วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2016, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
อ้างคำพูด:
กบ พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?..ทรงนำอะไรมาสอน?

จากครูบาอาจารนย์สั่งสอน...สรุปเอาสั้นๆ...นะ

พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?...ทรงค้นพบ อะไรจริง...อะไรไม่จริง

ทรงนำอะไรมาสอน?....สอนว่าอะไรจริง...อะไรไม่จริง...ทุกข์เพราะไปยึดอยู่กับสิ่งที่ไม่จริง..

ไม่รู้จะเข้าใจป้าวนะ..

s006

อ้างคำพูด:
กรัชกาย พระพุทธเจ้าก็สอนคน เรื่องคน เรื่องชีวิตนี่แหละเออ บอกไม่จำ

s004
ตอบได้ดูดี แต่กำกวมทั้งคู่ ทั้งกบและกรัช ไม่ชี้ชัดเป็นสัจจะที่ดิ้นไม่ได้ ไร้แง่มุม
onion
บอกแล้วไม่รู้กี่ครั้งว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทักข์

รวมเรียกว่า "อริยสัจ 4"
และ สิ่งที่พระองค์นำมาสอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ก็คือ "อริยสัจ 4 "

วันปฐมเทศนา ก็ทรงแสดง "อริยสัจ 5

ปัจฉิมโอวาท ก็คือ "อริยสัจ 4"

เข้าใจและมีปัญญารู้ถึงไหมนี่ กบ+กรัช ?

:b34:


คิดแล้วอโสกะ....จะไม่เข้าใจ

:b32: :b32:

ทรงเห็นอะไรจริง...แล้วทรงเห็นว่าอะไรไม่จริง...

จริง....มีอันเดียว...แต่คนทั่วๆไปไม่เห็น


แต่ที่เราเราเห็นกัน....ล้วนเป็นของประกอบ...รูปก็ประกอบจากมหาภูตรูป4...นาม..ก็ประกอบด้วยเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...มีแต่ไม่จริงทั้งนั้นเลย

ของไม่จริง....มีลักษณะเด่นคือ..เกิดขึ้น..ตั้งอยู่...แล้วก็ดับไป...ไม่เที่ยง...

ที่เราทุกข์....ก็เพราะไปยึดของไม่จริงว่าเป็นเราเป็นของเรา..ยึดแล้วก็อยาก..อยากให้สิ่งไม่เที่ยงให้เที่ยง..อยากให้สิ่งที่ต้องดับไม่ให้ดับ..ฝืนธรรมชาติของไม่จริง...ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้..เราจึงทกข์...นี้แหละ..เข้าอริยะสัจสี่..ตรงนี้..

แต่ที่เริ่มจริงๆ..นั้น...พระองค์เห็นของจริงคืออะไร....จะว่าอริยะสัจหนึ่งก็ได้...

เมื่อเห็นของจริง..ก็เห็นของไม่จริงไปในตัว...จะว่าอริยะสัจ 2 ก็ได้

การสอน..พระองค์ก็สอนให้ถึงความจริงด้วยการแยกความไม่จริงให้ออก...นี้จึงเป็นอริยะสัจสี่...

ด้วยอริยะสัจสี่...เราๆจึงพอจะตามพระองค์ไปถึงความจริงได้...

ส่วนอริยะสัจสอง...คนที่จะตามพระองค์จนเห็นของจริงได้(ในประวัติศาสตร์)ก็พอมีแต่น้อย...เท่าที่นึกได้ก็คือ..ท่านพาหิยทารุจีริยะ

หลัก...ๆ...คนจะเห็นของจริงตามพระองค์ได้...ก็ด้วยอริยะสัจสี่..มรรคมีองค์แปด..นี้แหละ

จบ...

เข้าใจมะ..อโสกะ
:b9: :b9:

ปล. ข้อเขียนข้างบนนี้..อย่าเข้าใจว่าเป็นความสามารถของผม..นะครับ..สรุปสรุปมา..


อ้างคำพูด:
แต่ที่เราเราเห็นกัน....ล้วนเป็นของประกอบ...รูปก็ประกอบจากมหาภูตรูป4...นาม..ก็ประกอบด้วยเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...มีแต่ไม่จริงทั้งนั้นเลย


ยิ่งพูดยิ่งออกนอกตัวนอกคน นั่นมันคนทั้งเพทั้งระยองนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2016, 07:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
อ้างคำพูด:
กบ พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?..ทรงนำอะไรมาสอน?

จากครูบาอาจารนย์สั่งสอน...สรุปเอาสั้นๆ...นะ

พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?...ทรงค้นพบ อะไรจริง...อะไรไม่จริง

ทรงนำอะไรมาสอน?....สอนว่าอะไรจริง...อะไรไม่จริง...ทุกข์เพราะไปยึดอยู่กับสิ่งที่ไม่จริง..

ไม่รู้จะเข้าใจป้าวนะ..

s006

อ้างคำพูด:
กรัชกาย พระพุทธเจ้าก็สอนคน เรื่องคน เรื่องชีวิตนี่แหละเออ บอกไม่จำ

s004
ตอบได้ดูดี แต่กำกวมทั้งคู่ ทั้งกบและกรัช ไม่ชี้ชัดเป็นสัจจะที่ดิ้นไม่ได้ ไร้แง่มุม
onion
บอกแล้วไม่รู้กี่ครั้งว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทักข์

รวมเรียกว่า "อริยสัจ 4"
และ สิ่งที่พระองค์นำมาสอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ก็คือ "อริยสัจ 4 "

วันปฐมเทศนา ก็ทรงแสดง "อริยสัจ 5

ปัจฉิมโอวาท ก็คือ "อริยสัจ 4"

เข้าใจและมีปัญญารู้ถึงไหมนี่ กบ+กรัช ?

:b34:


คิดแล้วอโสกะ....จะไม่เข้าใจ

:b32: :b32:

ทรงเห็นอะไรจริง...แล้วทรงเห็นว่าอะไรไม่จริง...

จริง....มีอันเดียว...แต่คนทั่วๆไปไม่เห็น


แต่ที่เราเราเห็นกัน....ล้วนเป็นของประกอบ...รูปก็ประกอบจากมหาภูตรูป4...นาม..ก็ประกอบด้วยเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...มีแต่ไม่จริงทั้งนั้นเลย

ของไม่จริง....มีลักษณะเด่นคือ..เกิดขึ้น..ตั้งอยู่...แล้วก็ดับไป...ไม่เที่ยง...

ที่เราทุกข์....ก็เพราะไปยึดของไม่จริงว่าเป็นเราเป็นของเรา..ยึดแล้วก็อยาก..อยากให้สิ่งไม่เที่ยงให้เที่ยง..อยากให้สิ่งที่ต้องดับไม่ให้ดับ..ฝืนธรรมชาติของไม่จริง...ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้..เราจึงทกข์...นี้แหละ..เข้าอริยะสัจสี่..ตรงนี้..

แต่ที่เริ่มจริงๆ..นั้น...พระองค์เห็นของจริงคืออะไร....จะว่าอริยะสัจหนึ่งก็ได้...

เมื่อเห็นของจริง..ก็เห็นของไม่จริงไปในตัว...จะว่าอริยะสัจ 2 ก็ได้

การสอน..พระองค์ก็สอนให้ถึงความจริงด้วยการแยกความไม่จริงให้ออก...นี้จึงเป็นอริยะสัจสี่...

ด้วยอริยะสัจสี่...เราๆจึงพอจะตามพระองค์ไปถึงความจริงได้...

ส่วนอริยะสัจสอง...คนที่จะตามพระองค์จนเห็นของจริงได้(ในประวัติศาสตร์)ก็พอมีแต่น้อย...เท่าที่นึกได้ก็คือ..ท่านพาหิยทารุจีริยะ

หลัก...ๆ...คนจะเห็นของจริงตามพระองค์ได้...ก็ด้วยอริยะสัจสี่..มรรคมีองค์แปด..นี้แหละ

จบ...

เข้าใจมะ..อโสกะ
:b9: :b9:

ปล. ข้อเขียนข้างบนนี้..อย่าเข้าใจว่าเป็นความสามารถของผม..นะครับ..สรุปสรุปมา..


อ้างคำพูด:
แต่ที่เราเราเห็นกัน....ล้วนเป็นของประกอบ...รูปก็ประกอบจากมหาภูตรูป4...นาม..ก็ประกอบด้วยเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...มีแต่ไม่จริงทั้งนั้นเลย


ยิ่งพูดยิ่งออกนอกตัวนอกคน นั่นมันคนทั้งเพทั้งระยองนะ

cool
ที่พูดกันมาทั้งหมดนั้นล้วนสอนให้กรัชกายพ้นจากความเป็นคน มาสู่ความเป็นมนุษย์เสียที จะได้พูดคุยกับมนุษย์ด้วยกันรูเรื่อง

หัดภาวนาเผชิญหน้ากับความจริงในกายในใจของตนให้มากกว่านี้นะกรัชกาย
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2016, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
อ้างคำพูด:
กบ พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?..ทรงนำอะไรมาสอน?

จากครูบาอาจารนย์สั่งสอน...สรุปเอาสั้นๆ...นะ

พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?...ทรงค้นพบ อะไรจริง...อะไรไม่จริง

ทรงนำอะไรมาสอน?....สอนว่าอะไรจริง...อะไรไม่จริง...ทุกข์เพราะไปยึดอยู่กับสิ่งที่ไม่จริง..

ไม่รู้จะเข้าใจป้าวนะ..

s006

อ้างคำพูด:
กรัชกาย พระพุทธเจ้าก็สอนคน เรื่องคน เรื่องชีวิตนี่แหละเออ บอกไม่จำ

s004
ตอบได้ดูดี แต่กำกวมทั้งคู่ ทั้งกบและกรัช ไม่ชี้ชัดเป็นสัจจะที่ดิ้นไม่ได้ ไร้แง่มุม
onion
บอกแล้วไม่รู้กี่ครั้งว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่อง
ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์
และวิธีทำให้ถึงความดับทักข์

รวมเรียกว่า "อริยสัจ 4"
และ สิ่งที่พระองค์นำมาสอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ก็คือ "อริยสัจ 4 "

วันปฐมเทศนา ก็ทรงแสดง "อริยสัจ 5

ปัจฉิมโอวาท ก็คือ "อริยสัจ 4"

เข้าใจและมีปัญญารู้ถึงไหมนี่ กบ+กรัช ?

:b34:


คิดแล้วอโสกะ....จะไม่เข้าใจ

:b32: :b32:

ทรงเห็นอะไรจริง...แล้วทรงเห็นว่าอะไรไม่จริง...

จริง....มีอันเดียว...แต่คนทั่วๆไปไม่เห็น


แต่ที่เราเราเห็นกัน....ล้วนเป็นของประกอบ...รูปก็ประกอบจากมหาภูตรูป4...นาม..ก็ประกอบด้วยเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...มีแต่ไม่จริงทั้งนั้นเลย

ของไม่จริง....มีลักษณะเด่นคือ..เกิดขึ้น..ตั้งอยู่...แล้วก็ดับไป...ไม่เที่ยง...

ที่เราทุกข์....ก็เพราะไปยึดของไม่จริงว่าเป็นเราเป็นของเรา..ยึดแล้วก็อยาก..อยากให้สิ่งไม่เที่ยงให้เที่ยง..อยากให้สิ่งที่ต้องดับไม่ให้ดับ..ฝืนธรรมชาติของไม่จริง...ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้..เราจึงทกข์...นี้แหละ..เข้าอริยะสัจสี่..ตรงนี้..

แต่ที่เริ่มจริงๆ..นั้น...พระองค์เห็นของจริงคืออะไร....จะว่าอริยะสัจหนึ่งก็ได้...

เมื่อเห็นของจริง..ก็เห็นของไม่จริงไปในตัว...จะว่าอริยะสัจ 2 ก็ได้

การสอน..พระองค์ก็สอนให้ถึงความจริงด้วยการแยกความไม่จริงให้ออก...นี้จึงเป็นอริยะสัจสี่...

ด้วยอริยะสัจสี่...เราๆจึงพอจะตามพระองค์ไปถึงความจริงได้...

ส่วนอริยะสัจสอง...คนที่จะตามพระองค์จนเห็นของจริงได้(ในประวัติศาสตร์)ก็พอมีแต่น้อย...เท่าที่นึกได้ก็คือ..ท่านพาหิยทารุจีริยะ

หลัก...ๆ...คนจะเห็นของจริงตามพระองค์ได้...ก็ด้วยอริยะสัจสี่..มรรคมีองค์แปด..นี้แหละ

จบ...

เข้าใจมะ..อโสกะ
:b9: :b9:

ปล. ข้อเขียนข้างบนนี้..อย่าเข้าใจว่าเป็นความสามารถของผม..นะครับ..สรุปสรุปมา..


อ้างคำพูด:
แต่ที่เราเราเห็นกัน....ล้วนเป็นของประกอบ...รูปก็ประกอบจากมหาภูตรูป4...นาม..ก็ประกอบด้วยเวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...มีแต่ไม่จริงทั้งนั้นเลย


ยิ่งพูดยิ่งออกนอกตัวนอกคน นั่นมันคนทั้งเพทั้งระยองนะ

cool
ที่พูดกันมาทั้งหมดนั้นล้วนสอนให้กรัชกายพ้นจากความเป็นคน มาสู่ความเป็นมนุษย์เสียที จะได้พูดคุยกับมนุษย์ด้วยกันรูเรื่อง

หัดภาวนาเผชิญหน้ากับความจริงในกายในใจของตนให้มากกว่านี้นะกรัชกาย
onion


อ้างคำพูด:
หัดภาวนาเผชิญหน้ากับความจริงในกายในใจของตนให้มากกว่านี้นะกรัชกาย


เอาเรื่องเอาภาวนาที่เขาเผชิญหน้ากับความจริงให้ดูก็ดูไม่ออก แล้วยังจะมาบอกให้เผชิญหน้ากับจริง :b1:

เดี๋ยวนี้ไม่ได้นั่งสมาธิเลยค่ะ กลัวอะไรก็บอกไม่ถูก เมื่อก่อนเวลานั่งสักพักรู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่อยู่ที่ขา ลูบดูก็ไม่มี
วันต่อๆ มาก็เป็นอีก จุดเดิม ที่เดิม เหมือนเดินไต่ไปเรื่อยๆ แต่รู้ว่ามันไม่มีอะไรไต่จริง แต่ก็ไม่รู้มันคืออะไรบางครั้งก็ได้ยินเสียงดัง "ปัง" ดังมากด้วย เหมือนอะไรตกบนบ้าน แต่ถามแม่ แม่กลับไม่ได้ยิน

ตอนนี้ กลับมาคิด สมัยเด็กๆ เล็กๆ ชอบจับแมลงมาหักขา พวกแมงมุมขายาวๆ ที่อยู่ตามเพดาน เจอเป็นจับมาหักขาหมด ตอนนั้นไม่รู้อะไรควรไม่ควร โตมาพอรู้ความรู้สึกแย่มากๆ ค่ะ รู้สึกผิดกับพวกเค้า เค้าคงทรมานมากๆ ถึงจะเป็นแมลงตัวเล็กๆ แต่ก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เคยทำลงไปมากจริงๆ จะเกี่ยวกันรึเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ


นั่นแหละเขาขับรถผ่านทางช่วงที่ 1 แลเห็นทางช่วงที่ 2 ซึ่งถนนตัดเลียบป่าเขาสูงชัน มองไปเบื้องล่างก็แลเห็นหุบเหวล้ำลึกนึกแล้วเสียวท้องน้อย เกิดความหวาดกลัว หันหลังกลับเลย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2016, 12:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
ศิษย์คนนี้ติดนิมิต ข้ามนิมิตไม่ได้แถมยังคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไปใหญ่ อาจารย์ก็แก้ไม่เป็น

ให้เขากลับมาอยู่กับองค์กรรมฐานที่ใช้ให้แนบแน่น ไม่สนใจนิมิตทั้งหลายจนข้ามด่านนิมิตนี้ไปให้ได้

หรือจะนิ่งรู้นิ่งสังเกตนิมิตทั้งหลายจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา ก็ได้

คนทำสมาธิถ้าผ่านด่าน ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ไปได้ ก็จะถึงฌาณ
และกลับมาเจริญญาณที่ฌาณ 1 ได้ ทีนี้ก็จะได้พบกับธรรมจริงกันละ

แก้ให้ศิษย์เป็นไหม?

แก้อารมณ์นะ ไม่ใช่แก้อย่างอื่น
:b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2016, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
cool
ศิษย์คนนี้ติดนิมิต ข้ามนิมิตไม่ได้แถมยังคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไปใหญ่ อาจารย์ก็แก้ไม่เป็น

ให้เขากลับมาอยู่กับองค์กรรมฐานที่ใช้ให้แนบแน่น ไม่สนใจนิมิตทั้งหลายจนข้ามด่านนิมิตนี้ไปให้ได้

หรือจะนิ่งรู้นิ่งสังเกตนิมิตทั้งหลายจนมันดับไปต่อหน้าต่อตา ก็ได้

คนทำสมาธิถ้าผ่านด่าน ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ไปได้ ก็จะถึงฌาณ
และกลับมาเจริญญาณที่ฌาณ 1 ได้ ทีนี้ก็จะได้พบกับธรรมจริงกันละ

แก้ให้ศิษย์เป็นไหม?

แก้อารมณ์นะ ไม่ใช่แก้อย่างอื่น
:b17:


คิกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 17:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
“นิพพิทาญาณ” ญาณที่ผู้ฝึกจิตหากไม่ได้ ก็เท่ากับสูญเปล่า


นิพพิทาญาณเป็นไฉน?
นิพพิทาญาณ คือ ญาณเบื่อโลก คือ ปัญญาที่หยั่งรู้เท่าถึงความไม่จีรัง ความมายา ความทุกข์ ความหลงมัวเมาที่เต็มอยู่ในโลก ความรู้สึกที่เบื่อหน่ายเรื่องทางโลกีย์อย่างยิ่ง เบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกอย่างยิ่ง จนละทิ้งบ้านเรือนออกแสวงหาสัจธรรม นี่คือ อาการของนิพพิทาญาณ ซึ่งจะเกิดเมื่อ จิตผู้หนึ่งมีความสงบสุขสงัดทางธรรมมากๆ แล้วหันกลับไปมองทางโลกก็รู้สึกแตกต่างจากความสุขทางธรรมได้แจ้งชัด ชัดเจน จึงหันหลังให้ทางโลก หรือเกิดจากความเบื่อสุดระอา เพราะความทุกข์อย่างยิ่งทางโลก แล้วได้พบธรรมเข้าพอดี เกิดความสงบสุขได้ จิตละจากทางโลกได้ฉับพลันเข้าหาทางธรรมทันทีก่อนที่จะไม่เหลือจิตสมประดี เช่น กรณีหญิงบ้าที่แก้ผ้าเข้าวัดไปหาพระพุทธองค์ สติของนางยังพอมีเหลืออยู่บ้างยังไม่ถึงขนาดขาดหมดไม่สมประดี เมื่อได้พบธรรม ได้พบพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมีพระมาโปรดให้ใจชุ่มเย็น ดับความเร่าร้อน แล้วได้สติ เห็นทางธรรมเป็นทางรอด จนได้บรรลุธรรมในที่สุด นี่ก็ต้องมีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นก่อน


ทำไมต้องได้นิพพิทาญาณ?
สำหรับท่านที่ฝึกสมาธิแล้วไม่ได้ฌาน ย่อมยังผลให้ไม่ได้ญาณด้วย นั่นหมายถึง ไม่เกิดนิพพิทาญาณขึ้นเลย ไม่มีความเบื่อหน่ายเรื่องโลกีย์ถึงขั้นละทิ้งบ้านเรือนเลย บุคคลนั้นแม้ได้เปรียญเก้าประโยค มีความรู้ทางธรรมท่วมหัว ก็ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากความทุกข์ไปได้ ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากนรกไปได้ (เพราะไม่บรรลุโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายในสามภพ นั่นหมายถึง นรกด้วย) ดังนั้น บุคคลผู้ฝึกสมาธิ หากไม่ได้ฌาน ก็ไม่ได้ญาณ เมื่อไม่ได้ญาณ นิพพิทาญาณไม่เกิด แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เช่นนี้ นรกย่อมมีอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นั้นเป็นแน่แท้ ไม่แปรอื่น ไม่ชาติภพใดก็ชาติภพหนึ่ง ไม่อาจพ้นไปได้


ฝึกสมาธิไม่ได้ฌานและญาณเท่ากับสูญเปล่า
คนที่ฝึกสมาธิได้อภิญญามากมาย เช่น ฤษีในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดนั้น บ้างได้ตายลงไปเกิดเป็นงู เป็นสัตว์นรก ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้น ฝึกสมาธิขั้นสูง ได้อภิญญามากมาย แต่เสียดาย พวกเขาไม่ได้ญาณหยั่งรู้ที่สำคัญอันนำไปสู่การบรรลุธรรม ทำให้ต้องวนเวียนในสามภพไม่สิ้นสุดไปได้ ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำอย่างยิ่งว่า ฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อให้ได้แค่สมาธิ แต่ต้องให้ได้ฌาน แล้วฝึกฌานเพื่อให้ได้ญาณ อนึ่ง ญาณหยั่งรู้ทั้งหลายญาณใดๆ ไม่เท่านิพพิทาญาณเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากเป็นความหยั่งรู้ในความน่าเบื่อของเรื่องทางโลกีย์ที่ไม่สิ้นสุด จึงเป็นญาณเปิดทางสู่การบรรลุธรรมโดยแท้


การฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ
นับเป็นความล่อแหลมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างยิ่ง สำหรับการฝึกเอานิพพิทาญาณในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฌาน เพราะจิตที่อ่อนกำลัง ไม่มีความสงบสงัดรองรับสภาวะความจริงอันน่าเบื่อของโลก ความมายาหลอกลวงของโลก ความไม่เที่ยงไม่จีรังของโลก ความทุกข์ระทมของโลก ความลุ่มหลงมัวเมาของโลกนั้น ย่อมอาจนำบุคคลไปสู่การฆ่าตัวตายหนีโลกได้ ดังนั้น ก่อนการฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ จึงต้องมีการเตรียมใจเตรียมจิตให้พร้อม คือ ควรได้ฌานสี่ ในระดับที่คล่องแคล่วพอควร และแน่วแน่ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ควรมีทั้งวสีในฌานและตบะในฌานในระดับหนึ่ง เพราะหากขาดวสีในขณะที่เห็นความจริงอันแสนน่าเบื่อของโลกแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ฌาน รองรับอารมณ์สภาวธรรมไม่ทัน และเกิดอาการ “จิตตก” จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในขณะที่บางท่านไม่มี “ตบะ” เลย เมื่อได้เห็นความน่าเบื่อหน่ายของโลกนี้แล้ว แม้จิตเข้าสู่ภาวะฌานรออยู่ แต่หากได้เห็นความจริงของโลก แล้วเกิดอาการฌานเสื่อมถอยเพราะจิตตกทันควัน ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ ควรมีทั้งวสีและตบะในฌานในระดับหนึ่ง จึงไม่ขอกล่าวอธิบายเรื่องการทำวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณต่อไปในบทความนี้ (จำต้องถ่ายทอดตัวต่อตัว)
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
“นิพพิทาญาณ” ญาณที่ผู้ฝึกจิตหากไม่ได้ ก็เท่ากับสูญเปล่า


นิพพิทาญาณเป็นไฉน?
นิพพิทาญาณ คือ ญาณเบื่อโลก คือ ปัญญาที่หยั่งรู้เท่าถึงความไม่จีรัง ความมายา ความทุกข์ ความหลงมัวเมาที่เต็มอยู่ในโลก ความรู้สึกที่เบื่อหน่ายเรื่องทางโลกีย์อย่างยิ่ง เบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกอย่างยิ่ง จนละทิ้งบ้านเรือนออกแสวงหาสัจธรรม นี่คือ อาการของนิพพิทาญาณ ซึ่งจะเกิดเมื่อ จิตผู้หนึ่งมีความสงบสุขสงัดทางธรรมมากๆ แล้วหันกลับไปมองทางโลกก็รู้สึกแตกต่างจากความสุขทางธรรมได้แจ้งชัด ชัดเจน จึงหันหลังให้ทางโลก หรือเกิดจากความเบื่อสุดระอา เพราะความทุกข์อย่างยิ่งทางโลก แล้วได้พบธรรมเข้าพอดี เกิดความสงบสุขได้ จิตละจากทางโลกได้ฉับพลันเข้าหาทางธรรมทันทีก่อนที่จะไม่เหลือจิตสมประดี เช่น กรณีหญิงบ้าที่แก้ผ้าเข้าวัดไปหาพระพุทธองค์ สติของนางยังพอมีเหลืออยู่บ้างยังไม่ถึงขนาดขาดหมดไม่สมประดี เมื่อได้พบธรรม ได้พบพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมีพระมาโปรดให้ใจชุ่มเย็น ดับความเร่าร้อน แล้วได้สติ เห็นทางธรรมเป็นทางรอด จนได้บรรลุธรรมในที่สุด นี่ก็ต้องมีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นก่อน


ทำไมต้องได้นิพพิทาญาณ?
สำหรับท่านที่ฝึกสมาธิแล้วไม่ได้ฌาน ย่อมยังผลให้ไม่ได้ญาณด้วย นั่นหมายถึง ไม่เกิดนิพพิทาญาณขึ้นเลย ไม่มีความเบื่อหน่ายเรื่องโลกีย์ถึงขั้นละทิ้งบ้านเรือนเลย บุคคลนั้นแม้ได้เปรียญเก้าประโยค มีความรู้ทางธรรมท่วมหัว ก็ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากความทุกข์ไปได้ ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากนรกไปได้ (เพราะไม่บรรลุโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายในสามภพ นั่นหมายถึง นรกด้วย) ดังนั้น บุคคลผู้ฝึกสมาธิ หากไม่ได้ฌาน ก็ไม่ได้ญาณ เมื่อไม่ได้ญาณ นิพพิทาญาณไม่เกิด แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เช่นนี้ นรกย่อมมีอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นั้นเป็นแน่แท้ ไม่แปรอื่น ไม่ชาติภพใดก็ชาติภพหนึ่ง ไม่อาจพ้นไปได้


ฝึกสมาธิไม่ได้ฌานและญาณเท่ากับสูญเปล่า
คนที่ฝึกสมาธิได้อภิญญามากมาย เช่น ฤษีในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดนั้น บ้างได้ตายลงไปเกิดเป็นงู เป็นสัตว์นรก ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้น ฝึกสมาธิขั้นสูง ได้อภิญญามากมาย แต่เสียดาย พวกเขาไม่ได้ญาณหยั่งรู้ที่สำคัญอันนำไปสู่การบรรลุธรรม ทำให้ต้องวนเวียนในสามภพไม่สิ้นสุดไปได้ ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำอย่างยิ่งว่า ฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อให้ได้แค่สมาธิ แต่ต้องให้ได้ฌาน แล้วฝึกฌานเพื่อให้ได้ญาณ อนึ่ง ญาณหยั่งรู้ทั้งหลายญาณใดๆ ไม่เท่านิพพิทาญาณเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากเป็นความหยั่งรู้ในความน่าเบื่อของเรื่องทางโลกีย์ที่ไม่สิ้นสุด จึงเป็นญาณเปิดทางสู่การบรรลุธรรมโดยแท้


การฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ
นับเป็นความล่อแหลมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างยิ่ง สำหรับการฝึกเอานิพพิทาญาณในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฌาน เพราะจิตที่อ่อนกำลัง ไม่มีความสงบสงัดรองรับสภาวะความจริงอันน่าเบื่อของโลก ความมายาหลอกลวงของโลก ความไม่เที่ยงไม่จีรังของโลก ความทุกข์ระทมของโลก ความลุ่มหลงมัวเมาของโลกนั้น ย่อมอาจนำบุคคลไปสู่การฆ่าตัวตายหนีโลกได้ ดังนั้น ก่อนการฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ จึงต้องมีการเตรียมใจเตรียมจิตให้พร้อม คือ ควรได้ฌานสี่ ในระดับที่คล่องแคล่วพอควร และแน่วแน่ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ควรมีทั้งวสีในฌานและตบะในฌานในระดับหนึ่ง เพราะหากขาดวสีในขณะที่เห็นความจริงอันแสนน่าเบื่อของโลกแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ฌาน รองรับอารมณ์สภาวธรรมไม่ทัน และเกิดอาการ “จิตตก” จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในขณะที่บางท่านไม่มี “ตบะ” เลย เมื่อได้เห็นความน่าเบื่อหน่ายของโลกนี้แล้ว แม้จิตเข้าสู่ภาวะฌานรออยู่ แต่หากได้เห็นความจริงของโลก แล้วเกิดอาการฌานเสื่อมถอยเพราะจิตตกทันควัน ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ ควรมีทั้งวสีและตบะในฌานในระดับหนึ่ง จึงไม่ขอกล่าวอธิบายเรื่องการทำวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณต่อไปในบทความนี้ (จำต้องถ่ายทอดตัวต่อตัว)
:b38:



ท่านอโศกได้ข้อเขียนนี้มาแต่ไหน วานบอก :b10: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
จากท่านปรมาจารย์ กูเกิ้ลยังไงล่ะครับ

:b11: :b11:
การศึกษาบัญญัติเพื่อสร้างสัญญาที่แปลก ละเอียด ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไปหรือเหนือกว่าใครๆย่อมทำได้ไม่ยากเลยในยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่ ไอที กำลังจะครองโลก มันเป็นบัญญัติอันสุดแสนจะวิจิตรพิสดาร ถ้าใครหลงติดยึดมันเข้าไแล้วยากยิ่งนักที่จะถอนตัวออกได้

เรากำลังเป็นทาสของบัญญัติและสัญญา
ถูกสั่งใช้อยู่ภายใต้อำนาจของบัญญัติและสัญญา โดยมีตัณหาความทะยานอยากจากอำนาจของความยินดียินร้ายเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาอยู่ตลอดเวลา

กรัชกายเอ๋ยถ้ายังไม่เคยทำตนให้พ้นจากอำนาจของบัญญัติและสัญญาได้เป็นพักๆ จักไม่รู้ตัวเลยว่าเราเป็นทาสที่ดิ้นรนอยู่ใต้อำนาจของบัญญัติและสัญญาอย่างโงหัวไม่ขึ้น

ทางที่ฤาษีชีไพรทั้งหลายได้เพียรพยายามค้นคว้าทดลองทำมาก็ดี

ทางแห่งวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ล้วนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะปลดเปลื้องจิตวิญญาณของเราให้พ้นจากความเป็นทาสของบัญญัติและสัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 12:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
“นิพพิทาญาณ” ญาณที่ผู้ฝึกจิตหากไม่ได้ ก็เท่ากับสูญเปล่า

นิพพิทาญาณเป็นไฉน?
นิพพิทาญาณ คือ ญาณเบื่อโลก คือ ปัญญาที่หยั่งรู้เท่าถึงความไม่จีรัง ความมายา ความทุกข์ ความหลงมัวเมาที่เต็มอยู่ในโลก ความรู้สึกที่เบื่อหน่ายเรื่องทางโลกีย์อย่างยิ่ง เบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกอย่างยิ่ง จนละทิ้งบ้านเรือนออกแสวงหาสัจธรรม นี่คือ อาการของนิพพิทาญาณ ซึ่งจะเกิดเมื่อ จิตผู้หนึ่งมีความสงบสุขสงัดทางธรรมมากๆ แล้วหันกลับไปมองทางโลกก็รู้สึกแตกต่างจากความสุขทางธรรมได้แจ้งชัด ชัดเจน จึงหันหลังให้ทางโลก หรือเกิดจากความเบื่อสุดระอา เพราะความทุกข์อย่างยิ่งทางโลก แล้วได้พบธรรมเข้าพอดี เกิดความสงบสุขได้ จิตละจากทางโลกได้ฉับพลันเข้าหาทางธรรมทันทีก่อนที่จะไม่เหลือจิตสมประดี เช่น กรณีหญิงบ้าที่แก้ผ้าเข้าวัดไปหาพระพุทธองค์ สติของนางยังพอมีเหลืออยู่บ้างยังไม่ถึงขนาดขาดหมดไม่สมประดี เมื่อได้พบธรรม ได้พบพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมีพระมาโปรดให้ใจชุ่มเย็น ดับความเร่าร้อน แล้วได้สติ เห็นทางธรรมเป็นทางรอด จนได้บรรลุธรรมในที่สุด นี่ก็ต้องมีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นก่อน

ทำไมต้องได้นิพพิทาญาณ?
สำหรับท่านที่ฝึกสมาธิแล้วไม่ได้ฌาน ย่อมยังผลให้ไม่ได้ญาณด้วย นั่นหมายถึง ไม่เกิดนิพพิทาญาณขึ้นเลย ไม่มีความเบื่อหน่ายเรื่องโลกีย์ถึงขั้นละทิ้งบ้านเรือนเลย บุคคลนั้นแม้ได้เปรียญเก้าประโยค มีความรู้ทางธรรมท่วมหัว ก็ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากความทุกข์ไปได้ ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากนรกไปได้ (เพราะไม่บรรลุโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายในสามภพ นั่นหมายถึง นรกด้วย) ดังนั้น บุคคลผู้ฝึกสมาธิ หากไม่ได้ฌาน ก็ไม่ได้ญาณ เมื่อไม่ได้ญาณ นิพพิทาญาณไม่เกิด แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เช่นนี้ นรกย่อมมีอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นั้นเป็นแน่แท้ ไม่แปรอื่น ไม่ชาติภพใดก็ชาติภพหนึ่ง ไม่อาจพ้นไปได้


ฝึกสมาธิไม่ได้ฌานและญาณเท่ากับสูญเปล่า
คนที่ฝึกสมาธิได้อภิญญามากมาย เช่น ฤษีในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดนั้น บ้างได้ตายลงไปเกิดเป็นงู เป็นสัตว์นรก ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้น ฝึกสมาธิขั้นสูง ได้อภิญญามากมาย แต่เสียดาย พวกเขาไม่ได้ญาณหยั่งรู้ที่สำคัญอันนำไปสู่การบรรลุธรรม ทำให้ต้องวนเวียนในสามภพไม่สิ้นสุดไปได้ ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำอย่างยิ่งว่า ฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อให้ได้แค่สมาธิ แต่ต้องให้ได้ฌาน แล้วฝึกฌานเพื่อให้ได้ญาณ อนึ่ง ญาณหยั่งรู้ทั้งหลายญาณใดๆ ไม่เท่านิพพิทาญาณเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากเป็นความหยั่งรู้ในความน่าเบื่อของเรื่องทางโลกีย์ที่ไม่สิ้นสุด จึงเป็นญาณเปิดทางสู่การบรรลุธรรมโดยแท้


การฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ
นับเป็นความล่อแหลมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างยิ่ง สำหรับการฝึกเอานิพพิทาญาณในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฌาน เพราะจิตที่อ่อนกำลัง ไม่มีความสงบสงัดรองรับสภาวะความจริงอันน่าเบื่อของโลก ความมายาหลอกลวงของโลก ความไม่เที่ยงไม่จีรังของโลก ความทุกข์ระทมของโลก ความลุ่มหลงมัวเมาของโลกนั้น ย่อมอาจนำบุคคลไปสู่การฆ่าตัวตายหนีโลกได้ ดังนั้น ก่อนการฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ จึงต้องมีการเตรียมใจเตรียมจิตให้พร้อม คือ ควรได้ฌานสี่ ในระดับที่คล่องแคล่วพอควร และแน่วแน่ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ควรมีทั้งวสีในฌานและตบะในฌานในระดับหนึ่ง เพราะหากขาดวสีในขณะที่เห็นความจริงอันแสนน่าเบื่อของโลกแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ฌาน รองรับอารมณ์สภาวธรรมไม่ทัน และเกิดอาการ “จิตตก” จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในขณะที่บางท่านไม่มี “ตบะ” เลย เมื่อได้เห็นความน่าเบื่อหน่ายของโลกนี้แล้ว แม้จิตเข้าสู่ภาวะฌานรออยู่ แต่หากได้เห็นความจริงของโลก แล้วเกิดอาการฌานเสื่อมถอยเพราะจิตตกทันควัน ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ ควรมีทั้งวสีและตบะในฌานในระดับหนึ่ง จึงไม่ขอกล่าวอธิบายเรื่องการทำวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณต่อไปในบทความนี้ (จำต้องถ่ายทอดตัวต่อตัว)
:b38:


ที่อโสกะยกมานี้....อโสกะเห็นด้วยกับบทความนี้แล้ว..ใช่มั้ย?

เอาจากที่อื่นมาไม่ได้เขียนเอง....คือก๊อปปีบทความมา..ก็น่าจะก๊อปปีลิ้งค์ของบทความนั้น..มาแป้ะได้...นะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 12:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
เห็นด้วยหลายส่วน ที่ยังไม่เห็นด้วยก็มีครับ แต่มีประโยชน์ในเรื่องนิพพิทา
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 13:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
เห็นด้วยหลายส่วน ที่ยังไม่เห็นด้วยก็มีครับ แต่มีประโยชน์ในเรื่องนิพพิทา
onion


ผมว่า...บทความ..มันเป็นจิตนาการของคนเขียน...ซะมากกว่า..

เหมือนพวก..1+1=2....2×2=4...

อยากได้..2..4...ก็เอา1 เอา2...มาบวกลบคูณหาร..ตามสูตร..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
จากท่านปรมาจารย์ กูเกิ้ลยังไงล่ะครับ

การศึกษาบัญญัติเพื่อสร้างสัญญาที่แปลก ละเอียด ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไปหรือเหนือกว่าใครๆย่อมทำได้ไม่ยากเลยในยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่ ไอที กำลังจะครองโลก มันเป็นบัญญัติอันสุดแสนจะวิจิตรพิสดาร ถ้าใครหลงติดยึดมันเข้าไแล้วยากยิ่งนักที่จะถอนตัวออกได้

เรากำลังเป็นทาสของบัญญัติและสัญญา
ถูกสั่งใช้อยู่ภายใต้อำนาจของบัญญัติและสัญญา โดยมีตัณหาความทะยานอยากจากอำนาจของความยินดียินร้ายเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาอยู่ตลอดเวลา

กรัชกายเอ๋ยถ้ายังไม่เคยทำตนให้พ้นจากอำนาจของบัญญัติและสัญญาได้เป็นพักๆ จักไม่รู้ตัวเลยว่าเราเป็นทาสที่ดิ้นรนอยู่ใต้อำนาจของบัญญัติและสัญญาอย่างโงหัวไม่ขึ้น

ทางที่ฤาษีชีไพรทั้งหลายได้เพียรพยายามค้นคว้าทดลองทำมาก็ดี

ทางแห่งวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ล้วนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะปลดเปลื้องจิตวิญญาณของเราให้พ้นจากความเป็นทาสของบัญญัติและสัญญา


อ้างคำพูด:
จากท่านปรมาจารย์ กูเกิ้ลยังไงล่ะครับ

อิอิ จะเปรียบให้เห็นภาพ ใน อากู๋ เป็นเหมือนแหล่งปลาตกคลัก คือมีปลาทุกชนิดรวมอยู่ในแอ่งนั้น เป็นปลามีพิษก็มี (เยอะด้วย) ปลากินได้ก็มี คนจับปลาต้องแยกแยะออก เลือกเอาแต่ปลาที่กินได้ ถ้าแยกแยะไม่เป็นตนไม่มีความรู้มาก่อน เห็นเป็นปลาก็จับเอามากิน ถึงตายนะขอรับนะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
เห็นด้วยหลายส่วน ที่ยังไม่เห็นด้วยก็มีครับ แต่มีประโยชน์ในเรื่องนิพพิทา
onion


นิพพิทา เกิดจากการปฏิบัติทางจิต ไม่ใช่เกิดจากค้นหาจากแหล่งอากู๋

ท่านอโศกขอรับ เชื่อกรัชกายเถอะ กลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างที่เคยบอก ยังจำได้นะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 19:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
เห็นด้วยหลายส่วน ที่ยังไม่เห็นด้วยก็มีครับ แต่มีประโยชน์ในเรื่องนิพพิทา
onion


เห็นด้วยส่วนไหนบ้างคับ..

และ..ไม่เห็นด้วยส่วนไหน?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
จากท่านปรมาจารย์ กูเกิ้ลยังไงล่ะครับ

การศึกษาบัญญัติเพื่อสร้างสัญญาที่แปลก ละเอียด ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไปหรือเหนือกว่าใครๆย่อมทำได้ไม่ยากเลยในยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่ ไอที กำลังจะครองโลก มันเป็นบัญญัติอันสุดแสนจะวิจิตรพิสดาร ถ้าใครหลงติดยึดมันเข้าไแล้วยากยิ่งนักที่จะถอนตัวออกได้

เรากำลังเป็นทาสของบัญญัติและสัญญา
ถูกสั่งใช้อยู่ภายใต้อำนาจของบัญญัติและสัญญา โดยมีตัณหาความทะยานอยากจากอำนาจของความยินดียินร้ายเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาอยู่ตลอดเวลา

กรัชกายเอ๋ยถ้ายังไม่เคยทำตนให้พ้นจากอำนาจของบัญญัติและสัญญาได้เป็นพักๆ จักไม่รู้ตัวเลยว่าเราเป็นทาสที่ดิ้นรนอยู่ใต้อำนาจของบัญญัติและสัญญาอย่างโงหัวไม่ขึ้น

ทางที่ฤาษีชีไพรทั้งหลายได้เพียรพยายามค้นคว้าทดลองทำมาก็ดี

ทางแห่งวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ล้วนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะปลดเปลื้องจิตวิญญาณของเราให้พ้นจากความเป็นทาสของบัญญัติและสัญญา


ถามหน่อยดิ :b1:

บัญญัติ,สัญญา ได้แก่ อะไร หมายถึงอะไรขอรับ :b14:


ปอลิง. เห็นแล้วคันปาก :b32: ถามไปงั้นๆ คงไม่ตอบหรอก เพราะอะไรจึงไม่ตอบล่ะ ? เพราะตนเองก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร พืดไปงั้นเพื่อความเทห์ อุเทน พรหมมินทร์ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร