วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2016, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน..กับ..ในแบบที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณ...นี้..เหมือนกันตรงไหน..แล้วไปต่างกันตรงไหน?
.


ดูดูไป..ทำท่าจะเป็นหมั่น..
:b9: :b9: :b9:

อโสกะ..โดดหนีไปแล้ว... s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2016, 13:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
asoka เขียน:
ธรรมมา เขียน:
คุณเชื่อไหมว่าถ้าเกิดความเชื่อที่ถูกโมหะครอบงำแล้วละก็
คิดอย่างไรก็โง่อยู่ดี คิดให้ผมร่วงจนหัวล้านก็คิดไม่ถูก

:b8:
s006
ความเชื่ออย่างไรที่เรียกว่า

"ความเชื่อที่ถูกโมหะครอบงำ" ครับ คุณธรรมา กรุณาอธิบายและให้ตัวอย่างครับ
s004

นึกแล้วเชียวว่าต้องโง่

:b17:
อ้อ!....มีคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด แต่ตอบปัญหาไม่ได้ โผล่มาแล้วนะครับ

ชื่อธรรมา แต่แสดงวาจาเป็นธรรมเมา
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2016, 14:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน..กับ..ในแบบที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณ...นี้..เหมือนกันตรงไหน..แล้วไปต่างกันตรงไหน?
.

:b48:
การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน.นั้น เป็นการนิ่งเฉยที่เกิดจากการเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้ รูป วิญญาณหรือสัญญานั้นๆโดยเอากรรมฐานที่ตนเจริญอยู่มากลบบังไว้ เป็นเฉยแบบ ซื่อบื้อ เฉยแบบไม่รู้หรือเฉยแบบไร้ปัญญา

กับความนิ่งเฉยที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณนั้นเป็นความเฉยที่เป็นผลจากปัญญาไปรู้เห็นความจริงของรูป วิญญาณและสัญญาว่ามันเป็นเพียง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาไม่

มันเหมือนกันตรงเฉย แต่ต่างกันตรงอันหนึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา อันสองประกอบด้วยปัญญา

ไม่รู้ว่าตรงกับธงที่กบตั้งไว้หรือเปล่า แต่ตรงตามธรรม
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 04:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน..กับ..ในแบบที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณ...นี้..เหมือนกันตรงไหน..แล้วไปต่างกันตรงไหน?
.

:b48:
การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน.นั้น เป็นการนิ่งเฉยที่เกิดจากการเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้ รูป วิญญาณหรือสัญญานั้นๆโดยเอากรรมฐานที่ตนเจริญอยู่มากลบบังไว้ เป็นเฉยแบบ ซื่อบื้อ เฉยแบบไม่รู้หรือเฉยแบบไร้ปัญญา

กับความนิ่งเฉยที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณนั้นเป็นความเฉยที่เป็นผลจากปัญญาไปรู้เห็นความจริงของรูป วิญญาณและสัญญาว่ามันเป็นเพียง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาไม่

มันเหมือนกันตรงเฉย แต่ต่างกันตรงอันหนึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา อันสองประกอบด้วยปัญญา

ไม่รู้ว่าตรงกับธงที่กบตั้งไว้หรือเปล่า แต่ตรงตามธรรม
onion


ถ้าจะกล่าวหาว่า..เฉยต่อรูป..เฉยต่อวิญญาณ..เฉยต่อสัญญา..ของการเข้าสู่อรูปฌาน...เป็นกานเฉยแบบไม่มีปัญญา...ถ้าพูดลอยๆไม่มีหลักฐานว่าเขาทำกันยังงัย..ก็เท่ากับว่า..อโสกะก็พูดแบบไม่มีปัญญา..พูดแบบไม่มีความรู้...พูดแบบกล่าวหาลอยๆอย่างเดียว..นะคับ...ซึ่งคงไม่ใช่การกระทำของผู้มีปัญญา..แน่

อรูปฌาน..เขาทำแบบไหน..จึงว่า..เป็นการเฉยแบบไม่มีปัญญา..ละคับ?
(จะได้ไม่เผลอไปทำเข้า..)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 08:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน..กับ..ในแบบที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณ...นี้..เหมือนกันตรงไหน..แล้วไปต่างกันตรงไหน?
.

:b48:
การนิ่งเฉยต่อผัสสะ...ในรูป...เฉยต่อวิญญาณ..รึเฉยต่อสัญญา..ในแบบที่ทำให้ไปสู่อรูปฌาน.นั้น เป็นการนิ่งเฉยที่เกิดจากการเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้ รูป วิญญาณหรือสัญญานั้นๆโดยเอากรรมฐานที่ตนเจริญอยู่มากลบบังไว้ เป็นเฉยแบบ ซื่อบื้อ เฉยแบบไม่รู้หรือเฉยแบบไร้ปัญญา

กับความนิ่งเฉยที่ทำให้ไปสู่วิปัสสนาญาณนั้นเป็นความเฉยที่เป็นผลจากปัญญาไปรู้เห็นความจริงของรูป วิญญาณและสัญญาว่ามันเป็นเพียง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาไม่

มันเหมือนกันตรงเฉย แต่ต่างกันตรงอันหนึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา อันสองประกอบด้วยปัญญา

ไม่รู้ว่าตรงกับธงที่กบตั้งไว้หรือเปล่า แต่ตรงตามธรรม
onion


ถ้าจะกล่าวหาว่า..เฉยต่อรูป..เฉยต่อวิญญาณ..เฉยต่อสัญญา..ของการเข้าสู่อรูปฌาน...เป็นการเฉยแบบไม่มีปัญญา...ถ้าพูดลอยๆไม่มีหลักฐานว่าเขาทำกันยังงัย..ก็เท่ากับว่า..อโสกะก็พูดแบบไม่มีปัญญา..พูดแบบไม่มีความรู้...พูดแบบกล่าวหาลอยๆอย่างเดียว..นะคับ...ซึ่งคงไม่ใช่การกระทำของผู้มีปัญญา..แน่

อรูปฌาน..เขาทำแบบไหน..จึงว่า..เป็นการเฉยแบบไม่มีปัญญา..ละคับ?
(จะได้ไม่เผลอไปทำเข้า..)

:b38:
อากาสานัญจายตนะ- กำหนดจุดลงบนความว่างเปล่า คืออากาศ
วิญญาณัญจายตนะ- กำหนดอยู่กับความรู้ในกายละเอียด
อากิญจัญญายตนะ- จิตทิ้งทุกอารมณ์ อากาศก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี นิดนึงก็ไม่มี
เนวสัญญานาสัญญายตนะ-จิตไม่คำนึงถึงกายทิพย์ มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

วิธีฝึก อรูปฌานนั้นต้องเริ่มต้นที่รูปฌานก่อน ไม่ผ่านรูปฌานก็ไปอรูปฌานไม่ได้
เมื่อฝึกรูปฌานจนจิตละเอียดมากขึ้น มีความชำนาญดีแล้วจะได้ จิตจะมีความสามารถพอที่
เลื่อนระดับไปอรูปฌานเองเมื่อกำลังมากพอจึงกำนดเริ่มต้นเป็นลำดับไปเช่นกำหนดจุดลงบนความว่างเปล่า
ข้อควรระวัง ควรฝึกเพียงให้รู้เท่านั้น ปรกตินักปฎิบัติใช้ฌาน4 หรือฌานสุดท้ายของรูปฌาน
ในการทำวิปัสนาหรือวิชาญาณ
อรูปฌาน มีประโยชน์ในการพักเป็นวิหารธรรมอยู่ ทำให้จิตเกิดความสุขสบาย แต่ประโยชน์ยิ่งกว่านั้น
อยู่ที่รูปฌานครับ

ต่อให้ทำได้จริง แต่การสอนนั้นคนละเรื่องกัน เพราะต้องอาศัยทั้งปัญญาของผู้สอน
และปัญญาของผู้เรียนในระดับสูง ไม่ใช่ว่าจะสุ่มสี่สุ่มห้าสอนกันได้

อรูปฌาน มีทั้งที่มีสัมมาทิฎฐิเป็นฐาน สามารถบรรลุมรรคผลได้
และอรูปฌาน ที่ไม่มีสัมมาทิฎฐิเป็นฐาน ทำแล้วไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้
เว้นเสียแต่มีผู้แก้ทิฎฐิให้ ซึ่งโดยมากจะเป็นพระพุทธองค์เสียส่วนใหญ่


ต้องทำใจหน่อยนึงที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานไปนานแล้ว
หามีใครแนะนำได้อย่างพระองค์อีก หรือแม้แต่บุคคลอย่างท่านอาฬารดาบส
หรือท่านอุทกดาบสก็ยังหาได้ยากนัก เพราะฉะนั้น ต้องใช้ปัญญาตัวเองมากหน่อย
ที่สำคัญ อย่าได้หาอาจารย์สะเปะสะปะ ผู้บรรลุมีอยู่ แต่ถ้าไม่มีปัญญาจะค้นหา
อันนี้ก็ช่วยกันยากหน่อย เพราะมันขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละคนด้วย
เพราะผู้ศึกษาธรรมมีเยอะ แต่ผู้ทรงธรรมมีน้อย เราต้องไปหาเขา เขาจะไม่มาหาเรา

การทำอรูปฌาณอาศัยการเพ่งกรรมฐานคล้ายกสิณ โดยเริ่มต้นจากการวางรูปกรรมฐานไปสู่อรูปกรรมฐานคือความว่างอากาสานัญจะ ก่อน ได้ฌาณคือเข้าสมาธิลึกเป็นอัปณา อยู่กับอุเบกขาแล้วจึงเปลี่ยนกรรมฐานสู่วิญญานัญจะ อากิญฯ
ขึ้นไปถึงเนวสัญญาฯ ทั้งหมดได้ที่หมายอันเดียวกันคืออัปปณาในฌาณนั้นๆ ได้อุเบกขา เอกัคคตา เฉย ไม่ประกอบด้วยปัญญาที่ละเอียดอ่อนที่ยิ่งๆขึ้นไปเท่านั้นเอง
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัดติเถเถนา ยังไม่ทันทำอะเไรสักอย่าง ไปอรูปสมาบัติแระ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 11:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปัดติเถเถนา ยังไม่ทันทำอะเไรสักอย่าง ไปอรูปสมาบัติแระ :b32:


ทำยังงัย...ก็บอกอโสกะ..ไปดิ..อย่าเอาแต่งึมงัม

:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 11 พ.ย. 2016, 11:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปัดติเถเถนา ยังไม่ทันทำอะเไรสักอย่าง ไปอรูปสมาบัติแระ :b32:


ทำยังงัย...ก็บอกอโสกะ..ไปดิ..อย่าเอาแต่งึมงัม


คนยังไม่รู้จัก ยังแยกแยะคนเป็นคนตาย คนมีชีวิตไม่ออกแล้วไปบอกเรืองนี้คงยากจะเข้าใจ เสียเวลาปลูกผักหญ้าเปล่าๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 11:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปัดติเถเถนา ยังไม่ทันทำอะเไรสักอย่าง ไปอรูปสมาบัติแระ :b32:


ทำยังงัย...ก็บอกอโสกะ..ไปดิ..อย่าเอาแต่งึมงัม


คนยังไม่รู้จัก ยังแยกแยะคนเป็นคนตาย คนมีชีวิตไม่ออกแล้วไปบอกเรืองนี้คงยากจะเข้าใจ เสียเวลาปลูกผักหญ้าเปล่าๆ :b32:


ว่าเขาไปแล้ว..แล้วไม่บอกว่าผิดตรงไหน..ที่ถูกต้องอย่างไร...อย่างนี้มันจะถูกต้องหรอ?...

เอาหน่อยน่า...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 13:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ว่างัยดี..เอกอน
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปัดติเถเถนา ยังไม่ทันทำอะเไรสักอย่าง ไปอรูปสมาบัติแระ :b32:


ทำยังงัย...ก็บอกอโสกะ..ไปดิ..อย่าเอาแต่งึมงัม


คนยังไม่รู้จัก ยังแยกแยะคนเป็นคนตาย คนมีชีวิตไม่ออกแล้วไปบอกเรืองนี้คงยากจะเข้าใจ เสียเวลาปลูกผักหญ้าเปล่าๆ :b32:


ว่าเขาไปแล้ว..แล้วไม่บอกว่าผิดตรงไหน..ที่ถูกต้องอย่างไร...อย่างนี้มันจะถูกต้องหรอ?...

เอาหน่อยน่า...



ซ้ำให้กบฟังอีกที ซึ่งกบก็ด้วยเข้าใจธรรมะเอาเมื่อครั้งก่อกำเนิดโลกใหม่ๆ ครั้งง้วนดินหอมไปถึงพรหมโลกโน่น

พระพรหมอดรนทนความหอมของง้วนดินไม่ไหว เหาะลิ่วๆลงพื้นพิภพกินง้วนดินแล้ว รัศมีก็เสื่อมที่เคยเหาะได้ก็เหาะไม่ได้ เลยตกค้างอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ก็แตกเพศผู้เพศเมีย ผสมพันธ์กันมาจนถึงบัดนี้ ครั้งนั้น ข้าวเปลือกเท่ามะพร้าว มะพร้าวเท่าโอ่งมังกร ฯลฯ

ถ้าเข้าใจธรรมอย่างอโศกอย่างกบนะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อเห็นเผิด ความดำริก็ผิด เป็นมิจฉาสังกัปปะ ฯลฯ

ถ้าแบบนี้ บอกว่าควรเริ่มต้นที่จุดสตาร์ต เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญตักบาตรตอนเช้าๆ ปิดทองฝังลูกนิมิต ปล่อยนก ปล่อยโคกระบือ เป็นต้นไปก่อน เชื่อดิ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 16:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปัดติเถเถนา ยังไม่ทันทำอะเไรสักอย่าง ไปอรูปสมาบัติแระ :b32:


ทำยังงัย...ก็บอกอโสกะ..ไปดิ..อย่าเอาแต่งึมงัม


คนยังไม่รู้จัก ยังแยกแยะคนเป็นคนตาย คนมีชีวิตไม่ออกแล้วไปบอกเรืองนี้คงยากจะเข้าใจ เสียเวลาปลูกผักหญ้าเปล่าๆ :b32:


ว่าเขาไปแล้ว..แล้วไม่บอกว่าผิดตรงไหน..ที่ถูกต้องอย่างไร...อย่างนี้มันจะถูกต้องหรอ?...

เอาหน่อยน่า...



ซ้ำให้กบฟังอีกที ซึ่งกบก็ด้วยเข้าใจธรรมะเอาเมื่อครั้งก่อกำเนิดโลกใหม่ๆ ครั้งง้วนดินหอมไปถึงพรหมโลกโน่น

พระพรหมอดรนทนความหอมของง้วนดินไม่ไหว เหาะลิ่วๆลงพื้นพิภพกินง้วนดินแล้ว รัศมีก็เสื่อมที่เคยเหาะได้ก็เหาะไม่ได้ เลยตกค้างอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ก็แตกเพศผู้เพศเมีย ผสมพันธ์กันมาจนถึงบัดนี้ ครั้งนั้น ข้าวเปลือกเท่ามะพร้าว มะพร้าวเท่าโอ่งมังกร ฯลฯ

ถ้าเข้าใจธรรมอย่างอโศกอย่างกบนะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อเห็นเผิด ความดำริก็ผิด เป็นมิจฉาสังกัปปะ ฯลฯ

ถ้าแบบนี้ บอกว่าควรเริ่มต้นที่จุดสตาร์ต เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำบุญตักบาตรตอนเช้าๆ ปิดทองฝังลูกนิมิต ปล่อยนก ปล่อยโคกระบือ เป็นต้นไปก่อน เชื่อดิ :b32:


ตามใจ...ไม่พูด..ก็ไม่พูด...

ทีหลัง...หากรู้ว่าไม่พูด...ไม่รู้ว่าถูกมันเป็นยังงัย...ก็อย่าไปว่าชาวบ้านว่าผิด...กินนมดูทีวีไป..ไม่มีใครว่า..

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 17:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ว่างัยดี..เอกอน
:b12: :b12:


^^ อิอิ รู้อีกว่าแอบย่องเข้ามาส่อง ๆ

:b1:

กับคำถามในเรื่อง "นิ่งเฉยอย่างมีปัญญา"

คือ นิ่ง ก็อาจจะไม่ได้ สงบ
สงบ ก็อาจจะไม่ได้ นิ่ง
เหตุและผลของการนิ่ง ก็อาจจะใช่ และ ไม่ใช่ ปัญญา
ปัญญา ก็อาจจะไม่ได้แสดงออกมาในทาง นิ่ง หรือ ไม่นิ่ง
แต่ จิตที่สงบได้ นิ่งได้ ย่อมมีส่วนแห่งปัญญา ประกอบอยู่

การปรากฎอันเป็นนัยยะแห่ง ปัญญา นั่นยังไม่ได้หมายความว่า อวิชชา จะดับได้สนิทในคราวนี้ คราวนั้น หรือคราวไหน

ก็เมื่อถ้าเห็นว่ามี"ลักษณะแห่งปัญญา" ปรากฏ หรือ เมื่อเห็น"เรื่องราวแห่งปัญญา" ปรากฎ
เมื่อรู้เท่าทัน ในสิ่งที่ปรากฎเสียด้วยแล้ว ว่าอะไร ประกอบกันจึงปรากฎซึ่งปัญญา
จนที่สุดแล้ว...พบว่าสิ่งที่ปรากฎนั้นส่งผลให้ อวิชชา ดับไปได้...นั่นล่ะ

...ก็เป็นอันว่า...ได้เห็นหนทางอันที่จะวางความหมายมั่น...ลงได้
การวางความหมายมั่นลงได้ ผลโดยเบื้องต้นเลย คือ จิตย่อมแสดงความ สงบเย็น สุขเย็น ให้ปรากฎ

... :b12: ...

เมื่อนั้น เมื่อนั่งมองอะไร คิดอะไร ทบทวนอะไร ก็จะเห็นธรรมอันเป็นไปตามปัจจัย

ซึ่งมันก็จะรู้เองว่า นิ่งเฉย...นิ่งรู้...นิ่งสังเกต...นิ่งสารพัดจะนิ่ง
ไม่ว่าจะนิ่งอะไรก็ตาม มันก็เป็นสภาวะธรรม ที่มีปรากฎ และ มีดับไป

ไม่มีอะไรที่จะหมายมั่นได้ แม้ความนิ่งก็หมายมั่นไม่ได้
แม้ความเข้าใจในธรรม(ปัญญา)อันได้มาจากการนิ่ง ก็หมายมั่นไม่ได้

บางครั้ง คนหมายมั่นเพื่อที่จะเข้าถึงการมากซึ่งปัญญา
หมายมั่นในความพยายามที่จะนิ่งเพื่อให้เข้าถึงความนิ่งยิ่งขึ้น
มันก็แฝงด้วยความฟุ้งซ่าน มันเป็นความฟุ้งซ่านที่ลุ่มลึก จนยากจะรู้

ต่อเมื่อ...อวิชชา...ดับสนิทนั้นล่ะ
จึงจะทบทวนกระบวนการต่าง ๆ แห่งจิต
ที่เมื่อปรากฎเกิด และเมื่อปรากฎการหมายมั่นต่าง ๆ จนเมื่อถอดถอนความหมายมั่น

บางครั้งอาจจะไม่ต้องพยายาม นิ่งรู้ นิ่งสังเกต นิ่งอะไรต่อมิอะไร

เพียงแค่...หยั่งใจตัวเองตลอด ๆ ก็พอ ว่าตอนนี้จิตสงบมั๊ย
เมื่อจิตสงบก็พิจารณาธรรมที่ปรากฎตามวาระ ไม่ต้องนิ่งหรอก
แค่รู้ว่า จิตสงบ ก็พอ

:b1: ...เน๊อะ... :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 11 พ.ย. 2016, 18:55, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 18:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

คือ บางครั้ง ปฏิบัติไป
ผู้ปฏิบัติก็อาจจะกลายเป็น ปฏิบัติเพื่อแสวงหาความนิ่ง แสวงหาปัญญาไป

การเฝ้าสังเกตศึกษาจิต ต้องหยั่งใจตัวเองให้ออกว่า ไอ้ที่เวลานิ่ง ๆ นั่นน่ะ
ไม่ว่าจะนิ่งยังไงก็ตาม
ผู้ปฏิบัติต้องบอกได้ว่า จิตมันเงียบ เหมือนคนหูหนวกตาบอด
ที่ในหัวมีแต่ความคิดที่จะควานหาเสียง ควานหาแสงสว่าง ควานหาทางออกจากความมืดรึเปล่า
ถ้า..."ใช่" ก็คือ "ใช่" มันก็คือจิตที่แสวงหานั่นเอง แม้จะเป็นความนิ่งที่ละเอียดแค่ไหน
มันก็ เป็นความฟุ้งไปในสภาวะอันละเมียดของมันนั่นล่ะ ฟุ้งไปในทางอันเป็นกุศล

ถ้าผู้ปฏิบัติอยู่ในสภาวะที่อึกทึกครึกโครม แต่หยั่งได้ว่า ใจตนนั้น สงบอยู่
จิตตัวนี้ มันไม่ได้อยู่ในสภาวะดิ้นรน ควานหา แสวงหาสภาวะธรรมอันยิ่งกว่าอะไร
มันก็คือจิตที่ สงบ

คือบางทีเอกอนก็ตอบคำถามอะไรต่อมิอะไรได้ยากเหมือนกันนะ

เพราะถ้าหากว่าเอกอนเจอสถานการณ์ที่มีแรงกระทำต่อจิต
แต่จิตเอกอนแสดงสภาวะที่ทรงตัวสงบอยู่ได้
ซึ่งเอกอนก็ไม่เคยต้องมีบทธรรมอะไรที่จะต้องมาจัดการอะไรกับจิตนั้นเลย
เอกอนมองไม่เห็น ปัญญาอะไรในความคิด มองไปก็เหมือน คนไม่มีปัญญา
แต่จิตสงบอยู่ได้เป็นปกติสุขดี ก็น่าจะเป็นว่า...ปัญญาจะเป็นสภาวะธรรมของจิตในขณะนั้นอยู่
และเอกอนก็ไม่เคยเข้าไปทำเป็นอยากจะรู้อะไรเรื่องเค้า เพราะไม่อยากจะกวนเขา เขาสงบก็สงบ
คือ...ยอมไม่รู้เรื่องของเขาในยามที่สงบ ยอมไม่รู้ คือ ยอมโง่ในเรื่องที่เขาสงบสักเรื่อง
เอกอนก็เลยไม่เคย แสวงหาการต้องทำนิ่งรู้ นิ่งสังเกต หรือนิ่งอะไร เพื่อขุดคุ้ยอะไรเกี่ยวกับเขาต่อ
ว่า สงบแล้ว จิตจะไปไหนต่อ ...
เพราะ ตัวเองก็ไม่ได้ต้องการ และจิตมันก็ไม่ได้แสดงความต้องการ

เมื่อหยั่งจิตแล้ว เห็นจิตสงบ จบ

ก็ต้องยอมที่จะอยู่อย่าง คนไร้ปัญญา :b1: คนไร้ปัญญา ... ^^

ซึ่งจิตที่สงบ มันไม่ได้สนใจ โลกนี้ โลกหน้า โลกไหน
มันไม่ได้มีเรื่องราว "ปัญญา" ใด ๆ ที่จิตจะอยากรู้อยากเห็น

ไอ้ที่อยากรู้อยากเห็น ปัญญาโนน่ นี่ นั่น
นั่นมัน จิตมันดิ้นรนอยากรู้ หรือ ผู้ที่กำกับดูแลจิตอยากรู้ กันแน่

ลองให้จิต "สงบ" สิ่ แล้วมองเขาอย่างชัด ๆ ว่า ความอยากหลุดพ้น การอยากก้าวไปสู่สถาวะที่ยิ่งขึ้น
มันปรากฎได้อย่างไร
เพราะ จิตที่สงบ หรือ เพราะ จิตที่มีสิ่งใดมากระตุ้น

ซึ่งในชีวิตนี้ ถ้าผู้ใดอยู่ได้โดยที่ ...ไม่ต้องคอยกังวลกับการต้องคอยสังเกตพฤติกรรมจิต
...ไม่ต้องเฝ้าดูศึกษาพฤติกรรมของจิตตลอดเวลา เพื่อคอยหาบทธรรมมาคอยกำชับอบรมสั่งสอนจิต
ไม่ต้องต้องคอยทำโนน่ ทำนี่ เพื่อให้จิตนั้น มีปัญญา
นั่นคือ จิตของเขาได้รับการอบรมดีแล้ว ...

ที่สุดแล้ว ปัญญา วิชชา ที่ทำให้ อวิชชาดับลงได้ จิตก็สงบ ...

บางที คำตอบที่เป็นคำตอบที่เพียงพอต่อ จิต
แต่มันเพียงพอต่อผู้ปฏิบัติ ... รึยัง ...เท่านั้นล่ะ

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 11 พ.ย. 2016, 19:41, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 19:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านยังไม่จบ..

แต่..นิ่งแต่ไม่สงบ....นี้..

:b17: :b17: :b17:

ให้..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร