วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 17:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_no
เบื่อ.........?

ความเบื่อหน่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเราปล่อย วาง
สละทิ้งสิ่งที่ยึดถือไว้ ภาระที่แบกหามไว้ สลัดทิ้งสิ่งต่างๆไป
อย่างไม่เหลียวหลังกลับมาดูมาเอาอีก

ความเบื่อหน่ายเป็นธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดขึ้นมาได้กับการที่ต้องทำอะไรซ้ำๆซากๆ จำเจอย่างสืบเนื่องยาวนาน หรือการที่ได้เห็นความจริงที่ไม่ดีไม่งาม ความไม่มั่นคง ไม่จีรังยั่งยืนของขันธ์ ร่างกายหรือสรรพสิ่ง

ความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์นั้นไม่แน่นอนไม่ถาวร จะเป็นความเบื่อๆอยากๆสลับกันไปอย่างนี้ตลอดชีวิตเพราะถูกอำนาจของความหลงความเพลิดเพลินความจำเป็นต้องยังชีพ มาปิดบัง ห่อหุ้มสิ่งที่น่าเบื่อทั้งหลาย

เมื่อไรที่มนุษย์ได้เห็นได้รู้ความจริงความไม่ดีไม่งาม ความทุกข์ทรมาณใจ ความน่าสะพึงกลัว ความไม่เที่ยง ความบังคับบัญชาไม่ได้ของสรรพสิ่งอย่างแท้จริงชัดเจนแล้วเมื่อนั้นเขาจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายชนิดที่เรียกว่าเบื่อจนเข้ากระดูกดำ หรือนิพพิทาญาณสลัดทิ้งความเห็นผิดยึดผิดในธาตุขันธ์ กายใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างไม่หวนคืนมายึดถือ เสพข้องอีกต่อไป

ดังนั้นการปฏิบัติธรรมถ้ามาถูกต้องถูกทางย่อมจะต้องเกิดนิพพิทาญาณหรือความเบื่อหน่ายคลายจางในชีวิตธาตุขันธ์และกิจการงานทั้งปวง อย่างจริงจังจึงจะสลัด ละวางทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกจิตยึดถือไว้ได้ เมื่อละวางทักสิ่งทุกอย่างได้จิตใจก็เป็นอิสระลอยตัวและหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

onion


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เฮอ..น่าเบื่อ..จริงๆ..


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เฮอ..น่าเบื่อ..จริงๆ..

:b12:
:b13:
รำพึงรำพันออกปากออกคอมาอย่างนี้ได้ เดี๋ยวก็จะบรรลุธรรมขั้นสูงๆขึ้นไปนะกบ

ผมก็กำลังเบื่อมากๆกับสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นอย่างจำเจทุกวันนี้
เบื่อกิเลส ตัณหา อัตตา มานะ ทิฏฐิ ความอวดรู้อวดเก่ง แข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันในสังคม เบื่อเรื่องการบ้านการเมือง
เบื่อตนเองที่ยังมาหลงสนุกกับการเขียนและโต้ตอบกระทู้ในลานธรรมต่างๆ

อยากอยู่สงบเย็นกับ "ความไม่มีอะไร" ให้นานๆทั้งวันทั้งคืน
จนอาจจะต้องลาจากสังคมอันวุ่นวายนี้เสียที
55555555

grin
Onion_no
s002
huh
s004
:b20:
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_no
เบื่อ.........?

[color=#0000BF][b]ความเบื่อหน่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเราปล่อย วาง
สละทิ้งสิ่งที่ยึดถือไว้ ภาระที่แบกหามไว้ สลัดทิ้งสิ่งต่างๆไป
อย่างไม่เหลียวหลังกลับมาดูมาเอาอีก

ความเบื่อหน่ายเป็นธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดขึ้นมาได้กับการที่ต้องทำอะไรซ้ำๆซากๆ จำเจอย่างสืบเนื่องยาวนาน หรือการที่ได้เห็นความจริงที่ไม่ดีไม่งาม ความไม่มั่นคง ไม่จีรังยั่งยืนของขันธ์ ร่างกายหรือสรรพสิ่ง

ความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์นั้นไม่แน่นอนไม่ถาวร จะเป็นความเบื่อๆอยากๆสลับกันไปอย่างนี้ตลอดชีวิตเพราะถูกอำนาจของความหลงความเพลิดเพลินความจำเป็นต้องยังชีพ มาปิดบัง ห่อหุ้มสิ่งที่น่าเบื่อทั้งหลาย

เมื่อไรที่มนุษย์ได้เห็นได้รู้ความจริงความไม่ดีไม่งาม ความทุกข์ทรมาณใจ ความน่าสะพึงกลัว ความไม่เที่ยง ความบังคับบัญชาไม่ได้ของสรรพสิ่งอย่างแท้จริงชัดเจนแล้วเมื่อนั้นเขาจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายชนิดที่เรียกว่าเบื่อจนเข้ากระดูกดำ หรือนิพพิทาญาณสลัดทิ้งความเห็นผิดยึดผิดในธาตุขันธ์ กายใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างไม่หวนคืนมายึดถือ เสพข้องอีกต่อไป

ดังนั้นการปฏิบัติธรรมถ้ามาถูกต้องถูกทางย่อมจะต้องเกิดนิพพิทาญาณหรือความเบื่อหน่ายคลายจางในชีวิตธาตุขันธ์และกิจการงานทั้งปวง อย่างจริงจังจึงจะสลัด ละวางทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกจิตยึดถือไว้ได้ เมื่อละวางทักสิ่งทุกอย่างได้จิตใจก็เป็นอิสระลอยตัวและหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง



กระทู้ความในใจท่านอโศกนี้ แสดงว่า ยังไม่พ้นความเป็นปุถุชน ซึ่งเดี๋ยวเบื่อ เดี๋ยวอยาก อารมณ์ขึ้นลงๆ เหมือนน้ำเดือนยี่ :b13:

คือ พอประสบกับอารมณ์เป็นที่รักที่พอใจ ก็อยากอยู่ อยากมีอยากเป็น

ครั้นประสบกับอารมณ์ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เบื่อ เซ็ง เหงา เศร้า ซึม ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากเกิดอีกแล้ว เบื่อโว้ย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เฮอ..น่าเบื่อ..จริงๆ..


รำพึงรำพันออกปากออกคอมาอย่างนี้ได้ เดี๋ยวก็จะบรรลุธรรมขั้นสูงๆขึ้นไปนะกบ

ผมก็กำลังเบื่อมากๆกับสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นอย่างจำเจทุกวันนี้
เบื่อกิเลส ตัณหา อัตตา มานะ ทิฏฐิ ความอวดรู้อวดเก่ง แข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันในสังคม เบื่อเรื่องการบ้านการเมือง
เบื่อตนเองที่ยังมาหลงสนุกกับการเขียนและโต้ตอบกระทู้ในลานธรรมต่างๆ

อยากอยู่สงบเย็นกับ "ความไม่มีอะไร" ให้นานๆทั้งวันทั้งคืน
จนอาจจะต้องลาจากสังคมอันวุ่นวายนี้เสียที
55555555





นี่ชัดเลย ที่เบื่อนี่ไม่ใช่ความเบื่อ ซึ่งเกิดจากการภาวนา ไม่ใช่ แต่เบื่อเพราะไม่สบอารมณ์ คิดทำอะไร ไม่ได้ดังใจมีแต่คนคอยขวางคอยขัด จึงเบื่อ :b13: ยังใช้ไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้สึกเบือ ต้องเริ่มจากถนนสายนี้ (แต่เป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกยังแรงกว่าปัญญา) ท่านอโศกสังเกตดู


ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พอง หนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ
กระผม คิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน

ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป ผมพยายามกำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนด
ยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ

ผมเลยใช้การกำหนดดูจิต ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ ผมไม่ได้หายใจ แต่ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึก สิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น

ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะหนึ่งครับ แต่ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะเหมือนรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด คือ เหมือนร่างกาย ก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่า ไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้อ่ะครับ

ผมเลยนึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อย ๆๆถอดออกจากสมาธิแล้วลืมตา

ในตอนนั้น ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกายอ่ะ กลับมีความรู้สึกอีกอย่างเข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ เหมือนว่า ร่างกายมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง (ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกในตอนนั้น)

และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวัน เหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลยครับ

หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อ ๆ มา ผมก็นั่งสมาธิตามปกติ และก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน

แต่ทุก ๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือน กับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยาก เจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเอง
วัน ๆอยากนั่งทำสมาธิ เพราะ ในช่วงที่ เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย

--ในสิ่งที่ผมถามและอยากรู้นะครับ คือ
1. ผมปฎิบัติผิดตรงไหนหรอเปล่าครับ
2. ถ้าไม่ผิด ผมจะปฎิบัติยังไงต่อครับ
3. สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั่นมันคืออะไรกันแนะครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเห็นคนเบื่อตั้งกระทู้คุยกันมา เลยนำมาให้ท่านอโศกดู


อ้างคำพูด:
ขอญาตครับเบื่อการครองเรือนมานานแล้ว

ไม่เคยบ่นกับผู้ใดเฉพาะที่นี่ เพราะมีผู้รู้ธรรมที่พึ่งได้....
คืออยากทราบว่า นอกจากการบวชแล้ว มีทางใดที่ดีพอๆ กัน
ในการฝึกจิต โดยไม่ต้องมีภาระครองบ้านครองเรือนที่จำเจไม่จบเรื่อง ต้องทำอะไรที่ซ้ำไปซ้ำมา
แลเห็นความเสื่อมโทรมในบ้านนอกบ้านและความเสื่อมของร่างกายที่เกิดขึ้นตลอดทุกวี่วัน

ขอความอนุเคราะห์ชี้แนะด้วยครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 06:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า
“สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์
การเบื่อหน่ายในวัฏทุกข์นี้ เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน

onion


โพสต์ เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความรู้สึกเบือ ต้องเริ่มจากถนนสายนี้ (แต่เป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกยังแรงกว่าปัญญา) ท่านอโศกสังเกตดู


ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พอง หนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ
กระผม คิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน

ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป ผมพยายามกำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนด
ยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ

ผมเลยใช้การกำหนดดูจิต ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ ผมไม่ได้หายใจ แต่ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึก สิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น

ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะหนึ่งครับ แต่ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะเหมือนรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด คือ เหมือนร่างกาย ก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่า ไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้อ่ะครับ

ผมเลยนึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อย ๆๆถอดออกจากสมาธิแล้วลืมตา

ในตอนนั้น ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกายอ่ะ กลับมีความรู้สึกอีกอย่างเข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ เหมือนว่า ร่างกายมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง (ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกในตอนนั้น)

และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวัน เหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลยครับ

หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อ ๆ มา ผมก็นั่งสมาธิตามปกติ และก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน

แต่ทุก ๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือน กับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยาก เจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเอง
วัน ๆอยากนั่งทำสมาธิ เพราะ ในช่วงที่ เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย

--ในสิ่งที่ผมถามและอยากรู้นะครับ คือ
1. ผมปฎิบัติผิดตรงไหนหรอเปล่าครับ
2. ถ้าไม่ผิด ผมจะปฎิบัติยังไงต่อครับ
3. สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั่นมันคืออะไรกันแนะครับ

:b27:
นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ ต่อไป ไม่ช้าคำตอบจะผุดขึ้นมาให้รู้เองครับ
onion


โพสต์ เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ความรู้สึกเบือ ต้องเริ่มจากถนนสายนี้ (แต่เป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกยังแรงกว่าปัญญา) ท่านอโศกสังเกตดู


ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พอง หนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ
กระผม คิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน

ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป ผมพยายามกำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนด
ยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ

ผมเลยใช้การกำหนดดูจิต ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ ผมไม่ได้หายใจ แต่ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึก สิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น

ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะหนึ่งครับ แต่ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะเหมือนรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด คือ เหมือนร่างกาย ก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่า ไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้อ่ะครับ

ผมเลยนึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อย ๆๆถอดออกจากสมาธิแล้วลืมตา

ในตอนนั้น ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกายอ่ะ กลับมีความรู้สึกอีกอย่างเข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ เหมือนว่า ร่างกายมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง (ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกในตอนนั้น)

และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวัน เหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลยครับ

หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อ ๆ มา ผมก็นั่งสมาธิตามปกติ และก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน

แต่ทุก ๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือน กับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยาก เจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเอง
วัน ๆอยากนั่งทำสมาธิ เพราะ ในช่วงที่ เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย

--ในสิ่งที่ผมถามและอยากรู้นะครับ คือ
1. ผมปฎิบัติผิดตรงไหนหรอเปล่าครับ
2. ถ้าไม่ผิด ผมจะปฎิบัติยังไงต่อครับ
3. สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั่นมันคืออะไรกันแนะครับ


นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ ต่อไป ไม่ช้าคำตอบจะผุดขึ้นมาให้รู้เองครับ


อยู่ๆมันก็ผุดปุดๆๆขี้มาเอง พูดเหมือนตาน้ำใต้ดินนะท่านอโศก :b32: เฮ้อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




อริยสัจ 4_resize.jpg
อริยสัจ 4_resize.jpg [ 58.29 KiB | เปิดดู 4431 ครั้ง ]
1473228986971.jpg
1473228986971.jpg [ 31 KiB | เปิดดู 4430 ครั้ง ]
มีแต่เหตุกับผล_resize_resize-240x339.jpg
มีแต่เหตุกับผล_resize_resize-240x339.jpg [ 20.74 KiB | เปิดดู 4429 ครั้ง ]
s006
อ้างคำพูด:
กรัชกา....อยู่ๆมันก็ผุดปุดๆๆขี้มาเอง พูดเหมือนตาน้ำใต้ดินนะท่านอโศก
:b32: เฮ้อ
:b32:
:b13:
กรัชกายนี่ไม่เคยเรียนรู้เรื่อง "กฎของเหตุและผล" มาก่อนละมั้ง ต้องถือว่ายังไม่รู้หัวใจของพระพุทธเจ้าเลย เสียชื่อและเสียชาติของความเป็นชาวพุทธมาก

เป็นชาวพุทธปลอมหรือเปล่า?

เพราะเคยถามทั้งกบและกรัชฯว่า

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร?
และทรงนำอะไรมาสอน?

ยังไม่มีใครตอบได้ดีๆสักคนเลย

"เหตุพอ ผลเกิด"

"ถ้าทำเหตุปัจจัยให้มันพร้อมมันถึง ผลมันเกิดเอง"

ปลูกต้นมะม่วงถ้าปฏิบัติรักษาดี ทำหน้าที่คนปลูกมะม่วงให้สมบูรณ์ เมื่อเหตุปัจจัยเพียงพอ ถึงพร้อมและได้เวลาอันควร
ดอกมะม่วง ผลมะม่วงมันผุดขึ้นมาเองตามธรรม

พูดอย่างนี้เข้าใจไหมกรัชกาย?

s004
โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
อ้างคำพูด:
กรัชกา....อยู่ๆมันก็ผุดปุดๆๆขี้มาเอง พูดเหมือนตาน้ำใต้ดินนะท่านอโศก
:b32: เฮ้อ
กรัชกายนี่ไม่เคยเรียนรู้เรื่อง "กฎของเหตุและผล" มาก่อนละมั้ง ต้องถือว่ายังไม่รู้หัวใจของพระพุทธเจ้าเลย เสียชื่อและเสียชาติของความเป็นชาวพุทธมาก

เป็นชาวพุทธปลอมหรือเปล่า?

เพราะเคยถามทั้งกบและกรัชฯว่า

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร?
และทรงนำอะไรมาสอน?

ยังไม่มีใครตอบได้ดีๆสักคนเลย

"เหตุพอ ผลเกิด"

"ถ้าทำเหตุปัจจัยให้มันพร้อมมันถึง ผลมันเกิดเอง"

ปลูกต้นมะม่วงถ้าปฏิบัติรักษาดี ทำหน้าที่คนปลูกมะม่วงให้สมบูรณ์ เมื่อเหตุปัจจัยเพียงพอ ถึงพร้อมและได้เวลาอันควร
ดอกมะม่วง ผลมะม่วงมันผุดขึ้นมาเองตามธรรม

พูดอย่างนี้เข้าใจไหมกรัชกาย?



นี่มันคน ไม่ใช่มะม่วง เออ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s006
อ้างคำพูด:
กรัชกา....อยู่ๆมันก็ผุดปุดๆๆขี้มาเอง พูดเหมือนตาน้ำใต้ดินนะท่านอโศก
:b32: เฮ้อ
กรัชกายนี่ไม่เคยเรียนรู้เรื่อง "กฎของเหตุและผล" มาก่อนละมั้ง ต้องถือว่ายังไม่รู้หัวใจของพระพุทธเจ้าเลย เสียชื่อและเสียชาติของความเป็นชาวพุทธมาก

เป็นชาวพุทธปลอมหรือเปล่า?

เพราะเคยถามทั้งกบและกรัชฯว่า

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร?
และทรงนำอะไรมาสอน?

ยังไม่มีใครตอบได้ดีๆสักคนเลย

"เหตุพอ ผลเกิด"

"ถ้าทำเหตุปัจจัยให้มันพร้อมมันถึง ผลมันเกิดเอง"

ปลูกต้นมะม่วงถ้าปฏิบัติรักษาดี ทำหน้าที่คนปลูกมะม่วงให้สมบูรณ์ เมื่อเหตุปัจจัยเพียงพอ ถึงพร้อมและได้เวลาอันควร
ดอกมะม่วง ผลมะม่วงมันผุดขึ้นมาเองตามธรรม

พูดอย่างนี้เข้าใจไหมกรัชกาย?



นี่มันคน ไม่ใช่มะม่วง เออ :b1:

onion
ทั้งคนทั้งมะม่วงและทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนเกิดมาและเปลี่ยนไปด้วยกำลังของปัจจัยและเหตุผลทั้งสิ้น จำไว้นะกรัชกาย

"มีเหตุ ก็มีผล หมดเหตุ ก็หมดผล"

เอวัง
:b11:


โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s006
อ้างคำพูด:
กรัชกา....อยู่ๆมันก็ผุดปุดๆๆขี้มาเอง พูดเหมือนตาน้ำใต้ดินนะท่านอโศก
:b32: เฮ้อ
กรัชกายนี่ไม่เคยเรียนรู้เรื่อง "กฎของเหตุและผล" มาก่อนละมั้ง ต้องถือว่ายังไม่รู้หัวใจของพระพุทธเจ้าเลย เสียชื่อและเสียชาติของความเป็นชาวพุทธมาก

เป็นชาวพุทธปลอมหรือเปล่า?

เพราะเคยถามทั้งกบและกรัชฯว่า

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร?
และทรงนำอะไรมาสอน?

ยังไม่มีใครตอบได้ดีๆสักคนเลย

"เหตุพอ ผลเกิด"

"ถ้าทำเหตุปัจจัยให้มันพร้อมมันถึง ผลมันเกิดเอง"

ปลูกต้นมะม่วงถ้าปฏิบัติรักษาดี ทำหน้าที่คนปลูกมะม่วงให้สมบูรณ์ เมื่อเหตุปัจจัยเพียงพอ ถึงพร้อมและได้เวลาอันควร
ดอกมะม่วง ผลมะม่วงมันผุดขึ้นมาเองตามธรรม

พูดอย่างนี้เข้าใจไหมกรัชกาย?



นี่มันคน ไม่ใช่มะม่วง เออ :b1:

onion
ทั้งคนทั้งมะม่วงและทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนเกิดมาและเปลี่ยนไปด้วยกำลังของปัจจัยและเหตุผลทั้งสิ้น จำไว้นะกรัชกาย

"มีเหตุ ก็มีผล หมดเหตุ ก็หมดผล"

เอวัง


อ้างคำพูด:
"มีเหตุ ก็มีผล หมดเหตุ ก็หมดผล"


แล้วมันอะไรเล่า เหตุ-ผลที่ว่านั่นน่า เอาชัดๆสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ย. 2016, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกไปไหนหรือเบื่อเข้าป่าเข้าดงไปจริงๆ :b1: ถ้าฉะนั้นคงเป็นของปลอม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร