วันเวลาปัจจุบัน 02 ต.ค. 2025, 14:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปล่อยของต่อเนื่อง :b13:

๑. กามสุข สุขเนื่องด้วยกาม


ของก๊อปจากเซิ้นเจิ้นทั้งนั้น ใกล้เจ๊งแล้วเลยต้องรีบปล่อยของ :b32:

กามสุขไม่มี(เอ็งมั่ว) กามไม่สามารถทำให้สุขได้ กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ
เหตุนี้พุทธพจน์ที่ถูกต้องคือ.....กามฉันทะ

กรัชกาย เขียน:
ปล่อยของต่อเนื่อง :b13:

๒. ฌานสุข สุขเนื่องด้วยฌาน


คำว่าฌานสุข นี่ก็ไม่มีในศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธมีแต่ฌานที่หมายถึงสภาวะอารมณ์ในกายใจ
คำว่าสุขเป็นโวหารที่ชาวบ้านใช้กันทั่วไป แต่ถ้าเป็นพุทธพจน์ ท่านเรียกว่า อรูปราคะ
เหตุนี้ใครพูดว่า "ฌานสุข".....เอ็งมั่ว เพราะศาสนาพุทธมีแต่อรูปราคะ ไม่มีคำว่าฌานสุข

กรัชกาย เขียน:
๓. นิพพานสุข ผู้เข้าถึง ได้แก่ พระอริยบุคคลทั้งหลาย ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ (แต่ต้องแยกแยะออกไปอีก ถ้าเป็นผลสมาบัติสุข ก็ได้สำหรับผู้บรรลุผลขั้นนั้นๆ ถ้าเป็นนิโรธสมาบัติสุข ก็ได้เฉพาะพระอนาคามี และพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว)



อันนี้ยิ่งเลอะหนักเลย! ความสุขเป็นสังโยชน์(กิเลส) เรียกว่าอรูปราคะ
สภาวะนิพพานละซึ่งกิเลสแล้ว แต่นายกรัชกายดันบอกว่า ..นิพพานสุข :b32:

ที่เหลือไม่ต้องอธิบายแล้ว เพราะเริ่มต้นมันมั่ว
ก็ที่ตามมามันก็มีแต่ความเละ....เสียเวลาอธิบาย :b32:



ยิ่งโฮฮับพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งโชว์โฮ่มากเท่านั้น

ถ้าเปรียบก็เหมือนมวยวัด มวยทะเล ไม่มีครูอาจารย์ แม่ด่า ทำไรไม่ได้ ก็เตะต้นกล้วยระบายอารมณ์

เตะบ่อยๆต้นกล้วยหัก ก็เข้าใจตนผิดว่ามีฝีมือเตะต่อยเก่ง ฉันใด

ทางธรรมก็ฉันนั้น

ตัวอย่าง

อ้างคำพูด:
กามสุขไม่มี (เอ็งมั่ว) กามไม่สามารถทำให้สุขได้ กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ
เหตุนี้พุทธพจน์ที่ถูกต้องคือ....กามฉันทะ



นี่แหละคนไม่มีครูไม่มีอาจารย์ ไม่ศึกษา เป็นนักธรรมข้างธรรมาสน์ ได้ยินได้ฟังมาเลาๆ ก็ขึ้นเวทีชก แน่ะๆ ชกกับใครไม่ชก มาชกกับกรัชกาย อิอิ บอกไม่จำ :b32: แปลกใจกรรมการปล่อยให้ชกได้งัย เดี๋ยวตายคาเวทีหร๊อก :b12:

กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ = กามฉันทะ คิกๆๆๆ นี่แหละโวหาร โวบวกตัวจริง

กามฉันท์ เป็นชื่อกิเลสนิวรณ์ตัวหนึ่งในบรรดานิวรณ์ ๕ นี่

๑. กามฉันท์ ความอยากได้ อยากเอา (แปลตามศัพท์ว่า ความพอใจในกาม) หรืออภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ หรือจ้องจะเอา
หมายถึง
ความอยากได้กามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ

เป็นกิเลสพวกโลภะ จิตที่ถูกล่อด้วยอารมณ์ต่างๆ คิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ ติดใจโน่นติดใจนี่ คอยเขวออกไปหาอารมณ์อื่น ครุ่นข้องอยู่ ย่อมไม่ตั้งมั่น ไม่เดินเรียบไป ไม่อาจเป็นสมาธิได้

viewtopic.php?f=1&t=52507

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูอีกที

โฮฮับ ถ้าจิตยังถูกนิวรณ์รบกวนอยู่ละก็ ไม่มีทางจิตจะเป็นสมาธิได้เลย เอาหัวเป็นประกัน

ตย.ผู้ซึ่งประสบสุขที่ไม่อิงอามิส คือ ไม่อาศัยกามคุณ คือ รูป เสียง เป็นต้นเลย แล้วก็กล้ารับประกันว่า โฮฮับไม่เคยสัมผัส แล้วก็ดูไม่ออกด้วย แต่จะให้ดู (ตัดเอาสาระมา)
:b32:

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป เวลานี้รู้สึกเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้ แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่า คือ ลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ เหมือนจุ่มค้างปีติอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ

แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


เห็นมะนิวรณ์สงบราบไป แล้วจิตจึงเกิดสมาธิ เสพความสุข ... แต่ถ้าเกิดความยินดีต่อสภาวะนั้น (ก็ฟุ้งแล้ว นิวรณ์จับจิตอีก) ก็หลุด

ดังนั้น ใครก็ตาม เมื่อจิตถึงสมาธิ ต้องประคองให้จิตอยู่อารมณ์กัมมัฏฐาน ไม่ยินดี ยินร้าย (พูดกันบ่อย แต่ทำจริงๆไม่ใช่ง่ายนะ ต้องฝึกเหมือนเด็กฝึกเดินใหม่ๆ เดินๆก็ล้ม ล้มก็ลุกเดินใหม่ ๆๆๆๆ จนกว่าจะเดินแข็ง เดินแข็งแล้ว วิ่งก็ยังได้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 22:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

กามเป็นพุทธพจน์ ที่เป็นสมมติบัญญัติ นิยามของคำๆนี้ก็คือ สภาพธรรมอันเป็นองค์ประกอบของราคะ
กามเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ากายใจไปกระทบมันเข้าจะทำให้เกิด ฉันทะ (ปรมัตถ์)
โดยรวมแล้ว กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เมื่อเกิดแล้วย่อมทำให้เกิดอุปกิเลสตามมา เรียกโดยโวหารว่า..
ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)




ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)เป็นอุปกิเลสในกายใจ ที่แสดงอาการ เนื่องจากเหตุแห่งตัณหาและฉันทะ
ความละโมภนี้ ที่บาลีเรียกอภิขฌา ใช่ไหมคะ?

แล้วถามว่า แล้วโลภะ ล่ะ มันก็ต้องเกิดร่วมอยู่กะกามและฉันทะหรือเปล่า ก่อนที่จะเป็นอุปกิเลสความละโมภ


โพสต์ เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
onion onion onion
ตั้งสติก่อนสตาร์ท
ใจเย็นๆค่อยๆพูดจากัน
ไหนใครไปเอาสิบล้อมาทีสิ
จะขนกระบือไปขายน่าจะรวย
:b32: :b32:


เขาไม่เป็นอย่างที่แม่ชีคิดหรอก ไม่โกรธก็คือไม่โกรธ ไม่ถือสาก็คือไม่ถือสา ปากกับใจตรงกัน
แต่ไอ้ประเภท ในใจเป็นเดือดเป็นแค้นแต่เสแสร้งพูดว่า "ไม่มีตัวตน" มันหน่อมแน้มน่าหัวร่อ


ดูแล้วไม่ต่างจากผู้หญิงที่หนีหนี้ มาบวชชี :b32:

tongue
โตเป็นคนได้เนี่ยดีแต่ดีไม่ได้
ก็ปากไม่ดีเขาเรียกปากเสีย
เขาเขียนของเขาไม่เจาะจง
ใครจะรับว่าเป็นก็ตามใจนะ
:b32: :b32:


ไม่มีตัวตนจ้า! :b32:

wink
เขาเรียกผู้ชายประเภทตัวเป็นชาย
แต่ใจเป็นนิสัยผู้หญิงว่าเป็นกะเทย
จะวิจารณก็ตามขอบเขตศีลธรรรม
ไม่ใช่ลามปามไปเพื่อให้ตัวดูดีรู้ยัง
ขนาดเม้นท์ไปอ้อมๆยังไม่สำนึกอ่ะ
ภาษาอีสานต้องใช้คำว่า หน้ามึน
จะเป็นอีกนานไหมเถียงถูลู่ถูกังซะงั้น
:b55: :b55: :b55:


แล้วแม่ชี่เป็นชายหรือเป็นหญิงครับ หรือว่ากายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง
ถึงชอบที่จะสอดเรื่องชาวบ้าน เสแสร้งว่า ฉันเข้ามาห้าม ฉันเป็นคนดีเป็นผู้ไม่โกรธ
แต่ที่ไหนได้ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ........อัตตาโผล่ซะแล้ว ไหนว่าไม่มีตัวตนไง :b32:

Rosarin เขียน:
onion onion onion
ตั้งสติก่อนสตาร์ท
ใจเย็นๆค่อยๆพูดจากัน
ไหนใครไปเอาสิบล้อมาทีสิ
จะขนกระบือไปขายน่าจะรวย
:b32: :b32:

cool
กลับไปคิดทบทวนดูอีกทีนะ
ลานธรรมจักรเป็นเว็บไซต์ที่
สำหรับการสนทนาและศึกษา
เข้ามาก็เหมือนเข้าห้องประชุม
มีการสนทนาถกเรื่องต่างๆกัน
ไม่ใช่เข้าห้องสมุดจะได้แค่อ่าน
แล้วเงียบๆถ้าไม่อยากให้ใครดูก็นะ
เขียนไว้อ่านเองที่บ้านอย่าโพสต์ขึ้นมาสิ
โตเป็น...ละยังไม่สำเหนียกบิดเบือนคำสอนเห็นๆ
ทบทวนสิ่งที่คิดให้ดีเข้ามาศึกษาหรือมาหาเรื่องคนอื่น
:b34:
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32: :b32: :b32:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
onion onion onion
ตั้งสติก่อนสตาร์ท
ใจเย็นๆค่อยๆพูดจากัน
ไหนใครไปเอาสิบล้อมาทีสิ
จะขนกระบือไปขายน่าจะรวย
:b32: :b32:


เขาไม่เป็นอย่างที่แม่ชีคิดหรอก ไม่โกรธก็คือไม่โกรธ ไม่ถือสาก็คือไม่ถือสา ปากกับใจตรงกัน
แต่ไอ้ประเภท ในใจเป็นเดือดเป็นแค้นแต่เสแสร้งพูดว่า "ไม่มีตัวตน" มันหน่อมแน้มน่าหัวร่อ


ดูแล้วไม่ต่างจากผู้หญิงที่หนีหนี้ มาบวชชี :b32:

tongue
โตเป็นคนได้เนี่ยดีแต่ดีไม่ได้
ก็ปากไม่ดีเขาเรียกปากเสีย
เขาเขียนของเขาไม่เจาะจง
ใครจะรับว่าเป็นก็ตามใจนะ
:b32: :b32:


ไม่มีตัวตนจ้า! :b32:

wink
เขาเรียกผู้ชายประเภทตัวเป็นชาย
แต่ใจเป็นนิสัยผู้หญิงว่าเป็นกะเทย
จะวิจารณก็ตามขอบเขตศีลธรรรม
ไม่ใช่ลามปามไปเพื่อให้ตัวดูดีรู้ยัง
ขนาดเม้นท์ไปอ้อมๆยังไม่สำนึกอ่ะ
ภาษาอีสานต้องใช้คำว่า หน้ามึน
จะเป็นอีกนานไหมเถียงถูลู่ถูกังซะงั้น
:b55: :b55: :b55:


แล้วแม่ชี่เป็นชายหรือเป็นหญิงครับ หรือว่ากายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง
ถึงชอบที่จะสอดเรื่องชาวบ้าน เสแสร้งว่า ฉันเข้ามาห้าม ฉันเป็นคนดีเป็นผู้ไม่โกรธ
แต่ที่ไหนได้ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ........อัตตาโผล่ซะแล้ว ไหนว่าไม่มีตัวตนไง :b32:

Rosarin เขียน:
onion onion onion
ตั้งสติก่อนสตาร์ท
ใจเย็นๆค่อยๆพูดจากัน
ไหนใครไปเอาสิบล้อมาทีสิ
จะขนกระบือไปขายน่าจะรวย
:b32: :b32:

cool
กลับไปคิดทบทวนดูอีกทีนะ
ลานธรรมจักรเป็นเว็บไซต์ที่
สำหรับการสนทนาและศึกษา
เข้ามาก็เหมือนเข้าห้องประชุม
มีการสนทนาถกเรื่องต่างๆกัน
ไม่ใช่เข้าห้องสมุดจะได้แค่อ่าน
แล้วเงียบๆถ้าไม่อยากให้ใครดูก็นะ
เขียนไว้อ่านเองที่บ้านอย่าโพสต์ขึ้นมาสิ
โตเป็น...ละยังไม่สำเหนียกบิดเบือนคำสอนเห็นๆ
ทบทวนสิ่งที่คิดให้ดีเข้ามาศึกษาหรือมาหาเรื่องคนอื่น
:b34:
:b32: :b32:


รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
โฮฮับ เขียน:

กามเป็นพุทธพจน์ ที่เป็นสมมติบัญญัติ นิยามของคำๆนี้ก็คือ สภาพธรรมอันเป็นองค์ประกอบของราคะ
กามเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ากายใจไปกระทบมันเข้าจะทำให้เกิด ฉันทะ (ปรมัตถ์)
โดยรวมแล้ว กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เมื่อเกิดแล้วย่อมทำให้เกิดอุปกิเลสตามมา เรียกโดยโวหารว่า..
ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)



ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)เป็นอุปกิเลสในกายใจ ที่แสดงอาการ เนื่องจากเหตุแห่งตัณหาและฉันทะ
ความละโมภนี้ ที่บาลีเรียกอภิขฌา ใช่ไหมคะ?


อภิชฌาเป็นโวหารบาลี จึงสามารถแปลเป็นไทยได้ ก็คือความละโลภ

ถ้าเรียกโดยสมมติบัญญัติต้องเรียกว่า ธรรมมารมณ์

เรียกโดยปรมัตถ์ว่า มโนสังขาร

Duangrat เขียน:
แล้วถามว่า แล้วโลภะ ล่ะ มันก็ต้องเกิดร่วมอยู่กะกามและฉันทะหรือเปล่า ก่อนที่จะเป็นอุปกิเลสความละโมภ


กระบวนการของมันคือ.......กามมากระทบกายใจ(ทวาร)แล้วดับไป...เกิดเป็นโลภะ
เมื่อเกิดเป็นโลภะแล้วก็ดับเช่นกัน....เพียงแต่กายใจไม่รู้ว่าโลภะเป็นอนัตตา ก็หลงเข้าไปยึดในสิ่งที่ดับไปแล้ว
ทำให้เกิดเป็นอัตตาไปปรุงแต่งต่อที่มโนทวารเกิดเป็น ฉันทะ ฉันทะเกิดแล้วก็ดับ
แต่กายใจยังหลงปรุงแต่งต่อ(คิดซ้ำซาก) คิดอยากได้อีก อยากเห็นอีก อยากลิ้มรสอีกฯลฯ
นี่แหล่ะเรียกว่า......ความละโมภ(อุปกิเลส)


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
กามสุขไม่มี (เอ็งมั่ว) กามไม่สามารถทำให้สุขได้ กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ
เหตุนี้พุทธพจน์ที่ถูกต้องคือ....กามฉันทะ


นี่แหละคนไม่มีครูไม่มีอาจารย์ ไม่ศึกษา เป็นนักธรรมข้างธรรมาสน์ ได้ยินได้ฟังมาเลาๆ ก็ขึ้นเวทีชก แน่ะๆ ชกกับใครไม่ชก มาชกกับกรัชกาย อิอิ บอกไม่จำ :b32: แปลกใจกรรมการปล่อยให้ชกได้งัย เดี๋ยวตายคาเวทีหร๊อก :b12:



กรัชกายมีอาจารย์ พี่โฮถึงได้บอกว่าไปเรียกอาจารย์มาคุยเอง เพราะลูกศิษย์พูดไม่รู้เรื่อง
ไม่ได้มีความคิดอ่านของตัวเอง แบบกรัชกายเขาไม่เรียกว่าศึกษา แต่เรียกไปจำมา
เวลาคู่สนทนาเขาโต้แย้งก็ตอบไม่ได้ เที่ยวได้ก๊อปปี้อะไรต่อมิอะไรมาวางเป็นพรืด
ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกับประเด็นความเห็นของเขา

กรัชกาย เขียน:
กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ = กามฉันทะ คิกๆๆๆ นี่แหละโวหาร โวบวกตัวจริง


บอกใหไปตามท่านปยุตมาพูดเอง ความเกรียนไม่ได้ทำให้คนอื่นมองว่าตัวฉลาด
มันน่ารำคาญ :b32:

กรัชกาย เขียน:

กามฉันท์ เป็นชื่อกิเลสนิวรณ์ตัวหนึ่งในบรรดานิวรณ์ ๕ นี่


เลอะเทอะ! นิวรณ์เป็นองค์ธรรมในสติปัฏฐาน(ธัมมาฯ) ความหมายก็คือ สิ่งที่มาปิดขวางสมาธิ
หรือการตั้งหมั่นของจิต

กามฉันทะเกิดได้ทั้งในการเจริญปัญญาและในการใช้ชีวิตประจำวัน
กามฉันทะถ้าเกิดในขณะเจริญปัญญา ท่านจะเรียกว่า องค์ธรรมแห่งนิวรณ์
แต่ถ้ากามฉันทะเกิดในการใช้ชีวิตตามปกติท่านเรียกว่า ความละโมภ


กรัชกาย เขียน:

๑. กามฉันท์ ความอยากได้ อยากเอา (แปลตามศัพท์ว่า ความพอใจในกาม) หรืออภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ หรือจ้องจะเอา
หมายถึง
ความอยากได้กามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ

เป็นกิเลสพวกโลภะ จิตที่ถูกล่อด้วยอารมณ์ต่างๆ คิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ ติดใจโน่นติดใจนี่ คอยเขวออกไปหาอารมณ์อื่น ครุ่นข้องอยู่ ย่อมไม่ตั้งมั่น ไม่เดินเรียบไป ไม่อาจเป็นสมาธิได้



กามฉันท์ หมายถึง.....กามอันเป็นเหตุแห่งฉันทะ

ความอยากได้ อยากเอาเป็นเพียงโวหารปรุงแต่ง มันไม่ใช่กามไม่ใช่ฉันทะ
มันเป็นธรรมมารมณ์ หรือมโนสังขาร


กามและฉันทะเกิดแล้วก็ดับ มันไม่มีทางมาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ได้
อาศัยว่ามันเป็นเหตุให้เกิด ตัวสำคัญจริงก็คือกายใจเราเป็นผู้ทำให้เกิด

พูดคำสูงๆกรัชกายมันไม่เข้าใจแน่นอน ง่ายๆเลยว่า ความอยากได้ อยากมี...ล้วนเกิดจากความคิด
ตัวเรานั้นแหละเป็นผู้คิด.....ถ้าไม่คิดความอยากได้ อยากมีก็ไม่เกิด


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
โฮฮับ เขียน:

กามเป็นพุทธพจน์ ที่เป็นสมมติบัญญัติ นิยามของคำๆนี้ก็คือ สภาพธรรมอันเป็นองค์ประกอบของราคะ
กามเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ากายใจไปกระทบมันเข้าจะทำให้เกิด ฉันทะ (ปรมัตถ์)
โดยรวมแล้ว กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เมื่อเกิดแล้วย่อมทำให้เกิดอุปกิเลสตามมา เรียกโดยโวหารว่า..
ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)



ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)เป็นอุปกิเลสในกายใจ ที่แสดงอาการ เนื่องจากเหตุแห่งตัณหาและฉันทะ
ความละโมภนี้ ที่บาลีเรียกอภิขฌา ใช่ไหมคะ?


อภิชฌาเป็นโวหารบาลี จึงสามารถแปลเป็นไทยได้ ก็คือความละโลภ

ถ้าเรียกโดยสมมติบัญญัติต้องเรียกว่า ธรรมมารมณ์

เรียกโดยปรมัตถ์ว่า มโนสังขาร

Duangrat เขียน:
แล้วถามว่า แล้วโลภะ ล่ะ มันก็ต้องเกิดร่วมอยู่กะกามและฉันทะหรือเปล่า ก่อนที่จะเป็นอุปกิเลสความละโมภ


กระบวนการของมันคือ.......กามมากระทบกายใจ(ทวาร)แล้วดับไป...เกิดเป็นโลภะ
เมื่อเกิดเป็นโลภะแล้วก็ดับเช่นกัน....เพียงแต่กายใจไม่รู้ว่าโลภะเป็นอนัตตา ก็หลงเข้าไปยึดในสิ่งที่ดับไปแล้ว
ทำให้เกิดเป็นอัตตาไปปรุงแต่งต่อที่มโนทวารเกิดเป็น ฉันทะ ฉันทะเกิดแล้วก็ดับ
แต่กายใจยังหลงปรุงแต่งต่อ(คิดซ้ำซาก) คิดอยากได้อีก อยากเห็นอีก อยากลิ้มรสอีกฯลฯ
นี่แหล่ะเรียกว่า......ความละโมภ(อุปกิเลส)


นั้นคือ ความละโมภ(อุปกิเลส)ในที่นี้ เกิดตามลำดับจิตดวงที่ 2-3..ฯ ถูกไหม


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:


ของก๊อปจากเซิ้นเจิ้นทั้งนั้น ใกล้เจ๊งแล้วเลยต้องรีบปล่อยของ

กามสุขไม่มี (เอ็งมั่ว) กามไม่สามารถทำให้สุขได้ กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ
เหตุนี้พุทธพจน์ที่ถูกต้องคือ....กามฉันทะ




โฮฮับว่า กามสุขไม่มี เอาง่ายๆ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โฮฮับเคยมีความสุข จากส่ิ่งเหล่านั้นมั้ย คือ จากการดูรูป จากฟังเสียง จากดมกลิ่น จากลิ้มรส จากถูกต้องสัมผัส มั้ย ตอบตรงไปตรงมานะ เคย ไม่เคย :b1:


รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส........ไม่ได้ทำให้เกิดสุข
พี่โฮไม่เคยได้รับสุขจากสิ่งเหล่านี้ ไม่เจอก็วุ่นวายใจ เมื่อเจอแล้วความวุ่นวายใจก็หายไปกลับกลายเป็นเบื่อมาแทนที่

สิ่งที่เป็นความสุขที่แท้จริง ท่านเรียกว่า อรูป
อรูปมันเป็นกิเลส ท่านจึงเรียกมันว่า อรูปราคะ

กามราคะก็อย่างหนึ่ง
อรูปราคะ(สุข)ก็อย่างหนึ่ง


ถ้าอยากรู้ว่าความสุขเป็นไง ก็ลองทำสมาบัติปิดทวารให้ถึงฌาน๘
ฌานที่เรียกว่า อรูปพรหม นั้นแหล่ะเรียกว่า ความสุข

กามฉันทะเกิดจากทวารทั้งห้า

อรูปราคะหรืออรูปพรหม เกิดจากการปิดทวารทั้งห้า

ถามจริงมันเหมือนกันตรงไหนเว้ยเฮ้ย!


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
โฮฮับ เขียน:

กามเป็นพุทธพจน์ ที่เป็นสมมติบัญญัติ นิยามของคำๆนี้ก็คือ สภาพธรรมอันเป็นองค์ประกอบของราคะ
กามเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ากายใจไปกระทบมันเข้าจะทำให้เกิด ฉันทะ (ปรมัตถ์)
โดยรวมแล้ว กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เมื่อเกิดแล้วย่อมทำให้เกิดอุปกิเลสตามมา เรียกโดยโวหารว่า..
ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)



ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)เป็นอุปกิเลสในกายใจ ที่แสดงอาการ เนื่องจากเหตุแห่งตัณหาและฉันทะ
ความละโมภนี้ ที่บาลีเรียกอภิขฌา ใช่ไหมคะ?


อภิชฌาเป็นโวหารบาลี จึงสามารถแปลเป็นไทยได้ ก็คือความละโลภ

ถ้าเรียกโดยสมมติบัญญัติต้องเรียกว่า ธรรมมารมณ์

เรียกโดยปรมัตถ์ว่า มโนสังขาร

Duangrat เขียน:
แล้วถามว่า แล้วโลภะ ล่ะ มันก็ต้องเกิดร่วมอยู่กะกามและฉันทะหรือเปล่า ก่อนที่จะเป็นอุปกิเลสความละโมภ


กระบวนการของมันคือ.......กามมากระทบกายใจ(ทวาร)แล้วดับไป...เกิดเป็นโลภะ
เมื่อเกิดเป็นโลภะแล้วก็ดับเช่นกัน....เพียงแต่กายใจไม่รู้ว่าโลภะเป็นอนัตตา ก็หลงเข้าไปยึดในสิ่งที่ดับไปแล้ว
ทำให้เกิดเป็นอัตตาไปปรุงแต่งต่อที่มโนทวารเกิดเป็น ฉันทะ ฉันทะเกิดแล้วก็ดับ
แต่กายใจยังหลงปรุงแต่งต่อ(คิดซ้ำซาก) คิดอยากได้อีก อยากเห็นอีก อยากลิ้มรสอีกฯลฯ
นี่แหล่ะเรียกว่า......ความละโมภ(อุปกิเลส)


นั้นคือ ความละโมภ(อุปกิเลส)ในที่นี้ เกิดตามลำดับจิตดวงที่ 2-3..ฯ ถูกไหม


ความละโมภ เกิดจากกระบวนการของจิตดวงที่๒

กระบวนการของจิตดวงที่๑ นับตั้งแต่ เกิดการกระทบเกิดสังขตะ(โลภะ) แล้วยึด
เกิดการปรุงแต่งที่มโนทวาร(คิดว่าพอใจในสิ่งที่มากระทบ) กลายเป็นฉันทะ

นับการกระทบที่ทวารทั้งห้าแล้วมาปรุงแต่งที่สมองนับเป็นจิตดวงที่๑

เมื่อเกิดฉันทะในจิตดวงที่หนึ่งแล้ว กายใจเอาฉันทะมาปรุงแต่งต่อที่มโนทวาร(สมอง)
เกิดเป็นโมหะ แล้วยึดเป็นฉันทะไปยึดที่สมองอีก นี่คือกระบวนการของจิตดวงที่๒
ถ้าคิดซ้ำซาก ก็เป็นดวงที่๓,๔,๕,ฯลฯ

การการคิดซ้ำซากอันเกิดจากฉันทะเป็นเหตุ ท่านเรียกว่า ละโมภเป็นหนึ่งในอุปกิเลส


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าโฮฮับเป็นนักผสมพันธ์ไม้ผลไม้ดอก จะรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลอย่างหาตัวจับยาก คือ นำพันธ์นี้ไปลองผสมกับพันธ์นั้น .... ก็ได้พันธ์ลูกผสมขึ้นมา เป็นลิขสิทธิ์ของตัวเอง :b1:

แต่เผอิญหลักธรรม มิใช่กล้วยไม้ :b32: การนำศัพท์ทางธรรมนั่นนี่มาตัดแต่งด้นเดาเอาตามอำเภอใจนั้น เป็นการทำลายหลักธรรมของเขา เป็นธรรมปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ อย่างเก่งก็เป็นศาสดาโฮฮับ :b32:

ถ้าเป็นครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าจะเรียกบุคคลเช่นนี้ว่า โมฆบุรุษๆ แต่ปัจจุบันก็เรียกได้ โมฆบุรุษ โมฆบุคคล คือ คนเปล่าๆ ปลี้ๆ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:


ของก๊อปจากเซิ้นเจิ้นทั้งนั้น ใกล้เจ๊งแล้วเลยต้องรีบปล่อยของ

กามสุขไม่มี (เอ็งมั่ว) กามไม่สามารถทำให้สุขได้ กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ
เหตุนี้พุทธพจน์ที่ถูกต้องคือ....กามฉันทะ




โฮฮับว่า กามสุขไม่มี เอาง่ายๆ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โฮฮับเคยมีความสุข จากส่ิ่งเหล่านั้นมั้ย คือ จากการดูรูป จากฟังเสียง จากดมกลิ่น จากลิ้มรส จากถูกต้องสัมผัส มั้ย ตอบตรงไปตรงมานะ เคย ไม่เคย :b1:


รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส........ไม่ได้ทำให้เกิดสุข
พี่โฮไม่เคยได้รับสุขจากสิ่งเหล่านี้ ไม่เจอก็วุ่นวายใจ เมื่อเจอแล้วความวุ่นวายใจก็หายไปกลับกลายเป็นเบื่อมาแทนที่

สิ่งที่เป็นความสุขที่แท้จริง ท่านเรียกว่า อรูป
อรูปมันเป็นกิเลส ท่านจึงเรียกมันว่า อรูปราคะ

กามราคะก็อย่างหนึ่ง
อรูปราคะ(สุข)ก็อย่างหนึ่ง


ถ้าอยากรู้ว่าความสุขเป็นไง ก็ลองทำสมาบัติปิดทวารให้ถึงฌาน๘
ฌานที่เรียกว่า อรูปพรหม นั้นแหล่ะเรียกว่า ความสุข

กามฉันทะเกิดจากทวารทั้งห้า

อรูปราคะหรืออรูปพรหม เกิดจากการปิดทวารทั้งห้า

ถามจริงมันเหมือนกันตรงไหนเว้ยเฮ้ย!






ถามหน่อยค่ะ
ถ้าคุณโฮ สนทนากับเพื่อนฝูงครอบครัว เรื่องความสุข เช่นมีคนถามว่า มีความสุขดีไหมกะบ้านหลังใหม่? คุณโฮจะใช้ ภาษาชาวบ้าน หรือ ภาษาธรรมตอบคะ และตอบว่างัยคะ?


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้าโฮฮับเป็นนักผสมพันธ์ไม้ผลไม้ดอก จะรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลอย่างหาตัวจับยาก คือ นำพันธ์นี้ไปลองผสมกับพันธ์นั้น .... ก็ได้พันธ์ลูกผสมขึ้นมา เป็นลิขสิทธิ์ของตัวเอง :b1:

แต่เผอิญหลักธรรม มิใช่กล้วยไม้ :b32: การนำศัพท์ทางธรรมนั่นนี่มาตัดแต่งด้นเดาเอาตามอำเภอใจนั้น เป็นการทำลายหลักธรรมของเขา เป็นธรรมปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ อย่างเก่งก็เป็นศาสดาโฮฮับ :b32:

ถ้าเป็นครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าจะเรียกบุคคลเช่นนี้ว่า โมฆบุรุษๆ แต่ปัจจุบันก็เรียกได้ โมฆบุรุษ โมฆบุคคล คือ คนเปล่าๆ ปลี้ๆ :b13:


บอกให้ไปตามหลวงพ่อมาพูดเอง อย่าทำตัวเป็นทหารเลวด่าทอเลียบค่าย
ให้หลวงพ่อนั้งบนธรรมาส พี่โฮจะนั่งพื้นเองก็ได้ เอากันให้รู้ดำรุ้แดงไปเลย

ไม่อยากรบกับทหารเลว มันเสียศักศรี พูดจาไม่รู้เรื่อง สงสัยถูกเกณท์มาจากป่าทางใต้
เป็นพวกชนเผ่าผีตองเหลืองแหง่ๆ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:


ของก๊อปจากเซิ้นเจิ้นทั้งนั้น ใกล้เจ๊งแล้วเลยต้องรีบปล่อยของ

กามสุขไม่มี (เอ็งมั่ว) กามไม่สามารถทำให้สุขได้ กามเป็นเหตุแห่งฉันทะ
เหตุนี้พุทธพจน์ที่ถูกต้องคือ....กามฉันทะ




โฮฮับว่า กามสุขไม่มี เอาง่ายๆ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โฮฮับเคยมีความสุข จากส่ิ่งเหล่านั้นมั้ย คือ จากการดูรูป จากฟังเสียง จากดมกลิ่น จากลิ้มรส จากถูกต้องสัมผัส มั้ย ตอบตรงไปตรงมานะ เคย ไม่เคย :b1:


รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส........ไม่ได้ทำให้เกิดสุข
พี่โฮไม่เคยได้รับสุขจากสิ่งเหล่านี้ ไม่เจอก็วุ่นวายใจ เมื่อเจอแล้วความวุ่นวายใจก็หายไปกลับกลายเป็นเบื่อมาแทนที่

สิ่งที่เป็นความสุขที่แท้จริง ท่านเรียกว่า อรูป
อรูปมันเป็นกิเลส ท่านจึงเรียกมันว่า อรูปราคะ

กามราคะก็อย่างหนึ่ง
อรูปราคะ(สุข)ก็อย่างหนึ่ง


ถ้าอยากรู้ว่าความสุขเป็นไง ก็ลองทำสมาบัติปิดทวารให้ถึงฌาน๘
ฌานที่เรียกว่า อรูปพรหม นั้นแหล่ะเรียกว่า ความสุข

กามฉันทะเกิดจากทวารทั้งห้า

อรูปราคะหรืออรูปพรหม เกิดจากการปิดทวารทั้งห้า

ถามจริงมันเหมือนกันตรงไหนเว้ยเฮ้ย!






ถามหน่อยค่ะ
ถ้าคุณโฮ สนทนากับเพื่อนฝูงครอบครัว เรื่องความสุข เช่นมีคนถามว่า มีความสุขดีไหมกะบ้านหลังใหม่? คุณโฮจะใช้ ภาษาชาวบ้าน หรือ ภาษาธรรมตอบคะ และตอบว่างัยคะ?


อย่าลืมหลักอริยมรรค การจะสื่อสารหรือติดกับผู้อื่น
เราต้องคำนึ่งถึง ...สัมมาอาชีวะมาเป็นอันดับแรก
นั้นก็คือต้องรู้ว่า เราอยู่ในสังคมที่มีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วเราจึงจะต้องประพฤติตนหรือพูดจา
ให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นได้ แบบนี้จึงจะเกิดศีล(วิเวก) คือกายใจเป็นปกติไม่เดือดร้อน
จากการกระทำหรือวาจาของเราเอง

ถ้าเพื่อนฝูงครอบครัว เขาถามเราแบบภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสังคมปกติ
เราย่อมต้องตอบไปแบบปกติครับ แต่ถ้าเขาถามเราเป็นภาษาธรรมเราจึงตองกลับไปเป็นภาษาธรรม

ยกตัวอย่างถ้าเขาถามเราด้วยภาษาปกติแต่เราตอบเป็นภาษาธรรมไป ผลอาจทำให้อีกฝ่ายตำหนิเราได้
หาว่าสร้างภาพหรือไม่ก็ว่าบ้าไปเลย
แบบนี้ย่อมทำให้เราเดือดร้อนวุ่นวานวาย การสื่อสารก็ไม่เกิดผล

ลักษณะเช่นนี้ท่านว่า ไม่มีสัมมาอาชีวะ เมื่อไม่มีสัมมาอาชีวะ ก็ไม่มีสัมมากัมมันตะและสัมมาวาจาครับ


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ค. 2016, 09:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชัดเจน เข้าใจค่ะ ขอบคุณค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร