วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
ใช้คำภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจแปลความหมายพระพุทธพจน์ไปผิดๆเพี๊ยนๆไม่กลัวตกนรกหรือ
:b13:


ผมว่าถ้านรกมีจริง แม่ชีโรสนั้นแหล่ะจะลงนรกก่อนใครเป็นแน่แท้
ไปพรากลูกจากอกพ่อแม่ ปานนี้พ่อแม่จะเป็นห่วงถึงกับตรอมใจตายแล้วก็ได้

และที่หนักหนาสาหัสก็คือ ทำลูกนกตายคามือตัวเอง จะอ้างว่าพาไปหาหมอไม่ทันอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
ลูกนกมันอยู่ในที่ทางตามวิถีกรรมของมัน ชีโรสอยากได้ใคร่ดีหยิบมันมาเป็นเครื่องมือบอกบุญ

เวรกรรม เวรกรรม! :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับพูดกับกรัชกายมั่งฮี่ เอาเนื้อๆ ไม่น้ำท่วมทุ่งวาดภาพในใจ ไม่เอา ๆๆ


ขี้เกียจพูดกับนกแก้วแล้ว แนะนำให้ไปนิมนต์หลวงพ่อปยุตมาคุยเองเลยดีกว่า

เอาเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ให้ท่านฉันเช้าให้เรียบร้อยก่อน

ตัวเองไปก๊อปปี้บทความหลวงพ่อปยุต มาละเลงให้เปอะไปทั่วลานธรรม
ดันมาว่าพีโฮพูดน้ำท่วมทุ่ง.......ไม่ได้สำเหนียกตัวเองเล้ย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
ใช้คำภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจแปลความหมายพระพุทธพจน์ไปผิดๆเพี๊ยนๆไม่กลัวตกนรกหรือ
:b13:


ผมว่าถ้านรกมีจริง แม่ชีโรสนั้นแหล่ะจะลงนรกก่อนใครเป็นแน่แท้
ไปพรากลูกจากอกพ่อแม่ ปานนี้พ่อแม่จะเป็นห่วงถึงกับตรอมใจตายแล้วก็ได้

และที่หนักหนาสาหัสก็คือ ทำลูกนกตายคามือตัวเอง จะอ้างว่าพาไปหาหมอไม่ทันอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
ลูกนกมันอยู่ในที่ทางตามวิถีกรรมของมัน ชีโรสอยากได้ใคร่ดีหยิบมันมาเป็นเครื่องมือบอกบุญ

เวรกรรม เวรกรรม! :b7:

:b32:
ข้ามมาคนละกระทู้แล้ว
ความคิดสับสนแล้วโฮฮับ
ผลกรรมดูที่เจตนาใจของใคร
ก็เจตนาคนนั้นคุณโฮฮับคิดเอาเอง
ข้าพเจ้าเจตนาดีแต่คุณโฮฮับที่เจตนาร้ายอยู่
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับพูดกับกรัชกายมั่งฮี่ เอาเนื้อๆ ไม่น้ำท่วมทุ่งวาดภาพในใจ ไม่เอา ๆๆ


ขี้เกียจพูดกับนกแก้วแล้ว แนะนำให้ไปนิมนต์หลวงพ่อปยุตมาคุยเองเลยดีกว่า

เอาเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ให้ท่านฉันเช้าให้เรียบร้อยก่อน

ตัวเองไปก๊อปปี้บทความหลวงพ่อปยุต มาละเลงให้เปอะไปทั่วลานธรรม
ดันมาว่าพีโฮพูดน้ำท่วมทุ่ง.......ไม่ได้สำเหนียกตัวเองเล้ย :b32:

:b32:
กระทู้นี้พันทิปนะคุณโฮฮับมั่วไปหมด
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 25 มิ.ย. 2016, 15:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คุณโฮฮับดูนี่
:b1:
อ้างคำพูด:
วิญญานไม่ใช่ขันธ์ และไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า
ความหมาย ขันธ์ห้า ในส่วนของวิญญานขันธ์ ไม่ใช่วิญญาน
แต่ความหมายของบัญญัติหมายถึง วิญญานเป็นเหตุแห่งขันธ์
วิญญานเป็นอนัตตาเกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะความไม่รู้ทำให้กายใจหลงเข้ายึด
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน(ดับไปแล้ว ไม่มีธรรมตัวนี้แล้ว) เมื่อกายยึดเอาความไม่มีตัวตน
จึงเกิดเป็นความยึดมั่นที่เรียกว่าอัตตาหรือก็คือขันธ์ในภายหลังนั้นเอง

วิญญานไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า แต่อยู่ในสังขตธรรม
วิญญานขันธ์ซึ่งไม่ใช่วิญญาน จึงจะอยู่ในขันธ์ห้า

วิญญานไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นเรื่องของกายใจ
วิญญานเป็นกฎเกณท์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้กายใจรับรู้ความรู้สึกที่ทวารทั้งหก
onion

:b12:
อ้างคำพูด:
สังขตธรรมและอสังขตธรรมใช้ในระดับที่จิตละเอียดดับโมหะแล้วค่ะ
อ่านแล้วเปรียบเทียบสิ่งที่คิดกับโพสต์อ้างอิงข้างล่างทบทวนใหม่นะคะ

:b16:
อ้างคำพูด:
สังขตธรรมคือธรรมที่มีการเกิดดับ
เทียบในอภิธรรมคือจิต เจตสิก รูป
เทียบในอริยสัจจ์สี่คือทุกข์ สมุทัย มรรค
ฝ่ายดับอกุศลเจตสิกชั้นพระอริยบุคคลน๊า
ไม่ใช่ปุถุชนที่จะรู้ความจริงของสังขตธรรม
:b13:
อสังขตธรรมคือธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับก็คือนิพพาน
นิโรธคืออริยสัจจ์1เดียวที่ไม่มีการเกิดดับ
เมื่อไม่มีการเกิดดับก็มีจิตหรือวิญญาณ
จึงกลายเป็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุ
ดับความไม่รู้เหลือแต่ความรู้
ใครว่าธาตุรู้ไม่ใช่จิต(วิญญาณ)
พระอรหันต์มีจิตไหม
แล้วธาตุขันธ์
คืออะไรถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ที่รู้ความจริงแล้วถึงพระนิพพาน
:b8:

onion onion onion
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณจะเติมหรือไม่เติมขันธ์ก็ไม่ใช่ตัวตนค่ะ
:b4: :b4:

มิจฉาทิฏฐิยังยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอัตตา
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เมื่อ พระพุทธองค์ใช้คำว่า "สังขาร" ในหมวดธรรมไหน
พระองค์ก็แสดงกำกับ ถึงความหมายของ "สังขาร"...ไว้ด้วยการจำแนกของพระองค์

เป็นกรอบที่พระองค์วางไว้ให้พิจารณา ตามที่พระองค์ประสงค์แสดงให้ทราบ
ผู้ที่ตั้งกระทู้ในพันทิป ไม่เคยสดับ วิภังค์ นี้มาก่อน เลยคิดเองเออเองไปตามคำว่า "สังขาร"


อ่านพระธรรมไม่ใช่แค่อ่านเพียงบทเดียวแล้วก็สรุป
มันมีที่มาที่ไปของธรรมแต่ละตัว เบื้องต้นต้องรู้ที่มาของพุทธพจน์ในแต่ละตัวเสียก่อน
ไม่ใช่พอเห็นพุทธบัญญัติที่เป็นพุทธพจน์สองคำมาผสมกันก็เหมาไปว่าเป็นอย่างนั้น

จะสอนให้ครับว่า พุทธพจน์ที่บัญญัติติกันสองคำ คุณจะต้องไปหาลักษณะธรรมของบัญญัติทั้งสอง
สิ่งที่คุณกำลังทำคือการเปลี่ยนแปลงพุทธพจน์(ผิดเพี้ยน)


ตัวอย่างเช่น กายสังขาร กายก็คำถึงความหมายหนึ่ง สังขารก็คำหนึ่งความหมายหนึ่ง
วจีสังขาร และจิตสังขารก็เช่นกัน
หลักการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ เราต้องใช้หลักของ เหตุปัจจัย

กายก็คือ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
สังขารก็คือ กฎตามธรรมชาติ

กายสังขาร ก็คือ ธาตุสี่ที่สามารถขยับเคลื่อนที่ได้ ก็เป็นเพราะ มีกฎธรรมชาติที่เรียกว่าสังขาร
ไปคอยบ่งการ

มันมีที่มาที่ไปของธรรมแต่ละตัว
ก็ยกคำพระพุทธองค์มาแสดงสิโฮฮับ
ไม่ใช่การอธิบายจากคนไม่รู้ภาษา


แค่บาลีธรรมดา เช่นนั้นยังมั่ว ขืนเอาคำพุทธองค์มาแสดงผมว่าคุณสติแตกแน่ :b32:

ก็ไอ้ กายเอย สังขารเอย นั้นแหละคำของพุทธองค์ แค่เบสิกยังไม่รู้เรื่อง
ถ้าขืนเอาที่สูงกว่านี้มา มิงงเป็นไก่ตาแตกหรือ

โฮฮับ มีปัญญาตอบเพียงเท่านี้เองรึ?

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขาร คือ สัญญเจตนา ซึ่งก็เป็นอารัมณปัจจัย
กายสังขาร ; วจีสังขาร; มโนสังขาร
อรรถกถา :หลังพระสูตรบทนี้ อธิบายว่า
อรรถกถา เขียน:
ในสังขารนิเทศ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
สังขารมีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ ก็ในการจำแนกสังขารนั้น มีอธิบายดังนี้
สังขารที่เป็นไปทางกาย ชื่อกายสังขาร. คำว่า กายสังขารนี้ เป็นชื่อแห่งกายสัญเจตนา ๒๐ คือฝ่ายกามาวจรกุศลจิต ๘ ฝ่ายอกุศลจิต ๑๒ ที่เป็นไปด้วยอำนาจไหวกายทวาร.
คำว่า วจีสังขาร นี้เป็นชื่อแห่งวจีสัญเจตนา ๒๐ เหมือนกัน. ที่เป็นไปด้วยอำนาจการเปล่งวาจาในวจีทวาร. สังขารที่เป็นไปทางจิต ชื่อว่าจิตตสังขาร.
คำว่า จิตตสังขาร นี้เป็นชื่อแห่งมโนสัญเจตนา ๒๙ คือกุศลจิต ๑๗ อกุศลจิต ๑๒ อันเป็นฝ่ายโลกิยะ ที่เป็นไปแก่บุคคลผู้ไม่ทำการไหวในกายทวารและวจีทวาร นั่งคิดอยู่ในที่ลับ.
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=4


Quote Tipitaka:
[๑๔๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็น
อารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง
วิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป
จึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมี
ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว-
*ทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้น
ย่อมเป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความ
ตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลง
แห่งนามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่
ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อ
ไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว
ไม่เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูปจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะ
จึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและ
มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้ง
มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1751&Z=1780&pagebreak=0

(สัญญเจตนา >ความจงใจ ความดำริ ความครุ่นคิด ถึงสิ่งใด)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 25 มิ.ย. 2016, 17:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพระพุทธองค์ แสดง ขันธ์ 5
พระพุทธองค์ ก็จำแนกไว้ เช่นเดียวกัน กับจำแนกไว้ใน วิภังค์แห่งปฏิจสมุปบาท
Quote Tipitaka:
[๑๑๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เราเรียกว่า
ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจ อยู่จบพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้ฉลาดใน
ในฐานะ ๗ ประการ เป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดซึ่งรูป เหตุเกิด
แห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป คุณแห่งรูป โทษแห่งรูป และ
อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป. รู้ชัดเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ เหตุเกิด
แห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คุณแห่งวิญญาณ
โทษแห่งวิญญาณ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ.
[๑๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็รูปเป็นไฉน? มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔
นี้เรียกว่ารูป.
ความเกิดขึ้นแห่งรูป ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งอาหาร ความดับแห่งรูป ย่อม
มีเพราะความดับแห่งอาหาร อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป. ความสุขโสมนัสอาศัยรูปนี้เกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งรูป
รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งรูป การกำจัดฉันทราคะ
การละฉันทราคะในรูปเสียได้ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งรูป เหตุเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึง
ความดับแห่งรูป คุณแห่งรูป โทษแห่งรูป และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป อย่างนี้ๆ แล้ว
ปฏิบัติ เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับรูป สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ปฏิบัติดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดปฏิบัติดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
ย่อมหยั่งลงในธรรมวินัยนี้. ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งรูป เหตุเกิด
แห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป คุณแห่งรูป โทษแห่งรูป และ
อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป อย่างนี้ๆ แล้ว หลุดพ้นไป เพราะความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
ความดับ (และ) เพราะไม่ถือมั่นรูป สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าหลุดพ้นดีแล้ว สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใด หลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เป็นอันเสร็จกิจ สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดเสร็จกิจ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน? เวทนา ๖ หมวดนี้ คือ เวทนาเกิด
เพราะจักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาเกิดเพราะมโนสัมผัส.
นี้เรียกว่าเวทนา. ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับแห่งเวทนา ย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึง
ความดับแห่งเวทนา ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัญญาเป็นไฉน? สัญญา ๖ หมวดนี้ คือ รูปสัญญา
สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธรรมสัญญา. นี้เรียกว่าสัญญา.
ความ
เกิดขึ้นแห่งสัญญา ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับแห่งสัญญา ย่อมมีเพราะความ
ดับแห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. นี้แลเป็น
ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสัญญา ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อ
ความปรากฏอีก.
[๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารเป็นไฉน? เจตนา ๖ หมวดนี้ คือรูปสัญเจตนา
ฯลฯ ธรรมสัญเจตนา. นี้เรียกว่าสังขาร.
ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้น
แห่งผัสสะ ความดับแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
สังขาร ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน? วิญญาณ ๖ หมวดนี้ คือ จักขุ
วิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า
วิญญาณ.
ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่ง
วิญญาณ ย่อมมีเพราะความดับแห่งนามรูป อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
สัมมาสมาธิ. นี้แล เป็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ. สุขโสมนัสอาศัยวิญญาณเกิดขึ้น
นี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษ
แห่งวิญญาณ การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นความสลัดออกแห่ง
วิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณ เหตุ
เกิดแห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คุณแห่ง
วิญญาณ โทษแห่งวิญญาณ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ อย่างนี้ๆ แล้ว ปฏิบัติ
เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับวิญญาณ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
ปฏิบัติดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ปฏิบัติดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า
ย่อมหลั่งลงในธรรมวินัยนี้. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณ เหตุเกิด
แห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คุณแห่งวิญญาณ
โทษแห่งวิญญาณ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ อย่างนี้ๆ แล้ว หลุดพ้นไป เพราะความ
เบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นวิญญาณ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
หลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด หลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
เป็นอันเสร็จกิจแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเสร็จกิจแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เป็นอย่างไร?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเพ่งพินิจโดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง โดยความเป็นอายตนะประการ
หนึ่ง โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้
เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ. ภิกษุฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เรา
เรียกว่า ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจ อยู่จบพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้.
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=1379&Z=1448&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจสมุปบาท เป็นกฏเกณฑ์ธรรมชาติ เป็นสัจจะความจริง ของการเกิดและดับแห่งความทุกข์
ซึ่งในแต่ละเหตุปัจจัยรายละเอียดในปฏิจสมุปบาท ก็เป็นไปตามกฏเกณฑ์สัจจะความจริงของ
กฏเกณฑ์ธรรมชาติที่เรียกว่า อิทัปจยตา
ดังปรากฏในการบรรลือสีหนาทของพระพุทธองค์
Quote Tipitaka:
[๖๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ตถาคตประกอบด้วยทสพลญาณ และจตุเวสารัชชญาณ จึงปฏิญาณฐานะ
ของผู้องอาจ บันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย ยังพรหมจักรให้เป็นไปว่า ดังนี้รูป
ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป ดังนี้เวทนา ดังนี้ความเกิดขึ้น
แห่งเวทนา ดังนี้ความดับแห่งเวทนา ดังนี้สัญญา ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
ดังนี้ความดับแห่งสัญญา ดังนี้สังขารทั้งหลาย ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขารทั้งหลาย
ดังนี้ความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ดังนี้วิญญาณ ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ
ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ เมื่อปัจจัยนี้มีอยู่ ผลนี้ย่อมมี เพราะการ
บังเกิดขึ้นแห่งปัจจัยนี้ ผลนี้จึงบังเกิดขึ้น เมื่อปัจจัยนี้ไม่มีอยู่ ผลนี้ย่อมไม่มี
เพราะการดับแห่งปัจจัยนี้ ผลนี้จึงดับ
ข้อนี้คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล
นี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=642&Z=661&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สังขาร คือ สัญญเจตนา ซึ่งก็เป็นอารัมณปัจจัย
กายสังขาร ; วจีสังขาร; มโนสังขาร
อรรถกถา :หลังพระสูตรบทนี้ อธิบายว่า
อรรถกถา เขียน:
ในสังขารนิเทศ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
สังขารมีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ ก็ในการจำแนกสังขารนั้น มีอธิบายดังนี้
สังขารที่เป็นไปทางกาย ชื่อกายสังขาร. คำว่า กายสังขารนี้ เป็นชื่อแห่งกายสัญเจตนา ๒๐ คือฝ่ายกามาวจรกุศลจิต ๘ ฝ่ายอกุศลจิต ๑๒ ที่เป็นไปด้วยอำนาจไหวกายทวาร.
คำว่า วจีสังขาร นี้เป็นชื่อแห่งวจีสัญเจตนา ๒๐ เหมือนกัน. ที่เป็นไปด้วยอำนาจการเปล่งวาจาในวจีทวาร. สังขารที่เป็นไปทางจิต ชื่อว่าจิตตสังขาร.
คำว่า จิตตสังขาร นี้เป็นชื่อแห่งมโนสัญเจตนา ๒๙ คือกุศลจิต ๑๗ อกุศลจิต ๑๒ อันเป็นฝ่ายโลกิยะ ที่เป็นไปแก่บุคคลผู้ไม่ทำการไหวในกายทวารและวจีทวาร นั่งคิดอยู่ในที่ลับ.
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=4


Quote Tipitaka:
[๑๔๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็น
อารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง
วิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป
จึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมี
ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว-
*ทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้น
ย่อมเป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความ
ตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลง
แห่งนามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่
ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อ
ไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว
ไม่เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูปจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะ
จึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและ
มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้ง
มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1751&Z=1780&pagebreak=0

(สัญญเจตนา >ความจงใจ ความดำริ ความครุ่นคิด ถึงสิ่งใด)


นี่เขาเรียกความเห็นหรือไง! :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้นครับ ถามจริงๆจบสำนักเดียวกับกรัชกายใช่มั้ยครับ
ถ้าจะจบจาก สถานที่ฝึกนกแก้ว
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
ใช้คำภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจแปลความหมายพระพุทธพจน์ไปผิดๆเพี๊ยนๆไม่กลัวตกนรกหรือ
:b13:


ผมว่าถ้านรกมีจริง แม่ชีโรสนั้นแหล่ะจะลงนรกก่อนใครเป็นแน่แท้
ไปพรากลูกจากอกพ่อแม่ ปานนี้พ่อแม่จะเป็นห่วงถึงกับตรอมใจตายแล้วก็ได้

และที่หนักหนาสาหัสก็คือ ทำลูกนกตายคามือตัวเอง จะอ้างว่าพาไปหาหมอไม่ทันอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
ลูกนกมันอยู่ในที่ทางตามวิถีกรรมของมัน ชีโรสอยากได้ใคร่ดีหยิบมันมาเป็นเครื่องมือบอกบุญ

เวรกรรม เวรกรรม! :b7:

:b32:
ข้ามมาคนละกระทู้แล้ว
ความคิดสับสนแล้วโฮฮับ
ผลกรรมดูที่เจตนาใจของใคร
ก็เจตนาคนนั้นคุณโฮฮับคิดเอาเอง
ข้าพเจ้าเจตนาดีแต่คุณโฮฮับที่เจตนาร้ายอยู่
:b32: :b32:


สงสัยกระทู้คนทำลูกนกตายเพราะอยากได้หน้า คงเป็นคนละคนกับเจ้าของความห็นนี้มั้ง
เอ่! ทำไมถึงชื่อRosarinเหมือนกันนะ

คนทำบาปอยู่ที่ไหนบาปมันก็คงติดตามไปทุกที
ต่อให้เปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนชื่อแซ่ก็ตาม
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สังขาร คือ สัญญเจตนา ซึ่งก็เป็นอารัมณปัจจัย
กายสังขาร ; วจีสังขาร; มโนสังขาร
อรรถกถา :หลังพระสูตรบทนี้ อธิบายว่า
อรรถกถา เขียน:
ในสังขารนิเทศ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
สังขารมีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ ก็ในการจำแนกสังขารนั้น มีอธิบายดังนี้
สังขารที่เป็นไปทางกาย ชื่อกายสังขาร. คำว่า กายสังขารนี้ เป็นชื่อแห่งกายสัญเจตนา ๒๐ คือฝ่ายกามาวจรกุศลจิต ๘ ฝ่ายอกุศลจิต ๑๒ ที่เป็นไปด้วยอำนาจไหวกายทวาร.
คำว่า วจีสังขาร นี้เป็นชื่อแห่งวจีสัญเจตนา ๒๐ เหมือนกัน. ที่เป็นไปด้วยอำนาจการเปล่งวาจาในวจีทวาร. สังขารที่เป็นไปทางจิต ชื่อว่าจิตตสังขาร.
คำว่า จิตตสังขาร นี้เป็นชื่อแห่งมโนสัญเจตนา ๒๙ คือกุศลจิต ๑๗ อกุศลจิต ๑๒ อันเป็นฝ่ายโลกิยะ ที่เป็นไปแก่บุคคลผู้ไม่ทำการไหวในกายทวารและวจีทวาร นั่งคิดอยู่ในที่ลับ.
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=4


อรรถกถาท่านก็อธิบายดีแล้ว แต่ไงเช่นนั้นถึงได้จมปลักอยู่กับการท่องจำไม่เปลี่ยนแปลง
อรรถกถจารย์ท่านก็บอกว่า .....
สังขารมีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ ๑
สังขารที่เป็นทางกาย ชื่อกายสังขาร๑

เนื้อหาใจความท่านก็แยกแยะให้ดูแล้ว ตัวหนึ่งเป็นผู้ปรุงแต่ง อีกตัวถูกปรุงแต่ง
เช่นนั้นดันเอาเป็นตัวเดียวกันเฉยเลย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2016, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
ใช้คำภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจแปลความหมายพระพุทธพจน์ไปผิดๆเพี๊ยนๆไม่กลัวตกนรกหรือ
:b13:


ผมว่าถ้านรกมีจริง แม่ชีโรสนั้นแหล่ะจะลงนรกก่อนใครเป็นแน่แท้
ไปพรากลูกจากอกพ่อแม่ ปานนี้พ่อแม่จะเป็นห่วงถึงกับตรอมใจตายแล้วก็ได้

และที่หนักหนาสาหัสก็คือ ทำลูกนกตายคามือตัวเอง จะอ้างว่าพาไปหาหมอไม่ทันอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
ลูกนกมันอยู่ในที่ทางตามวิถีกรรมของมัน ชีโรสอยากได้ใคร่ดีหยิบมันมาเป็นเครื่องมือบอกบุญ

เวรกรรม เวรกรรม! :b7:

:b32:
ข้ามมาคนละกระทู้แล้ว
ความคิดสับสนแล้วโฮฮับ
ผลกรรมดูที่เจตนาใจของใคร
ก็เจตนาคนนั้นคุณโฮฮับคิดเอาเอง
ข้าพเจ้าเจตนาดีแต่คุณโฮฮับที่เจตนาร้ายอยู่
:b32: :b32:


สงสัยกระทู้คนทำลูกนกตายเพราะอยากได้หน้า คงเป็นคนละคนกับเจ้าของความห็นนี้มั้ง
เอ่! ทำไมถึงชื่อRosarinเหมือนกันนะ

คนทำบาปอยู่ที่ไหนบาปมันก็คงติดตามไปทุกที
ต่อให้เปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนชื่อแซ่ก็ตาม
:b32:

tongue
อ่านรึเปล่าที่คุณเช่นนั้น
โพสต์ยกมาจากะระไตรปิฎก
หรือว่ายาวไปคุณโฮฮับอ่านไม่ทั่วถึง
:b1:
อ้างคำพูด:
ก็ก็วิญญาณเป็นไฉน? วิญญาณ ๖ หมวดนี้ คือ จักขุ
วิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า
วิญญาณ. ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่ง
วิญญาณ ญาณเป็นไฉน? วิญญาณ ๖ หมวดนี้ คือ จักขุ
วิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า
วิญญาณ. ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่ง
วิญญาณ

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2016, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านทบทวนให้เข้าใจข้างล่าง
อ้างคำพูด:
จิต, จิตต์ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ, ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือ พิสดารเป็น ๑๒๑)

แบ่ง โดยชาติ เป็น อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และ กิริยาจิต ๒๐

แบ่ง โดยภูมิ เป็น กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และ โลกุตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐)

:b12:
อ้างคำพูด:
เจตสิก ธรรมที่ประกอบกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น มี ๕๐ อย่าง จัดเป็น อัญญสมานเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕, ถ้าจัดโดยขันธ์ ๕ เจตสิก ก็คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ นั่นเอง

จาก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52607


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร