัวของมันเองเมื่อเจอกับวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฏฐาน 4อยู่ตลอดเวลา

นี่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน เป็นกระบวนการที่เหตุสุขคือสติ ปัญญา สมาธิ
มาทำลายเหตุทุกข์คือตัณหาและอัตตา จนอัตตาตายขาด
หมดสิ้น นิโรธะ หรือผลสุขก็จักเกิดขึ้นมาให้ได้รับเองโดยไม่ต้องทะยานอยากได้


ฟังอธิบายนี้แล้วดูจากรูปที่แนบมาให้ยิ่งจะเข้าใจอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา สติปัฏฐาน 4 ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนถึงที่สุด


อ้างคำพูด:
ฟังอธิบายนี้แล้วดูจากรูปที่แนบมาให้ยิ่งจะเข้าใจอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา สติปัฏฐาน 4 ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนถึงที่สุด


โหนอริยสัจ โหนมรรค โหนอนัตตา โหนสติปัฏฐาน อิอิ ถ้ายังงั้นนั่งดูรูปนั่นก็หมดราคะ โทสะ โมหะ เป็นอรหันต์บุคคลได้สิงั้น :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 17:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
นั่งดูรูปที่สรุปมาถูกต้องตามธรรมก็เหมือนลงมือศึกษาวิธีการที่ถูกต้องที่จบสมบูรณ์ในรูปๆเดียว โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ฟังธรรม ตีความจับประเด็นจากหนังสือนับสิบนับร้อยเล่ม จาก MP3 นับสิบนับร้อยเรื่อง

มันจบในรูปเดียวทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเชียวนะครับ
คุณกรัชกายและผู้สนใจต้องมีโอกาสไปนั่งฟังผมอธิบายอริยสัจ 4 หรือเรื่องอื่นๆตามรูปที่แนบมาให้จึงจะเข้าใจลึกซึ้งและเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงของภาพเหล่านี้นะครับ

wink


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
นั่งดูรูปที่สรุปมาถูกต้องตามธรรมก็เหมือนลงมือศึกษาวิธีการที่ถูกต้องที่จบสมบูรณ์ในรูปๆเดียว โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ฟังธรรม ตีความจับประเด็นจากหนังสือนับสิบนับร้อยเล่ม จาก MP3 นับสิบนับร้อยเรื่อง

มันจบในรูปเดียวทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเชียวนะครับ
คุณกรัชกายและผู้สนใจต้องมีโอกาสไปนั่งฟังผมอธิบายอริยสัจ 4 หรือเรื่องอื่นๆตามรูปที่แนบมาให้จึงจะเข้าใจลึกซึ้งและเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงของภาพเหล่านี้นะครับ[/size]


วาดเขียนเอง เออเอง เขียนเสร็จเอาแขวนข้างฝาแล้วนั่งดูเออใช้เลยๆ อริยสัจ 4 นิพพานว่า :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 20:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
นั่งดูรูปที่สรุปมาถูกต้องตามธรรมก็เหมือนลงมือศึกษาวิธีการที่ถูกต้องที่จบสมบูรณ์ในรูปๆเดียว โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ฟังธรรม ตีความจับประเด็นจากหนังสือนับสิบนับร้อยเล่ม จาก MP3 นับสิบนับร้อยเรื่อง

มันจบในรูปเดียวทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเชียวนะครับ
คุณกรัชกายและผู้สนใจต้องมีโอกาสไปนั่งฟังผมอธิบายอริยสัจ 4 หรือเรื่องอื่นๆตามรูปที่แนบมาให้จึงจะเข้าใจลึกซึ้งและเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงของภาพเหล่านี้นะครับ[/size]


วาดเขียนเอง เออเอง เขียนเสร็จเอาแขวนข้างฝาแล้วนั่งดูเออใช้เลยๆ อริยสัจ 4 นิพพานว่า :b13:

:b7:
กรัชกายไม่มีสติปัญญาที่จะเข้าใจความหมายในภาพได้และไม่พยายามที่จะเข้าใจด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่ทำให้พลาดโอกาสและสิ่งดีๆในชีวิตไป

"สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำ ไม่เท่าทำด้วยตัวเอง"

ภาพที่ให้มาคือความดีข้อที่ 2 หลังจากนั้นจะได้เอามือคลำ ทำด้วยตัวเอง
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
นั่งดูรูปที่สรุปมาถูกต้องตามธรรมก็เหมือนลงมือศึกษาวิธีการที่ถูกต้องที่จบสมบูรณ์ในรูปๆเดียว โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ฟังธรรม ตีความจับประเด็นจากหนังสือนับสิบนับร้อยเล่ม จาก MP3 นับสิบนับร้อยเรื่อง

มันจบในรูปเดียวทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเชียวนะครับ
คุณกรัชกายและผู้สนใจต้องมีโอกาสไปนั่งฟังผมอธิบายอริยสัจ 4 หรือเรื่องอื่นๆตามรูปที่แนบมาให้จึงจะเข้าใจลึกซึ้งและเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงของภาพเหล่านี้นะครับ[/size]


วาดเขียนเอง เออเอง เขียนเสร็จเอาแขวนข้างฝาแล้วนั่งดูเออใช้เลยๆ อริยสัจ 4 นิพพานว่า :b13:

:b7:
กรัชกายไม่มีสติปัญญาที่จะเข้าใจความหมายในภาพได้และไม่พยายามที่จะเข้าใจด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่ทำให้พลาดโอกาสและสิ่งดีๆในชีวิตไป

"สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำ ไม่เท่าทำด้วยตัวเอง"

ภาพที่ให้มาคือความดีข้อที่ 2 หลังจากนั้นจะได้เอามือคลำ ทำด้วยตัวเอง
:b4:


ก็แค่ต่อปากต่อคำ คือว่าไปเรื่อย ไร้หลักไร้เกณฑ์ สร้างวาทกรรม คิกๆๆ เสียหายต่อหลักธรรมหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2016, 20:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




อริยสัจ 4_resize.jpg
อริยสัจ 4_resize.jpg [ 58.29 KiB | เปิดดู 2322 ครั้ง ]
s006
ลองพยายามทำความเข้าใจและอธิบายภาพที่ให้มานี้ตามกำลังสติปัญญาของกรัชกายดูซิว่าจะรู้ได้แค่ไหน?
ไม่ต้องโยกโย้ไปเรื่องอื่น
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2016, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b44:
ความยินดียินร้ายต่อผัสสะ เวทนา อารมณ์ทั้งปวงนั้นเป็นตัวก่อให้เกิด ตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือเหตุทุกข์

ตัณหาเกิด ทำให้เกิดอุปาทาน จิตสังขารปรุงแต่งเป็น
มโนกรรม
วจีกรรม
กายกรรม
ไปตามลำดับ
เมื่อกรรมครบองค์ 3 ย่อมจะเกิดวิบาก คือผลของกรรมให้ต้องรับหรือเสวย

วิบากกรรมเก่าจะกลับมาเป็นปัจจัยกระทุ้งให้เกิดกรรมใหม่
หมุนเวียนกันไปไม่รู้จบ ดุจนาฬิกาที่ถูกไขลาน เติมถ่านหรือแบตเตอรี่อยู่ตลอดมันจึงหมุนบอกเวลาอยู่ตลอด ลูกตุ้มนาฬิกาก็แกว่งไปมาอยู่ตลอดไม่จบสิ้นนั่นเอง

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ความยินดียินร้ายต่อผัสสะ เวทนา อารมณ์ทั้งปวงนั้นเป็นตัวก่อให้เกิด ตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือเหตุทุกข์

ตัณหาเกิด ทำให้เกิดอุปาทาน จิตสังขารปรุงแต่งเป็น
มโนกรรม
วจีกรรม
กายกรรม
ไปตามลำดับ

เมื่อกรรมครบองค์ 3 ย่อมจะเกิดวิบาก คือผลของกรรมให้ต้องรับหรือเสวย

วิบากกรรมเก่าจะกลับมาเป็นปัจจัยกระทุ้งให้เกิดกรรมใหม่
หมุนเวียนกันไปไม่รู้จบ ดุจนาฬิกาที่ถูกไขลาน เติมถ่านหรือแบตเตอรี่อยู่ตลอดมันจึงหมุนบอกเวลาอยู่ตลอด ลูกตุ้มนาฬิกาก็แกว่งไปมาอยู่ตลอดไม่จบสิ้นนั่นเอง[/size][/color]





คคห. ท่านอโศกทุกบททุกตอน จับแพะชนแกะทุกเมื่อเทอญ. :b32:

คือไปเที่ยวจำๆศัพท์แสงเขามาแล้วปะติดปะต่อบรรยายเอาเอง ซึ่งไม่ตรงกับของเดิมเขา นี่แหละธรรมปฏิรูป

แนะๆมีปัจจัยกระทุ้งด้วย :b1: ทำยังกะไก่อยู่ในเข่งเอาหัวกะทุ้งๆจนขนหลุดทั้งหัว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ลองพยายามทำความเข้าใจและอธิบายภาพที่ให้มานี้ตามกำลังสติปัญญาของกรัชกายดูซิว่าจะรู้ได้แค่ไหน?
ไม่ต้องโยกโย้ไปเรื่องอื่น


บอกไม่จำ นั่นมันใยแมงมุมซึ่งเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านของคนเขียนเอง เขียนไปก็ยิ้มไปนึกว่าเป็นสวรรค์วิมานเป็นนิพพงนิพพาลไปโน่น

มันต้องของจริงซึ่งเกิดจากภาวนาแล้วก็แก้ปัญหาแก้ทุกข์ผ่านได้ทีละขณะทีละเปลาะๆ แบบไม่เพ้อเจ้อเลื่อนลอย นี่


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธินั่งดูลม แล้วมามองกระจกแบบใช้ตาเพ่ง. กระจกมันบิดไปบิดมา บางทีก็ได้ยินเสียงคนพูดถึงเรืองที่ผมคิด แต่มองไม่เห็นคน ตอนนี้เพี้ยนครับ อาการแบบนี้เขาเรียกจิตหลอกรึเปล่า ตอนนี้ลำบากมาก หนวกหูเสียงด่ามาเป็นอาทิตย์แล้วครับ ได้ยินเสียงความคิดของตัวเองอีก หนวกหูมาก พอจะมีวิธีแก้ใหมครับ.


เขาเป็นอะไร จะทำยังไงต่อไป จึงเอาออกเสียได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกเอ้า เอาออกยังไง เอ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 22:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ลองพยายามทำความเข้าใจและอธิบายภาพที่ให้มานี้ตามกำลังสติปัญญาของกรัชกายดูซิว่าจะรู้ได้แค่ไหน?
ไม่ต้องโยกโย้ไปเรื่องอื่น


บอกไม่จำ นั่นมันใยแมงมุมซึ่งเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านของคนเขียนเอง เขียนไปก็ยิ้มไปนึกว่าเป็นสวรรค์วิมานเป็นนิพพงนิพพาลไปโน่น

มันต้องของจริงซึ่งเกิดจากภาวนาแล้วก็แก้ปัญหาแก้ทุกข์ผ่านได้ทีละขณะทีละเปลาะๆ แบบไม่เพ้อเจ้อเลื่อนลอย นี่


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธินั่งดูลม แล้วมามองกระจกแบบใช้ตาเพ่ง. กระจกมันบิดไปบิดมา บางทีก็ได้ยินเสียงคนพูดถึงเรืองที่ผมคิด แต่มองไม่เห็นคน ตอนนี้เพี้ยนครับ อาการแบบนี้เขาเรียกจิตหลอกรึเปล่า ตอนนี้ลำบากมาก หนวกหูเสียงด่ามาเป็นอาทิตย์แล้วครับ ได้ยินเสียงความคิดของตัวเองอีก หนวกหูมาก พอจะมีวิธีแก้ใหมครับ.


เขาเป็นอะไร จะทำยังไงต่อไป จึงเอาออกเสียได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกเอ้า เอาออกยังไง เอ้า

wink
ไม่มีปัญญาจะรู้ตามที่อโศกะอธิบายเลยพาลโยกโย้ไปพูดกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตัวเองนะกรัชกาย
grin
ปัญหาที่ยกมาถามก็เป็นเรื่องและอาการเดิมๆของคนที่สติปัญญาไม่ทันปัจจุบัน ถูกอุปาทานทำให้ฟุ้งปรุงไปเป็นเรื่องราวต่างๆ อาจารย์ก็สอนไม่เป็นมันก็เพี้ยนไปนะสิกรัชกาย

หลักภาวนาพื้นฐาน
1.ทำให้เกิดสมาธิ นิวรณ์ 5 สงบรำงับ จิตตั้งมั่นควรแก่งาน
2.เจริญสติปัญญาสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ โดยไม่มีปฏิกิริยายินดียินร้ายต่อทุกอารมณ์และความรู้สึกจนเห็นความเป็นจริงของปัจจุบันอารมณ์ คือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

หลังจากนั้นทุกอย่างจะเจริญงอกงามตามกันไปเองตามธรรม
จนละความเห็นผิดยึดผิด กิเลส ตัณหา อัตตา โลภะ โทสะ โมหะต่างๆไปเองโดยธรรม
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2016, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ลองพยายามทำความเข้าใจและอธิบายภาพที่ให้มานี้ตามกำลังสติปัญญาของกรัชกายดูซิว่าจะรู้ได้แค่ไหน?
ไม่ต้องโยกโย้ไปเรื่องอื่น


บอกไม่จำ นั่นมันใยแมงมุมซึ่งเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านของคนเขียนเอง เขียนไปก็ยิ้มไปนึกว่าเป็นสวรรค์วิมานเป็นนิพพงนิพพาลไปโน่น

มันต้องของจริงซึ่งเกิดจากภาวนาแล้วก็แก้ปัญหาแก้ทุกข์ผ่านได้ทีละขณะทีละเปลาะๆ แบบไม่เพ้อเจ้อเลื่อนลอย นี่


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธินั่งดูลม แล้วมามองกระจกแบบใช้ตาเพ่ง. กระจกมันบิดไปบิดมา บางทีก็ได้ยินเสียงคนพูดถึงเรืองที่ผมคิด แต่มองไม่เห็นคน ตอนนี้เพี้ยนครับ อาการแบบนี้เขาเรียกจิตหลอกรึเปล่า ตอนนี้ลำบากมาก หนวกหูเสียงด่ามาเป็นอาทิตย์แล้วครับ ได้ยินเสียงความคิดของตัวเองอีก หนวกหูมาก พอจะมีวิธีแก้ใหมครับ.


เขาเป็นอะไร จะทำยังไงต่อไป จึงเอาออกเสียได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกเอ้า เอาออกยังไง เอ้า

wink
ไม่มีปัญญาจะรู้ตามที่อโศกะอธิบายเลยพาลโยกโย้ไปพูดกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตัวเองนะกรัชกาย
grin
ปัญหาที่ยกมาถามก็เป็นเรื่องและอาการเดิมๆของคนที่สติปัญญาไม่ทันปัจจุบัน ถูกอุปาทานทำให้ฟุ้งปรุงไปเป็นเรื่องราวต่างๆ อาจารย์ก็สอนไม่เป็นมันก็เพี้ยนไปนะสิกรัชกาย

หลักภาวนาพื้นฐาน
1.ทำให้เกิดสมาธิ นิวรณ์ 5 สงบรำงับ จิตตั้งมั่นควรแก่งาน
2.เจริญสติปัญญาสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ โดยไม่มีปฏิกิริยายินดียินร้ายต่อทุกอารมณ์และความรู้สึกจนเห็นความเป็นจริงของปัจจุบันอารมณ์ คือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

หลังจากนั้นทุกอย่างจะเจริญงอกงามตามกันไปเองตามธรรม
จนละความเห็นผิดยึดผิด กิเลส ตัณหา อัตตา โลภะ โทสะ โมหะต่างๆไปเองโดยธรรม



ก็บอกแล้วพูดไปๆ บรรยายไปๆ อะไรนักก็ไม่รู้ แต่ยังมีความกลัวไม่เป็นธรรม ก็ยกเอาธรรมมาอีกจนได้

แสดงถึงไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร