วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 00:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2016, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เราทุกคนต่างเคยทำผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดนั้นคาใจนานเกินไป
เพราะทำให้บั่นทอนกำลังใจในการดำเนินชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
ความรู้สึกทุกข์ใจร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข อันเนื่องมาจากความผิดที่ตนเคยทำไว้เรียกว่า
‘วิปฏิสาร’ (อ่านว่า วิบ -ปะ-ติ-สาน)
บ่อยครั้งคนเรามักเก็บวิปฏิสารไว้นาน จนเวลาล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงเพียงใด เราควรละวางวิปฏิสารนั้น แล้วเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่

ในพระไตรปิฎกมีเรื่องเล่าว่าในสมัยพระพุทธเจ้านามว่ากัสสปะ ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถ้ำติดชายทะเลอยู่เพียงรูปเดียว วันหนึ่งขณะสรงน้ำมีเรือแล่นผ่านมา ท่านเห็นตะไคร่น้ำเป็นพุ่มยาวออกมาจากใต้ท้องเรือจึงนึกสนุกโผกายเข้าไปจับตะไคร่น้ำแล้วปล่อยให้เรือลากตัวท่านไปจนตะไคร่น้ำขาดออกจากกัน
ขณะนั้นท่านรู้ตัวว่าตนเองต้องอาบัติเสียแล้วเพราะมีพุทธบัญญัติข้อหนึ่งระบุว่าห้ามภิกษุพรากของเขียว หมายถึงห้ามภิกษุตัดต้นไม้หรือทำพืชทุกชนิดขาดออกจากกัน หากทำเช่นนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์

อาบัติปาจิตตีย์จะระงับได้ต่อเมื่อภิกษุได้แสดงอาบัตินั้นแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง แต่ภิกษุรูปนี้จำพรรษาอยู่ในถ้ำริมทะเลเพียงรูปเดียวยังหาภิกษุอื่นมาร่วมแสดงอาบัติไม่ได้ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่าหากพบเจอภิกษุท่านใดผ่านมาจะแสดงอาบัติทันทีเมื่อมีโอกาส จนกระทั่งมีเหตุให้ภิกษุรูปนี้เสียชีวิตไปในขณะที่ยังหาภิกษุรูปอื่นมาปลงอาบัติไม่ได้ ในใจก็ยังติดข้องอยู่ในอาบัตินั้น

ความติดข้องนี้เป็นเหตุให้ภิกษุรูปดังกล่าวไปเกิดเป็นพญานาค
ทั้งๆ ที่ท่านบำเพ็ญเพียรมานานน่าจะไปจุติบนพรหมโลกหรือไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่า
แต่ก็ไม่สามารถไปเกิดได้เพราะจิตติดข้องอยู่กับอาบัติเพียงตัวเดียว

แท้จริงแล้วอาบัติปาจิตตีย์เป็นเพียงอาบัติเล็กน้อย
การทำตะไคร่น้ำขาดมิได้เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงไม่น่ามีผลให้ภิกษุรูปดังกล่าวต้องไปเกิดเป็นพญานาค
พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ขึ้นมามีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันมิให้ภิกษุทำลายต้นไม้ทำลายธรรมชาติ
แต่ด้วยจิตที่ติดข้องอยู่กับอาบัติเพียงเล็กน้อยทำให้ต้องไปเกิดเป็นพญานาค และเป็นพญานาคที่มีลักษณะแตกต่างจากพญานาคทั่วไป ตามลำตัวมีเกล็ดเหมือนตะไคร่น้ำลุ่มล่ามนุงนังไปหมด

เนื่องจากขณะวาระจิตใกล้ดับจิตปรุงแต่งแต่เรื่องที่ตนเคยทำตะไคร้น้ำฉีกขาดเมื่อไปเกิดเป็นพญานาคจึงทำให้มีเกล็ดคล้ายตะไคร่น้ำไปด้วย
หากภิกษุรูปดังกล่าวสามารถทำความเข้าใจได้ว่า
อาบัติข้อนี้พระพุทธองค์บัญญัติขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้ภิกษุตัดไม้ทำลายป่า
และการทำตะไคร่น้ำฉีกขาดก็ไม่ได้เป็นบาปกรรมอะไร
ก็คงไม่ต้องไปเกิดเป็นพญานาคเช่นนั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2016, 05:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ภิกษุ ท. ! เมื่อ ศีล มีอยู่ อวิปฏิสารของผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ อวิปฏิสาร มีอยู่ ความปราโมทย์ของผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปฏิสารก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ความปราโมทย์ มีอยู่ ปีติของผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปีติ มีอยู่ ปัสสัทธิของผู้สมบูรณ์ด้วยปีติก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปัสสิทธิ มีอยู่ สุขของผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สุข มีอยู่ สัมมาสมาธิของผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีอยู่ นิพพิทาวิราคะของผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,

เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของผู้ที่ สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๔/๓.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2016, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ภิกษุ ท. ! เมื่อ ศีล มีอยู่ อวิปฏิสารของผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ อวิปฏิสาร มีอยู่ ความปราโมทย์ของผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปฏิสารก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ความปราโมทย์ มีอยู่ ปีติของผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปีติ มีอยู่ ปัสสัทธิของผู้สมบูรณ์ด้วยปีติก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปัสสิทธิ มีอยู่ สุขของผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สุข มีอยู่ สัมมาสมาธิของผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีอยู่ นิพพิทาวิราคะของผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,

เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของผู้ที่ สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๔/๓.


อุปมากบนอกกะลา คล้ายๆคนร้อนแดดมา พอเข้าร่มไม้รู้สึกเย็นๆก็เออชื่นใจ

กบการอ่านข้อความนี้เป็นต้นก็ทำนองเดียวกัน แต่ถ้าถามเถอะกบจะร้องอึ

อ้าวนะจะลองเทสดู

กบเข้าใจยถาภูตญาณไหม กบทำได้ไหม ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2016, 06:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ภิกษุ ท. ! เมื่อ ศีล มีอยู่ อวิปฏิสารของผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ อวิปฏิสาร มีอยู่ ความปราโมทย์ของผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปฏิสารก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ความปราโมทย์ มีอยู่ ปีติของผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปีติ มีอยู่ ปัสสัทธิของผู้สมบูรณ์ด้วยปีติก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปัสสิทธิ มีอยู่ สุขของผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สุข มีอยู่ สัมมาสมาธิของผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีอยู่ นิพพิทาวิราคะของผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,

เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของผู้ที่ สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๔/๓.


อุปมากบนอกกะลา คล้ายๆคนร้อนแดดมา พอเข้าร่มไม้รู้สึกเย็นๆก็เออชื่นใจ

กบการอ่านข้อความนี้เป็นต้นก็ทำนองเดียวกัน แต่ถ้าถามเถอะกบจะร้องอึ

อ้าวนะจะลองเทสดู

กบเข้าใจยถาภูตญาณไหม กบทำได้ไหม ?


หากกักกายเข้าใจ..แล..ทำได้
ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย.. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2016, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ภิกษุ ท. ! เมื่อ ศีล มีอยู่ อวิปฏิสารของผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ อวิปฏิสาร มีอยู่ ความปราโมทย์ของผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปฏิสารก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ความปราโมทย์ มีอยู่ ปีติของผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปีติ มีอยู่ ปัสสัทธิของผู้สมบูรณ์ด้วยปีติก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปัสสิทธิ มีอยู่ สุขของผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สุข มีอยู่ สัมมาสมาธิของผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีอยู่ นิพพิทาวิราคะของผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,

เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของผู้ที่ สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๔/๓.


อุปมากบนอกกะลา คล้ายๆคนร้อนแดดมา พอเข้าร่มไม้รู้สึกเย็นๆก็เออชื่นใจ

กบการอ่านข้อความนี้เป็นต้นก็ทำนองเดียวกัน แต่ถ้าถามเถอะกบจะร้องอึ

อ้าวนะจะลองเทสดู

กบเข้าใจยถาภูตญาณไหม กบทำได้ไหม ?


หากกักกายเข้าใจ..แล..ทำได้
ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย.. :b8: :b8: :b8:



เข้าใจไหม :b1:ยถาภูตญาณ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2016, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา นำสิ่งเป็นระดับอรหัตมรรค อรหัตผลซึ่งเขาทำตามกันไม่ได้มาเพื่อความเท่ห์ :b1:

ควรจะนำสิ่งที่เขาทำตามกันได้มามากกว่า เช่น การให้ชีวิตเป็นทาน (ทาน) คือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ตักบาตรพระตอนเช้า ปิดทองฝังลูกนิมิต ไหว้พระ ๙ วัด ไรเงี้ยะ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2016, 12:24 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2960


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2016, 19:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
กรัชกายชอบธรรมะระดับปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า
ทำบุญให้ทาน อันเป็นระดับพื้นฐานที่ทำกันมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ไม่รู้จักต่อยอดบุญของตัวเองให้สูงขึ้น ยกระดับขึ้นไปสู่
ศีล สู่ภาวนา ที่สูงสุดคือ วิปัสสนาภาวนา เมื่อถึงระดับวิปัสสนาภาวนาแล้วจึงจะถึงระดับที่ได้เดินตามรอยเท้ารอยบาทและคำสั่งสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

ทาน ศีล สมถะภาวนา มีสอนกันอยู่ในทุกศาสนา
แต่วิปัสสนาภาวนามีสอนอยู่ในเฉพาะพระพุทธศาสนา เป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนา ใครที่จะเรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างภาคภูมิใจ ต้องรู้จักและทำวิปัสสนาภาวนาเป็น
ถ้าไม่รู้และทำวิปัสสนาภาวนาไม่เป็นก็ยังถือว่าเป็นชาวพุทธปลอมอยู่นะครับ

กรัชกายจึงไม่ควรจะทำให้ผู้คนที่สนใจในพุทธศาสนามาอ้อยอิ่งกันอยู่แต่เรื่อง ทาน ศีล สมถะภาวนา
ควรจะหาวิธีที่จะทำให้ผู้คนเข้าถึงวิปัสสนาภาวนาได้อย่างรวดเร็วจะดีกว่า ไม่เสียเวลาและยืดเยื้อกับเรื่องที่ทุกคนทำมาแล้วนับชาติไม่ถ้วนนะครับ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2016, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา นำสิ่งเป็นระดับอรหัตมรรค อรหัตผลซึ่งเขาทำตามกันไม่ได้มาเพื่อความเท่ห์ :b1:

ควรจะนำสิ่งที่เขาทำตามกันได้มามากกว่า เช่น การให้ชีวิตเป็นทาน (ทาน) คือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ตักบาตรพระตอนเช้า ปิดทองฝังลูกนิมิต ไหว้พระ ๙ วัด ไรเงี้ยะ :b13:


กักกาย..คงเจ็บใจน่าดู...จึงเก็บคำที่ผมตำนิกักกายเรื่องแก้สภาวะ...มาระบายใส่ผม.. :b9: :b9: :b9:

แต่..ในกระทู้นี้...มันต่างออกไปไม่ได้เป็นอย่างที่กักกายใส่สีให้ผมว่าเพื่ออยากเท่ห์..

ชื่อกระทู้...วิปฏิสาร..

ลุงหมาน...เสนอว่า..
อ้างคำพูด:
เราทุกคนต่างเคยทำผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดนั้นคาใจนานเกินไป
เพราะทำให้บั่นทอนกำลังใจในการดำเนินชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
ความรู้สึกทุกข์ใจร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข อันเนื่องมาจากความผิดที่ตนเคยทำไว้เรียกว่า
‘วิปฏิสาร’ (อ่านว่า วิบ -ปะ-ติ-สาน)
บ่อยครั้งคนเรามักเก็บวิปฏิสารไว้นาน จนเวลาล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงเพียงใด เราควรละวางวิปฏิสารนั้น แล้วเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่


กระผมก็เห็นด้วย...
จึงนำอานิสงค์ของอวิปฏิสาร..มาเสนอประกอบกระทู้..
กบนอกกะลา เขียน:
ภิกษุ ท. ! เมื่อ ศีล มีอยู่ อวิปฏิสารของผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ อวิปฏิสาร มีอยู่ ความปราโมทย์ของผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปฏิสารก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ความปราโมทย์ มีอยู่ ปีติของผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปีติ มีอยู่ ปัสสัทธิของผู้สมบูรณ์ด้วยปีติก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปัสสิทธิ มีอยู่ สุขของผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สุข มีอยู่ สัมมาสมาธิของผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีอยู่ นิพพิทาวิราคะของผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,

เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของผู้ที่ สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๔/๓.


แล้วกักกายก็มาตั้งคำถามว่าผมเข้าใจ...ยถาภูตญาณไหม?...ทำได้มั้ย?
กรัชกาย เขียน:
อุปมากบนอกกะลา คล้ายๆคนร้อนแดดมา พอเข้าร่มไม้รู้สึกเย็นๆก็เออชื่นใจ

กบการอ่านข้อความนี้เป็นต้นก็ทำนองเดียวกัน แต่ถ้าถามเถอะกบจะร้องอึ

อ้าวนะจะลองเทสดู

กบเข้าใจยถาภูตญาณไหม กบทำได้ไหม ?


ชื่อกระทู้..วิปฏิสาร..ลุงหมานนำเสนอ..
ผมนำ....อานิสงค์อวิปฏิสาร..มา
แต่กักกายเลือกที่จะถาม..ยถาภูตญาณ..แล้วยังถามว่าผมทำได้มั้ย..อีกด้วย

เอาละ..กักกายมีสิทธิ์ถาม...

ผมก็มานั่งคิด..ว่า..ทำไมกักกายเลือกที่จะถามผมว่า..เข้าใจในยถาภูตญาณมั้ย..??..ทำไมไม่ถามว่าเข้าใจวิปฏิสาร..อวิปฏิสาร..ตามชื่อกระทู้ละ?

ผมก็เลยคิดว่า..กักกายคงมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจในยถาภูตญาณนั้นแหละจึงถามมา...ไม่งั้นคงไม่ถามนอกประเด็นของกระทู้...

แล้วกักกายยังพ่วงคำถามว่า..ผมทำได้มั้ย?..อีกด้วย...
ผมก็คิดว่า...กักกายก็คงมั่นใจว่าตัวกักกายเองทำได้น่านแหละ..จึงถามนอกประเด็นกระทู้...

ผมคิดว่า..ที่กักกายถาม..ก็เพราะกักกายมองว่าถ้าผมตอบผิด..กักกายจะได้บอกว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร...(คือ..กักกายไม่ได้นึกว่าผมจะเข้าใจอยู่แล้วละ...เพียงนึกหาเหตุที่จะพูดถึง..ยถาภูตญาณ..)

ซึ่งผมก็รู้ตัวดีว่า..แม้จะเข้าใจคำแปลว่า..ยถาภูตญาณ..นั้นหมายถึงอะไร..แต่ผมก็ไม่ได้เข้าใจจะแจ้ง..รึ..ทำญาณอะไรได้ทะลุปรุโปรง..

เห็นกักกายถาม..ด้วยความมั่นใจในตัวเอง...
ก็เลย..อนุโมทนาสาธุด้วย..ด้วยความจริงใจ.

กบนอกกะลา เขียน:
หากกักกายเข้าใจ..แล..ทำได้
ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย.. :b8: :b8: :b8:


แต่ก็ไม่วาย..มีติ่งเล็กๆ....เตือนใจกักกาย..นิดหน่อย..ขอให้ทำได้จริง.. :b9: :b9: :b9:

ไม่ได้แถ..อะไร..
กรัชกาย เขียน:
เข้าใจไหม :b1:ยถาภูตญาณ

(..มีคำว่า..แถ..ก่อนจะแก้ไขตัดทิ้งไป..) :b32: :b32: .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2016, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
กรัชกายชอบธรรมะระดับปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า
ทำบุญให้ทาน อันเป็นระดับพื้นฐานที่ทำกันมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ไม่รู้จักต่อยอดบุญของตัวเองให้สูงขึ้น ยกระดับขึ้นไปสู่
ศีล สู่ภาวนา ที่สูงสุดคือ วิปัสสนาภาวนา เมื่อถึงระดับวิปัสสนาภาวนาแล้วจึงจะถึงระดับที่ได้เดินตามรอยเท้ารอยบาทและคำสั่งสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

ทาน ศีล สมถะภาวนา มีสอนกันอยู่ในทุกศาสนา
แต่วิปัสสนาภาวนามีสอนอยู่ในเฉพาะพระพุทธศาสนา เป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนา ใครที่จะเรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างภาคภูมิใจ ต้องรู้จักและทำวิปัสสนาภาวนาเป็น
ถ้าไม่รู้และทำวิปัสสนาภาวนาไม่เป็นก็ยังถือว่าเป็นชาวพุทธปลอมอยู่นะครับ

กรัชกายจึงไม่ควรจะทำให้ผู้คนที่สนใจในพุทธศาสนามาอ้อยอิ่งกันอยู่แต่เรื่อง ทาน ศีล สมถะภาวนา
ควรจะหาวิธีที่จะทำให้ผู้คนเข้าถึงวิปัสสนาภาวนาได้อย่างรวดเร็วจะดีกว่า ไม่เสียเวลาและยืดเยื้อกับเรื่องที่ทุกคนทำมาแล้วนับชาติไม่ถ้วนนะครับ


ถามเลยแล้วกัน สมถะหมายถึงอะไร วิปัสสนาล่ะ อะไร ตอบชัดๆ ไม่น้ำท่วมทุ่งนะ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2016, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา นำสิ่งเป็นระดับอรหัตมรรค อรหัตผลซึ่งเขาทำตามกันไม่ได้มาเพื่อความเท่ห์ :b1:

ควรจะนำสิ่งที่เขาทำตามกันได้มามากกว่า เช่น การให้ชีวิตเป็นทาน (ทาน) คือ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ตักบาตรพระตอนเช้า ปิดทองฝังลูกนิมิต ไหว้พระ ๙ วัด ไรเงี้ยะ :b13:


กักกาย..คงเจ็บใจน่าดู...จึงเก็บคำที่ผมตำนิกักกายเรื่องแก้สภาวะ...มาระบายใส่ผม.. :b9: :b9: :b9:

แต่..ในกระทู้นี้...มันต่างออกไปไม่ได้เป็นอย่างที่กักกายใส่สีให้ผมว่าเพื่ออยากเท่ห์..

ชื่อกระทู้...วิปฏิสาร..

ลุงหมาน...เสนอว่า..
อ้างคำพูด:
เราทุกคนต่างเคยทำผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดนั้นคาใจนานเกินไป
เพราะทำให้บั่นทอนกำลังใจในการดำเนินชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
ความรู้สึกทุกข์ใจร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข อันเนื่องมาจากความผิดที่ตนเคยทำไว้เรียกว่า
‘วิปฏิสาร’ (อ่านว่า วิบ -ปะ-ติ-สาน)
บ่อยครั้งคนเรามักเก็บวิปฏิสารไว้นาน จนเวลาล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงเพียงใด เราควรละวางวิปฏิสารนั้น แล้วเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่


กระผมก็เห็นด้วย...
จึงนำอานิสงค์ของอวิปฏิสาร..มาเสนอประกอบกระทู้..
กบนอกกะลา เขียน:
ภิกษุ ท. ! เมื่อ ศีล มีอยู่ อวิปฏิสารของผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ อวิปฏิสาร มีอยู่ ความปราโมทย์ของผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปฏิสารก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ความปราโมทย์ มีอยู่ ปีติของผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปีติ มีอยู่ ปัสสัทธิของผู้สมบูรณ์ด้วยปีติก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ปัสสิทธิ มีอยู่ สุขของผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สุข มีอยู่ สัมมาสมาธิของผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ สัมมาสมาธิ มีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,
เมื่อ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีอยู่ นิพพิทาวิราคะของผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย,

เมื่อ นิพพิทาวิราคะ มีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของผู้ที่ สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ก็ถึงพร้อมด้วยที่ตั้งอาศัย.

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทสก. อํ. ๒๔/๔/๓.


แล้วกักกายก็มาตั้งคำถามว่าผมเข้าใจ...ยถาภูตญาณไหม?...ทำได้มั้ย?
กรัชกาย เขียน:
อุปมากบนอกกะลา คล้ายๆคนร้อนแดดมา พอเข้าร่มไม้รู้สึกเย็นๆก็เออชื่นใจ

กบการอ่านข้อความนี้เป็นต้นก็ทำนองเดียวกัน แต่ถ้าถามเถอะกบจะร้องอึ

อ้าวนะจะลองเทสดู

กบเข้าใจยถาภูตญาณไหม กบทำได้ไหม ?


ชื่อกระทู้..วิปฏิสาร..ลุงหมานนำเสนอ..
ผมนำ....อานิสงค์อวิปฏิสาร..มา
แต่กักกายเลือกที่จะถาม..ยถาภูตญาณ..แล้วยังถามว่าผมทำได้มั้ย..อีกด้วย

เอาละ..กักกายมีสิทธิ์ถาม...

ผมก็มานั่งคิด..ว่า..ทำไมกักกายเลือกที่จะถามผมว่า..เข้าใจในยถาภูตญาณมั้ย..??..ทำไมไม่ถามว่าเข้าใจวิปฏิสาร..อวิปฏิสาร..ตามชื่อกระทู้ละ?

ผมก็เลยคิดว่า..กักกายคงมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจในยถาภูตญาณนั้นแหละจึงถามมา...ไม่งั้นคงไม่ถามนอกประเด็นของกระทู้...

แล้วกักกายยังพ่วงคำถามว่า..ผมทำได้มั้ย?..อีกด้วย...
ผมก็คิดว่า...กักกายก็คงมั่นใจว่าตัวกักกายเองทำได้น่านแหละ..จึงถามนอกประเด็นกระทู้...

ผมคิดว่า..ที่กักกายถาม..ก็เพราะกักกายมองว่าถ้าผมตอบผิด..กักกายจะได้บอกว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร...(คือ..กักกายไม่ได้นึกว่าผมจะเข้าใจอยู่แล้วละ...เพียงนึกหาเหตุที่จะพูดถึง..ยถาภูตญาณ..)

ซึ่งผมก็รู้ตัวดีว่า..แม้จะเข้าใจคำแปลว่า..ยถาภูตญาณ..นั้นหมายถึงอะไร..แต่ผมก็ไม่ได้เข้าใจจะแจ้ง..รึ..ทำญาณอะไรได้ทะลุปรุโปรง..

เห็นกักกายถาม..ด้วยความมั่นใจในตัวเอง...
ก็เลย..อนุโมทนาสาธุด้วย..ด้วยความจริงใจ.

กบนอกกะลา เขียน:
หากกักกายเข้าใจ..แล..ทำได้
ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย.. :b8: :b8: :b8:


แต่ก็ไม่วาย..มีติ่งเล็กๆ....เตือนใจกักกาย..นิดหน่อย..ขอให้ทำได้จริง.. :b9: :b9: :b9:

ไม่ได้แถ..อะไร..
กรัชกาย เขียน:
เข้าใจไหม :b1:ยถาภูตญาณ

(..มีคำว่า..แถ..ก่อนจะแก้ไขตัดทิ้งไป..) :b32: :b32: .



อ้างคำพูด:
ซึ่งผมก็รู้ตัวดีว่า..แม้จะเข้าใจคำแปลว่า..ยถาภูตญาณ..นั้นหมายถึงอะไร..แต่ผมก็ไม่ได้เข้าใจจะแจ้ง..รึ..ทำญาณอะไรได้ทะลุปรุโปรง


ยังเลียบๆเคียงๆอยู่นั่น แปลว่าอะไร ที่ว่าเข้าใจคำแปล - หมายถึงอะไร ไหนลองว่ามาสิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2016, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เราทุกคนต่างเคยทำผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดนั้นคาใจนานเกินไป
เพราะทำให้บั่นทอนกำลังใจในการดำเนินชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
ความรู้สึกทุกข์ใจร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข อันเนื่องมาจากความผิดที่ตนเคยทำไว้เรียกว่า
‘วิปฏิสาร’ (อ่านว่า วิบ -ปะ-ติ-สาน)
บ่อยครั้งคนเรามักเก็บวิปฏิสารไว้นาน จนเวลาล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงเพียงใด เราควรละวางวิปฏิสารนั้น แล้วเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่

ในพระไตรปิฎกมีเรื่องเล่าว่าในสมัยพระพุทธเจ้านามว่ากัสสปะ ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถ้ำติดชายทะเลอยู่เพียงรูปเดียว วันหนึ่งขณะสรงน้ำมีเรือแล่นผ่านมา ท่านเห็นตะไคร่น้ำเป็นพุ่มยาวออกมาจากใต้ท้องเรือจึงนึกสนุกโผกายเข้าไปจับตะไคร่น้ำแล้วปล่อยให้เรือลากตัวท่านไปจนตะไคร่น้ำขาดออกจากกัน
ขณะนั้นท่านรู้ตัวว่าตนเองต้องอาบัติเสียแล้วเพราะมีพุทธบัญญัติข้อหนึ่งระบุว่าห้ามภิกษุพรากของเขียว หมายถึงห้ามภิกษุตัดต้นไม้หรือทำพืชทุกชนิดขาดออกจากกัน หากทำเช่นนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์

อาบัติปาจิตตีย์จะระงับได้ต่อเมื่อภิกษุได้แสดงอาบัตินั้นแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง แต่ภิกษุรูปนี้จำพรรษาอยู่ในถ้ำริมทะเลเพียงรูปเดียวยังหาภิกษุอื่นมาร่วมแสดงอาบัติไม่ได้ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่าหากพบเจอภิกษุท่านใดผ่านมาจะแสดงอาบัติทันทีเมื่อมีโอกาส จนกระทั่งมีเหตุให้ภิกษุรูปนี้เสียชีวิตไปในขณะที่ยังหาภิกษุรูปอื่นมาปลงอาบัติไม่ได้ ในใจก็ยังติดข้องอยู่ในอาบัตินั้น

ความติดข้องนี้เป็นเหตุให้ภิกษุรูปดังกล่าวไปเกิดเป็นพญานาค
ทั้งๆ ที่ท่านบำเพ็ญเพียรมานานน่าจะไปจุติบนพรหมโลกหรือไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่า
แต่ก็ไม่สามารถไปเกิดได้เพราะจิตติดข้องอยู่กับอาบัติเพียงตัวเดียว

แท้จริงแล้วอาบัติปาจิตตีย์เป็นเพียงอาบัติเล็กน้อย
การทำตะไคร่น้ำขาดมิได้เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงไม่น่ามีผลให้ภิกษุรูปดังกล่าวต้องไปเกิดเป็นพญานาค
พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ขึ้นมามีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันมิให้ภิกษุทำลายต้นไม้ทำลายธรรมชาติ
แต่ด้วยจิตที่ติดข้องอยู่กับอาบัติเพียงเล็กน้อยทำให้ต้องไปเกิดเป็นพญานาค และเป็นพญานาคที่มีลักษณะแตกต่างจากพญานาคทั่วไป ตามลำตัวมีเกล็ดเหมือนตะไคร่น้ำลุ่มล่ามนุงนังไปหมด

เนื่องจากขณะวาระจิตใกล้ดับจิตปรุงแต่งแต่เรื่องที่ตนเคยทำตะไคร้น้ำฉีกขาดเมื่อไปเกิดเป็นพญานาคจึงทำให้มีเกล็ดคล้ายตะไคร่น้ำไปด้วย
หากภิกษุรูปดังกล่าวสามารถทำความเข้าใจได้ว่า
อาบัติข้อนี้พระพุทธองค์บัญญัติขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้ภิกษุตัดไม้ทำลายป่า
และการทำตะไคร่น้ำฉีกขาดก็ไม่ได้เป็นบาปกรรมอะไร
ก็คงไม่ต้องไปเกิดเป็นพญานาคเช่นนั้น


อาบัติเล็กน้อยยังส่งผลขนาดนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงอาบัติที่หนักกว่านี้เลยจะส่งผลขนาดไหน

สัตว์มีกรรมนำไปเกิดจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2016, 09:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:

อาบัติเล็กน้อยยังส่งผลขนาดนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงอาบัติที่หนักกว่านี้เลยจะส่งผลขนาดไหน

สัตว์มีกรรมนำไปเกิดจริงๆ


ถ้าไม่ใช่อนัตริยกรรม..แล้วละก้อ

ทุกอย่างเปลี่ยนได้...ถ้าทำอย่างที่ลุงหมานว่ามา...

ดังนั้น...ถ้าเห็นใครทำชั่ว...เป็นพระก็ประพฤติไม่เหมาะสม...รึแม้แต่เราเอง...ก็อย่าไปติดใจกับเรื่องพวกนี้...ถ้ายังติดตาติดใจเรื่องที่ทำให้ใจเศร้าหมองอยู่...ก็ให้ภาวนาหาข้อธรรมมาแก้อาการนั้นๆ..ไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2016, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ปฤษฎี เขียน:

อาบัติเล็กน้อยยังส่งผลขนาดนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงอาบัติที่หนักกว่านี้เลยจะส่งผลขนาดไหน

สัตว์มีกรรมนำไปเกิดจริงๆ


ถ้าไม่ใช่อนัตริยกรรม..แล้วละก้อ

ทุกอย่างเปลี่ยนได้...ถ้าทำอย่างที่ลุงหมานว่ามา...

ดังนั้น...ถ้าเห็นใครทำชั่ว...เป็นพระก็ประพฤติไม่เหมาะสม...รึแม้แต่เราเอง...ก็อย่าไปติดใจกับเรื่องพวกนี้...ถ้ายังติดตาติดใจเรื่องที่ทำให้ใจเศร้าหมองอยู่...ก็ให้ภาวนาหาข้อธรรมมาแก้อาการนั้นๆ..ไป


ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับแล้ว ผู้ที่ทำผิดอาบัติก็แสดงอาบัติและสำรวมต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2018, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron