วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2016, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อ้างคำพูด:
รูป >>>>>>>>>>>รูปขันธ์

เวทนา>>>>>>>>>>เวทนาขันธ์

สัญญา>>>>>>>>>>สัญญาขันธ์

สังขาร>>>>>>>>>>สังขารขันธ์

วิญญาน>>>>>>>>>วิญญานขันธ์

:b12:
ถ้ามีเห็นแล้ว
ยังไม่รู้จักเห็น
ที่กำลังเห็นนั้น
สะสมกิเลสเพิ่มแล้ว
:b32:
คุณโฮฮับขา
ที่แสดงมาค่ะ
รูปขันธ์ในความหมายรูปธรรมมีกาย
อีก4ขันธ์เป็นนามธรรมคือจิตรู้ยัง
:b16:
เมื่อรู้จักกายกับจิตถึงระดับพระอภิธรรม
จะกลายเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
นิพพานจะไม่ขอกล่าวเพราะเป็นสภาพดับกิเลสหมด
จิต มี วิญญาณขันธ์ เท่านั้น จิตล้วนๆรู้อย่างเดียวไม่มีการปรุงแต่ง
เจตสิก มี 3 เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ทั้ง3ปรุงแต่งดีและไม่ดี
รูป มี รูปขันธ์ที่เป็นกาย รูปที่ปรากฏที่มหาภูตรูปทุกประเภทผ่านอายตนะ6
จิตและเจตสิกในพระอภิธรรมต่างอันต่างทำงานแต่อิงอาศัยกันมีจิตต้องมีเจตสิก
เหมือนมีกายต้องมีจิตถ้ายังมีลมหายใจเพราะมีจิตเจตสิกเกิดดับสืบมาจากชาติก่อน
ก็จึงมีตัวคนทุกคนที่เข้ามาสนทนานี้เป็นวิบากจิตให้เกิดวิบากกรรมดีถึงได้เกิดมาเป็นคน
เนื่องจากการเกิดดับมีทั้งสภาพรู้และสภาพไม่รู้ที่ปรากฏให้เห็นร่วมกันที่มาปรากฏเป็นนิมิต
ที่มาเป็นภพภูมิเพื่อให้ได้รับผลของกรรมเพราะมีจิต+เจตสิก+รูปภพชาติความเกิดจึงปรากฏว่ามี
และถ้าไม่มีจิต+เจตสิก+รูปก็จะไม่มีการปรากฏของนิมิตเป็นชีวิตที่มีทุกสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้นี้
:b12:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2016, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
student เขียน:
บังเอิญแวะเข้ามาดู

ขออนุญาติลองตอบก่อนคุณกรัธกาย
ผมจะได้รู้ว่าข้อผิดพลาดในการตอบอย่างไรของตัวเอง

วิญญาณในขันธ์5คือธาตุรู้

วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทคือจิตจุตติ

เช่น วิญญาณในขันธ์5อยู่ในส่วนของ ผัสสะ ในปฎิจจสมุปบาท

สัญญาเป็นความจำได้หมายรู้ น่าจะอยู่ในส่วนของนามรูปในปฏิจจสมุปบาท


ที่พูดมาทั้งหมด......ไม่ใช่ครับ

วิญญานไม่ใช่ขันธ์ และไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า
ความหมาย ขันธ์ห้า ในส่วนของวิญญานขันธ์ ไม่ใช่วิญญาน
แต่ความหมายของบัญญัติหมายถึง วิญญานเป็นเหตุแห่งขันธ์
วิญญานเป็นอนัตตาเกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะความไม่รู้ทำให้กายใจหลงเข้ายึด
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน(ดับไปแล้ว ไม่มีธรรมตัวนี้แล้ว) เมื่อกายยึดเอาความไม่มีตัวตน
จึงเกิดเป็นความยึดมั่นที่เรียกว่าอัตตาหรือก็คือขันธ์ในภายหลังนั้นเอง

วิญญานไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า แต่อยู่ในสังขตธรรม
วิญญานขันธ์ซึ่งไม่ใช่วิญญาน จึงจะอยู่ในขันธ์ห้า

วิญญานไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นเรื่องของกายใจ
วิญญานเป็นกฎเกณท์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้กายใจรับรู้ความรู้สึกที่ทวารทั้งหก


มาอ่านแล้วพิจารณาอีกที

ลึกซึ้งจริงๆ ที่มีการเอา

พระไตรลักษณ์ ขันธ์5 ปฎิจจสมุปบาท
มาอธิบายพร้อมกันด้วยเหตุปัจจัยของธรรมเหล่านั้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2016, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจผมอีกอย่างคือ

เข้าใจว่าขันธ์5ถ้าเทียบตารางปฎิจจสมุปบาท

คือเพราะวิญญาณเป็นเหตุปัจจัยจึงมีนามรูป

สัญญาเป็นนาม นั่นคือมีการปรากฎตามเหตุปัจจัยตรงช่วง
นามรูป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2016, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
Rosarin เขียน:
Kiss
ขันธ์๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ
เพราะความหลงว่ามีจริง แต่จริงๆมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
คือจากไม่มี แล้วเกิดมี ตั้งอยู่ชั่วคราวสั้น1ขณะ แล้วก็ดับไป
:b44:
รูป เวทนา เป็น2ขันธ์ในขันธ์ทั้งห้าที่ในพันทิปไม่เอ่ยถึง
แต่จำเป็นต้องอธิบายขยายความให้ชัดเจนเพราะอิงอาศัยกัน
ในการเกิดดับทุกขณะจิตอาศัยเหตุปัจจัยที่มีเกิดดับพร้อมกัน
:b44:
รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเพราะไม่ใช่สภาพรู้แต่ปรากฏตามวิบากกรรมเก่าที่ส่งมาผล
เวทนาความรู้สึกสุข-ทุกข์-เฉยเป็นสภาพรู้ที่ไปรับรู้ตามสิ่งที่ปรากฏพร้อมจิต
:b1:
ที่ยกตัวอย่างจากพันทิปสงสัยขันธ์3ประการอย่างหลังคือ สัญญา สังขาร วิญญาณ
:b32:
สัญญาความจำมี2อย่างคือจำได้กับจำไม่ได้
สังขารคือความคิดปรุงแต่งเป็นไปตามสัญญา
วิญญาณเป็นสภาพรู้เป็นประธานที่รู้แจ้งเท่านั้นคือเป็นจิต1เดียว
:b44:
กลไกการทำงานของจิต
วิญญาณคือจิตแค่เป็นประธานรู้ทุกอย่างที่ปรากฏ
สัญญาทำหน้าที่จำทำงานร่วมกับจิตเป็นสัญญาเจตสิก
สังขารทำหน้าที่คิดปรุงรูปที่ปรากกฎแล้วปรุงขึ้นมาใหม่
จากนั้นเวทนาก็ทำหน้าที่ต่อโดยรู้สึกไปตามอารมณ์ทั้งหมด
แล้วสัญญาก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ทั้งหมดโดยไม่รู้ว่ามันดับไป
ดังนั้นขันธ์ทั้ง5ทำงานร่วมกันโดยอิงอาศัยและเป็นเหตุผลดังกล่าว
:b17: :b17:

สังขตธรรมเป็นธรรมฝ่ายกุศลดับโมหะ
รู้ความจริงว่าไม่มีตัวตนจิตขั้นละเอียด
Rosarin เขียน:
Kiss
อ้างคำพูด:
รูป >>>>>>>>>>>รูปขันธ์

เวทนา>>>>>>>>>>เวทนาขันธ์

สัญญา>>>>>>>>>>สัญญาขันธ์

สังขาร>>>>>>>>>>สังขารขันธ์

วิญญาน>>>>>>>>>วิญญานขันธ์

:b12:
ถ้ามีเห็นแล้ว
ยังไม่รู้จักเห็น
ที่กำลังเห็นนั้น
สะสมกิเลสเพิ่มแล้ว
:b32:
คุณโฮฮับขา
ที่แสดงมาค่ะ
รูปขันธ์ในความหมายรูปธรรมมีกาย
อีก4ขันธ์เป็นนามธรรมคือจิตรู้ยัง
:b16:
เมื่อรู้จักกายกับจิตถึงระดับพระอภิธรรม
จะกลายเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
นิพพานจะไม่ขอกล่าวเพราะเป็นสภาพดับกิเลสหมด
จิต มี วิญญาณขันธ์ เท่านั้น จิตล้วนๆรู้อย่างเดียวไม่มีการปรุงแต่ง
เจตสิก มี 3 เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ทั้ง3ปรุงแต่งดีและไม่ดี
รูป มี รูปขันธ์ที่เป็นกาย รูปที่ปรากฏที่มหาภูตรูปทุกประเภทผ่านอายตนะ6

จิตและเจตสิกในพระอภิธรรมต่างอันต่างทำงานแต่อิงอาศัยกันมีจิตต้องมีเจตสิก
เหมือนมีกายต้องมีจิตถ้ายังมีลมหายใจเพราะมีจิตเจตสิกเกิดดับสืบมาจากชาติก่อน
ก็จึงมีตัวคนทุกคนที่เข้ามาสนทนานี้เป็นวิบากจิตให้เกิดวิบากกรรมดีถึงได้เกิดมาเป็นคน
เนื่องจากการเกิดดับมีทั้งสภาพรู้และสภาพไม่รู้ที่ปรากฏให้เห็นร่วมกันที่มาปรากฏเป็นนิมิต
ที่มาเป็นภพภูมิเพื่อให้ได้รับผลของกรรมเพราะมีจิต+เจตสิก+รูปภพชาติความเกิดจึงปรากฏว่ามี
และถ้าไม่มีจิต+เจตสิก+รูปก็จะไม่มีการปรากฏของนิมิตเป็นชีวิตที่มีทุกสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้นี้
:b12:
onion onion onion

:b12:
สังขตธรรมคือธรรมที่มีการเกิดดับ
เทียบในอภิธรรมคือจิต เจตสิก รูป
เทียบในอริยสัจจ์สี่คือทุกข์ สมุทัย มรรค
ฝ่ายดับอกุศลเจตสิกชั้นพระอริยบุคคลน๊า
ไม่ใช่ปุถุชนที่จะรู้ความจริงของสังขตธรรม
:b13:
อสังขตธรรมคือธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับก็คือนิพพาน
นิโรธคืออริยสัจจ์1เดียวที่ไม่มีการเกิดดับ
เมื่อไม่มีการเกิดดับก็มีจิตหรือวิญญาณ
จึงกลายเป็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุ
ดับความไม่รู้เหลือแต่ความรู้
ใครว่าธาตุรู้ไม่ใช่จิต(วิญญาณ)
พระอรหันต์มีจิตไหม
แล้วธาตุขันธ์
คืออะไรถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ที่รู้ความจริงแล้วถึงพระนิพพาน
:b8:
onion onion onion :


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2016, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


...เมื่อผู้ใดลงมือปลูกพืชอย่างใดไว้ ลำต้นย่อมตั้งก่อน ใบย่อมตามมา การบำรุงคอยบำรุงบำเรอด้วยปุ๋ยก็ดี ด้วยน้ำก็ดี ความเจริญแห่งชีวิตืนทรีย์ย่อมเจริญ ผลิดอกออกผล ฉันใดก็ดี อันว่าวงจรปฏิจจสมุปบาท ย่อมเนื่องกันอยู่ ฉันนั้น เมื่อความจำได้หมายรู้ทั้งในอดีต ปัจจุจัน อนาคต มีอยู่ ย่อมอุปาทานว่าอัตตามีอยู่ จึงเกิดสังขาร เมื่อสังขารเกิดขึ้นแล้ววิญญานก็เกิดขึ้นด้วยรูปแห่งสังขารที่สัญญาปรุงแต่งไว้แล้วนั่นเอง ดังนั้นเมื่อเหตุไม่มี ผลก็ย่อมไม่มี เมื่อดับเหตุได้แล้ว ผลย่อมดับอย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจจ..มีทั้งแง่ของการเกิดต้นกำเนิดของจักรวาลที่เรียกว่าสังสารวัฏฏ์..โลก..(มิใช่แค่ดาวโลกนะคับ)
และมีทั้งแง่...การเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์(คือมีสังสารวัฏฏ์แล้ว)

ในแง่มุม...มีสังสารวัฏฏ์แล้ว...ไม่มีจิตเดิมแท้ประภัสสรแล้วอวิชชาจรมา..

ส่วนในแง่..ต้นกำเนิดของจักรวาล...มีจิตเดิมแท้ประภัสสร..อวิชชาจรมา...แล้วสังขารจีงมี

ในแง่นี้...สังขารที่มาหลังอวิชชา...มโนสังขารเกิดก่อน..จิตเดิมแท้แต่มีอวิชชาคงคิดไปว่า..ถ้ามีอะไรอะไรที่มากกว่าที่มี(จิตเดิมๆ)..คงจะดี..วจีสังขารเกิดตามด้วยการดำริอยากมี...รูปสังขารก็ค่อยๆเกิดตามมาหลังการคิดการดำริ...รูปสังขารอันเป็นสิ่งแรก..สสารอันแรกที่เกินกว่าจิต..นี้แหละ...คือ..ต้นกำเนิดที่เด่นชัดเป็นรูปธรรมที่สุดของจักรวาลอันเป็นสังขตธรรม...ไตรลักษณะจึงมีขึ้นกับสังขตธรรมเท่านั้น..
ดั่งธรรมที่ว่า..."สิ่งใดมีเกิด..สิ่งนั้นย่อมมีดับไปเป็นธรรมดา" (สิ่งใดที่ถูกสร้าง...สิ่งนั้นย่อมสลายตัวไปในที่สุด..)

สังขารในแง่กำเนิดจักรวาล...สังขารที่เป็นรูปสังขาร..นี้แหละเด่นชัดกว่า..แม้มโนสังขารจะเกิดก่อน..
สังขารในแง่มุมนี้..จึงมีลักษณะที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียวในสังขารขันธ์ของขันธ์5...ที่เกิดหลังการผัสสะ..

ก็คิดไปเล่น ๆ..เพลินๆ..ไปงั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เมื่อ พระพุทธองค์ใช้คำว่า "สังขาร" ในหมวดธรรมไหน
พระองค์ก็แสดงกำกับ ถึงความหมายของ "สังขาร"...ไว้ด้วยการจำแนกของพระองค์

เป็นกรอบที่พระองค์วางไว้ให้พิจารณา ตามที่พระองค์ประสงค์แสดงให้ทราบ
ผู้ที่ตั้งกระทู้ในพันทิป ไม่เคยสดับ วิภังค์ นี้มาก่อน เลยคิดเองเออเองไปตามคำว่า "สังขาร"


อ่านพระธรรมไม่ใช่แค่อ่านเพียงบทเดียวแล้วก็สรุป
มันมีที่มาที่ไปของธรรมแต่ละตัว เบื้องต้นต้องรู้ที่มาของพุทธพจน์ในแต่ละตัวเสียก่อน
ไม่ใช่พอเห็นพุทธบัญญัติที่เป็นพุทธพจน์สองคำมาผสมกันก็เหมาไปว่าเป็นอย่างนั้น

จะสอนให้ครับว่า พุทธพจน์ที่บัญญัติติกันสองคำ คุณจะต้องไปหาลักษณะธรรมของบัญญัติทั้งสอง
สิ่งที่คุณกำลังทำคือการเปลี่ยนแปลงพุทธพจน์(ผิดเพี้ยน)


ตัวอย่างเช่น กายสังขาร กายก็คำถึงความหมายหนึ่ง สังขารก็คำหนึ่งความหมายหนึ่ง
วจีสังขาร และจิตสังขารก็เช่นกัน
หลักการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ เราต้องใช้หลักของ เหตุปัจจัย

กายก็คือ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
สังขารก็คือ กฎตามธรรมชาติ

กายสังขาร ก็คือ ธาตุสี่ที่สามารถขยับเคลื่อนที่ได้ ก็เป็นเพราะ มีกฎธรรมชาติที่เรียกว่าสังขาร
ไปคอยบ่งการ

มันมีที่มาที่ไปของธรรมแต่ละตัว
ก็ยกคำพระพุทธองค์มาแสดงสิโฮฮับ
ไม่ใช่การอธิบายจากคนไม่รู้ภาษา


แค่บาลีธรรมดา เช่นนั้นยังมั่ว ขืนเอาคำพุทธองค์มาแสดงผมว่าคุณสติแตกแน่ :b32:

ก็ไอ้ กายเอย สังขารเอย นั้นแหละคำของพุทธองค์ แค่เบสิกยังไม่รู้เรื่อง
ถ้าขืนเอาที่สูงกว่านี้มา มิงงเป็นไก่ตาแตกหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
จขกท ผู้ถามในพันทิป

"ที่ปฏิจจสมุปบาทว่าสังขารเป็นเหตุแห่งวิญญาณ แต่มีความคิดว่าแล้วสัญญาล่ะไม่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณเหรอ"

....

ผู้ถามเขา เอาเรื่องของปฏิจจฯ มาปนกะเรื่องขบวนการเกิดขันธ์๕

สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ นั้นเป็นเรื่องมาปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท เรื่องนอกกายใน เป็นธรรมฐิติ คือธรรมดาของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

แต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสังขตธรรม ที่เกิดในกายใจบุคคล เป็นเหตุให้เกิดขันธ์๕
สังขตธรรม เกิดหลังผัสสะ ก็หมายถึงเกิดหลังวิญญาณไปรู้การกระทบ ทางทวารทั้ง๖


ใช้ได้ ยอดเยี่ยมครับ! :b17:



อ้างอิงไว้



อ้างคำพูด:
แต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสังขตธรรม ที่เกิดในกายใจบุคคล เป็นเหตุให้เกิดขันธ์ ๕


อ้างคำพูด:
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เกิดในกาย ใจบุคคล เป็นเหตุให้เกิดขันธ์ ๕


โฮฮับ ตามหาค้นหาขันธ์ ๕ นี่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในคน,ในบุคคล ใช่หรือไม่

แล้วที่ว่ายอดเยี่ยมนี่ => รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเกิดในกาย ใจบุคคล เป็นเหตุให้เกิด นี่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใช่บ่ :b10: :b14:

เอาาล่ะครับท่านผู้ชม :b32:


รูป >>>>>>>>>>>รูปขันธ์

เวทนา>>>>>>>>>>เวทนาขันธ์

สัญญา>>>>>>>>>>สัญญาขันธ์

สังขาร>>>>>>>>>>สังขารขันธ์

วิญญาน>>>>>>>>>วิญญานขันธ์



ตอบคำถามหรือต้องการสืออะไร :b32:



พี่โฮ ตอบหน่อยดิ อะไร เป็นคำตอบหรือต้องการสื่ออะไร เอาชัดๆอย่าทำคลุ่มๆเครือๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอามาวางไว้ใกล้ๆอีก เพื่อโฮฮัยจะ จำได้หมายรู้ คือ มีสัญญาขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่สัญญาตามภาษาไทยนะ "สัญญารัก" https://www.youtube.com/watch?v=cDKoaourTLI



สัตว์ "ผู้ติดข้องอยู่ในรูปารมณ์" สิ่งที่มีความรู้สึก และเคลื่อนไหวไปได้เอง รวมตลอดทั้งเทพ มาร พรหม มนุษย์ เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน และสัตว์นรก ในบาลีเพ่งเอามนุษย์ก่อนอย่างอื่น .... ไทยมักเพ่งเอาดิรัจฉาน

สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น) ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย, ทรงประกอบด้วยคุณสมบัติของครู และทรงทำหน้าที่ของครูเป็นอย่างดี คือทรงพร่ำสอนด้วยพระมหากรุณา หวังให้ผู้อื่นได้ความรู้อย่างแท้จริง, ทรงสอนมุ่งความจริง และประโยชน์เป็นที่ตั้ง ทรงแนะนำเวไนยสัตว์ด้วยประโยชน์ ทั้งทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ และปรมัตถะ, ทรงรู้จริง และปฏิบัติด้วยพระองค์เองแล้ว จึงทรงสอนผู้อื่นให้รู้ และปฏิบัติตาม ทรงทำกับตรัสเหมือนกัน ไม่ใช่ตรัสสอนอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง, ทรงฉลาดในวิธีสอน, และทรงเป็นผู้นำหมู่ดุจนายกองเกวียน


จะมาพูดธรรมหรือจะมาเรียนภาษา ถ้าจะเรียนภาษาไปเรียนที่วัดโพธิท่าเตียนนู้น
ไม่มีหัวคิดตะบี้ตะบันลอกตำราของเด็กมาโพส ....น่ารำคาญ


อ้างคำพูด:
จะมาพูดธรรมหรือจะมาเรียนภาษา ถ้าจะเรียนภาษาไปเรียนที่วัดโพธิท่าเตียนนู้น


กรัชกาย พูดไว้ไม่มีผิด คำพูดโฮฮับนี่ บ่งถึงว่า พูดไปเรื่อยเจี้อย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นำศัพท์เค้ามาพูดแต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่า สื่อถึงอะไรหมายถึงอะไร พูดยกมาโยงไปโยงมาไขว้กันไปกันมา แล้วก็บอกว่า นี่แหละธรรมะ คิกๆๆ ชัดเจนๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เมื่อ พระพุทธองค์ใช้คำว่า "สังขาร" ในหมวดธรรมไหน
พระองค์ก็แสดงกำกับ ถึงความหมายของ "สังขาร"...ไว้ด้วยการจำแนกของพระองค์

เป็นกรอบที่พระองค์วางไว้ให้พิจารณา ตามที่พระองค์ประสงค์แสดงให้ทราบ
ผู้ที่ตั้งกระทู้ในพันทิป ไม่เคยสดับ วิภังค์ นี้มาก่อน เลยคิดเองเออเองไปตามคำว่า "สังขาร"


อ่านพระธรรมไม่ใช่แค่อ่านเพียงบทเดียวแล้วก็สรุป
มันมีที่มาที่ไปของธรรมแต่ละตัว เบื้องต้นต้องรู้ที่มาของพุทธพจน์ในแต่ละตัวเสียก่อน
ไม่ใช่พอเห็นพุทธบัญญัติที่เป็นพุทธพจน์สองคำมาผสมกันก็เหมาไปว่าเป็นอย่างนั้น

จะสอนให้ครับว่า พุทธพจน์ที่บัญญัติติกันสองคำ คุณจะต้องไปหาลักษณะธรรมของบัญญัติทั้งสอง
สิ่งที่คุณกำลังทำคือการเปลี่ยนแปลงพุทธพจน์(ผิดเพี้ยน)


ตัวอย่างเช่น กายสังขาร กายก็คำถึงความหมายหนึ่ง สังขารก็คำหนึ่งความหมายหนึ่ง
วจีสังขาร และจิตสังขารก็เช่นกัน
หลักการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ เราต้องใช้หลักของ เหตุปัจจัย

กายก็คือ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
สังขารก็คือ กฎตามธรรมชาติ

กายสังขาร ก็คือ ธาตุสี่ที่สามารถขยับเคลื่อนที่ได้ ก็เป็นเพราะ มีกฎธรรมชาติที่เรียกว่าสังขาร
ไปคอยบ่งการ



สังขารที่กายสังขารเป็นต้น ในปฏิจจสมุปบาท มันก็สังขารที่กล่าวถึงในขันธ์ ๕ นั่นเอง แต่เมื่อท่านนำไปพูดไปอธิบายในปฏิจจสมุปบาท มีรูปเป็นกายสังขาร การปรุงแต่งกาย เป็นต้น

อ่านนิทาน ว่านกทำไมมีหู ว่าหนูทำไมมีปีก อ้อ เขาเรียกค้างคาว :b32: ที่นี่

http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 6654-26570

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ความเข้าใจผมอีกอย่างคือ

เข้าใจว่าขันธ์5ถ้าเทียบตารางปฎิจจสมุปบาท

คือเพราะวิญญาณเป็นเหตุปัจจัยจึงมีนามรูป

สัญญาเป็นนาม นั่นคือมีการปรากฎตามเหตุปัจจัยตรงช่วง
นามรูป


อธิบายปฏิจจฯให้ฟังครับ โดยนัยแห่งเหตปัจจัยในปฏิจจฯ ท่านอนุโลมและปฏิโลม
ให้องค์ธรรมหนึ่งเป็นเหตุแห่งองค์อีกตัวหนึ่ง แต่แท้ที่จริงแล้ว องค์ธรรมทั้ง๑๒องค์ธรรมในปฏิจจฯ
ต่างเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ต่างต้องอาศัยกัน จะขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้

จะเรียกว่าองค์ธรรมหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดองค์ธรรมหนึ่งก็ได้ แต่เป็นเพราะการเกิดขององค์ธรรมในปฏิจจฯ
เป็นลักษณะของวัฏจักร(วงกลม) จึงทำให้ขาดองค์ธรรมหนึ่งองค์ธรรมใดไม่ได้นั้นเอง
สรุปก็คือปฏิจจฯมีลักษณะการเกิดเป็นสองลักษณะคือ ....
๑. เหตุปัจจัย (ธรรมตัวหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดธรรมอีกตัวหนึ่ง)
๒. อัญญมัญญปัจจัย(เป็นปัจจัยแก่กันทั้งหมดอาศัยซึ่งกันและกัน)

นี่คือธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท .......อย่าพึ่งเอาไปเกี่ยวข้องกับตัวเรา
เพราะมันไม่ได้อยู่ในกายใจของเรา มันอยู่ของมันในธรรมชาติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับพูดกับกรัชกายมั่งฮี่ เอาเนื้อๆ ไม่น้ำท่วมทุ่งวาดภาพในใจ ไม่เอา ๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ความเข้าใจผมอีกอย่างคือ

เข้าใจว่าขันธ์5ถ้าเทียบตารางปฎิจจสมุปบาท


ถูกต้องที่เอาขันธ์ห้าเทียบกับปฏิจจสมุปบาท แต่เราต้องคำนึ่งอนยู่เสมอว่า....
ปฏิจจฯเป็นธรรมชาติภายนอกกายใจ แต่ขันธ์ห้าเป็นธรรมชาติภายในกายใจ
ขันธ์ห้าเกิดขึ้นเพราะมีปฏิจจฯเป็นเหตุ
ปฏิจจฯจะเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ห้าได้นั้น....จะต้องมีการกระทบเกิดขึ้นที่ทวาร(หก)ก่อนเสมอ

student เขียน:
คือเพราะวิญญาณเป็นเหตุปัจจัยจึงมีนามรูป

ในความเป็นธรรชาติของปฏิจจฯ ทั้งวิญญานและนามรูปมันเกาะกลุ่มรวมกันอยู่กับองค์ธรรมอื่นๆ
ที่ท่านต้องกล่าวว่า วิญญานเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป นั้นเป็นเพราะ ถ้าเกิดการกระทบที่ทวารของบุคคล
ตัววิญญานจะทำหน้าที่บ่งการกายใจของบุคคลก่อน แล้วนามรูปจึงบ่งการกายใจต่อมา

วิญญาน ทำให้รู้ว่าเกิดการกระทบขึ้น

นามรูป ทำให้เกิดธรรมที่เรียก สังขตธรรมขึ้นมาพร้อมกับวิญญาน (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)

student เขียน:
สัญญาเป็นนาม นั่นคือมีการปรากฎตามเหตุปัจจัยตรงช่วง
นามรูป

ใช่ครับสัญญาเป็นนามในนามรูป สัญญานจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีการกระทบ
พูดให้ชัดก็คือสังขตธรรมเกิดเพราะมีการกระทบ(ทวาร) สังขตธรรมเกิดเพราะปฏิจจฯเป็นเหตุ
สังขตธรรม(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน) ไม่ใช่เกิดจากกายใจเป็นเหตุ...จำให้มั่นเพราะนี้คือ
ตัวปัญญา(วิชชา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพ้อกันเข้าไป :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2016, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
โฮฮับ เขียน:
student เขียน:
บังเอิญแวะเข้ามาดู

ขออนุญาติลองตอบก่อนคุณกรัธกาย
ผมจะได้รู้ว่าข้อผิดพลาดในการตอบอย่างไรของตัวเอง

วิญญาณในขันธ์5คือธาตุรู้

วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทคือจิตจุตติ

เช่น วิญญาณในขันธ์5อยู่ในส่วนของ ผัสสะ ในปฎิจจสมุปบาท

สัญญาเป็นความจำได้หมายรู้ น่าจะอยู่ในส่วนของนามรูปในปฏิจจสมุปบาท


ที่พูดมาทั้งหมด......ไม่ใช่ครับ

วิญญานไม่ใช่ขันธ์ และไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า
ความหมาย ขันธ์ห้า ในส่วนของวิญญานขันธ์ ไม่ใช่วิญญาน
แต่ความหมายของบัญญัติหมายถึง วิญญานเป็นเหตุแห่งขันธ์
วิญญานเป็นอนัตตาเกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะความไม่รู้ทำให้กายใจหลงเข้ายึด
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน(ดับไปแล้ว ไม่มีธรรมตัวนี้แล้ว) เมื่อกายยึดเอาความไม่มีตัวตน
จึงเกิดเป็นความยึดมั่นที่เรียกว่าอัตตาหรือก็คือขันธ์ในภายหลังนั้นเอง

วิญญานไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า แต่อยู่ในสังขตธรรม
วิญญานขันธ์ซึ่งไม่ใช่วิญญาน จึงจะอยู่ในขันธ์ห้า

วิญญานไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นเรื่องของกายใจ
วิญญานเป็นกฎเกณท์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้กายใจรับรู้ความรู้สึกที่ทวารทั้งหก


มาอ่านแล้วพิจารณาอีกที

ลึกซึ้งจริงๆ ที่มีการเอา

พระไตรลักษณ์ ขันธ์5 ปฎิจจสมุปบาท
มาอธิบายพร้อมกันด้วยเหตุปัจจัยของธรรมเหล่านั้น

:b12:
ใช้คำภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจแปลความหมายพระพุทธพจน์ไปผิดๆเพี๊ยนๆไม่กลัวตกนรกหรือ
:b13:
อ้างคำพูด:
วิญญานไม่ใช่ขันธ์ และไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า
ความหมาย ขันธ์ห้า ในส่วนของวิญญานขันธ์ ไม่ใช่วิญญาน
แต่ความหมายของบัญญัติหมายถึง วิญญานเป็นเหตุแห่งขันธ์
วิญญานเป็นอนัตตาเกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะความไม่รู้ทำให้กายใจหลงเข้ายึด
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน(ดับไปแล้ว ไม่มีธรรมตัวนี้แล้ว) เมื่อกายยึดเอาความไม่มีตัวตน
จึงเกิดเป็นความยึดมั่นที่เรียกว่าอัตตาหรือก็คือขันธ์ในภายหลังนั้นเอง

วิญญานไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า แต่อยู่ในสังขตธรรม
วิญญานขันธ์ซึ่งไม่ใช่วิญญาน จึงจะอยู่ในขันธ์ห้า

วิญญานไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นเรื่องของกายใจ
วิญญานเป็นกฎเกณท์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้กายใจรับรู้ความรู้สึกที่ทวารทั้งหก

:b1:
สังขตธรรมและอสังขตธรรมใช้ในระดับที่จิตละเอียดดับโมหะแล้วค่ะ
อ่านแล้วเปรียบเทียบสิ่งที่คิดกับโพสต์อ้างอิงข้างล่างทบทวนใหม่นะคะ
:b39:
Rosarin เขียน:
Kiss
Rosarin เขียน:
Kiss
ขันธ์๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ
เพราะความหลงว่ามีจริง แต่จริงๆมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
คือจากไม่มี แล้วเกิดมี ตั้งอยู่ชั่วคราวสั้น1ขณะ แล้วก็ดับไป
:b44:
รูป เวทนา เป็น2ขันธ์ในขันธ์ทั้งห้าที่ในพันทิปไม่เอ่ยถึง
แต่จำเป็นต้องอธิบายขยายความให้ชัดเจนเพราะอิงอาศัยกัน
ในการเกิดดับทุกขณะจิตอาศัยเหตุปัจจัยที่มีเกิดดับพร้อมกัน
:b44:
รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเพราะไม่ใช่สภาพรู้แต่ปรากฏตามวิบากกรรมเก่าที่ส่งมาผล
เวทนาความรู้สึกสุข-ทุกข์-เฉยเป็นสภาพรู้ที่ไปรับรู้ตามสิ่งที่ปรากฏพร้อมจิต
:b1:
ที่ยกตัวอย่างจากพันทิปสงสัยขันธ์3ประการอย่างหลังคือ สัญญา สังขาร วิญญาณ
:b32:
สัญญาความจำมี2อย่างคือจำได้กับจำไม่ได้
สังขารคือความคิดปรุงแต่งเป็นไปตามสัญญา
วิญญาณเป็นสภาพรู้เป็นประธานที่รู้แจ้งเท่านั้นคือเป็นจิต1เดียว
:b44:
กลไกการทำงานของจิต
วิญญาณคือจิตแค่เป็นประธานรู้ทุกอย่างที่ปรากฏ
สัญญาทำหน้าที่จำทำงานร่วมกับจิตเป็นสัญญาเจตสิก
สังขารทำหน้าที่คิดปรุงรูปที่ปรากกฎแล้วปรุงขึ้นมาใหม่
จากนั้นเวทนาก็ทำหน้าที่ต่อโดยรู้สึกไปตามอารมณ์ทั้งหมด
แล้วสัญญาก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ทั้งหมดโดยไม่รู้ว่ามันดับไป
ดังนั้นขันธ์ทั้ง5ทำงานร่วมกันโดยอิงอาศัยและเป็นเหตุผลดังกล่าว
:b17: :b17:

สังขตธรรมเป็นธรรมฝ่ายกุศลดับโมหะ
รู้ความจริงว่าไม่มีตัวตนจิตขั้นละเอียด
Rosarin เขียน:
Kiss
อ้างคำพูด:
รูป >>>>>>>>>>>รูปขันธ์

เวทนา>>>>>>>>>>เวทนาขันธ์

สัญญา>>>>>>>>>>สัญญาขันธ์

สังขาร>>>>>>>>>>สังขารขันธ์

วิญญาน>>>>>>>>>วิญญานขันธ์

:b12:
ถ้ามีเห็นแล้ว
ยังไม่รู้จักเห็น
ที่กำลังเห็นนั้น
สะสมกิเลสเพิ่มแล้ว
:b32:
คุณโฮฮับขา
ที่แสดงมาค่ะ
รูปขันธ์ในความหมายรูปธรรมมีกาย
อีก4ขันธ์เป็นนามธรรมคือจิตรู้ยัง
:b16:
เมื่อรู้จักกายกับจิตถึงระดับพระอภิธรรม
จะกลายเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
นิพพานจะไม่ขอกล่าวเพราะเป็นสภาพดับกิเลสหมด
จิต มี วิญญาณขันธ์ เท่านั้น จิตล้วนๆรู้อย่างเดียวไม่มีการปรุงแต่ง
เจตสิก มี 3 เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ทั้ง3ปรุงแต่งดีและไม่ดี
รูป มี รูปขันธ์ที่เป็นกาย รูปที่ปรากฏที่มหาภูตรูปทุกประเภทผ่านอายตนะ6

จิตและเจตสิกในพระอภิธรรมต่างอันต่างทำงานแต่อิงอาศัยกันมีจิตต้องมีเจตสิก
เหมือนมีกายต้องมีจิตถ้ายังมีลมหายใจเพราะมีจิตเจตสิกเกิดดับสืบมาจากชาติก่อน
ก็จึงมีตัวคนทุกคนที่เข้ามาสนทนานี้เป็นวิบากจิตให้เกิดวิบากกรรมดีถึงได้เกิดมาเป็นคน
เนื่องจากการเกิดดับมีทั้งสภาพรู้และสภาพไม่รู้ที่ปรากฏให้เห็นร่วมกันที่มาปรากฏเป็นนิมิต
ที่มาเป็นภพภูมิเพื่อให้ได้รับผลของกรรมเพราะมีจิต+เจตสิก+รูปภพชาติความเกิดจึงปรากฏว่ามี
และถ้าไม่มีจิต+เจตสิก+รูปก็จะไม่มีการปรากฏของนิมิตเป็นชีวิตที่มีทุกสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้นี้
:b12:
onion onion onion

:b12:
สังขตธรรมคือธรรมที่มีการเกิดดับ
เทียบในอภิธรรมคือจิต เจตสิก รูป
เทียบในอริยสัจจ์สี่คือทุกข์ สมุทัย มรรค
ฝ่ายดับอกุศลเจตสิกชั้นพระอริยบุคคลน๊า
ไม่ใช่ปุถุชนที่จะรู้ความจริงของสังขตธรรม
:b13:
อสังขตธรรมคือธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับก็คือนิพพาน
นิโรธคืออริยสัจจ์1เดียวที่ไม่มีการเกิดดับ
เมื่อไม่มีการเกิดดับก็มีจิตหรือวิญญาณ
จึงกลายเป็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุ
ดับความไม่รู้เหลือแต่ความรู้
ใครว่าธาตุรู้ไม่ใช่จิต(วิญญาณ)
พระอรหันต์มีจิตไหม
แล้วธาตุขันธ์
คืออะไรถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ที่รู้ความจริงแล้วถึงพระนิพพาน
:b8:

onion onion onion :

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณจะเติมหรือไม่เติมขันธ์ก็ไม่ใช่ตัวตนค่ะ
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร