วันเวลาปัจจุบัน 02 ต.ค. 2025, 13:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่ารูปธรรม คือ สมมติสัจจะ
คำว่านามธรรมคือ ปรมัตถ์สัจจะ

รูปธรรม เป็นลักษณะที่สามารถรู้เห็นหรือสามารถบอกและอธิบายให้คนอื่นรู้เข้าใจได้
แต่นามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นลักษณะที่แท้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
การอธิบายนามธรรมต้องอาศัยรูปธรรมในการอธิบาย
พูดให้ชัดก็คือ ต้องใช้โวหารอธิบายในสมมติเพื่อให้รู้ในปรมัตถ์(บัญญัติ)

ตำราที่นายกรัชกายเอามาอ้าง มันเป็นการแต่งขึ้นจากความไม่เข้าใจพุทธพจน์
จากคำที่เป็นธรรมะหรือพุทธพจน์ กลับกลายมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในทางโลก
ไม่สามารถเอามาอ้างในพระธรรมหรือธรรมะได้....ใครอ้างถือเป็นโมฆะบุรุษผู้ทำให้พุทธพจน์วิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คำว่ารูปธรรม คือ สมมติสัจจะ
คำว่านามธรรมคือ ปรมัตถ์สัจจะ

รูปธรรม เป็นลักษณะที่สามารถรู้เห็นหรือสามารถบอกและอธิบายให้คนอื่นรู้เข้าใจได้
แต่นามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นลักษณะที่แท้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
การอธิบายนามธรรมต้องอาศัยรูปธรรมในการอธิบาย
พูดให้ชัดก็คือ ต้องใช้โวหารอธิบายในสมมติเพื่อให้รู้ในปรมัตถ์(บัญญัติ)

ตำราที่นายกรัชกายเอามาอ้าง มันเป็นการแต่งขึ้นจากความไม่เข้าใจพุทธพจน์
จากคำที่เป็นธรรมะหรือพุทธพจน์ กลับกลายมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในทางโลก
ไม่สามารถเอามาอ้างในพระธรรมหรือธรรมะได้....ใครอ้างถือเป็นโมฆะบุรุษผู้ทำให้พุทธพจน์วิบัติ



เอานะ

๑ รูปขันธ์

๒.เวทนาขันธ์

๓. สัญญาขันธ์

๔. สังขารขันธ์

๕. วิญญาณขันธ์

ศาสดาโฮฮับจัด เข้าในรูป นาม สิ อะไรเป็นรูปธรรม นามธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คำว่ารูปธรรม คือ สมมติสัจจะ
คำว่านามธรรมคือ ปรมัตถ์สัจจะ

รูปธรรม เป็นลักษณะที่สามารถรู้เห็นหรือสามารถบอกและอธิบายให้คนอื่นรู้เข้าใจได้
แต่นามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นลักษณะที่แท้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
การอธิบายนามธรรมต้องอาศัยรูปธรรมในการอธิบาย
พูดให้ชัดก็คือ ต้องใช้โวหารอธิบายในสมมติเพื่อให้รู้ในปรมัตถ์(บัญญัติ)

ตำราที่นายกรัชกายเอามาอ้าง มันเป็นการแต่งขึ้นจากความไม่เข้าใจพุทธพจน์
จากคำที่เป็นธรรมะหรือพุทธพจน์ กลับกลายมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในทางโลก
ไม่สามารถเอามาอ้างในพระธรรมหรือธรรมะได้....ใครอ้างถือเป็นโมฆะบุรุษผู้ทำให้พุทธพจน์วิบัติ



เอานะ

๑ รูปขันธ์

๒.เวทนาขันธ์

๓. สัญญาขันธ์

๔. สังขารขันธ์

๕. วิญญาณขันธ์

ศาสดาโฮฮับจัด เข้าในรูป นาม สิ อะไรเป็นรูปธรรม นามธรรม


บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม

ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ต้องบอกว่า อุปมาเอ็งฝันว่าถูกคุณดวงรัตน์ตบกบาล
พอตื่นก็มาถามพี่โฮว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้คุณดวงรัตน์มาตบกบาลซ้ำ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คำว่ารูปธรรม คือ สมมติสัจจะ
คำว่านามธรรมคือ ปรมัตถ์สัจจะ

รูปธรรม เป็นลักษณะที่สามารถรู้เห็นหรือสามารถบอกและอธิบายให้คนอื่นรู้เข้าใจได้
แต่นามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นลักษณะที่แท้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
การอธิบายนามธรรมต้องอาศัยรูปธรรมในการอธิบาย
พูดให้ชัดก็คือ ต้องใช้โวหารอธิบายในสมมติเพื่อให้รู้ในปรมัตถ์(บัญญัติ)

ตำราที่นายกรัชกายเอามาอ้าง มันเป็นการแต่งขึ้นจากความไม่เข้าใจพุทธพจน์
จากคำที่เป็นธรรมะหรือพุทธพจน์ กลับกลายมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในทางโลก
ไม่สามารถเอามาอ้างในพระธรรมหรือธรรมะได้....ใครอ้างถือเป็นโมฆะบุรุษผู้ทำให้พุทธพจน์วิบัติ



เอานะ

๑ รูปขันธ์

๒.เวทนาขันธ์

๓. สัญญาขันธ์

๔. สังขารขันธ์

๕. วิญญาณขันธ์

ศาสดาโฮฮับจัด เข้าในรูป นาม สิ อะไรเป็นรูปธรรม นามธรรม


บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม

ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ต้องบอกว่า อุปมาเอ็งฝันว่าถูกคุณดวงรัตน์ตบกบาล
พอตื่นก็มาถามพี่โฮว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้คุณดวงรัตน์มาตบกบาลซ้ำ :b32:


อ้างอิงไว้

อ้างคำพูด:
บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม


แสดงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นความเข้าใจผิด ยืนยันอีกทีสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดนคำถามข้างบนเข้าไป ไม่น่าน้อยกว่า 7 วัน (หาย) :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คำว่ารูปธรรม คือ สมมติสัจจะ
คำว่านามธรรมคือ ปรมัตถ์สัจจะ

รูปธรรม เป็นลักษณะที่สามารถรู้เห็นหรือสามารถบอกและอธิบายให้คนอื่นรู้เข้าใจได้
แต่นามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นลักษณะที่แท้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
การอธิบายนามธรรมต้องอาศัยรูปธรรมในการอธิบาย
พูดให้ชัดก็คือ ต้องใช้โวหารอธิบายในสมมติเพื่อให้รู้ในปรมัตถ์(บัญญัติ)

ตำราที่นายกรัชกายเอามาอ้าง มันเป็นการแต่งขึ้นจากความไม่เข้าใจพุทธพจน์
จากคำที่เป็นธรรมะหรือพุทธพจน์ กลับกลายมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในทางโลก
ไม่สามารถเอามาอ้างในพระธรรมหรือธรรมะได้....ใครอ้างถือเป็นโมฆะบุรุษผู้ทำให้พุทธพจน์วิบัติ



เอานะ

๑ รูปขันธ์

๒.เวทนาขันธ์

๓. สัญญาขันธ์

๔. สังขารขันธ์

๕. วิญญาณขันธ์

ศาสดาโฮฮับจัด เข้าในรูป นาม สิ อะไรเป็นรูปธรรม นามธรรม


บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม

ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ต้องบอกว่า อุปมาเอ็งฝันว่าถูกคุณดวงรัตน์ตบกบาล
พอตื่นก็มาถามพี่โฮว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้คุณดวงรัตน์มาตบกบาลซ้ำ :b32:


อ้างอิงไว้

อ้างคำพูด:
บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม


แสดงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นความเข้าใจผิด ยืนยันอีกทีสิ


ว่าแล้วตามที่พี่โฮบอก......เอ็งไม่รู้เรื่อง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โดนคำถามข้างบนเข้าไป ไม่น่าน้อยกว่า 7 วัน (หาย) :b32:


กรัชกายนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ :b32: ดูแล้วไม่ต่างกับเป็ด เห็นไก่มันขันก็อยากขันบ้าง
พอเอยปากเท่านั้นแหละ ก๊าบๆๆๆ

จะถกธรรมกับใครเขา มันต้องมีความรู้ในสิงที่ถกพอสมควร
เขาแสดงความเห็นหรือแย้งความเห็นเรา เราต้องเอาเหตุผลมาหักล้าง
มันต้องบอกไปว่า ความเห็นของเขาไม่ถูกอย่างไร และเขาเข้าใจผิดอย่างไร
แบบนี้จึงจะเรียกถกธรรม.....

มันไม่ใช่อย่างที่หนูกำลังทำ มานั่งถามถามเขาว่า นั้นคืออะไร
นี่คืออะไร นี่แสดงว่ามันไม่รู้อะไรเลยแต่ต้น.....รักจะถกธรรมมันต้องรู้ถูกและรู้ผิด
ไม่ใช่มานั่งถามเขาว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กาม ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ


กามเป็นพุทธพจน์ ที่เป็นสมมติบัญญัติ นิยามของคำๆนี้ก็คือ สภาพธรรมอันเป็นองค์ประกอบของราคะ
กามเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ากายใจไปกระทบมันเข้าจะทำให้เกิด ฉันทะ (ปรมัตถ์)
โดยรวมแล้ว กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เมื่อเกิดแล้วย่อมทำให้เกิดอุปกิเลสตามมา เรียกโดยโวหารว่า..
ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)

กรัชกาย เขียน:
กามมี ๒ คือ
กาม ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ

๑. กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่
๒. วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่ กามคุณ ๕


กามเป็นสภาพธรรม...มันมีอย่างเดียว ก็คือกาม
กิเลสกาม หมายถึง กามก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง มันไม่ได้ชื่อว่ากิเลสกาม

วัตถุกาม ก็ไม่มี ตำรามั่วขึ้นมาเอง วัตถุเป็นธรรมชาติภายนอก ที่กายใจสามารถรับรู้ได้เมื่อมีการกระทบ
ที่ทวารทั้งห้า.....เรียกให้ถูกว่า ....วัตถุธรรม ไม่ใช่วัตถุกาม
กรัชกาย เขียน:
กามคุณ ส่วนที่น่าปรารถนา น่าใคร่ มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ


เลอะเทอะ! มันเล่นเอาพุทธพจน์มาผสมโวหารกันเละไปหมด กามก็คือกามเป็นสมมติบัญญัติ(พุทธพจน์)
คุณ..เป็นโวหารอธิบายลักษณะของธรรม ความหมายของกามและคุณ หมายความว่า...
ลักษณะของธรรมที่ทำให้เกิดกาม

กรัชกาย เขียน:

กามฉันท์, กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป เป็นต้น, ความพอใจกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)


กามฉันทะ เป็นคนละคำกัน กามเป็นสมมติ ฉันทะเป็นปรมัตถ์ เหตุนี้จึงต้องเข้าใจกามกับฉันทะก่อน
กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เพราะมีกามจึงมีฉันทะ ...เมื่อเกิดกามและฉันทะขึ้น ย่อมทำให้เกิดอุปกิเลส
ในกายใจ อุปกิเลสตัวนี้เรียกว่า.......ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)

ปล.เอาแค่นี้ก่อน ที่เหลือขี้เกียจอธิบายแล้ว เพราะกลัวเสียของเสียเวลา
เอาเวลาไปสีซอให้ควายฟังดีกว่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คำว่ารูปธรรม คือ สมมติสัจจะ
คำว่านามธรรมคือ ปรมัตถ์สัจจะ

รูปธรรม เป็นลักษณะที่สามารถรู้เห็นหรือสามารถบอกและอธิบายให้คนอื่นรู้เข้าใจได้
แต่นามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นลักษณะที่แท้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
การอธิบายนามธรรมต้องอาศัยรูปธรรมในการอธิบาย
พูดให้ชัดก็คือ ต้องใช้โวหารอธิบายในสมมติเพื่อให้รู้ในปรมัตถ์(บัญญัติ)

ตำราที่นายกรัชกายเอามาอ้าง มันเป็นการแต่งขึ้นจากความไม่เข้าใจพุทธพจน์
จากคำที่เป็นธรรมะหรือพุทธพจน์ กลับกลายมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในทางโลก
ไม่สามารถเอามาอ้างในพระธรรมหรือธรรมะได้....ใครอ้างถือเป็นโมฆะบุรุษผู้ทำให้พุทธพจน์วิบัติ



เอานะ

๑ รูปขันธ์

๒.เวทนาขันธ์

๓. สัญญาขันธ์

๔. สังขารขันธ์

๕. วิญญาณขันธ์

ศาสดาโฮฮับจัด เข้าในรูป นาม สิ อะไรเป็นรูปธรรม นามธรรม


บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม

ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ต้องบอกว่า อุปมาเอ็งฝันว่าถูกคุณดวงรัตน์ตบกบาล
พอตื่นก็มาถามพี่โฮว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้คุณดวงรัตน์มาตบกบาลซ้ำ :b32:


อ้างอิงไว้

อ้างคำพูด:
บอกแล้วว่าอย่าเอาเรื่องที่ตัวเข้าใจผิดมาถาม ไอ้ที่ถามมาเนี่ย มันเป็นการปรุงแต่ง
จะถามต้องธรรมแท้มาถาม


แสดงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นความเข้าใจผิด ยืนยันอีกทีสิ


ว่าแล้วตามที่พี่โฮบอก......เอ็งไม่รู้เรื่อง :b32:


แล้วมันยังไงล่ะ เออ :b32:

คนไม่รู้ก็บอกมา C :b13: บอกชัดๆ ว่ามา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กาม ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ


กามเป็นพุทธพจน์ ที่เป็นสมมติบัญญัติ นิยามของคำๆนี้ก็คือ สภาพธรรมอันเป็นองค์ประกอบของราคะ
กามเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้ากายใจไปกระทบมันเข้าจะทำให้เกิด ฉันทะ (ปรมัตถ์)
โดยรวมแล้ว กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เมื่อเกิดแล้วย่อมทำให้เกิดอุปกิเลสตามมา เรียกโดยโวหารว่า..
ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)

กรัชกาย เขียน:
กามมี ๒ คือ
กาม ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ

๑. กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่
๒. วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่ กามคุณ ๕


กามเป็นสภาพธรรม...มันมีอย่างเดียว ก็คือกาม
กิเลสกาม หมายถึง กามก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง มันไม่ได้ชื่อว่ากิเลสกาม

วัตถุกาม ก็ไม่มี ตำรามั่วขึ้นมาเอง วัตถุเป็นธรรมชาติภายนอก ที่กายใจสามารถรับรู้ได้เมื่อมีการกระทบ
ที่ทวารทั้งห้า.....เรียกให้ถูกว่า ....วัตถุธรรม ไม่ใช่วัตถุกาม
กรัชกาย เขียน:
กามคุณ ส่วนที่น่าปรารถนา น่าใคร่ มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ


เลอะเทอะ! มันเล่นเอาพุทธพจน์มาผสมโวหารกันเละไปหมด กามก็คือกามเป็นสมมติบัญญัติ(พุทธพจน์)
คุณ..เป็นโวหารอธิบายลักษณะของธรรม ความหมายของกามและคุณ หมายความว่า...
ลักษณะของธรรมที่ทำให้เกิดกาม

กรัชกาย เขียน:

กามฉันท์, กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป เป็นต้น, ความพอใจกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)


กามฉันทะ เป็นคนละคำกัน กามเป็นสมมติ ฉันทะเป็นปรมัตถ์ เหตุนี้จึงต้องเข้าใจกามกับฉันทะก่อน
กามและฉันทะเกิดพร้อมกัน เพราะมีกามจึงมีฉันทะ ...เมื่อเกิดกามและฉันทะขึ้น ย่อมทำให้เกิดอุปกิเลส
ในกายใจ อุปกิเลสตัวนี้เรียกว่า.......ความละโมภ(โลภที่ไม่ใช่โลภะ)

ปล.เอาแค่นี้ก่อน ที่เหลือขี้เกียจอธิบายแล้ว เพราะกลัวเสียของเสียเวลา
เอาเวลาไปสีซอให้ควายฟังดีกว่า :b32:


อ้างคำพูด:
กามฉันทะ เป็นคนละคำกัน กามเป็นสมมติ ฉันทะเป็นปรมัตถ์


กามเปํ็นสมมติ ฉันทะเป็นปรมัตถ์

สมแล้วที่ว่า ศาสดาโฮฮับ ยำสะเละหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ว่าจะพักสะหน่อย โฮฮับหางานให้กรัชกายทำอีกแระ :b32: อยู่ดีไม่ว่าดี ตัวเองพื้นฐานทางบาลีสักขี้เล็บแมวก็ไม่มี แต่ขยันหาเรื่อง :b32:

แค่ฉันทะตัวเดียวก็ฮงตายโฮ้งแล้ว เพราะอะไร ? เพราะฉันทะ ใช้โดดๆฝ่ายดี ฝ่ายกุศลก็มี เช่น ฉันทะ ข้อ ๑ ในอิทธิบาท ๔

ใช้เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งไปต่อกับศัพท์อืื่น ในนิวรณ์ ๕ ข้อ ๑ กามฉันทะ (กามฉันท์) ก็มี


จะดีชั่ว กุศล อกุศล......ล้วนเกิดจากกิเลส :b32:

:b32:
ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูถ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว กิเลสเป็นกิเลส

อกุศลเกิดจากกิเลสที่ไม่รู้ว่าเป็นธัมมะมิใช่ตัวตน

กุศลเกิดจากปัญญารู้ชัดว่าเป็นธัมมะมิใช่ตัวตน

ไม่ใช่...จะดีชั่ว กุศล อกุศล......ล้วนเกิดจากกิเลส

เข้าใจผิดแบบนี้ ก็สะสมความเห็นผิดละ ไม่ตรงคำสอน
Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
รูปภาพ

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า การเอาพุทธพจน์ไปใช้โดยขาดความเข้าใจย่อมเกิดความสับสน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ศึกษาธรรมด้วยวิธีการแปลศัพท์จากพจนานุกรม

ผมจะอธิบายให้ฟังว่า คำที่จขกทยกมานั้นมีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร
จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง ล้างวิจิกิจฉาและสักกายทิฐิจากความจำเดิมๆ

ที่ถามในข้อ๑. "กามฉันทะ"กับ"กามราคะ" แตกต่างกันอย่างไร

ก็ต้องตอบว่า ถ้าว่าด้วยเหตุปัจจัย ไม่ต่างกัน เพราะมันเกิดพร้อมกันนั้นเอง
กามราคะเป็น....สมมติ(บัญญัติ) กามฉันทะเป็น.....ปรมัตถ์(บัญญัติ)
กามราคะเป็นเหตุให้เกิดกามฉันทะ
กามราคะเป็นสมมติ(ธรรมชาติภายนอก) กามฉันทะเป็นปรมัตถ์(ธรรมชาติภายในกายใจ)

:b12:
ผิดค่ะ กามฉันทะเป็นความยินดีพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่หยาบๆ
ส่วน กามราคะเป็นความยินดีพอใจที่ไม่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแต่
เป็นความติดชนิดละเอียดที่ไม่มีการฟูของกิเลสจึงใช้คำว่ากำหนัดแทน
เพื่อให้เข้าใจถึงลักษณะสภาพธรรมที่ใช้คำให้ละเอียดไปตามจิตละเอียด
:b44:

โฮฮับ เขียน:
ส่วนข้อที่๒. ที่ถามว่า "กาม"..... "ราคะ" ...และกำหนัด แตกต่างกันอย่างไร

คำว่า"กำหนัด" เป็นโวหารบัญญติ มีไว้อธิบายลักษณะของธรรม
ความกำหนัดคือ .... ราคะ

"กาม"ในที่นี้ก็คือ ความปรารถนายินดี

เช่นนี้ "กามราคะ" จึงมีความหมายว่า .....ความปรารถนายินดี ย่อมส่งผลให้เกิดความกำหนัด
ซึ่ง"กามราคะ" เป็นสมมติ ย่อมส่งผลให้เกิด ปรมัตถ์ คือฉันทะ

wink
ส่วน กามคือความน่ายินดีน่าพอใจที่ต้องการจะติดและไม่ต้องการนำออก
ราคะคือความติดใจอย่างละเอียดขั้นฌานจิตที่ต้องการโดยเห็นว่าเป็นสุข
กำหนัดคือความไม่ยินดีแต่ความกระสันที่ใคร่นำออกแต่ยังเอาออกไปมิได้
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตามเคยครับเห็นที่พันทิบเขาตั้งกระทู้ถามไว้ เป็นเรื่องเกี่ยวการเข้าใจภาษาบัญญัติ
เห็นว่ามีประโยชน์ก็เลยยกเอามาเป็นตัวอย่าง...........

รูปภาพ

ดูจากคำถามแล้วจขกทยังขาดความเข้าใจ บัญญัติ
นั้นคือยังไม่รู้ว่า อะไรเป็นสมมติบัญญัติ อะไรเป็นโวหารบัญญัติ
และอะไรเป็นปรมัตถบัญญัติ

จะชี้ปัญหาของจขกทพอเป็นกระสายก่อนคือ.....เพราะไปจำอะไรมาผิดๆ ก็เลยทั้งมั่วทั้งสับสน
ไม่เพียงเท่านนั้น ยังมั่วโยนกลองไปเป็นความผิดของสมมติบัญญัติอีก.....มั่วทั้งขึ้นทั้งล่อง


1-กามฉันทะคือคำที่ใช้บ่อยในอภิธรรม

คือความยินดีในกาม ไม่มีธรรมเป็นเครื่องสลัดออก

กามราคะใช้ในภาษาพูดในสังคมทั้งหลาย

คืออารมณ์ในเรื่องเพศความอยาก

2-กาม มีใช้ในอาสวะ4 หมายถึงกระแสที่พัดให้เกิดภพ
ราคะ คือ อารมณ์หรือเจตสิกในภาษาอภิธรรมเป็นกิเลสที่เกี่ยวกับความพอใจในรูปเพศตรงข้าม
กำหนัดคืออารมณ์หรือเจตสิกในภาษาอภิธรรมเป็นตัญหาที่นำไปสู่การยึดติดในเรื่องเพศ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยของหน่อย คิกๆๆๆ

ฉันทะ โดยทั่วไปแปลกันว่า ความพอใจ แต่ที่จริงแปลได้มากมายหลายอย่าง เช่น ว่า

ความยินดี ความพอใจ ความชอบ ความชื่นชม ความอยาก ความปรารถนา ความต้องการ ความใฝ่ ความรัก ความใคร่


๑. ตัณหาฉันทะ ฉันทะคือตัณหา หรือฉันทะที่เป็นตัณหา เป็นฝ่ายชั่ว หรืออกุศล

๒.กัตตุกัมมยตาฉันทะ ฉันทะคือความใคร่เพื่อจะทำ ได้แก่ ความต้องการทำ หรืออยากทำ บางทีถือเป็นคำกลางๆ เข้าได้ทั้งกุศล และอกุศล แต่ในที่ทั่วไป ท่านใช้ในความหมายที่เป็นกุศล เป็นฝ่ายดี

๓. กุศลธรรมฉันทะ ฉันทะในกุศลธรรม หรือธรรมฉันทะที่เป็นกุศล เป็นฝ่ายดีงาม หรือกุศล มักเรียกสั้นๆ เพียงว่า กุศลฉันทะ (ความรักดี ความใฝ่ดี) หรือธรรมฉันทะ (ความรักธรรม หรือความใฝ่ธรรม)


ภาษาธรรมมิใช่ภาษาไทย แต่มีหลายคำที่ไทยนำมาใช้ แล้วบางทีก็ใช้เพี้ยนไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2016, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปล่อยของหน่อย คิกๆๆๆ

ฉันทะ โดยทั่วไปแปลกันว่า ความพอใจ แต่ที่จริงแปลได้มากมายหลายอย่าง เช่น ว่า

ความยินดี ความพอใจ ความชอบ ความชื่นชม ความอยาก ความปรารถนา ความต้องการ ความใฝ่ ความรัก ความใคร่


"ฉันทะ"เป็นพุทธพจน์ที่กล่าวถึงนามธรรม ที่เกิดแล้วดับทันทีทันใด
ภาษาโวหารที่ใช้กันไม่สามารถบอกถึงลักษณะโดยตรงของนามธรรมนี้ได้
ฉะนั้นผู้ใดเอา"ฉันทะ"ไปแปลอย่างโน้นบ้าง อย่างนี้บ้าง.....ผู้นั้นเป็นโมฆะบุรุษ

กรัชกาย เขียน:
๑. ตัณหาฉันทะ ฉันทะคือตัณหา หรือฉันทะที่เป็นตัณหา เป็นฝ่ายชั่ว หรืออกุศล


ฉันทะไม่ใช่ตัณหา และตัณหาก็ไม่ใช่ฉันทะ ตัณหาเป็นสมมติ ฉันทะเป็นปรมัตถ์...มันเป็นคนละเรื่อง
ในศาสนาพุทธไม่มีดีชั่ว ......ดีชั่วเกิดจากอวิชชาแล้วปรุงแต่ง
ความดีความชั่วล้วนเกิดจาก ...... อคติ

ตัณหาและฉันทะ ทำให้เกิดความอยากช่วยเหลือหรือทำทานกับผู้อื่นก็ได้
ตัณหาและฉันทะ ทำให้อยากที่จะทำร้ายหรือแย่งชิงทรัพย์ผู้อื่นก็ได้


กรัชกาย เขียน:

๒.กัตตุกัมมยตาฉันทะ ฉันทะคือความใคร่เพื่อจะทำ ได้แก่ ความต้องการทำ หรืออยากทำ บางทีถือเป็นคำกลางๆ เข้าได้ทั้งกุศล และอกุศล แต่ในที่ทั่วไป ท่านใช้ในความหมายที่เป็นกุศล เป็นฝ่ายดี


"กัตตุกัมมยตา" เป็นโวหาร จะเอามาใช้กับคำที่เป็นปรมัตถ์(บัญญัติ)ไม่ได้
โวหารจะต้องเทียบเคียงกับสมมติ(บัญญัติ)เสียก่อนจึงจะรู้ปรมัตถ์

"ฉันทะ"ไม่มีดีมีชั่ว มันเกิดแล้วก็ดับไป ตามเหตุตามปัจจัยที่เรียกว่าสมมติ

กรัชกาย เขียน:
๓. กุศลธรรมฉันทะ ฉันทะในกุศลธรรม หรือธรรมฉันทะที่เป็นกุศล เป็นฝ่ายดีงาม หรือกุศล มักเรียกสั้นๆ เพียงว่า กุศลฉันทะ (ความรักดี ความใฝ่ดี) หรือธรรมฉันทะ (ความรักธรรม หรือความใฝ่ธรรม)


ฉันทะไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล คำว่า "กุศลและอกุศล"ล้วนเป็นโวหาร
จะเอาโวหารมาใช้กับปรมัตถ์ธรรมไม่ได้ ก็ตามที่บอกต้องไปเทียบเคียงกับสมมติเสียก่อน

แต่โดยทางธรรมแล้ว ทั้งกุศลและอกุศล ดีและชั่ว......ล้วนเกิดจากอวิชชาเป็นเหตุ
กายใจไม่รู้ถึงสภาพธรรมที่เป็นจริง จึงเกิดการปรุงแต่ง
ทั้งกุศลและอกุศล ดีและชั่ว.....ล้วนเป็นกิเลสสังโยชน์ ที่เรียกว่า สีลพรตปรามาส

กรัชกาย เขียน:
ภาษาธรรมมิใช่ภาษาไทย แต่มีหลายคำที่ไทยนำมาใช้ แล้วบางทีก็ใช้เพี้ยนไป

ก็ไอ้ที่กรัชกายไปก๊อปปี้มาโพสนั้นแหล่ะ มันเป็นภาษาไทย..ไม่ใช่ภาษาธรรม
หลวงพ่อปยุตไปเอาพุทธพจน์มาแปลด้วยการใส่หลักภาษาไทยลงไป....
เหตุนี้จึงทำให้คนไทยพุทธสับสน เรียกผิดเรียกถูก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร