วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 97 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2016, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
เอก้อนกับกบเอาอะไรมารู้ใจหรือคาดเดาใจท่านพาหิยะล่ะลองว่ามาซิ ดูสิว่ามันจะตรงกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือไม่

ส่วนอโศกะนั้นเอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นแหละมาคืบลามคาดเดาเอา

หรือในตำรา กบและเอก้อนยึดแน่นไว้นั้น มีอธิบายรายละเอียดสภาวะจิตของท่านพาหิยะไว้ก็ลองนำมาเล่าสู่กันฟังจะได้เป็นบุญตาบุญหูของผู้ได้อ่านได้ฟังนะครับ

:b32: :b32:
แปลกมาก..อโสกะมักกล่าวหาว่าคนอื่นยึดแต่ตำรา...ซะเรื่อย

asoka เขียน:
s006
ส่วนความห่วงว่าอโศกะจะทำแปลกแหวกแนวไปอย่างที่ไปก้อปคลิ้บก้อปรูปอะไรมาให้ดูนั้น ขอให้หายห่วงอโศกะมิได้มีพฤติกรรมอย่างนั้น ลองสังเกตดูให้ดีๆสิ อโศกะพูดอยู่แต่เรื่องที่อยู่ในกรอบของ อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อนัตตา ปัจจุบันอารมณ์ตามภัทเทกรัตคาถา
มีอันไหนที่ว่ามานี้นอกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างล่ะลองชี้มา มีที่กบ เอก้อนและหลายท่านไม่เข้าใจคิดว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะพากันไปเทียบเอาแต่ธรรมะในตำราและคัมภีร์ อโศกะนั้นเทียบเอาจากทั้งในคัมภีร์และในสภาวธรรมตามความเป็นจริงมาพูดมาบอกในคำพูดและภาษาชาวบ้านง่ายๆเลยดูขัดหูขัดตานักวิชาการใหญ่ทั้งหลายจนอดรนทนไม่ได้ต้องมารุมโจมตีแคะไค้ ส่อเสียดเบียดเบียนกันด้วยคำพูดตลอดมา


แบบบ้านๆ..แบบไหนมิทราบคับ...พูดไปสองคำ..ก็สุญญตา...พูดไปไม่กี่คำ..ก็อนัตตา..ซะคล่องปาก
:b32: :b32:

asoka เขียน:
:b38:
ท่านพาหิยะสังเกตจิตตนเองจนเห็นหรือรู้ว่ามีความเห็นผิดยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นพาหิยะเป็นตัวเป็นตน ถ้าไม่มีตัวตนพาหิยะเสียแล้วในการเห็น ดู ฟังและผัสสะทั้งหมด ก็หมดทุกสิ่งอย่างเป็นอนัตตา สุญญตา จิตท่านจึงลุถึงอนัตตาเต็มตัว เข้าสู่มรรคผลนิพพานไปตามลำดับจนถึงอรหัตผล
onion

:b32: :b32:

เรื่องของเรื่อง..อโสกะ...ไม่เคยเห็นผลของการโยนิโส...จริง...นะซิครับ...
แถมยังเข้าใจผิดๆ..เกี่ยวกับการโยนิโสมนสิการซะอีกด้วย

ดังตัวอย่างกระทู้..นี้
viewtopic.php?f=1&t=52773&start=15

asoka เขียน:
:b12:
อ้อ!....ต้องขออภัยตอบมาแค่โยนิโสมนสิการ แต่ไม่ได้ตอบข้อถัดไปเลยทำให้กบเครียดและเกิดอารมณ์ค้าง
:b13:
โยนิโสนี่มีทั้งใช้ความคิดและไม่ใช้ความคิดนะกบ
ถ้ามีแต่สังเกตอย่างเดียวนี่ไม่ต้องใช้ความคิด เป็นการเอาสติปัญญามาตามดูตามรู้สภาวธรรมที่เกิดขึ้นและปรวนแปรไปจนสภาวธรรมเหล่านั้นดับไปหมดไปเปลี่ยนไปหลังจากนั้นจึงค่อยใช้ความคิดนึกมาพิจารณา วิเคราะห์หาเหตุหาผลสรุปผลเป็นคำพูดคำอธิบายออกมา โยนิโส โดยสังเกตนี่แหละที่จะทำให้เกิดการบรรลุธรรมจริงๆ

ส่วนโยนิโสที่ใช้ความคิดนึกไปด้วยนั้น ท่านเรียกว่า "พิจารณา" เป็นการดูไปคิดไป คนส่วนใหญ่หรือนักปฏิบัติใหม่ๆมักจะทำอย่างนี้กันเพราะสำคัญผิดว่าปัญญาต้องเกิดจากการคิดนึกเอาอย่างเดียว
โยนิโสแบบนี้จะไม่ทำให้บรรลุธรรมได้ทันที แต่ก็เป็รเหตุปัจจัยส่งต่อขึ้นไปสู่ความบรรลุธรรม

โยนิโสแบบไม่คิดนึกนั่นเป็นวิปัสสนาแท้ๆ
ส่วนโยนิโสที่ต้องคิดนึกไปด้วยนั้นเป็นวิปัสสนาเทียมบางท่านก็เรียกว่า "วิปัสสนึก"

รู้รึยังกบทีนี้
onion


:b32: :b32: :b32:

เมื่อเข้าใจผิดอย่างนี้..แล้วแถมไม่ยอมรับฟังคนที่เขาทำเป็นด้วย...แล้วจะให้ใครแสดงอะไรได้อีก...ละคับ...ก็ได้แต่พูดขำขำ..ไปงั้น :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 05:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
แล้วไอ้ที่ว่ากบเข้าใจถูกเรื่องโยนิโสนั้นมันเป็นอย่างไรล่ะไม่เห็นกบเอามาพูดสักที
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 07:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
แล้วไอ้ที่ว่ากบเข้าใจถูกเรื่องโยนิโสนั้นมันเป็นอย่างไรล่ะไม่เห็นกบเอามาพูดสักที
s006

เขียนแล้ว..แต่มันเป็นซะอย่างนี้..

กบนอกกะลา เขียน:
เอาอีกแล้ว....

หายอีกแล้ว

คงไม่อยากให้เราพูดมาก..ละมัง..

s002 s002 s002

ขี้เกียจพิมพ์ใหม่... :b22: :b22:


ขี้เกียจ....เขียนใหม่..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 07:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไรเล้ย..อโสกะ...

เพียงพระองค์บอกว่า..พาหิยะ..เห็นเธอก็สักแต่ว่าเห็น

ท่านพาหิยะ..ก็น้อมใจนึกตาม...ว่า..เราจะเห็นก็สักแต่ว่าเห็น...

(แล้วปฏิกิริยาลูกโซ่ก็เกิดตามมาเป็นพรวน..พรั่งพรูเป็นสาย....เห็นว่า...เห็นแล้วปรุง...มันเป็นยังงัย...มันทุกข์ยังงัย...อะไรทำให้ปรุง...ฯลฯ...สัญญาเก่ามันขึ้นมา..สัญญาเก่าก็บุญบารมีที่ทำมานั้นแหละ...ของใครก็ของใคร...ยืมคนอื่นไม่ได้่...ไอ้เราฟังแล้วฟังซ่ำมันยังไม่กระดิกหูเลย...ก็มันไม่ใช่กุญแจของเรา..)

ปัญญานอก....กระตุ้นปัญญาใน...เดินเครื่องเพื่อการรู้จริง..ตามจริง...ใจวางจริง...

ปัญญานอก....ก็สุตตะ...จินตะ...เป็นฐานข้อมูลให้นำมา.คิดพิจารณา..ว่าจริงมั้ย..จริงอย่างไร..ไม่จริงอย่างไร...ส่วนนี้ก็คงต้องเพ่งต้องเพียร...ต้องฝึกต้องฝืน....ต้องลงมือ...จะต้องทำมากหรือทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเคยทำมามากน้อยแค่ไหน..เคยทำมามาก..ทำต่ออีกนิดเดียวปัญญาในก็ทำงานได้..เคยทำมาน้อยก็ต้องทำต่อมากหน่อยปัญญาในถึงจะทำงาน...

ศีล...สมาธิ...เป็นองคประกอบ..เป็นปัจจัย...ให้ปัญญาในเขาทำงานได้คล่อง

ปัญญานอก..จึงเป็นส่วนเดียวที่เราลงมือทำ..
ปัญญาใน..เขาทำงานเอง...ไร้การจงใจ..ไร้การเพ่งเพียรจากเรา..

เมื่อปัญญาในเขาทำงาน..ผลของงาน..ก็คือความรู้สึกในไตรลักษณ์...รู้สึกในโทษภัยของวัฏฏสงสาร...รู้สึกหน่ายการเกิด....ฯลฯ..ก็ญาณต่างๆ..นั้นแหละเป็นผลของปัญญาในเขาทำงาน

ยัง..ยัง...แค่มีความรู้สึกในญาณต่างๆแล้ว...ใช่ว่าถึงที่สุดแล้ว..ยัง..ยัง..อย่าหลง

อย่าหลงใหล่หยุดอยู่...

คนที่ไม่เคยถึงผลของการโยนิโส...ก็แยกไม่ออก...ก็อาจหลงคิดได้ว่า...เราคิดตามที่เรียนมา..ทรงจำได้นี้คือการรู้ตามพระธรรมแล้ว..นั้นยังเป็นปัญญานอกอยู่...ไม่ใช่ผลที่พึงมี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 07:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แม้การนิ่งสังเกตอยู่...แล้วปัญญาในเขาทำงานได้..การทำงานของปัญญาในมันก็คล้ายๆ..การคิดพิจารณา..นั้นแหละ..แยกไม่ค่อยออกหรอกว่า..เราคิดหรืออะไรคิด..มันเป็นอาการคิดเหมือนกัน...แต่ความรวดเร็วต่างกัน...ผลต่างกัน..แค่นั้น

ที่อโสกะ..ทำนิ่งสังเกต...มานั้นนะ...หากไม่เห็นอาการของการโยนิโสมนสิการ...ทั้งในส่วนที่เราลงมือทำ..และส่วนที่เป็นเอง...ผมถึงว่าผลที่อโสกะทำมา..เป็นการฝึกสติ...เป็นสมถะอยู่...นี้งัย

พออโสกะเห็นคำว่า.สมถะ...เด้วก็หงุดหงิดหาว่าผมใส่ร้ายอีก..

สมถะ..ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อโศกะ : อ่านพระสูตรนี้
แยกมาดูทีนะว่า สักแต่ว่า ปรากฏอย่างไร
Quote Tipitaka:
[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเสวยสุขเวทนา
บ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อม
เสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน
ชน ๒ จำพวกนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นเครื่องทำให้ต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน
ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขเวทนา
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ ย่อมถึงความ
งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกายและเวทนาทางใจ ฯ
[๓๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู พึงยิงบุรุษด้วย
ลูกศร ยิงซ้ำบุรุษนั้นด้วยลูกศรดอกที่ ๒ อีก ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวย
เวทนาเพราะลูกศร ๒ อย่าง คือ ทางกายและทางใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน
ผู้ไม่ได้สดับ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร
รำพัน ทุบอกคร่ำครวญ ย่อมถึงความงมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือ
เวทนาทางกายและเวทนาทางใจ อนึ่ง เขาเป็นผู้มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนา
นั้น ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนานั้น ย่อมนอนตามเขาผู้มีความขัดเคืองเพราะ
ทุกขเวทนา เขาเป็นผู้อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลินกามสุข ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เพราะปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดออกจาก
ทุกขเวทนานอกจากกามสุข และเมื่อเขาเพลิดเพลินกามสุขอยู่ ราคานุสัยเพราะ
สุขเวทนานั้นย่อมนอนเนื่อง เขาย่อมไม่รู้เหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง เมื่อเขาไม่รู้เหตุเกิด
ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้น ตาม
ความเป็นจริง อวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนาย่อมนอนเนื่อง เขาย่อมเสวยสุข
เวทนา เป็นผู้ประกอบด้วยกิเลสเสวยสุขเวทนานั้น ย่อมเสวยทุกขเวทนา เป็น
ผู้ประกอบด้วยกิเลสเสวยอทุกขเวทนานั้น และย่อมเสวยอทุกขมสุขเวทนา เป็น
ผู้ประกอบด้วยกิเลสเสวยอทุกขมสุขเวทนานั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้
สดับนี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ประกอบด้วยชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า เป็นผู้ประกอบด้วยทุกข์ ฯ
[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยสาวกผู้ได้สดับ อันทุกขเวทนาถูก
ต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความ
งมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ฯ
[๓๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนูพึงยิงบุรุษด้วย
ลูกศร ยิงซ้ำบุรุษนั้นด้วยลูกศรดอกที่ ๒ ผิดไป ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อม
เสวยเวทนาเพราะลูกศรดอกเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ ก็ฉัน
นั้นเหมือนกัน ผู้อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน
ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความงมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่
ได้เสวยเวทนาทางใจ อนึ่ง เธอย่อมไม่มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนานั้น
ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนานั้น ย่อมไม่นอนตามเธอผู้ไม่มีความขัดเคืองเพราะ
ทุกขเวทนา เธอผู้อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินกามสุข ข้อนั้น
เพราะเหตุไร เพราะอริยสาวกผู้ได้สดับนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
จากทุกขเวทนา นอกจากกามสุข เมื่อเธอไม่เพลิดเพลินกามสุข ราคานุสัยเพราะ
สุขเวทนาย่อมไม่นอนเนื่อง เธอย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และ
อุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง เมื่อเธอรู้ชัดซึ่ง
เหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้น
ตามความเป็นจริง อวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนาย่อมไม่นอนเนื่อง ถ้าเธอ
เสวยสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยสุขเวทนานั้น ถ้าเสวยทุกขเวทนา
ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยทุกขเวทนานั้น ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อม
เป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวยอทุกขมสุขเวทนานั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก
ผู้ได้สดับแล้วนี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ปราศจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราย่อมกล่าวว่า เป็นผู้ปราศจากทุกข์ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษ เป็นความแปลกกัน เป็นเครื่องกระทำให้ต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ฯ
[๓๗๓] อริยสาวกนั้นเป็นผู้มีปัญญา ทั้งเป็นพหูสูต ย่อมไม่
เสวยทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา นี้แล เป็นความ
แปลกกันระหว่างธีรชนผู้ฉลาดกับปุถุชน ธรรมส่วนที่
น่าปรารถนา ย่อมไม่ย่ำยีจิตของอริยสาวกนั้น ผู้มีธรรม
อันรู้แจ้งแล้ว เป็นพหูสูตเห็นแจ้งโลกนี้และโลกหน้า
อยู่ ท่านย่อมไม่ถึงความขัดเคืองเพราะอนิฏฐารมณ์ อนึ่ง
เวทนาเป็นอันตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะอริยสาวกนั้นไม่ยินดี
และไม่ยินร้าย อริยสาวกนั้นรู้ทางดำเนินอันปราศจากธุลี
และหาความโศกมิได้ ย่อมเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพรู้โดยชอบ ฯ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b45:
พุทธศาสนาอย่าเอามาก รู้มากจะยากนาน
รู้เพียงแค่สรุปมานี้ก็ถึงแก่นพุทธศาสนาทางปริยัติ
รอเพียงแต่ลงมือปฏิบัติจริงแล้วรับผล
onion
เข้าใจพระพุทธศาสนาภายใน 10 นาที

1. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?
อริยสัจ 4 คือ
ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
นิโรธ คือความดับทุกข์
มรรค คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์

2. พระพุทธเจ้าทรงสอน
เรื่องอะไร ?
ทุกข์กับการดับทุกข์

3. ภาพรวมของพระพุทธศาสนา .... มีดังนี้
3.1 ให้มองโลกตามความ
เป็นจริง (จริงขั้นสมมุติ=สมมุติสัจจ์,
จริงแท้=ปรมัตถสัจจ์) อาทิ
ตัวเรามีอยู่ แต่หาใช่ตัวตน
ที่แท้จริงไม่

3.2 ให้ถือทางสายกลาง
ทางตึง (ทรมานกายให้ลำบาก) ก็ดี, ทางหย่อน (ฟุ้งเฟ้อหลงใหล มัวเมา) ก็ดี, มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา
แนวทางของพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ 8 ทางสายกลางพอดี ๆ

3.3 ให้พึ่งตนเอง
มิใช่พึ่งเทวดา โชคชะตาราศี หรือ ดวงดาว ฤกษ์ยาม

3.4 ไสยศาสตร์ การบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดูฤกษ์ยาม การเจิม ฯลฯ มิใช่พุทธศาสนา

3.5 สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) มิใช่เกิดขึ้นเองลอย ๆ หรือพรหมลิขิต การจะดับทุกข์ได้ต้องดับที่เหตุ

3.6 โอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน (โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ให้ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์

3.7 สิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา
แม้พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน หาใช่อัตตาตัวตนไม่

3.8 ให้เชื่อในหลักธรรม คือ ทำดี-ได้ดี, ทำชั่ว-ได้ชั่ว
ให้ทำตนอยู่เหนือดี เหนือชั่วนั่นแหละ จึงจะพบนิพพาน (คือเหนือกรรม)

3.9 จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือนิพพาน (ได้แก่สภาวะจิตที่สงบเย็น ปราศจากทุกข์)

3.10 สรุปธรรมทั้งปวง รวมลงในเรื่องเดียว คือ “ความไม่ประมาท”

4. การศึกษาธรรมะ 2 สมัย
4.1 สมัยปัจจุบัน คือ รู้จัก กับ รู้จำ .... อาศัยการฟัง อ่านค้นคว้า จึงมีความรู้อยู่ในสมองและในสมุด พูดธรรมะได้คล่องแต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้ จึงได้ผลน้อย
4.2 สมัยพุทธกาล คือ รู้แจ้ง ... โดยเมื่อฟังและจำแล้ว ก็จะลงมือปฏิบัติ ทำจริงในขณะนั้นทันที ทำให้เกิดผลเป็นความรู้แจ้งเรื่องชีวิต ดับทุกข์ในขณะนั้นทันที

5. วิธีศึกษาพระพุทธศาสนา
เมื่อแรกพุทธปรินิพานนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งให้ถือเอาเป็นศาสดาแทนพระองค์ มีเพียง 2 คือ ธรรมและวินัย
หลังจากนั้นมา 300 ปี จึงเกิดมีพระไตรปิฎกขึ้น (สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก และอภิธรรมปิฎก) ..... บัดนี้ล่วงกาลมาถึง 2500 กว่าปี คำสอนเดิม ขั้นปรมัตถ์ค่อย ๆ หายไป หมดไป เกิดมีคำสอนใหม่ ๆ เป็นพุทธศาสนาเนื้องอกจับใส่พระโอษฐ์ ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก
ดังนั้นในการศึกษาพระพุทธศาสนาพึงอาศัยหลักดังนี้
– ด้านปริยัติ (ความรู้เนื้อหา)
ให้อ่าน ฟัง คิด วิจัย ให้เข้าใจคือให้ปฏิบัติได้จริง .... หากสงสัย ให้อาศัยหลักกาลามสูตรเข้าพิจารณาตัดสิน มิใช่เชื่อไปเสียหมด
– ด้านปฏิบัติ
การปฏิบัติทุกอย่างของพระพุทธศาสนาไม่ว่าการทำทาน รักษาศีล ภาวนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ทำเพื่อ “ละกิเลส” มิใช่เพื่อเอา หวังได้นั่นได้นี่ อันทำให้ยิ่งเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งหาใช่พุทธศาสนาไม่
ทุกวันนี้ไหว้เพื่อเอา เพื่อขอ ทำบุญเพื่อเอาสวรรค์ นิพพาน หวังผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า ซึ่งจะกลายเป็นพอกกิเลสยาวนาน
– ด้านปฏิเวธ (ผล)
ทำเพื่อละ จะพบนิพพาน (จิตบริสุทธิ์ มีความสะอาด สว่าง สงบ) แต่ถ้าทำเพื่อเอา จะพบกิเลสในตนพอกพูนยิ่งขึ้น ๆ ยาวนาน และยิ่งมีทุกข์มาก .... ดังนั้น จงมุ่งปฏิบัติเพื่อห่างไกลทุกข์โดยส่วนเดียว ให้ได้เห็นผลด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก)

6. จะศึกษาพุทธศาสนาได้
ที่ไหน ?
ให้ศึกษาในร่างกายของเราเองนี้ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิใช่จะต้องศึกษากับพระ และในวัดวาอารามเท่านั้น
จึงควรศึกษาตนเอง อย่ามัวแต่ศึกษานอกตัว หรือมัวติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือได้แต่ทำตาม ๆ เขาไป จะเสียทีที่ได้มีโอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ลิ้มรสแค่เปลือกกระพี้ มิได้ชิมรสอันเป็นเนื้อใน อันได้แก่ธรรมรสของความเย็นอกเย็นใจ (นิพพาน)

7. เหตุแห่งทุกข์และ
การดับทุกข์
เหตุเกิดจากอุปทาน คือ การเข้าไปยึดถือว่า นี่คือ
ตัวตนของเรา นี่ของๆ เรา
การดับ โดยละอุปทานเสีย
(โดยพยายามปฏิบัติให้ “เห็นอนัตตา”) จะโดยบังคับจิตเป็นสมาธิ (เจโตวิมุตติ) หรือโดยพิจารณาธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก็ได้

8. พุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
คำว่า “เห็นธรรม” คือ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือ วงจรที่ทุกข์เกิด และดับ โดยเริ่มต้นจากอวิชชา จนเกิดทุกข์

9.จุดหมายสูงสุดของ
พระพุทธศาสนา คือ นิพพาน
(สภาวะจิตที่สงบเย็น)
ปราศจากกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวง (ชาวบ้านพูดว่า เย็นอก เย็นใจ) หาพบได้ที่ใจตัวเอง

10. สรุป ... ทุกข์เกิดขึ้นที่จิต พึงรักษาจิตให้เป็นประภัสสรไว้เสมอ ระวังการกระทบ (ผัสสะ) ทางตา หู ฯลฯ ให้ดี มีสติรู้ทันว่า…เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน อย่าให้เวทนา ตัณหา เกิดได้ แล้วท่านจะพบความสงบเย็นตลอดเวลา
ความทุกข์เกิดขึ้นที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ... ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ ... ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ

..... (จากธรรมสมโภช 80 ปี พุทธทาสภิกขุ) .....
:b8: :b27:

tongue
:b12:
การจะศึกษาสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปต้องย้อนจากข้อ10มาข้อ1
เพราะข้อ1นั้นเป็นบทสรุปเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลที่รู้ความจริงดับโมหะตรงทางสายกลางแล้วค่ะ
ปัญญาต้องเทียบกับวัวในคอก เวลาเปิดประตู วัวปากคอกย่อมออกก่อน เพราะปัญญาพร้อมที่จะรู้แล้ว
:b44:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2016, 07:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
กบรู้จักปัญญานอก ปัญญาใน ขึ้นมาอย่างนี้แสดงว่าฉลาดขึ้นมาเยอะเลย ไม่เสียหลายแล้ว เมื่อก่อนไม่เคยเห็นพูดอย่างนี้ มีแต่ก้อปตำรามาแปะ

นิ่งรู้ นิ่งสังเกต เป็นจั่วหัววิธีปฏิบัติให้จำง่าย รายละเอียดที่เกิดพั่งพรูตามมาหลังจากนั้นมันเป็นอย่างที่กบพูดนั่นแหละ
แต่เราคงต้องมาทำความละเอียดในสิ่งที่ธรรมมันทำต่อหลังจากการนิ่งรู้นิ่งสังเกตกันต่อไป
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2016, 07:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปเอาแต่ตำนิ...เชิงดูแคลน..คนที่หาข้อความในตำรามาแปะ

หลายๆคนเขาเก่ง...สามารถหาข้อความตามตำรายืนยันในสิ่งที่เขาไปเห็นมา..เวลาแสดง..เขาก็อ่อนน้อม..ยกย่องพระพุทธเจ้า..เห็นคุณค่าพระธรรมของพระองค์ที่กว้างขวาง..ลึกซึ้งกว่า...จึงนำคำพระพุทธเจ้ามาแสดงแทนคำของตัวเอง...กลับเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากกว่า....มากกว่าพูดเชิงตำนิอย่างที่อโสกะชอบพูดนะ..

หรือ...ถึงแม้..เขายังไม่เห็นตามธรรมที่นำมาแสดง...การนำพุทธพจน์บทความมาแสดง...ยังดีกว่าพูดคำที่มีความหลงของตนเอง...เกลื่อนลาน..ซะอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2016, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือทำลงมือปฏิบัติแล้ว ยังไม่ใช่นักรบ ยังเป็นแค่นักเรียนอยู่

นี่นักรบ ซึ่งกำลังรบกับศัตรู คือ รูปนามอยู่

...พูดรูปนาม เดี่ยวคิดไปใหญ่ เขากำลังรบกับตัวเองอยู่


นั่งสมาธิแล้วเกิดหัวมันหมุนโครงเครงไปเอง

เป็นมาได้ประมาณ 3 วันแล้ว เมื่อก่อนนั่งสมาธิก็ไม่เห็นจะมีอาการอะไร แต่เมื่อสามวันก่อนขณะที่นั่งสมาธิ และกำหนดลมหายใจอยู่ เกิดอาการ หัวตึงแน่นๆ แล้วคอก็เอียงไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง แล้วก็มีแบบหัวหมุนไปเองด้วย คือ ขยับไปเอง ไม่ใช่ขยับในจิตนะ คือ ร่างกายที่ไม่ได้สั่งให้มันขยับเนี่ย มันหมุนไปเอง บ้างก็เอนมาหน้า บ้างก็เอนไปหลังเหมือนคนสับปะหงก แต่ไม่ได้หลับนะครับ มีสติ รู้ตัวตลอด

ตอนแรกผมนึกว่าโดนของ โดนผีเข้า หรือ เป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย แต่ถ้าเป็นอาการโดนของ ผีเข้า หรือเจ็บป่วย ก็ไม่น่าจะมีสติรู้ตัวตลอดเวลาใช่เปล่าครับ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยโดน ตอนนี้เป็นหนักมาก ขนาดที่ว่าไม่ต้องเข้าสมาธิหรอก แค่ตั้งสมาธิอ่านหนังสือ หัวก็หมุนแล้ว เอียงไปซ้ายที ขวาที บางทีหัวก็หมุนไปเอง

แล้วตอนนี้อาการที่ตามมาคือ เวลาออกจากสมาธิมาแล้ว เหมือนคนเฉื่อยๆชาๆ เหมือนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาเลยครับ

รบกวนผู้รู้ด้วยครับว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร ต้องไปต่อยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2016, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือทำลงมือปฏิบัติแล้ว ยังไม่ใช่นักรบ ยังเป็นแค่นักเรียนอยู่

นี่นักรบ ซึ่งกำลังรบกับศัตรู คือ รูปนามอยู่

...พูดรูปนาม เดี่ยวคิดไปใหญ่ เขากำลังรบกับตัวเองอยู่


นั่งสมาธิแล้วเกิดหัวมันหมุนโครงเครงไปเอง

เป็นมาได้ประมาณ 3 วันแล้ว เมื่อก่อนนั่งสมาธิก็ไม่เห็นจะมีอาการอะไร แต่เมื่อสามวันก่อนขณะที่นั่งสมาธิ และกำหนดลมหายใจอยู่ เกิดอาการ หัวตึงแน่นๆ แล้วคอก็เอียงไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง แล้วก็มีแบบหัวหมุนไปเองด้วย คือ ขยับไปเอง ไม่ใช่ขยับในจิตนะ คือ ร่างกายที่ไม่ได้สั่งให้มันขยับเนี่ย มันหมุนไปเอง บ้างก็เอนมาหน้า บ้างก็เอนไปหลังเหมือนคนสับปะหงก แต่ไม่ได้หลับนะครับ มีสติ รู้ตัวตลอด

ตอนแรกผมนึกว่าโดนของ โดนผีเข้า หรือ เป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย แต่ถ้าเป็นอาการโดนของ ผีเข้า หรือเจ็บป่วย ก็ไม่น่าจะมีสติรู้ตัวตลอดเวลาใช่เปล่าครับ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยโดน ตอนนี้เป็นหนักมาก ขนาดที่ว่าไม่ต้องเข้าสมาธิหรอก แค่ตั้งสมาธิอ่านหนังสือ หัวก็หมุนแล้ว เอียงไปซ้ายที ขวาที บางทีหัวก็หมุนไปเอง

แล้วตอนนี้อาการที่ตามมาคือ เวลาออกจากสมาธิมาแล้ว เหมือนคนเฉื่อยๆชาๆ เหมือนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาเลยครับ

รบกวนผู้รู้ด้วยครับว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร ต้องไปต่อยังไง

cool
:b12:
อาการเหมือนจะเมาหัวราน้ำเลยเนอะ
เวียนหัวบ้านหมุนวัยทงวัยทองอ่ะป่าว
ถามแบบทางหมอว่าไปตรวจหมอรึยัง
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2016, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่าไปเอาแต่ตำนิ...เชิงดูแคลน..คนที่หาข้อความในตำรามาแปะ

หลายๆคนเขาเก่ง...สามารถหาข้อความตามตำรายืนยันในสิ่งที่เขาไปเห็นมา..เวลาแสดง..เขาก็อ่อนน้อม..ยกย่องพระพุทธเจ้า..เห็นคุณค่าพระธรรมของพระองค์ที่กว้างขวาง..ลึกซึ้งกว่า...จึงนำคำพระพุทธเจ้ามาแสดงแทนคำของตัวเอง...กลับเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากกว่า....มากกว่าพูดเชิงตำนิอย่างที่อโสกะชอบพูดนะ..

หรือ...ถึงแม้..เขายังไม่เห็นตามธรรมที่นำมาแสดง...การนำพุทธพจน์บทความมาแสดง...ยังดีกว่าพูดคำที่มีความหลงของตนเอง...เกลื่อนลาน..ซะอีก

:b17:
สะเทือนใจสินะเมื่อเจอกับคำว่า "ก้อปตำรามาแปะ"

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนดังมีในตำราหรือคัมภีร์ทั้งหมดนั้นเป็นของดีไม่มีใครเถียงหรอก แต่การรู้จักเลือกเฟ้นเอาข้อธรรมในตำราที่ตรงกับจริตนิสัยของตนมาลงมือปฏิบัติพัฒนาการปฏิบัติจริงของตนเองให้เจริญก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จคือมรรคผลนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ

แต่คนที่กอดตำราแน่นเปรี้ยะ ปฏิบัติก็ไม่ปฏิบัติจริงๆจังๆแล้วก็คอยเอาแต่คัดลอกตำรามาแปะมาเกทับข่มขู่ผู้อื่นที่รู้ตำราน้อยกว่าอย่างนี่สิน่าอายคุยเมื่อไหร่ก็มีแต่เรื่องในตำราหาประสบการณ์จริงแทบไม่ด้เลย เจอใครพูดธรรมนอกตำราก็หาว่าเขาผิดไปหมด ธรรมจริงนอกตำราไม่มีบอกไว้ในตำราก็มีเยอะแยะมากมายไปหมดเป็นธรรมที่ได้จากประสบการณ์จริงเมื่อนำมาวิเคราะห์เทียบหลักธรรมในตำราก็เป็นไปตามหลักธรรมตามหลักอริยสัจ 4 แต่คำพูดบัญญัติ ใช้สื่อความหมายมันอาจจะแตกต่างไปสำหรับนักวิชาการเท่านั้น มันจะไปผิดอะไร

อโศกะมีเจตนาที่จะมาช่วยถ่วงดุลย์ให้ผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายได้เห็นว่า ธรรมะนั้นควรจะมีทั้งในตำราและนอกตำราแต่มีในความจริงผสมผสานกันไปธรรมะนอกตำราเป็นธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติจริงควรจะได้นำมากล่าวกันไว้บ้างเพื่อถ่วงดุลย์มิให้ผู้คนยึดตำรารู้ตำรามากจนบรรลุธรรมในตำราด้วยการคิดนึกเอา
แต่ให้มาศึกษาธรรมด้วยการปฏิบัติจริงเอาประสบการณ์จริงมาสนทนากันบ้างจะได้สร้าง มุมมองและทัศนะในการศึกษาและปฏิบัติธรรมที่หลากหลายขึ้นไป
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2016, 21:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ตลก...ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2016, 01:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

อโศกะมีเจตนาที่จะมาช่วยถ่วงดุลย์ให้ผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายได้เห็นว่า ธรรมะนั้นควรจะมีทั้งในตำราและนอกตำราแต่มีในความจริงผสมผสานกันไปธรรมะนอกตำราเป็นธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติจริงควรจะได้นำมากล่าวกันไว้บ้างเพื่อถ่วงดุลย์มิให้ผู้คนยึดตำรารู้ตำรามากจนบรรลุธรรมในตำราด้วยการคิดนึกเอา
แต่ให้มาศึกษาธรรมด้วยการปฏิบัติจริงเอาประสบการณ์จริงมาสนทนากันบ้างจะได้สร้าง มุมมองและทัศนะในการศึกษาและปฏิบัติธรรมที่หลากหลายขึ้นไป
onion

Quote Tipitaka:
[๓๐๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
*บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯลฯ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็นชรามรณะ
ตามเป็นจริง พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้ในชรามรณะตามเป็นจริง บุคคลเมื่อไม่รู้
ไม่เห็นเหตุเกิดแห่งชรามรณะตามเป็นจริง พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้ในเหตุเกิด
แห่งชรามรณะตามเป็นจริง บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งชรามรณะตามเป็น
จริง พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้ในความดับแห่งชรามรณะตามเป็นจริง บุคคล
เมื่อไม่รู้ไม่เห็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชรามรณะตามเป็นจริง พึงแสวงหาครู
เพื่อความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชรามรณะตามเป็นจริง ฯ
[ไปยยาลแห่งบาลีประเทศทั้งปวงอย่างนี้]

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็นชาติตามความเป็นจริง ... เมื่อ
ไม่รู้ไม่เห็นภพตามเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็นอุปาทานตามเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็น
ตัณหาตามเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็นเวทนาตามเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็นผัสสะ
ตามเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็นสฬายตนะตามเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็นนามรูป
ตามความเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็นวิญญาณตามความเป็นจริง ... เมื่อไม่รู้ไม่เห็น
สังขารทั้งหลายตามเป็นจริง พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้ในสังขารทั้งหลายตามเป็น
จริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นเหตุเกิดแห่งสังขารตามเป็นจริง พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้
ในเหตุเกิดแห่งสังขารตามเป็นจริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งสังขารตามเป็นจริง
พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้ความดับแห่งสังขารตามเป็นจริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นปฏิปทา
อันให้ถึงความดับแห่งสังขารตามเป็นจริง พึงแสวงหาครู เพื่อความรู้ในปฏิปทาอัน
ให้ถึงความดับแห่งสังขารตามเป็นจริง ฯ
[พึงกระทำกิจในอริยสัจ ๔ แห่งปัจจยาการทั้งปวง เป็นสูตรหนึ่งๆ ]
[๓๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็นชราและมรณะตามเป็น
จริง พึงกระทำความศึกษาเพื่อความรู้ในชราและมรณะตามความเป็นจริง ฯ
[ไปยยาลอย่างนี้ พึงกระทำกิจอันเป็นไปในสัจจะ ๔]

พึงกระทำความเพียร ... พึงกระทำฉันทะ ... พึงกระทำความอุตสาหะ ...
พึงกระทำความไม่ย่อท้อ ... พึงกระทำความเพียรแผดเผากิเลส ... พึงกระทำความ
เป็นผู้กล้า ... พึงกระทำความเพียรเป็นไปติดต่อ ... พึงกระทำสติ ... พึงกระทำ
สัมปชัญญะ ... พึงกระทำความไม่ประมาท ... ดังนี้แล ฯ
จบอันตรไปยยาลที่ ๙

หัวข้อแห่งอันตรไปยยาล

พระผู้มีพระภาคตรัส ครู ๑. ความศึกษา ๑. ความเพียร ๑.
ฉันทะ ๑. ความอุตสาหะ ๑. ความไม่ย่อท้อ ๑. อาตัปปะ ๑.
วิริยะ ๑. สาตัจจะ ๑. สติ ๑. สัมปชัญญะ ๑. อัปปมาท ๑.
จบอันตรไปยยาลอันเป็นหัวข้อพระสูตร



ปริยัติ
ปฏิบัติ
ปฏิเวธ

ปริยัติ ฟังจากครูอาจารย์ ครูอาจารย์อาจจะสอนปากเปล่า หรือให้ศึกษาในพระคัมภีร์
ที่เหลือจากนั้น ล้วนเป็นธรรมต้องหาจากภายในเอาเองทั้งหมดทั้งสิ้น ครูอาจารย์ก็ทำให้ไม่ได้

ปริยัติ การเรียนรู้จากครูอาจารย์ มีปัญหาใดก็ใต่ถาม ทวนความ ขจัดข้อสงสัย ก็เท่านั้น
ครูอาจารย์สอนสั่งก็ไม่นำเอาธรรมะนอกพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาบอกมาแสดงมาแจ้งมาเปิดเผยหรอกครับอโสกะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2016, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกตำราเอ้า :b32:


ดิฉันเริ่มทำสมาธิได้สองเดือนกว่าๆแล้ว...พยายามทำสมาธิให้ได้วัน ละสาม ชม. แรกๆก็จะบริกรรม ดูลม (เรียนทำสมาธิจากเวปต่างๆ และคลิปที่ยูทูป อยู่ต่างประเทศคะ) จนเห็นจิตเด่นชัด ก็จะบริกรรมไม่ได้แล้ว แต่หากฟุ้งก็จะบริกรรมอีก ตอนนี้แยกร่างกายกับจิตได้บ้างแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นตัวรู้
จนเมื่อวานนี้และวันนี้ ได้เกิดการสั่นขึ้นที่ร่างกายส่วนตัวขึ้น มันเริ่มจากตุบๆ เหนือก้น แรกๆเห็นไม่ชัด จนมันตุบๆๆๆ แรงขึ้นๆ จนกลายเป็นสั่น และสั่นรุนแรงขึ้น เหมือนแผ่นดินไหว แต่ก็พยายามประคองจิตเอาไว้ ให้นิ่งดูเฉยๆ
ในระหว่างนั้น เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมานิดๆ แต่ก็ประคองไว้ จนรู้สึกเหนื่อย ปวดหัว เพราะสั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก จนถึง วันนี้ๆ
ลองลืมตาดูว่ามันเป็นอย่างไร พอลืมตาดูก็เห็นว่าร่างกายสั่นจริง สั่นแต่ช่วงตัว ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ (บางทีนอกจากเหนือก้นจะตุบๆ แล้ว ที่บริเวณกลางอก ก็ตุบๆๆ สังเกตได้ชัด บริเวณหัวด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่) ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยทำสมาธิแล้วเป็นแบบนี้บ้าง คะ

ขอรบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ....อยู่ต่างประเทศจะไปวัดขอคำปรึกษา จากพระไม่ได้เลย




แต่อันที่จริง ไม่ใช่นอกตำราหรอก ก็ในตำรานั่นแหละ เพราะพระพุทธเจ้าสอนคน รูปกับนาม ก็คน ยักเยื้องพูดอีก ร่างกาย กับ จิตใจ นี่ก็คน อยู่ในตำราทั้งนั้น แต่ที่มีปัญหา เพราะชีวิตประกอบด้วยจิตใจ มันถึงวุ่น (ตายเมื่อไหร่ก็ไม่วุ่น จริงไม่จริง) วุ่นซึ่งเกิดจากตัวของมันเอง (คือมันมีกฎของมัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เจ้าของเอง เห็นพูดกันบ่อยๆนี่ ไม่ใช่เรา :b32: เจอะไม่ใช่เรา เข้าไปจริงๆ เสร็จทุกราย ) เช่น อาการตัวอย่างข้างบน

วุ่นในทางสังคม เพราะจิตใจเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ทีนี้จะเอาวุ่นขนาดไหนก็ได้ เกิดสงครามใหญ่โตก็ได้ นี่คือชีวิตจิตใจ รูปนาม กายใจ คน (เรียกให้หมด) จะได้เห็นว่ามันอยู่ในตำราของพระพุทธศาสนานี่แหละ

ถ้าจะพูดให้ถูกแท้ ควรพูดว่า ตัวเราเองนี่แหละไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา หรือรู้ไม่ถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือมองพุทธธรรมบิดเบือนไป :b1:


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 97 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร