วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 17:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 159 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
cool
การถึงภูมิธรรมแล้วรู้ภูมิผู้ที่เสมอกัน นั้นก็เป็นทางหนึ่งที่ใช่

แต่การได้อยู่คลุกคลีใกล้ชิดกับท่านผู้มีภูมิธรรมตั้งแต่โสดาบันถึงอรหันต์ก็อาจทำให้เรามีโอกาสได้รู้สิ่งที่ชาวบ้านชาวโลกทั้งหลายอย่างน้องรสรินนี้เป็นต้น ไม่รู้นะจ๊ะ

ได้รู้แล้วจึงอดเอามาแบ่งปันเล่าสูกันฟังไม่ได้

พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่

"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์ เป็นธรรมชาติและปกติธรรมดาของท่านด้วย

น้องรสรินทำได้หรือยังจ๊ะ ถ้ายัง มรรคที่คิดว่าได้ว่าถึงก็อาจจะยังไม่ใช่ไม่จริงก็ได้นะครับ
s006


เพลียจิต...อโสกะ

ขอโทษนะถ้าจะพูดว่า...หากพูดอย่างนี้..ก็รู้เลยว่า..คนที่พูดให้อโสกะฟัง..อยู่ตรงไหน...

บอกยังงัยก็ไม่เก็ท...ชอบไปเก็ทกะใครก็ม่ายรู้...ชอบนัก..นอกตำรา...
แต่ก็อย่าว่าแหละ...มันเป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่ง...

s004
กบก็เป็นเหมือนน้องรสรินอีกคนหนึ่งแล้ว

ไม่เจอของจริงเลยไม่ยอมเชื่อ คงต้องปล่อยให้บุญถึง บารมีพอแล้วค่อยได้พบพระอริยเจ้าจริงๆด้วยตัวเองนะครับ

Kiss


ผมกล้าพูด...อย่างนั้น...เพราะ....จุด..จุด...

อโสกะ...กล้าพิสูจน์มั้ย?

แค่เรื่องกลั้นหายใจ..แล้วว่าพระพุทธเจ้าสลับ..ลำดับในมหาสติปัฎฐานสูตร..นี้..ผมก็รู้แล้วว่า..อยู่ตรงไหน..

มันไม่ใช่ความผิดหรอกครับ..มันเป็นธรรมดา..

ส่วนที่ว่า...สกิทาคามี...อย่างที่อโสกะว่ามา...นั้นนะ...มันเกินไป...ก็แสดงว่า..คิดเอง..จิตนาการไปเอง..

ก็แค่นั้น...

อโสกะ...ศรัทธามากไป...ทำให้เกาะคำสอนนั้น..จนเป็นอุปทานได้..เลยไม่ไปไหน...ใครพูดอะไร..ก็ฟังไม่เข้าใจ..รึไม่ฟังซะเลย..

การนิ่งเฉยๆ..ก็เช่นกัน...ถ้าอโสกะไม่เคยเข้าอรูปฌาน..อโสกะจะแยกไม่ออกเลยว่า..ระหว่างการเฉยเพราะวิธีเข้าอรูปฌาน..กับการเฉยแบบ..วิปัสสนาญาน..ต่างกันยังงัย...

ผมเคยพูดกับอโสกะเรื่องนี้..มานานแล้วนะ..จำได้มั้ย?

ถ้าอโสกะจะพิสูจน์..ว่าจริงมั้ย...ก็ต้องลองทำดู...ละคับ

:b12: :b16: :b1:
กบก็คงคาดเดาเอาตามความคิดความเห็นอนุมานเอาของตนเองเช่นเดิมไม่เคยได้เจอคนจริงของจริง

ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน

ส่วนเรื่องนิ่งรู้นิ่งสังเกตนั้นมันเป็นบาทฐานของวิปัสสนาเริ่มจากขณิกะและอุปจาระสมาธิเท่านั้น มิได้จำเป็นต้องไปเข้าถึงอรูปฌาณอย่างที่กบว่า ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปเข้ารูปฌาณ อรูปฌาณ ถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนา

:b11:

Kiss
พระอรหันต์น่ะท่านคิดแค่ความคิดของท่านเป็นความจริงแล้วเป็นอันเดียวกับพระพุทธเจ้าคือรู้นิพพาน
ความจริงกับคิดเป็นอันเดียวกันแล้วไม่ใช่ท่านไม่คิดเพราะท่านก็ยังมีสัญญาไม่งั้นเอาอะไรมาบอกต่อ
ศึกษาคำสอนแต่ไม่เข้าใจก็ถึงกุศลไม่ได้เลยค่ะจำเป็นต้องพึ่งคำสอนในการคิดไม่ใช่คิดนึกเป็นสัญญา
ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงคือต้องรู้ความไม่รู้ที่จิตตนมีไม่ไปจำคำของพระพุทธเจ้าเอามาพูด
พระอรหันต์ท่านรู้ความจริงและพูดคือคิดออกเสียงแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นท่านพิจารณาธรรมไว้ในใจรู้ยัง
:b31: :b31: :b31:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 19:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
cool
การถึงภูมิธรรมแล้วรู้ภูมิผู้ที่เสมอกัน นั้นก็เป็นทางหนึ่งที่ใช่

แต่การได้อยู่คลุกคลีใกล้ชิดกับท่านผู้มีภูมิธรรมตั้งแต่โสดาบันถึงอรหันต์ก็อาจทำให้เรามีโอกาสได้รู้สิ่งที่ชาวบ้านชาวโลกทั้งหลายอย่างน้องรสรินนี้เป็นต้น ไม่รู้นะจ๊ะ

ได้รู้แล้วจึงอดเอามาแบ่งปันเล่าสูกันฟังไม่ได้

พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่

"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์ เป็นธรรมชาติและปกติธรรมดาของท่านด้วย

น้องรสรินทำได้หรือยังจ๊ะ ถ้ายัง มรรคที่คิดว่าได้ว่าถึงก็อาจจะยังไม่ใช่ไม่จริงก็ได้นะครับ
s006


เพลียจิต...อโสกะ

ขอโทษนะถ้าจะพูดว่า...หากพูดอย่างนี้..ก็รู้เลยว่า..คนที่พูดให้อโสกะฟัง..อยู่ตรงไหน...

บอกยังงัยก็ไม่เก็ท...ชอบไปเก็ทกะใครก็ม่ายรู้...ชอบนัก..นอกตำรา...
แต่ก็อย่าว่าแหละ...มันเป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่ง...

s004
กบก็เป็นเหมือนน้องรสรินอีกคนหนึ่งแล้ว

ไม่เจอของจริงเลยไม่ยอมเชื่อ คงต้องปล่อยให้บุญถึง บารมีพอแล้วค่อยได้พบพระอริยเจ้าจริงๆด้วยตัวเองนะครับ

Kiss


ผมกล้าพูด...อย่างนั้น...เพราะ....จุด..จุด...

อโสกะ...กล้าพิสูจน์มั้ย?

แค่เรื่องกลั้นหายใจ..แล้วว่าพระพุทธเจ้าสลับ..ลำดับในมหาสติปัฎฐานสูตร..นี้..ผมก็รู้แล้วว่า..อยู่ตรงไหน..

มันไม่ใช่ความผิดหรอกครับ..มันเป็นธรรมดา..

ส่วนที่ว่า...สกิทาคามี...อย่างที่อโสกะว่ามา...นั้นนะ...มันเกินไป...ก็แสดงว่า..คิดเอง..จิตนาการไปเอง..

ก็แค่นั้น...

อโสกะ...ศรัทธามากไป...ทำให้เกาะคำสอนนั้น..จนเป็นอุปทานได้..เลยไม่ไปไหน...ใครพูดอะไร..ก็ฟังไม่เข้าใจ..รึไม่ฟังซะเลย..

การนิ่งเฉยๆ..ก็เช่นกัน...ถ้าอโสกะไม่เคยเข้าอรูปฌาน..อโสกะจะแยกไม่ออกเลยว่า..ระหว่างการเฉยเพราะวิธีเข้าอรูปฌาน..กับการเฉยแบบ..วิปัสสนาญาน..ต่างกันยังงัย...

ผมเคยพูดกับอโสกะเรื่องนี้..มานานแล้วนะ..จำได้มั้ย?

ถ้าอโสกะจะพิสูจน์..ว่าจริงมั้ย...ก็ต้องลองทำดู...ละคับ

:b12: :b16: :b1:
กบก็คงคาดเดาเอาตามความคิดความเห็นอนุมานเอาของตนเองเช่นเดิมไม่เคยได้เจอคนจริงของจริง

ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน

ส่วนเรื่องนิ่งรู้นิ่งสังเกตนั้นมันเป็นบาทฐานของวิปัสสนาเริ่มจากขณิกะและอุปจาระสมาธิเท่านั้น มิได้จำเป็นต้องไปเข้าถึงอรูปฌาณอย่างที่กบว่า ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปเข้ารูปฌาณ อรูปฌาณ ถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนา

:b11:


ผมไม่ได้ว่าอโสกะ..เข้าอรูปฌานได้นะ..แค่ใช้วิธีการแบบเดียวกับอรูปฌานเท่านั้น..

ส่วนตัวอโสกะเอง..ดูแล้ว..ยังไม่ใช่ผู้ทรงฌาน..อะไร


ไม่เคยเจอคนจริงของจริง..นะหรอ..
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 20:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน


ใครจะว่าตัวเองไปถึงไหนแล้ว..นั้น..ผมไม่ว่าอะไรดอก...แต่จะให้ผมเชื่อด้วยสภาวะที่อโสกะเล่ามานั้นนะ...ผมว่ายังเชื่อไม่ได้...มีอย่างที่ไหน..แค่สกิทาคามี.จะสั่งให้คิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้.
อ้างคำพูด:
พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์
.
นี้เวอร์เกินจริง..คนไม่รู้ก็อาจจะอึ่ง..ทึ่งกันไป..แต่ไม่ใช่ผม....ดูดูแล้วอาจจะเทียบบางคนที่แอบแฝงในลานแห่งนี้..ไม่ได้ด้วยซ้ำ..

.สกิทาคามี...สงบความโกรธได้เร็วกว่าโสดาบันเท่านั้น..ยังปหาญความโกรธไม่ได้เลยนะ...แสดงให้เห็นว่า..ยังไม่หมดฟุ่งซ่าน...ยังไม่พ้นนิวรณ์....ก็ถ้าสั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?....มีมั้ย..ที่สกิทาคามี..คิดว่า..เอ่อ..ผัสสะนี้โกรธดีกว่า..ผัสสะนี้ไม่โกรธดีกว่า :b32: :b32:

อย่ามาบอกนะ..ว่า..กบไม่เคยเจอคนจริงของจริง..แล้วจะไปรู้อะไร
ผมจะเจอ..รึ..ไม่เจอ..นี้..อโสกะจะรู้ได้จากอะไรคับ?...

อโสกะอย่าเอาศรัทธามาบังความจริง..ซฺิคับ...

ลองคิดตามคำถามของผมดูซิ..ว่า..จริง..รึ..ไม่จริง..ยังงัย?
ก็ถ้าสกิทาคามี...สั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?

อ้าว..นี้ว่ากันตามจริง...นะเอ้อ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 06:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน


ใครจะว่าตัวเองไปถึงไหนแล้ว..นั้น..ผมไม่ว่าอะไรดอก...แต่จะให้ผมเชื่อด้วยสภาวะที่อโสกะเล่ามานั้นนะ...ผมว่ายังเชื่อไม่ได้...มีอย่างที่ไหน..แค่สกิทาคามี.จะสั่งให้คิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้.
อ้างคำพูด:
พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์
.
นี้เวอร์เกินจริง..คนไม่รู้ก็อาจจะอึ่ง..ทึ่งกันไป..แต่ไม่ใช่ผม....ดูดูแล้วอาจจะเทียบบางคนที่แอบแฝงในลานแห่งนี้..ไม่ได้ด้วยซ้ำ..

.สกิทาคามี...สงบความโกรธได้เร็วกว่าโสดาบันเท่านั้น..ยังปหาญความโกรธไม่ได้เลยนะ...แสดงให้เห็นว่า..ยังไม่หมดฟุ่งซ่าน...ยังไม่พ้นนิวรณ์....ก็ถ้าสั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?....มีมั้ย..ที่สกิทาคามี..คิดว่า..เอ่อ..ผัสสะนี้โกรธดีกว่า..ผัสสะนี้ไม่โกรธดีกว่า :b32: :b32:

อย่ามาบอกนะ..ว่า..กบไม่เคยเจอคนจริงของจริง..แล้วจะไปรู้อะไร
ผมจะเจอ..รึ..ไม่เจอ..นี้..อโสกะจะรู้ได้จากอะไรคับ?...

อโสกะอย่าเอาศรัทธามาบังความจริง..ซฺิคับ...

ลองคิดตามคำถามของผมดูซิ..ว่า..จริง..รึ..ไม่จริง..ยังงัย?
ก็ถ้าสกิทาคามี...สั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?

อ้าว..นี้ว่ากันตามจริง...นะเอ้อ..

:b13: :b32:
ช่างฟังดูแล้วตลกสิ้นดีกับคำพูดของคนที่ไม่มีผลปฏิบัติจริงรองรับและความไม่ได้คลุกคลีกับ มหากัลยาณมิตร คือพระอริยเจ้าทั้งหลาย

ความสามารถสั่งใช้ความคิดได้ดั่งใจนั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลทั้งหลาย โดยสามารถสั่งได้มากน้อย เร็วหรือนานได้ตามระดับขั้นของมรรค ผล ที่ท่านทำได้ ถ้าอุปมาเป็น
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้นึกภาพออก
พระอรหันต์ สั่งใช้ความนึกคิดได้ 100%
พระอนาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 75%
พระสกิทาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 50%
พระโสดาบัน สั่งใช้ความนึกคิดได้ 25%

ที่กบเอาความโกรธมาชีวัดความเป็นอริยะแต่ละชั้นก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถเอาอุปมาอุปมัยดังตัวอย่างมาเทียบวัดได้เช่นกัน

พระอรหันต์ หมดความโกรธได้ 100%
พระอนาคามี หมดความโกรธได้ 75%
พระสกิทาคามี หมดความโกรธได้50%
พระโสดาบัน หมดความโกรธได้ 25%

จุลโสดาบัน อาจจะหมดความโกรธได้ 12.5 %
กัลยาณชนอาจจะหมดความโกรธได้ 6%

ปุถุชน มีความโกรธอยู่เต็ม 100%

พูดอุปมาอุปมัยให้ฟังให้ดูอย่างนี้ กบกับกรัชฯ จะพอคิดได้
เข้าใจเรื่องที่กังขาไหมครับ

:b12:
:b13:
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน


ใครจะว่าตัวเองไปถึงไหนแล้ว..นั้น..ผมไม่ว่าอะไรดอก...แต่จะให้ผมเชื่อด้วยสภาวะที่อโสกะเล่ามานั้นนะ...ผมว่ายังเชื่อไม่ได้...มีอย่างที่ไหน..แค่สกิทาคามี.จะสั่งให้คิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้.
อ้างคำพูด:
พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์
.
นี้เวอร์เกินจริง..คนไม่รู้ก็อาจจะอึ่ง..ทึ่งกันไป..แต่ไม่ใช่ผม....ดูดูแล้วอาจจะเทียบบางคนที่แอบแฝงในลานแห่งนี้..ไม่ได้ด้วยซ้ำ..

.สกิทาคามี...สงบความโกรธได้เร็วกว่าโสดาบันเท่านั้น..ยังปหาญความโกรธไม่ได้เลยนะ...แสดงให้เห็นว่า..ยังไม่หมดฟุ่งซ่าน...ยังไม่พ้นนิวรณ์....ก็ถ้าสั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?....มีมั้ย..ที่สกิทาคามี..คิดว่า..เอ่อ..ผัสสะนี้โกรธดีกว่า..ผัสสะนี้ไม่โกรธดีกว่า :b32: :b32:

อย่ามาบอกนะ..ว่า..กบไม่เคยเจอคนจริงของจริง..แล้วจะไปรู้อะไร
ผมจะเจอ..รึ..ไม่เจอ..นี้..อโสกะจะรู้ได้จากอะไรคับ?...

อโสกะอย่าเอาศรัทธามาบังความจริง..ซฺิคับ...

ลองคิดตามคำถามของผมดูซิ..ว่า..จริง..รึ..ไม่จริง..ยังงัย?
ก็ถ้าสกิทาคามี...สั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?

อ้าว..นี้ว่ากันตามจริง...นะเอ้อ..


ช่างฟังดูแล้วตลกสิ้นดีกับคำพูดของคนที่ไม่มีผลปฏิบัติจริงรองรับและความไม่ได้คลุกคลีกับ มหากัลยาณมิตร คือพระอริยเจ้าทั้งหลาย

ความสามารถสั่งใช้ความคิดได้ดั่งใจนั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลทั้งหลาย โดยสามารถสั่งได้มากน้อย เร็วหรือนานได้ตามระดับขั้นของมรรค ผล ที่ท่านทำได้ ถ้าอุปมาเป็น
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้นึกภาพออก
พระอรหันต์ สั่งใช้ความนึกคิดได้ 100%
พระอนาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 75%
พระสกิทาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 50%
พระโสดาบัน สั่งใช้ความนึกคิดได้ 25%

ที่กบเอาความโกรธมาชีวัดความเป็นอริยะแต่ละชั้นก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถเอาอุปมาอุปมัยดังตัวอย่างมาเทียบวัดได้เช่นกัน

พระอรหันต์ หมดความโกรธได้ 100%
พระอนาคามี หมดความโกรธได้ 75%
พระสกิทาคามี หมดความโกรธได้50%
พระโสดาบัน หมดความโกรธได้ 25%

จุลโสดาบัน อาจจะหมดความโกรธได้ 12.5 %
กัลยาณชนอาจจะหมดความโกรธได้ 6%

ปุถุชน มีความโกรธอยู่เต็ม 100%

พูดอุปมาอุปมัยให้ฟังให้ดูอย่างนี้ กบกับกรัชฯ จะพอคิดได้
เข้าใจเรื่องที่กังขาไหมครับ


อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากเป็นอริยะ ไม่อยากเกิดอีก ... เห็นแต่ความทยานอยากในใจท่านอโศกนะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน


ใครจะว่าตัวเองไปถึงไหนแล้ว..นั้น..ผมไม่ว่าอะไรดอก...แต่จะให้ผมเชื่อด้วยสภาวะที่อโสกะเล่ามานั้นนะ...ผมว่ายังเชื่อไม่ได้...มีอย่างที่ไหน..แค่สกิทาคามี.จะสั่งให้คิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้.
อ้างคำพูด:
พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์
.
นี้เวอร์เกินจริง..คนไม่รู้ก็อาจจะอึ่ง..ทึ่งกันไป..แต่ไม่ใช่ผม....ดูดูแล้วอาจจะเทียบบางคนที่แอบแฝงในลานแห่งนี้..ไม่ได้ด้วยซ้ำ..

.สกิทาคามี...สงบความโกรธได้เร็วกว่าโสดาบันเท่านั้น..ยังปหาญความโกรธไม่ได้เลยนะ...แสดงให้เห็นว่า..ยังไม่หมดฟุ่งซ่าน...ยังไม่พ้นนิวรณ์....ก็ถ้าสั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?....มีมั้ย..ที่สกิทาคามี..คิดว่า..เอ่อ..ผัสสะนี้โกรธดีกว่า..ผัสสะนี้ไม่โกรธดีกว่า :b32: :b32:

อย่ามาบอกนะ..ว่า..กบไม่เคยเจอคนจริงของจริง..แล้วจะไปรู้อะไร
ผมจะเจอ..รึ..ไม่เจอ..นี้..อโสกะจะรู้ได้จากอะไรคับ?...

อโสกะอย่าเอาศรัทธามาบังความจริง..ซฺิคับ...

ลองคิดตามคำถามของผมดูซิ..ว่า..จริง..รึ..ไม่จริง..ยังงัย?
ก็ถ้าสกิทาคามี...สั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?

อ้าว..นี้ว่ากันตามจริง...นะเอ้อ..

:b13: :b32:
ช่างฟังดูแล้วตลกสิ้นดีกับคำพูดของคนที่ไม่มีผลปฏิบัติจริงรองรับและความไม่ได้คลุกคลีกับ มหากัลยาณมิตร คือพระอริยเจ้าทั้งหลาย

ความสามารถสั่งใช้ความคิดได้ดั่งใจนั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลทั้งหลาย โดยสามารถสั่งได้มากน้อย เร็วหรือนานได้ตามระดับขั้นของมรรค ผล ที่ท่านทำได้ ถ้าอุปมาเป็น
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้นึกภาพออก
พระอรหันต์ สั่งใช้ความนึกคิดได้ 100%
พระอนาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 75%
พระสกิทาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 50%
พระโสดาบัน สั่งใช้ความนึกคิดได้ 25%

ที่กบเอาความโกรธมาชีวัดความเป็นอริยะแต่ละชั้นก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถเอาอุปมาอุปมัยดังตัวอย่างมาเทียบวัดได้เช่นกัน

พระอรหันต์ หมดความโกรธได้ 100%
พระอนาคามี หมดความโกรธได้ 75%
พระสกิทาคามี หมดความโกรธได้50%
พระโสดาบัน หมดความโกรธได้ 25%

จุลโสดาบัน อาจจะหมดความโกรธได้ 12.5 %
กัลยาณชนอาจจะหมดความโกรธได้ 6%

ปุถุชน มีความโกรธอยู่เต็ม 100%

พูดอุปมาอุปมัยให้ฟังให้ดูอย่างนี้ กบกับกรัชฯ จะพอคิดได้
เข้าใจเรื่องที่กังขาไหมครับ

:b12:
:b13:
:b16:

การที่อโสกะว่า...สกิทาคามี..สั่งความคิดได้ 50%...นี้ก็เท่ากับอโสกะยอมรับแล้ว และไม่ได้เห็นด้วยกับที่ว่า..ที่ท่านอาจารย์อโสกะว่า..สั่งคิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้...

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
ส่วนผมนี่ได้พบกับตัวบุคคลที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วด้วยผลแห่งธรรมเขาเล่าสภาวะและรับรองสภาวะให้ฟัง จึงกล้าประกาศบอกกล่าวแก่มิตรสหายนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่าของจริงมันมีจริงในยุคปัจจุบัน


ใครจะว่าตัวเองไปถึงไหนแล้ว..นั้น..ผมไม่ว่าอะไรดอก...แต่จะให้ผมเชื่อด้วยสภาวะที่อโสกะเล่ามานั้นนะ...ผมว่ายังเชื่อไม่ได้...มีอย่างที่ไหน..แค่สกิทาคามี.จะสั่งให้คิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้.
อ้างคำพูด:
พระอริยเจ้าตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปนี่ ท่านจะอยู่โดยไม่คิดก็ได้ ความคิดนึกจะเกิดขึ้นมาใช้เมื่อมีงานต้องใช้ หมดงานท่านก็ไปอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องคิดนึก หรือภาวะที่"ไม่มีอะไร" ได้ดั่งใจประสงค์
.
นี้เวอร์เกินจริง..คนไม่รู้ก็อาจจะอึ่ง..ทึ่งกันไป..แต่ไม่ใช่ผม....ดูดูแล้วอาจจะเทียบบางคนที่แอบแฝงในลานแห่งนี้..ไม่ได้ด้วยซ้ำ..

.สกิทาคามี...สงบความโกรธได้เร็วกว่าโสดาบันเท่านั้น..ยังปหาญความโกรธไม่ได้เลยนะ...แสดงให้เห็นว่า..ยังไม่หมดฟุ่งซ่าน...ยังไม่พ้นนิวรณ์....ก็ถ้าสั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?....มีมั้ย..ที่สกิทาคามี..คิดว่า..เอ่อ..ผัสสะนี้โกรธดีกว่า..ผัสสะนี้ไม่โกรธดีกว่า :b32: :b32:

อย่ามาบอกนะ..ว่า..กบไม่เคยเจอคนจริงของจริง..แล้วจะไปรู้อะไร
ผมจะเจอ..รึ..ไม่เจอ..นี้..อโสกะจะรู้ได้จากอะไรคับ?...

อโสกะอย่าเอาศรัทธามาบังความจริง..ซฺิคับ...

ลองคิดตามคำถามของผมดูซิ..ว่า..จริง..รึ..ไม่จริง..ยังงัย?
ก็ถ้าสกิทาคามี...สั่งให้คิดก็ได้..ไม่คิดก็ได้นี้...ความโกรธมันก็มีไม่ได้แล้วละ..อโสกะว่าจริงมั้ยละ?

อ้าว..นี้ว่ากันตามจริง...นะเอ้อ..

:b13: :b32:
ช่างฟังดูแล้วตลกสิ้นดีกับคำพูดของคนที่ไม่มีผลปฏิบัติจริงรองรับและความไม่ได้คลุกคลีกับ มหากัลยาณมิตร คือพระอริยเจ้าทั้งหลาย

ความสามารถสั่งใช้ความคิดได้ดั่งใจนั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลทั้งหลาย โดยสามารถสั่งได้มากน้อย เร็วหรือนานได้ตามระดับขั้นของมรรค ผล ที่ท่านทำได้ ถ้าอุปมาเป็น
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้นึกภาพออก
พระอรหันต์ สั่งใช้ความนึกคิดได้ 100%
พระอนาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 75%
พระสกิทาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 50%
พระโสดาบัน สั่งใช้ความนึกคิดได้ 25%

ที่กบเอาความโกรธมาชีวัดความเป็นอริยะแต่ละชั้นก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถเอาอุปมาอุปมัยดังตัวอย่างมาเทียบวัดได้เช่นกัน

พระอรหันต์ หมดความโกรธได้ 100%
พระอนาคามี หมดความโกรธได้ 75%
พระสกิทาคามี หมดความโกรธได้50%
พระโสดาบัน หมดความโกรธได้ 25%

จุลโสดาบัน อาจจะหมดความโกรธได้ 12.5 %
กัลยาณชนอาจจะหมดความโกรธได้ 6%

ปุถุชน มีความโกรธอยู่เต็ม 100%

พูดอุปมาอุปมัยให้ฟังให้ดูอย่างนี้ กบกับกรัชฯ จะพอคิดได้
เข้าใจเรื่องที่กังขาไหมครับ

:b12:
:b13:
:b16:

การที่อโสกะว่า...สกิทาคามี..สั่งความคิดได้ 50%...นี้ก็เท่ากับอโสกะยอมรับแล้ว และไม่ได้เห็นด้วยกับที่ว่า..ที่ท่านอาจารย์อโสกะว่า..สั่งคิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้...




ก็ต้องย้อนกลับไปหาคำพูดท่านอโศกที่ว่า สิ่งที่สั่งให้ใจคิดนั่นแหละอัตตา ตัวกู

แต่อยากบอกว่า ถอยออกมาเถอะมันลึกไป ถอยออกมาเริ่มต้นใหม่ที่เส้นสตาร์ต คือ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทองฝังลูกนิมิต ปล่อยปลาลงน้ำ ฯลฯ :b1:

คิดแล้วขำ :b9: จะเป็นอริยะทั้งที่ยังไม่ทำอะไรเลย ได้แต่อยากเป็น ไม่อยากเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 20:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ความรู้ของกรัชกายยังหยาบไป

อัตตานั้นอาจแบ่งได้เป็น 2-3 ระดับคือ

1.สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน

2.มานะทิฏฐิ ความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน
ถ้าแยกความยึดถือในกายกับความยึดถือในใจหรือจิตนี้เป็นคนละส่วนกัน ก็จะแบ่งอัตตาหรืออัตตทิฏฐิได้ถึง 3 ระดับ

3 ระดับของอัตตานี้สามารถนำมาใช้แยกประเภทของพระอริยบุคคลได้อีกด้วย ถ้ามีคนสนใจถามมาก็จะเล่าให้ฟังครับ

ดังนั้นที่กรัชกายสับสนไปเรื่องพระสกิทาคามีก็ยังมีกูคือสักกายทิฏฐินั้นเป็นความเข้าใจผิดนะครับ

พระสกิทาคามีละความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิขาดแล้วและถ้าละความยึดถือในกายคือมานะส่วนที่ 1 ได้อีกด้วย ก็จะไดความเป็นพระอนาคามี เมื่อละมานะทิฏฐิในส่วนที่ 2 คือความยึดถือในจิตได้ จึงจะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์

เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ

onion


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 04 พ.ย. 2016, 21:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

ความสามารถสั่งใช้ความคิดได้ดั่งใจนั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลทั้งหลาย โดยสามารถสั่งได้มากน้อย เร็วหรือนานได้ตามระดับขั้นของมรรค ผล ที่ท่านทำได้ ถ้าอุปมาเป็น
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้นึกภาพออก
พระอรหันต์ สั่งใช้ความนึกคิดได้ 100%
พระอนาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 75%
พระสกิทาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 50%
พระโสดาบัน สั่งใช้ความนึกคิดได้ 25%

ที่กบเอาความโกรธมาชีวัดความเป็นอริยะแต่ละชั้นก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถเอาอุปมาอุปมัยดังตัวอย่างมาเทียบวัดได้เช่นกัน

พระอรหันต์ หมดความโกรธได้ 100%
พระอนาคามี หมดความโกรธได้ 75%
พระสกิทาคามี หมดความโกรธได้50%
พระโสดาบัน หมดความโกรธได้ 25%

จุลโสดาบัน อาจจะหมดความโกรธได้ 12.5 %
กัลยาณชนอาจจะหมดความโกรธได้ 6%

ปุถุชน มีความโกรธอยู่เต็ม 100%

พูดอุปมาอุปมัยให้ฟังให้ดูอย่างนี้ กบกับกรัชฯ จะพอคิดได้
เข้าใจเรื่องที่กังขาไหมครับ[/size]
:b12:
:b13:
:b16:

การที่อโสกะว่า...สกิทาคามี..สั่งความคิดได้ 50%...นี้ก็เท่ากับอโสกะยอมรับแล้ว และไม่ได้เห็นด้วยกับที่ว่า..ที่ท่านอาจารย์อโสกะว่า..สั่งคิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้...


:b12: :b12: :b12:


เตือนความจำ.. :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มีแต่เหตุกับผล_resize_resize-240x339.jpg
มีแต่เหตุกับผล_resize_resize-240x339.jpg [ 20.74 KiB | เปิดดู 2533 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

ความสามารถสั่งใช้ความคิดได้ดั่งใจนั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลทั้งหลาย โดยสามารถสั่งได้มากน้อย เร็วหรือนานได้ตามระดับขั้นของมรรค ผล ที่ท่านทำได้ ถ้าอุปมาเป็น
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้นึกภาพออก
พระอรหันต์ สั่งใช้ความนึกคิดได้ 100%
พระอนาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 75%
พระสกิทาคามี สั่งใช้ความนึกคิดได้ 50%
พระโสดาบัน สั่งใช้ความนึกคิดได้ 25%

ที่กบเอาความโกรธมาชีวัดความเป็นอริยะแต่ละชั้นก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถเอาอุปมาอุปมัยดังตัวอย่างมาเทียบวัดได้เช่นกัน

พระอรหันต์ หมดความโกรธได้ 100%
พระอนาคามี หมดความโกรธได้ 75%
พระสกิทาคามี หมดความโกรธได้50%
พระโสดาบัน หมดความโกรธได้ 25%

จุลโสดาบัน อาจจะหมดความโกรธได้ 12.5 %
กัลยาณชนอาจจะหมดความโกรธได้ 6%

ปุถุชน มีความโกรธอยู่เต็ม 100%

พูดอุปมาอุปมัยให้ฟังให้ดูอย่างนี้ กบกับกรัชฯ จะพอคิดได้
เข้าใจเรื่องที่กังขาไหมครับ[/size]
:b12:
:b13:
:b16:

การที่อโสกะว่า...สกิทาคามี..สั่งความคิดได้ 50%...นี้ก็เท่ากับอโสกะยอมรับแล้ว และไม่ได้เห็นด้วยกับที่ว่า..ที่ท่านอาจารย์อโสกะว่า..สั่งคิดก็ได้..สั่งให้ไม่คิดก็ได้...


:b12: :b12: :b12:


เตือนความจำ.. :b12: :b12:

smiley
ขอบใจ
:b27:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Kiss

ความรู้ของกรัชกายยังหยาบไป

อัตตานั้นอาจแบ่งได้เป็น 2-3 ระดับคือ

1.สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน

2.มานะทิฏฐิ ความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน
ถ้าแยกความยึดถือในกายกับความยึดถือในใจหรือจิตนี้เป็นคนละส่วนกัน ก็จะแบ่งอัตตาหรืออัตตทิฏฐิได้ถึง 3 ระดับ

3 ระดับของอัตตานี้สามารถนำมาใช้แยกประเภทของพระอริยบุคคลได้อีกด้วย ถ้ามีคนสนใจถามมาก็จะเล่าให้ฟังครับ

ดังนั้นที่กรัชกายสับสนไปเรื่องพระสกิทาคามีก็ยังมีกูคือสักกายทิฏฐินั้นเป็นความเข้าใจผิดนะครับ

พระสกิทาคามีละความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิขาดแล้วและถ้าละความยึดถือในกายคือมานะส่วนที่ 1 ได้อีกด้วย ก็จะไดความเป็นพระอนาคามี เมื่อละมานะทิฏฐิในส่วนที่ 2 คือความยึดถือในจิตได้ จึงจะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์

เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


อ้างคำพูด:
เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


ผู้ปฏิบัติจริงถึงจริงที่ท่านอโศกว่านี่ เขาเล่าสู่กันฟังหรือขอรับ :b32:

เช่น ทำไปๆ ครบชั่วโมงแล้ว ก็นั่งคุยกัน 555 ข้าเป็นพระโสดาบันแล้วนะ

อีกคนว่า เอ็งต่ำขั้นกว่าข้า ข้า เป็นสกทาคามีนะโว้ยเอ้ย

อีกคนว่า อี้ เอ็งทั้งสอง ก็ต่ำชั้นกว่าข้า ข้านี่เป็นอนาคาฯ นะเอ็ง

อีกคนเดินเข้ามานั่งแล้ว เอ้ยๆ เจ้าทั้งสามยังๆ พวกสูเจ้าต้องเร่งไปอีก ไปให้ถึงให้ทันข้า ข้าเป็นอรหันต์แล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดแล้ว ข้าไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อโลกเบื่อชีวิตกิงๆเลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย พอกันทีว่า ยังงี้ใช่ไหมขอรับท่านอโศกะ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2016, 08:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Kiss

ความรู้ของกรัชกายยังหยาบไป

อัตตานั้นอาจแบ่งได้เป็น 2-3 ระดับคือ

1.สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน

2.มานะทิฏฐิ ความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน
ถ้าแยกความยึดถือในกายกับความยึดถือในใจหรือจิตนี้เป็นคนละส่วนกัน ก็จะแบ่งอัตตาหรืออัตตทิฏฐิได้ถึง 3 ระดับ

3 ระดับของอัตตานี้สามารถนำมาใช้แยกประเภทของพระอริยบุคคลได้อีกด้วย ถ้ามีคนสนใจถามมาก็จะเล่าให้ฟังครับ

ดังนั้นที่กรัชกายสับสนไปเรื่องพระสกิทาคามีก็ยังมีกูคือสักกายทิฏฐินั้นเป็นความเข้าใจผิดนะครับ

พระสกิทาคามีละความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิขาดแล้วและถ้าละความยึดถือในกายคือมานะส่วนที่ 1 ได้อีกด้วย ก็จะไดความเป็นพระอนาคามี เมื่อละมานะทิฏฐิในส่วนที่ 2 คือความยึดถือในจิตได้ จึงจะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์

เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


อ้างคำพูด:
เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


ผู้ปฏิบัติจริงถึงจริงที่ท่านอโศกว่านี่ เขาเล่าสู่กันฟังหรือขอรับ :b32:

เช่น ทำไปๆ ครบชั่วโมงแล้ว ก็นั่งคุยกัน 555 ข้าเป็นพระโสดาบันแล้วนะ

อีกคนว่า เอ็งต่ำขั้นกว่าข้า ข้า เป็นสกทาคามีนะโว้ยเอ้ย

อีกคนว่า อี้ เอ็งทั้งสอง ก็ต่ำชั้นกว่าข้า ข้านี่เป็นอนาคาฯ นะเอ็ง

อีกคนเดินเข้ามานั่งแล้ว เอ้ยๆ เจ้าทั้งสามยังๆ พวกสูเจ้าต้องเร่งไปอีก ไปให้ถึงให้ทันข้า ข้าเป็นอรหันต์แล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดแล้ว ข้าไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อโลกเบื่อชีวิตกิงๆเลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย พอกันทีว่า ยังงี้ใช่ไหมขอรับท่านอโศกะ :b13:

grin
คิดอย่างกรัชกายนี่เขาเรียกว่าคิดแบบชาวโลกและผู้หนาด้วยกิเลส

พระอริยเจ้าท่านละความเห็นผิดยึดผิดได้แล้ว ท่านจะสนทนากันด้วยพรหมวิหารธรรม พูดตามเหตุผลและปัจจัยที่ทำให้ต้องพูด เรื่องที่นักปริยัติ นักวิชาการทั้งหลายไม่มีโอกาสได้รู้ท่านก็เมตตาแสดงเป็นธรรมะให้ฟัง ไม่ได้มานั่งโอ้อวดกันอย่างที่จิตหยาบๆของกรัชกายคิดหรอกนะจะบอกให้

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2016, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Kiss

ความรู้ของกรัชกายยังหยาบไป

อัตตานั้นอาจแบ่งได้เป็น 2-3 ระดับคือ

1.สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน

2.มานะทิฏฐิ ความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน
ถ้าแยกความยึดถือในกายกับความยึดถือในใจหรือจิตนี้เป็นคนละส่วนกัน ก็จะแบ่งอัตตาหรืออัตตทิฏฐิได้ถึง 3 ระดับ

3 ระดับของอัตตานี้สามารถนำมาใช้แยกประเภทของพระอริยบุคคลได้อีกด้วย ถ้ามีคนสนใจถามมาก็จะเล่าให้ฟังครับ

ดังนั้นที่กรัชกายสับสนไปเรื่องพระสกิทาคามีก็ยังมีกูคือสักกายทิฏฐินั้นเป็นความเข้าใจผิดนะครับ

พระสกิทาคามีละความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิขาดแล้วและถ้าละความยึดถือในกายคือมานะส่วนที่ 1 ได้อีกด้วย ก็จะไดความเป็นพระอนาคามี เมื่อละมานะทิฏฐิในส่วนที่ 2 คือความยึดถือในจิตได้ จึงจะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์

เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


อ้างคำพูด:
เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


ผู้ปฏิบัติจริงถึงจริงที่ท่านอโศกว่านี่ เขาเล่าสู่กันฟังหรือขอรับ :b32:

เช่น ทำไปๆ ครบชั่วโมงแล้ว ก็นั่งคุยกัน 555 ข้าเป็นพระโสดาบันแล้วนะ

อีกคนว่า เอ็งต่ำขั้นกว่าข้า ข้า เป็นสกทาคามีนะโว้ยเอ้ย

อีกคนว่า อี้ เอ็งทั้งสอง ก็ต่ำชั้นกว่าข้า ข้านี่เป็นอนาคาฯ นะเอ็ง

อีกคนเดินเข้ามานั่งแล้ว เอ้ยๆ เจ้าทั้งสามยังๆ พวกสูเจ้าต้องเร่งไปอีก ไปให้ถึงให้ทันข้า ข้าเป็นอรหันต์แล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดแล้ว ข้าไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อโลกเบื่อชีวิตกิงๆเลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย พอกันทีว่า ยังงี้ใช่ไหมขอรับท่านอโศกะ :b13:


คิดอย่างกรัชกายนี่เขาเรียกว่าคิดแบบชาวโลกและผู้หนาด้วยกิเลส

พระอริยเจ้าท่านละความเห็นผิดยึดผิดได้แล้ว ท่านจะสนทนากันด้วยพรหมวิหารธรรม พูดตามเหตุผลและปัจจัยที่ทำให้ต้องพูด เรื่องที่นักปริยัติ นักวิชาการทั้งหลายไม่มีโอกาสได้รู้ท่านก็เมตตาแสดงเป็นธรรมะให้ฟัง ไม่ได้มานั่งโอ้อวดกันอย่างที่จิตหยาบๆของกรัชกายคิดหรอกนะจะบอกให้[/size]


ก็ท่านอโศกพูดเนี่ยะ

อ้างคำพูด:
เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้อาจไม่ค่อยเห็นในตำรา แต่รู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงถึงจริงครับ


แล้วจะให้ว่ายังไง เออ พูดไปหยกๆพลอยๆลืมแระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2016, 07:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
การรู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ปฏิบัตินั้นเข้ารู้กันอยู่อย่างบัณฑิต ผู้ดี
มีมรรยาทและคุณธรรม ไม่เหมือนนักเลงข้างถนนอย่างที่กรัชกายยกตัวอย่างมาหรอกนะครับ
จำได้ไหม?

อ้างคำพูด:
กรัชกาย ..ผู้ปฏิบัติจริงถึงจริงที่ท่านอโศกว่านี่ เขาเล่าสู่กันฟังหรือขอรับ :b32:

เช่น ทำไปๆ ครบชั่วโมงแล้ว ก็นั่งคุยกัน 555 ข้าเป็นพระโสดาบันแล้วนะ

อีกคนว่า เอ็งต่ำขั้นกว่าข้า ข้า เป็นสกทาคามีนะโว้ยเอ้ย

อีกคนว่า อี้ เอ็งทั้งสอง ก็ต่ำชั้นกว่าข้า ข้านี่เป็นอนาคาฯ นะเอ็ง

อีกคนเดินเข้ามานั่งแล้ว เอ้ยๆ เจ้าทั้งสามยังๆ พวกสูเจ้าต้องเร่งไปอีก ไปให้ถึงให้ทันข้า ข้าเป็นอรหันต์แล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดแล้ว ข้าไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อโลกเบื่อชีวิตกิงๆเลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย พอกันทีว่า ยังงี้ใช่ไหมขอรับท่านอโศกะ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2016, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

การรู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ปฏิบัตินั้นเข้ารู้กันอยู่อย่างบัณฑิต ผู้ดี
มีมรรยาทและคุณธรรม ไม่เหมือนนักเลงข้างถนนอย่างที่กรัชกายยกตัวอย่างมาหรอกนะครับ
จำได้ไหม?

อ้างคำพูด:
กรัชกาย ..ผู้ปฏิบัติจริงถึงจริงที่ท่านอโศกว่านี่ เขาเล่าสู่กันฟังหรือขอรับ :b32:

เช่น ทำไปๆ ครบชั่วโมงแล้ว ก็นั่งคุยกัน 555 ข้าเป็นพระโสดาบันแล้วนะ

อีกคนว่า เอ็งต่ำขั้นกว่าข้า ข้า เป็นสกทาคามีนะโว้ยเอ้ย

อีกคนว่า อี้ เอ็งทั้งสอง ก็ต่ำชั้นกว่าข้า ข้านี่เป็นอนาคาฯ นะเอ็ง

อีกคนเดินเข้ามานั่งแล้ว เอ้ยๆ เจ้าทั้งสามยังๆ พวกสูเจ้าต้องเร่งไปอีก ไปให้ถึงให้ทันข้า ข้าเป็นอรหันต์แล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดแล้ว ข้าไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อโลกเบื่อชีวิตกิงๆเลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย พอกันทีว่า ยังงี้ใช่ไหมขอรับท่านอโศกะ



อ้างคำพูด:
การรู้ๆกันอยู่ในกลุ่มผู้ปฏิบัตินั้นเข้ารู้กันอยู่อย่างบัณฑิต ผู้ดี

มีมรรยาทและคุณธรรม


งั้นเอาใหม่นะขอรับ รู้อย่างผู้ดี รู้กันอย่างบัณฑิต

พอนั่งครบชั่วโมงหรือครบวันแล้วก็ออกมานั่งสนทนาแลกเปลี่ยนกัน

ยกมือไหว้สวัสดี กันก่อน สวัสดีครับ/ค่ะ

ผมเป็นโสดาบันนะครับ หนูเป็นโสดาบันค่ะ

เพื่อนก็ว่า พี่เป็นโสดาฯเองหรอ ผม/หนู เป็นสกทาคาฯ นะครับ/นะคะ :b1:

ฯลฯ

อีกคนก็ คุณๆ ยังต้องไปอีก มาให้ถึงให้ทันผมนะ ผมเป็นอรหันต์แล้วนะครับ ไม่เกิดแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดแก่เจ็บตาย ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ผมเบื่อมากๆเลย :b13:

ประมาณนี้ใช่ไหมขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 159 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร