วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 05:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
rolleyes
ยอมรับผิดต่อหน้าสาธารณะนี้ก่อนสิ ว่าทำประมาทะเพราะพลั้งเผลอไป แล้วจะยกย่องในน้ำใจที่สลายมานะทิฏฐิได้
ให้สังคมดูเป็นตัวอย่าง

ไม่ใช่สิ่งน่าอาย แต่เป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญสำหรับผู้ที่ กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
:b4:



บอกก่อนสิ จะให้รับผิดเรื่องอะไร :b10:


onion onion onion
อ้างคำพูด:
กรัชกายกำลังเฉโกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดพลั้งของตนเองที่ไปทำประมาทะพระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม

กรรมหนักเช่นนี้ยังไม่สำนึกน้อมคารวะขอขมาอโหสิกรรมให้ตนเองอีกรึ กรัชกาย น่าเสียดายความรู้มากทางวิชาการพุทธศาสนาที่กรัชกายมีจะมาสูญเปล่าในชาตินี้เพราะ

อริยุวาตันตราย

:b34:
จะไม่บอกเตือนก็เสียดาย มิตรสหายในลานธรรม
:b34:



แล้วมันอะไรเล่า จะให้รับเรื่องอะไร บอกหน่อยสิ :b32: ว่ามาตรงๆเอ้า

:b34:
อ้างคำพูด:
" ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องชำระ
ไม่ใช่เรื่องสะสม
ทุกๆ วิถีทางที่ทรงสอน
มีแต่เรื่องสละทั้งนั้นสละสมมุติ
ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ในโลกอันนี้
สละสมมุติหมู่นี้ให้มันหมดไป หมดไป
เข้าถึงของจริงของเดิม
ถ้ามันเข้าถึงของจริงของเดิมแล้ว
ทุกข์ทั้งหลายมันก็ค่อยหมดไปโดยลำดับ "

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



กรัชกาย....คำพูดคำสอนเหล่านี้ ล้วนเกิดจากความเข้าใจพุทธธรรมคลาดเคลื่อน

โดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"
คุณกรัชกายปมาทะว่าหลวงปู่เทศก์เข้าใจธรรมะคลาดเคลื่อน


ถ้าท่านอโศกว่าถูก ไหนลองบอกความหมาย "สมมติ" สิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
รสมน เขียน:
" ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องชำระ
ไม่ใช่เรื่องสะสม
ทุกๆ วิถีทางที่ทรงสอน
มีแต่เรื่องสละทั้งนั้นสละสมมุติ
ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ในโลกอันนี้
สละสมมุติหมู่นี้ให้มันหมดไป หมดไป
เข้าถึงของจริงของเดิม
ถ้ามันเข้าถึงของจริงของเดิมแล้ว
ทุกข์ทั้งหลายมันก็ค่อยหมดไปโดยลำดับ "

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



คำพูดคำสอนเหล่านี้ ล้วนเกิดจากความเข้าใจพุทธธรรมคลาดเคลื่อน

โดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"

Kiss
:b12:
ขออนุญาตถามคุณพี่กรัชกายหน่อยค่ะ
ทำไมคิดว่าลป.เทสก์สอนคลาดเคลื่อน
ท่านอธิบายสั้นมากรู้ได้ไงว่าคลาดเคลื่อน
และโดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"
พี่กรัชกายคิดว่าลป.เทสก์สอนเกี่ยวกับสมมติ
พี่กายว่าท่านสอนแบบไหนและคลาดเคลื่อนยังไง
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รสมน เขียน:
" ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องชำระ
ไม่ใช่เรื่องสะสม
ทุกๆ วิถีทางที่ทรงสอน
มีแต่เรื่องสละทั้งนั้นสละสมมุติ
ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ในโลกอันนี้
สละสมมุติหมู่นี้ให้มันหมดไป หมดไป
เข้าถึงของจริงของเดิม
ถ้ามันเข้าถึงของจริงของเดิมแล้ว
ทุกข์ทั้งหลายมันก็ค่อยหมดไปโดยลำดับ "

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



คำพูดคำสอนเหล่านี้ ล้วนเกิดจากความเข้าใจพุทธธรรมคลาดเคลื่อน

โดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"

Kiss
:b12:
ขออนุญาตถามคุณพี่กรัชกายหน่อยค่ะ
ทำไมคิดว่าลป.เทสก์สอนคลาดเคลื่อน
ท่านอธิบายสั้นมากรู้ได้ไงว่าคลาดเคลื่อน
และโดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"
พี่กรัชกายคิดว่าลป.เทสก์สอนเกี่ยวกับสมมติ
พี่กายว่าท่านสอนแบบไหนและคลาดเคลื่อนยังไง
:b32: :b32:

Kiss
:b1:
เงียบไม่ตอบคะพี่กรัชกาย...ก็ที่ได้ว่าผู้อื่นว่าไปด้วยปัญญาหรืออวิชชา
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงผู้รู้รู้ได้ตามกำลังสติปัญญาของตน
ปัญญาไม่ใช่ตัวตนแต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่จิตมีได้เมื่อได้อบรม
เพราะฉะนั้นไม่ควรประมาทว่าผู้อื่นไม่รู้ความจริงของพุทธธรรม
กิเลสแปลว่าไม่รู้ดังนั้นการชำระกิเลสคือการกำจัดความไม่รู้
ไม่ใช่การล้างความไม่รู้เพราะกิเลสเป็นอกุศลเจตสิกในจิต
จะลบล้างความไม่รู้ออกจากจิตนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ที่จะมีได้คือเพิ่มความรู้เพื่อเข้าใจทั้งกุศลและอกุศล
เมื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกมากขึ้นก็จะละสิ่งผิด
เว้นไม่กลับไปเพิ่มสิ่งผิดนั้นและเพิ่มแต่กุศล
จนกุศลมีกำลังมากพอเกิดพละมีกำลัง
เห็นโทษทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลจน
สามารถดับเหตุที่ทำให้เกิดได้
ประมาทคือเพิ่มอกุศลแล้ว
จึงควรเพียรรู้เพื่อละไม่รู้
โดยสะสมสัมมาทิฏฐิ
ที่เพิ่มพูนปัญญาแล้ว
ปัญญานั้นเองที่ละ
อวิชชาเหตุที่ไม่รู้
ต้องมีอย่างแรก
คือสุตมยปัญญา
เพราะเป็นสาวก
คิดเองไม่ได้
ต้องฟังเพื่อรู้
คิดตามได้ให้
เข้าใจเท่านั้นเอง
ทำมากกว่านั้นไม่ได้
เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะรู้สิ่งใดก่อน
ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ปัญญารู้ชัดตรงปัจจุบันเดี๋ยวนี้
คือกำลังมีต้องเป็นปัญญาถ้าไม่ก็คืออวิชชาสะสมไปแล้วค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2016, 07:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1477865843265-240x328.jpg
FB_IMG_1477865843265-240x328.jpg [ 32.27 KiB | เปิดดู 1470 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
rolleyes
ยอมรับผิดต่อหน้าสาธารณะนี้ก่อนสิ ว่าทำประมาทะเพราะพลั้งเผลอไป แล้วจะยกย่องในน้ำใจที่สลายมานะทิฏฐิได้
ให้สังคมดูเป็นตัวอย่าง

ไม่ใช่สิ่งน่าอาย แต่เป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญสำหรับผู้ที่ กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
:b4:



บอกก่อนสิ จะให้รับผิดเรื่องอะไร :b10:


onion onion onion
อ้างคำพูด:
กรัชกายกำลังเฉโกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดพลั้งของตนเองที่ไปทำประมาทะพระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม

กรรมหนักเช่นนี้ยังไม่สำนึกน้อมคารวะขอขมาอโหสิกรรมให้ตนเองอีกรึ กรัชกาย น่าเสียดายความรู้มากทางวิชาการพุทธศาสนาที่กรัชกายมีจะมาสูญเปล่าในชาตินี้เพราะ

อริยุวาตันตราย

:b34:
จะไม่บอกเตือนก็เสียดาย มิตรสหายในลานธรรม
:b34:



แล้วมันอะไรเล่า จะให้รับเรื่องอะไร บอกหน่อยสิ :b32: ว่ามาตรงๆเอ้า

:b34:
อ้างคำพูด:
" ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องชำระ
ไม่ใช่เรื่องสะสม
ทุกๆ วิถีทางที่ทรงสอน
มีแต่เรื่องสละทั้งนั้นสละสมมุติ
ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ในโลกอันนี้
สละสมมุติหมู่นี้ให้มันหมดไป หมดไป
เข้าถึงของจริงของเดิม
ถ้ามันเข้าถึงของจริงของเดิมแล้ว
ทุกข์ทั้งหลายมันก็ค่อยหมดไปโดยลำดับ "

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



กรัชกาย....คำพูดคำสอนเหล่านี้ ล้วนเกิดจากความเข้าใจพุทธธรรมคลาดเคลื่อน

โดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"
คุณกรัชกายปมาทะว่าหลวงปู่เทศก์เข้าใจธรรมะคลาดเคลื่อน


ถ้าท่านอโศกว่าถูก ไหนลองบอกความหมาย "สมมติ" สิ

:b34:
s005
:b7:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2016, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
rolleyes
ยอมรับผิดต่อหน้าสาธารณะนี้ก่อนสิ ว่าทำประมาทะเพราะพลั้งเผลอไป แล้วจะยกย่องในน้ำใจที่สลายมานะทิฏฐิได้
ให้สังคมดูเป็นตัวอย่าง

ไม่ใช่สิ่งน่าอาย แต่เป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญสำหรับผู้ที่ กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
:b4:



บอกก่อนสิ จะให้รับผิดเรื่องอะไร :b10:


onion onion onion
อ้างคำพูด:
กรัชกายกำลังเฉโกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดพลั้งของตนเองที่ไปทำประมาทะพระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม

กรรมหนักเช่นนี้ยังไม่สำนึกน้อมคารวะขอขมาอโหสิกรรมให้ตนเองอีกรึ กรัชกาย น่าเสียดายความรู้มากทางวิชาการพุทธศาสนาที่กรัชกายมีจะมาสูญเปล่าในชาตินี้เพราะ

อริยุวาตันตราย

:b34:
จะไม่บอกเตือนก็เสียดาย มิตรสหายในลานธรรม
:b34:



แล้วมันอะไรเล่า จะให้รับเรื่องอะไร บอกหน่อยสิ :b32: ว่ามาตรงๆเอ้า

:b34:
อ้างคำพูด:
" ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องชำระ
ไม่ใช่เรื่องสะสม
ทุกๆ วิถีทางที่ทรงสอน
มีแต่เรื่องสละทั้งนั้นสละสมมุติ
ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ในโลกอันนี้
สละสมมุติหมู่นี้ให้มันหมดไป หมดไป
เข้าถึงของจริงของเดิม
ถ้ามันเข้าถึงของจริงของเดิมแล้ว
ทุกข์ทั้งหลายมันก็ค่อยหมดไปโดยลำดับ "

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



กรัชกาย....คำพูดคำสอนเหล่านี้ ล้วนเกิดจากความเข้าใจพุทธธรรมคลาดเคลื่อน

โดยเฉพาะความหมายคำว่า "สมมติ"
คุณกรัชกายปมาทะว่าหลวงปู่เทศก์เข้าใจธรรมะคลาดเคลื่อน


ถ้าท่านอโศกว่าถูก ไหนลองบอกความหมาย "สมมติ" สิ

:b34:
s005
:b7:


บอกให้บอกความหมาย "สมมติ" :b1:

นี่คือการศึกษาธรรมะบ้านเรา พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ คือพูดเอาเทห์ อุเทน พรหมมินทร์ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 06:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
สมมุติ
สมมต สมมติ สมมติ สมมุติ สมมุติ[สมมด สมมด สมมดติ สมมุด สมมุดติ] ก. รู้สึกนึกเอาว่า เช่น สมมติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง. สัน. ต่างว่า ถือเอาว่า เช่น สมมุติว่าได้มรดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ จะไปเที่ยวรอบโลก. ว. ที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยายโดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง เช่น สมมติเทพ.[สมมด สมมด สมมดติ สมมุด สมมุดติ] ก. รู้สึกนึกเอาว่า เช่น สมมติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง. สัน. ต่างว่า ถือเอาว่า เช่น สมมุติว่าได้มรดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ จะไปเที่ยวรอบโลก. ว. ที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยายโดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง เช่น สมมติเทพ.


สมมุติภาษาอังกฤษ
สมมุติภาษาไทย สมมุติความหมาย Dictionary สมมุติแปลว่า สมมุติคำแปล
สมมุติคืออะไร
สมมุติ
(มค. สมฺมติ) ก. เอา, ตกลงเอา, ยินยอมกัน, การตั้งเอา. สัน. ต่างว่า (เหมือน สมมต, สมมติ).

ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร
สมมุติ
to suppose, to make believe,to assume, to take for granted (that he is dead)

ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-อังกฤษ อ. สอ เสถบุตร
สมมุติ
[v.] suppose [syn.] คาดว่า,คิดว่า,ถือเอาว่า,สมมติ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 06:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
มีผู้รู้บอกไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นสิ่ง 'สมมุติ'

แล้วบอกว่าการ 'สมมุติ' ...ไม่ใช่ 'เรื่องจริง'!!!

ขณะที่พจนานุกรมภาษาไทย บรรจุคำสองคำไว้ในความหมายเดียวกัน ต่างเพียงรูปลักษณ์การเขียน และการออกเสียง

'สมมุติ' อ่านว่า สม-มุด ส่วน 'สมมติ' อ่านว่า สม-มด

แต่ไม่ว่าจะ 'สมมติ' หรือ 'สมมุติ' ก็มีความหมายไม่แตกต่าง...หรือจะบอกว่า 'สมมติ = สมมุติ' ก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปแต่ประการใด

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างคือการ 'สมมุติ' สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'มนุษย์' หรือ 'คน' ก็ถูกสมมุติขึ้นเช่นกัน ทว่า....ใครใคร่เรียกว่าคนหรือมนุษย์ก็ตามใจ-ตามปากที่ปรารถนาจะบ้วนคำออกมา!!!

มนุษย์ที่ว่านี้มีทั้ง 'เพศชาย' และ 'เพศหญิง' แถมเดี๋ยวนี้ยังมี 'เพศทางเลือก' ตามมาอีก

สำหรับ 'ผม' ถูกสมมุติจำแนกให้จัดอยู่ใน 'เพศชาย'

O O O



สมมุติกันด้วยว่า...ผมรวมถึงมนุษย์อื่นๆ ต่างอาศัยอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า 'โลก' ซึ่งก็คงเป็น 'โลกสมมุติ' เหมือนกัน

โลกที่ว่านี้มีลักษณะทรงกลม-หมุนได้ มันหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ กินระยะเวลา...สมมุติว่าเท่ากับ 1 วัน

โลกถูกสมมุติให้ลอยตัวอยู่ใน...สมมุติเรียกว่า 'จักรวาล' ซึ่งในจักรวาลก็มีดวงดาวมากมายที่ถูกสมมุติขึ้น ทั้งดาวที่ 'มนุษย์สมมติ' เช่นผมและคนอื่นๆ รู้จักและไม่รู้จัก

ยังสมมุติด้วยว่า ให้ 1 ในดาวมากมายที่เกลื่อนกลาดดาษดาอยู่ในเวิ้งจักรวาลนั้น นอกเหนือไปจากโลกแล้วยังมีดาวชื่อ 'ดวงอาทิตย์' อยู่ด้วย

และสมมุติให้...ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของมวลหมู่ดาวทั้งหมดทั้งปวง ให้มันมีแสงสว่างในตัวเอง ขณะที่โลกไม่มี จึงจำเป็นต้องอาศัยแสงจากอาทิตย์ในการให้ความสว่างและพลังงานความร้อน

...เมื่อสมมุติให้ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ดังนั้นจึงสมมุติกันอีกว่า โลกต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ในขณะที่หมุนรอบตัวเองไปด้วย...ให้ 1 รอบ สมมุติว่า...กินเวลาเท่ากับ 1 ปี หรือ 12 เดือน หรือ 52 สัปดาห์ หรือคิดเป็น 365 วันหรือบางปีอาจจะมีถึง 366 วัน

และทั้งโลก-ดวงอาทิตย์มีทิศทางการหมุน หรือเรียกว่า 'วงโคจร' ไปในทิศทางเดียว...

O O O

แต่...ถ้าสมมุติว่ามันหมุนกลับด้านล่ะ จะเป็นอย่างไร?

อืม...น่าประหลาดที่ว่า 'ผม' ในฐานะหนึ่งในผู้ถูก 'สมมุติ' ก็สามารถ 'สมมุติ' ได้ และขณะนี้ผมก็กำลัง...

O O O

ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ขณะแสงจากดวงอาทิตย์กำลังฉายฉาน มันส่องนำพลังงานความร้อนมาถึงตัวผมด้วยการลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างห้องนอนที่เปิดอ้าทิ้งไว้

แสงที่ว่า...มันส่องเข้ามาปะทะที่ใบหน้าของผมอย่างจัง จนทำให้รู้สึกร้อนฉ่า...ไปทั่วถ้วน

ด้วยความร้อนระดับที่ว่า...ทำให้ผมไม่สามารถจะทนนอนอุดอู้อ้อยอิ่งอยู่ได้อีกต่อไป จึงลุกขึ้นโดยปล่อยให้ผ้าห่มยังคงกระจัดกระจายอยู่บนที่นอนอย่างไร้ระเบียบ

ยืนขึ้นบิดขี้เกียจ สลัดไล่ความง่วงงุนให้มลายออกจากหัวที่ยังมึนตึ้บไม่คลาย

แต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะปกติแล้วผมจะเป็นคนตื่นสาย-ตื่นเที่ยง ไปจนกระทั่งตื่นบ่าย-ตื่นเย็นก็เคยมี แล้วแต่ระดับดีกรีที่เพียรกรอกเข้าปากจากช่วงราตรีที่เพิ่งพ้นมา ขึ้นกับว่ามันจะมีปริมาณแก้วมากน้อยเพียงใด...แต่ก็นั่นแหละ

'ดีกรี' มันก็แค่สิ่ง 'สมมติ' เหมือนกัน ไม่ใช่หรือ?!!!

หลังเสร็จกิจในห้องน้ำ ผมก็ดุ่มเดินออกจากห้องเช่าขนาดไม่เกิน 28 ตารางเมตรของอพาร์ตเมนต์คนยากแห่งนั้น มุ่งหน้าไปยังปากซอยที่อยู่ห่างออกไปราว 500 เมตร ร้านกาแฟโบราณที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมติดกับสี่แยกไฟแดง ถือเป็นเจ้าประจำที่ทุกเช้าผมต้องพาตัวไปแปะกันลงบนเก้าอี้ เพื่อสั่งกาแฟ-ปาท่องโก๋ มาดื่ม-กิน พร้อมกางหนังสือพิมพ์รายวันออกอ่านเพื่อติดตามสถานการณ์ความเป็นไปในสังคม...

'สังคมสมมติ'!!!

"ชิบหาย! ทำไมวันนี้ไม่ยักมีข่าวฆ่ากันตายเลยแฮะ?"

ผมสบถปนอุทานด้วยความแปลกใจ หลังจากหยิบหนังสือพิมพ์หัวสีที่ยอดขายสูงสุดในประเทศขึ้นกางอ่านแล้วพลิกไป-มาจนแทบทุกหน้า...

"ข่าวนักการเมืองขี้ฉ้อ คดโกงบ้านเมืองมันหายไปไหนหมดเนี่ย แล้วก็พวกข่าวฉาวๆ คาวโลกีย์อีก พระใบ้หวย-มั่วสีกา ดารามั่วเซ็กซ์-มั่วยา มันหายไปไหนหมด...ทำไมถึงมีแต่ข่าวคนทำความดีฟะ? สงสัยโลกจะหมุนกลับทิศแล้วแหงๆ เอ...หรือว่าไอ้พวกหนังสือพิมพ์มันเพี้ยนไปกันหมดซะแล้วหว่า?"

"ลื้อจะไปแปลกใจอะไร...ทำไม!? ก็ในเมื่อสังคมเรามีแต่คนทำดี ไม่มีคนทำชั่ว หนังสือพิมพ์เขาก็ต้องลงข่าวดีๆ สิ จะให้ปั้นน้ำเป็นตัวให้คนดีกลายเป็นชั่วไปได้ยังไงกันเล่า..."

อาแปะเจ้าของร้านกาแฟขัดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางอารมณ์ดี ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้แกดูจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ต่างจากปรกติทุกวันที่มักจะก่นด่า-สบถสาบานเป็นสำเนียงล้งเล้งอยู่แทบจะทุกนาที

ไม่สิ! ไม่เพียงอาแปะร้านขายกาแฟเท่านั้น หันไปมองคนรอบข้างก็เช่นกัน ทำไมมีแต่คนฉีกยิ้มใส่กัน คนที่ซื้อของก็เข้าคิวกันซื้อ คนที่จะขึ้นรถโดยสารก็ต่อคิว แถมพวกที่เป็นผู้ชายก็ยังเสียสละที่นั่งให้เด็กสตรี และคนชราได้นั่งก่อน ส่วนรถราที่วิ่งอยู่บนถนนก็ขับกันอย่างระมัดระวังด้วยความเร็วพอประมาณ ไม่เห็นมีใครแซงปาดซ้าย-ป่ายขวา ไม่มีแม้เสียงบีบแตรให้รำคาญหู เมื่อมีคนข้ามถนนตรงทางม้าลาย รถก็จอดรอให้คนข้ามก่อนจะเร่งเครื่องทะยานต่อไป ท่าทีของผู้คนที่แสดงออกต่อกันล้วนถ้อยทีถ้อยอาศัย เต็มไปด้วยมิตรจิต-มิตรใจ

มองไปยังจอทีวีในร้าน จำได้ว่า...ปรกติช่วงเวลานี้จะต้องมีเกมโชว์ไร้สาระให้ได้ผ่อนคลายความตึงเครียด แต่เวลานี้กลับกลายเป็นรายการสารคดีเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคม

แล้วสักพักพอจบรายการที่ว่า ก็มีรายการข่าวคั่นเข้ามา ซึ่งผู้สื่อข่าวก็รายงานถึงผลประกาศชื่อผู้ทำความดีที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในรอบสัปดาห์อีก ข่าวต่อๆ มาก็เป็นภาพของนักการเมืองกำลังลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบปัญหาเดือดร้อน แววตาของนักการเมืองนั้นเต็มไปด้วยความอารีอารอบและแสดงท่าทีว่าต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงใจ...ขณะที่ชาวบ้านก็กรูเข้าไปขอบอกขอบใจนักการเมืองผู้นั้น

"นี่แหละ! ส.ส.ที่เป็นคนของประชาชนจริงๆ เขาผ่านการเลือกตั้งเข้ามาโดยไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว แต่...คนก็เลือกเขาจากคุณธรรม ความดี และความสามารถอย่างแท้จริง"

เสียงหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครลอยเข้ามาปะทะหู อาการของผมขณะนี้ถึงกับตาลอยเพราะสับสนในความคิดอย่างหนัก

"เฮ้ย! นี่กูยังไม่หายเมาหรือไงวะเนี่ย? สงสัยเมื่อคืนดื่มหนักเกินไป หรือว่ากำลังฝันอยู่กันแน่?!"

ผมรำพึงกับตัวเองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ลงทุนหยิกตัวเองอย่างแรงก็แล้ว เอาเท้าขวากระทืบเท้าซ้ายตัวเองก็แล้ว กลับทำให้เจ็บเปล่า เพราะสิ่งที่กำลังเผชิญ มันไม่ใช่ความฝัน ผมไม่ได้หลับอยู่บนเตียง และไม่ได้ขาดสติ

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเบื้องหน้าผมแล้ว...

O O O

...สมมุติว่า ถ้าโลกหมุนกลับด้านได้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะกลับเป็นจริงขึ้นมาก็ได้

ถึงตอนนี้หากทำได้ ผมอยากสมมุติว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง...ไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ

เพราะผมจะได้ไม่ต้องมานั่ง 'สมมุติ' หรือ 'สมมติ' ...อีกต่อไป O



หมายเหตุ : ตีพิมพ์ในคอลัมน์ "เรื่องสั้นไทย" จุดประกาย วรรณกรรม

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ปีที่ 20 ฉบับที่ 7031 วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550

และในคอลัมน์ "สนามเรื่องสั้นสั้น" ในเว็บไซต์

http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 06:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
สมมุติ.....สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามธรรม คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นอยู่จริงตามธรรม

สมมุติ บังปรมัตถ์ บังธรรม บังความจริง......ผู้ติดยึดในสมมุติย่อมจะไม่เห็นปรมัตถ์ ย่อมจะไม่เห็นธรรม ย่อมจะไม่เห็นความจริง

สมมุติ ทำให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งไปได้อย่างมากมายและพิสดาร ต่างกับปรมัตถ์ที่ทำให้พบแต่ความจริงและทำให้หมดสิ้นความปรุงแต่ง

การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จึงจะเห็นปรมัตถ์ความจริง
เห็นธรรมและเข้าถึงธรรม

onion
:b8:
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
สมมุติ.....สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามธรรม คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นอยู่จริงตามธรรม

สมมุติ บังปรมัตถ์ บังธรรม บังความจริง......ผู้ติดยึดในสมมุติย่อมจะไม่เห็นปรมัตถ์ ย่อมจะไม่เห็นธรรม ย่อมจะไม่เห็นความจริง

สมมุติ ทำให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งไปได้อย่างมากมายและพิสดาร ต่างกับปรมัตถ์ที่ทำให้พบแต่ความจริงและทำให้หมดสิ้นความปรุงแต่ง

การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จึงจะเห็นปรมัตถ์ความจริง
เห็นธรรมและเข้าถึงธรรม


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน



จะละไปไหน จะละสมมุติไปไหนกันจ๊ะ คิกๆๆ

นึกดีๆนะค่อยๆคิด แล้วค่อยตอบ จะถาม

คำว่า "ต้นไม้" เป็นสมมติเป็นบัญญัติไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 14:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
onion
สมมุติ.....สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามธรรม คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นอยู่จริงตามธรรม

สมมุติ บังปรมัตถ์ บังธรรม บังความจริง......ผู้ติดยึดในสมมุติย่อมจะไม่เห็นปรมัตถ์ ย่อมจะไม่เห็นธรรม ย่อมจะไม่เห็นความจริง

สมมุติ ทำให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งไปได้อย่างมากมายและพิสดาร ต่างกับปรมัตถ์ที่ทำให้พบแต่ความจริงและทำให้หมดสิ้นความปรุงแต่ง

การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จึงจะเห็นปรมัตถ์ความจริง
เห็นธรรมและเข้าถึงธรรม


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน



จะละไปไหน จะละสมมุติไปไหนกันจ๊ะ คิกๆๆ

นึกดีๆนะค่อยๆคิด แล้วค่อยตอบ จะถาม

คำว่า "ต้นไม้" เป็นสมมติเป็นบัญญัติไหม

:b15:
บัณฑิตโง่ ไม่รู้ว่า ต้นไม้ เป็นสมมุติบัญญัติ
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
onion
สมมุติ.....สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามธรรม คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นอยู่จริงตามธรรม

สมมุติ บังปรมัตถ์ บังธรรม บังความจริง......ผู้ติดยึดในสมมุติย่อมจะไม่เห็นปรมัตถ์ ย่อมจะไม่เห็นธรรม ย่อมจะไม่เห็นความจริง

สมมุติ ทำให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งไปได้อย่างมากมายและพิสดาร ต่างกับปรมัตถ์ที่ทำให้พบแต่ความจริงและทำให้หมดสิ้นความปรุงแต่ง

การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จึงจะเห็นปรมัตถ์ความจริง
เห็นธรรมและเข้าถึงธรรม


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน



จะละไปไหน จะละสมมุติไปไหนกันจ๊ะ คิกๆๆ

นึกดีๆนะค่อยๆคิด แล้วค่อยตอบ จะถาม

คำว่า "ต้นไม้" เป็นสมมติเป็นบัญญัติไหม

:b15:
บัณฑิตโง่ ไม่รู้ว่า ต้นไม้ เป็นสมมุติบัญญัติ
:b34:



แล้วจะละมันไปไหนไม่ทราบ มันก็อยู่ของมัน เพียงแต่เรารู้ว่าเขาสมมติเรียกว่ากันว่าต้นไม้ ใบหญ้า จะละไปไหน หือ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกพอเข้าใจหรือยัง ทำไมลัทธินิครนถ์จึงนุ่งลมห่มฟ้า (แก้ผ้า) :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกพอเข้าใจหรือยัง ทำไมลัทธินิครนถ์จึงนุ่งลมห่มฟ้า (แก้ผ้า) :b14:



ท่านอโศกตอบคำถามนี้หน่อยดิขอรับ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
สมมุติ.....สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามธรรม คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นอยู่จริงตามธรรม

:b32: ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่มีบ้าน หรือว่า มีลูก มีเมีย มีบ้าน ปัจจุบันสมมุติมีจริงหรือไม่จริง เอาชัดๆ

asoka เขียน:
สมมุติ บังปรมัตถ์ บังธรรม บังความจริง......ผู้ติดยึดในสมมุติย่อมจะไม่เห็นปรมัตถ์ ย่อมจะไม่เห็นธรรม ย่อมจะไม่เห็นความจริง

:b32: สมมติบังปรมัตถ์ที่ไหน มันต่างอันต่างจริงทั้ง2อย่าง อริยบุคคลรู้จริงทั้ง2อย่างน๊า

asoka เขียน:
สมมุติ ทำให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งไปได้อย่างมากมายและพิสดาร ต่างกับปรมัตถ์ที่ทำให้พบแต่ความจริงและทำให้หมดสิ้นความปรุงแต่ง

:b32: ทั้งสมมติและปรมัตถ์ที่ประกอบด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ขาดสังขารขันธ์และทุกขันธ์ในขันธ์5เลยจร้า

asoka เขียน:
การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จึงจะเห็นปรมัตถ์ความจริง
เห็นธรรมและเข้าถึงธรรม

onion
:b8:
:b27:

:b12: ทุกอย่างเป็นธัมมะเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีสมมติและปรมัตถ์ในขันธ์5ที่ปรุงแต่งทุกขณะจิต
:b32: อริยบุคคลละความไม่รู้และรู้ทั้งสมมติและปรมัตถ์ตามจริงคือ รู้ทุกข์ ละสมุทัย ถึงมรรค ผล นิพพาน
:b1: ท่านอโศกะคิดอะไรอยู่ อ่านเข้าใจไหมว่า สมมติมีจริง ปรมัตถ์มีจริง ทุกอย่างมีจริงแต่รู้ไม่จริงนะ
:b11:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 07:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
onion
สมมุติ.....สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามธรรม คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นอยู่จริงตามธรรม

:b32: ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่มีบ้าน หรือว่า มีลูก มีเมีย มีบ้าน ปัจจุบันสมมุติมีจริงหรือไม่จริง เอาชัดๆ

asoka เขียน:
สมมุติ บังปรมัตถ์ บังธรรม บังความจริง......ผู้ติดยึดในสมมุติย่อมจะไม่เห็นปรมัตถ์ ย่อมจะไม่เห็นธรรม ย่อมจะไม่เห็นความจริง

:b32: สมมติบังปรมัตถ์ที่ไหน มันต่างอันต่างจริงทั้ง2อย่าง อริยบุคคลรู้จริงทั้ง2อย่างน๊า

asoka เขียน:
สมมุติ ทำให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งไปได้อย่างมากมายและพิสดาร ต่างกับปรมัตถ์ที่ทำให้พบแต่ความจริงและทำให้หมดสิ้นความปรุงแต่ง

:b32: ทั้งสมมติและปรมัตถ์ที่ประกอบด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ขาดสังขารขันธ์และทุกขันธ์ในขันธ์5เลยจร้า

asoka เขียน:
การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องละสมมุติ
บัญญัติ ความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จึงจะเห็นปรมัตถ์ความจริง
เห็นธรรมและเข้าถึงธรรม

onion
:b8:
:b27:

:b12: ทุกอย่างเป็นธัมมะเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยมีสมมติและปรมัตถ์ในขันธ์5ที่ปรุงแต่งทุกขณะจิต
:b32: อริยบุคคลละความไม่รู้และรู้ทั้งสมมติและปรมัตถ์ตามจริงคือ รู้ทุกข์ ละสมุทัย ถึงมรรค ผล นิพพาน
:b1: ท่านอโศกะคิดอะไรอยู่ อ่านเข้าใจไหมว่า สมมติมีจริง ปรมัตถ์มีจริง ทุกอย่างมีจริงแต่รู้ไม่จริงนะ
:b11:
onion onion onion

:b32:
น้องรสรินมีมุมมองเรื่องสมมุติบัญญัติที่ผิดไปคล้ายกรัชกายเลยนะ

สมมุติบัญญัติ ไม่มีอยู่จริง

ปรมัตถ์ มีอยู่จริง

วางสมมุติไปเสียชั่วคราวให้ได้ก่อนจึงจะได้เห็นปรมัตถ์
สมมุติมันบังปรมัตถ์ ทำให้เห็นผิด หลงผิด คิดผิด บิดเบือนไปจากความจริงอยู่ตลอดเวลา ใครไม่ใส่ใจในการฝึกวางสมมุติและความนึกคิดให้ได้เสียก่อน จะได้เจอแต่ธรรมปลอมตามปริยัติและตำรา จะไม่เจอของจริงที่แสดงอยู่จริงในกายในใจ

อยู่อย่างคิดนึกไม่หยุดได้


ทำไมไม่ลองไปอยู่แบบไม่มีความคิดนึกดูบ้าง สัก 2-3 นาทีเป็นเบื้องต้น จนสามารถอยู่ได้เป็นชั่วโมงเป็นวัน จะได้พบสุข
พบนิพพานตัวอย่าง เมื่อยามที่จิตไร้การสังขารปรุงแต่ง ลองชิมกันดูสิ นักตำรา นักวิชาการ นักปริยัติ นักคิดนึกทั้งหลาย

ความสุขนี้อยู่ไม่ไกลเพียงทำใจหยุดคิดนึกได้ ก็สุขพลัน

onion
"เอาบัญญัติ หาบัญญัติ เห็นบัญญัติ ได้บัญญัติ เป็นบัญญัติ"

"เอาปรมัตถ์ หาปรมัตถ์ เห็นปรมัตถ์ ได้ปรมัตถ์ เป็นปรมัตถ์"

onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร