วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เวลาเขียนแผนที่บอกทางคนนี่เขาไม่ใช่เขียนให้เห็นภาพรวมทั้งหมดหรือครับ

คิดอย่างกรัชกายก็เหมือนคนเขียนแผนที่บอกทางจากกรุงเทพไปขึ้นดอยอ่างขางที่เชียงใหม่คือเขียนให้ดูเฉพาะจุดที่ตั้งของขนส่งหมอชิต หรือประตูน้ำพระอินทร์ มันจะอาศัยแผนที่ที่กรัชกายเขียนเป็นคู่มือนำไปถึงดอยอ่างขางได้หรือครับ



ถ้ากรัชกายจะเขียนแผนที่ไปนิพพาน, นิรวาณ อย่างอโศกบ้าง จะเขียนให้เห็น เช่น =>ศีล => สมาธิ=> ปัญญา => วิมุตติ => วิมุตติญาณทัสสนะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อลูกเบื่อเมีย ไม่ได้ดังใจเลย คิกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
เวลาเขียนแผนที่บอกทางคนนี่เขาไม่ใช่เขียนให้เห็นภาพรวมทั้งหมดหรือครับ

คิดอย่างกรัชกายก็เหมือนคนเขียนแผนที่บอกทางจากกรุงเทพไปขึ้นดอยอ่างขางที่เชียงใหม่คือเขียนให้ดูเฉพาะจุดที่ตั้งของขนส่งหมอชิต หรือประตูน้ำพระอินทร์ มันจะอาศัยแผนที่ที่กรัชกายเขียนเป็นคู่มือนำไปถึงดอยอ่างขางได้หรือครับ



ถ้ากรัชกายจะเขียนแผนที่ไปนิพพาน, นิรวาณ อย่างอโศกบ้าง จะเขียนให้เห็น เช่น =>ศีล => สมาธิ=> ปัญญา => วิมุตติ => วิมุตติญาณทัสสนะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อลูกเบื่อเมีย ไม่ได้ดังใจเลย คิกๆๆ :b32:

:b12:
เขียนสั้นง่ายดีแล้วมันจะไปในเวลาอันรวดเร็วเหมือนที่เขียนได้หรือคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
เวลาเขียนแผนที่บอกทางคนนี่เขาไม่ใช่เขียนให้เห็นภาพรวมทั้งหมดหรือครับ

คิดอย่างกรัชกายก็เหมือนคนเขียนแผนที่บอกทางจากกรุงเทพไปขึ้นดอยอ่างขางที่เชียงใหม่คือเขียนให้ดูเฉพาะจุดที่ตั้งของขนส่งหมอชิต หรือประตูน้ำพระอินทร์ มันจะอาศัยแผนที่ที่กรัชกายเขียนเป็นคู่มือนำไปถึงดอยอ่างขางได้หรือครับ



ถ้ากรัชกายจะเขียนแผนที่ไปนิพพาน, นิรวาณ อย่างอโศกบ้าง จะเขียนให้เห็น เช่น =>ศีล => สมาธิ=> ปัญญา => วิมุตติ => วิมุตติญาณทัสสนะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อลูกเบื่อเมีย ไม่ได้ดังใจเลย คิกๆๆ :b32:

:b12:
เขียนสั้นง่ายดีแล้วมันจะไปในเวลาอันรวดเร็วเหมือนที่เขียนได้หรือคะ
:b32: :b32:



ถ้าถามท่านอโศก ท่านจะบอกว่า แค่กลั้นใจก็ถึงนิพพานแล้ว

บางคนก็ว่า ยืนฉี่ก็เป็นอรหันต์ (ไปนิพพานแล้ว)

ถ้าถามกรัชกาย :b32: มันไม่ง่ายอย่างพูดอย่างเขียนดอกครับคุณโรส :b13: แค่เจริญภาวนาให้สมาธิเกิดนี่ ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี บางคนทำจนท้อสมาธิยังไม่เกิดเลย ครั้นสมาธิเกิดแล้ว ก็หลงวน บางคนทำไปทำมาหลงติดยึดเหล่ห์กลความคิดจนเพี้ยนไปก็มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
เวลาเขียนแผนที่บอกทางคนนี่เขาไม่ใช่เขียนให้เห็นภาพรวมทั้งหมดหรือครับ

คิดอย่างกรัชกายก็เหมือนคนเขียนแผนที่บอกทางจากกรุงเทพไปขึ้นดอยอ่างขางที่เชียงใหม่คือเขียนให้ดูเฉพาะจุดที่ตั้งของขนส่งหมอชิต หรือประตูน้ำพระอินทร์ มันจะอาศัยแผนที่ที่กรัชกายเขียนเป็นคู่มือนำไปถึงดอยอ่างขางได้หรือครับ



ถ้ากรัชกายจะเขียนแผนที่ไปนิพพาน, นิรวาณ อย่างอโศกบ้าง จะเขียนให้เห็น เช่น =>ศีล => สมาธิ=> ปัญญา => วิมุตติ => วิมุตติญาณทัสสนะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อลูกเบื่อเมีย ไม่ได้ดังใจเลย คิกๆๆ :b32:

:b12:
เขียนสั้นง่ายดีแล้วมันจะไปในเวลาอันรวดเร็วเหมือนที่เขียนได้หรือคะ
:b32: :b32:



ถ้าถามท่านอโศก ท่านจะบอกว่า แค่กลั้นใจก็ถึงนิพพานแล้ว

บางคนก็ว่า ยืนฉี่ก็เป็นอรหันต์ (ไปนิพพานแล้ว)

ถ้าถามกรัชกาย :b32: มันไม่ง่ายอย่างพูดอย่างเขียนดอกครับคุณโรส :b13: แค่เจริญภาวนาให้สมาธิเกิดนี่ ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี บางคนทำจนท้อสมาธิยังไม่เกิดเลย ครั้นสมาธิเกิดแล้ว ก็หลงวน บางคนทำไปทำมาหลงติดยึดเหล่ห์กลความคิดจนเพี้ยนไปก็มี

tongue
ดูนี่ค่ะ อ้างอิงโพสต์ จากกระทู้ ความถือตนถือตัว คุณรสมน จขกท.
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52573
อ้างคำพูด:
ศิษย์ : " หลวงปู่ครับ ทำยังไงจึงจะถึง
นิพพานเร็วๆ ครับ ? "

หลวงปู่บุดดา : " ดูปัจจุบันบ่อยๆ สิ ถึงเอง
แหละ อุเบกขาต่ออดีต อนาคตเสีย มีตัว
ปัจจุบันเอกัคคตา กายไม่มีบาปมีกรรม
เอกัคคตาจิต ไม่มีอารมณ์ ๖ เหลืออารมณ์
เดียว กายเป็นอารมณ์ของจิต

วิปัสสนาปัญญาตรัสรู้
กายสงบ จิตสงบ นี่ เป็นตัวสมถะ
พอเห็นกายกับจิต เกิดดับ
ก็เป็นวิปัสสนาขององค์มรรค ๘

แก้ปัจจุบัน แก้กิเลสมาร แก้ที่ปัจจุบัน
อยู่ที่กายปัจจุบัน จิตปัจจุบัน

พุทธะ ก็อยู่นี้ ,ธรรมะ ก็อยู่นี้ ,สังฆะ ก็อยู่นี้,
ปริยัติ อยู่ปัจจุบัน, ปฏิบัติ ก็ปัจจุบัน, ปฏิเวธก็ปัจจุบัน

เอโกธัมโม ธรรมมีอันเดียว ธรรมไม่เกิดไม่
ตาย ก็เข้านิพพานตรงนี้ มันจะต้องไปยาก
อะไรเล่า พอถึงแล้วก็ไม่ตาย ก็เป็นนิพพาน
แล้ว มันจะไปยากอะไร "

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
เวลาเขียนแผนที่บอกทางคนนี่เขาไม่ใช่เขียนให้เห็นภาพรวมทั้งหมดหรือครับ

คิดอย่างกรัชกายก็เหมือนคนเขียนแผนที่บอกทางจากกรุงเทพไปขึ้นดอยอ่างขางที่เชียงใหม่คือเขียนให้ดูเฉพาะจุดที่ตั้งของขนส่งหมอชิต หรือประตูน้ำพระอินทร์ มันจะอาศัยแผนที่ที่กรัชกายเขียนเป็นคู่มือนำไปถึงดอยอ่างขางได้หรือครับ



ถ้ากรัชกายจะเขียนแผนที่ไปนิพพาน, นิรวาณ อย่างอโศกบ้าง จะเขียนให้เห็น เช่น =>ศีล => สมาธิ=> ปัญญา => วิมุตติ => วิมุตติญาณทัสสนะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เบื่อลูกเบื่อเมีย ไม่ได้ดังใจเลย คิกๆๆ :b32:

:b12:
เขียนสั้นง่ายดีแล้วมันจะไปในเวลาอันรวดเร็วเหมือนที่เขียนได้หรือคะ
:b32: :b32:



ถ้าถามท่านอโศก ท่านจะบอกว่า แค่กลั้นใจก็ถึงนิพพานแล้ว

บางคนก็ว่า ยืนฉี่ก็เป็นอรหันต์ (ไปนิพพานแล้ว)

ถ้าถามกรัชกาย :b32: มันไม่ง่ายอย่างพูดอย่างเขียนดอกครับคุณโรส :b13: แค่เจริญภาวนาให้สมาธิเกิดนี่ ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี บางคนทำจนท้อสมาธิยังไม่เกิดเลย ครั้นสมาธิเกิดแล้ว ก็หลงวน บางคนทำไปทำมาหลงติดยึดเหล่ห์กลความคิดจนเพี้ยนไปก็มี

tongue
ดูนี่ค่ะ อ้างอิงโพสต์ จากกระทู้ ความถือตนถือตัว คุณรสมน จขกท.
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52573
อ้างคำพูด:
ศิษย์ : " หลวงปู่ครับ ทำยังไงจึงจะถึง
นิพพานเร็วๆ ครับ ? "

หลวงปู่บุดดา : " ดูปัจจุบันบ่อยๆ สิ ถึงเอง
แหละ อุเบกขาต่ออดีต อนาคตเสีย มีตัว
ปัจจุบันเอกัคคตา กายไม่มีบาปมีกรรม
เอกัคคตาจิต ไม่มีอารมณ์ ๖ เหลืออารมณ์
เดียว กายเป็นอารมณ์ของจิต

วิปัสสนาปัญญาตรัสรู้
กายสงบ จิตสงบ นี่ เป็นตัวสมถะ
พอเห็นกายกับจิต เกิดดับ
ก็เป็นวิปัสสนาขององค์มรรค ๘

แก้ปัจจุบัน แก้กิเลสมาร แก้ที่ปัจจุบัน
อยู่ที่กายปัจจุบัน จิตปัจจุบัน

พุทธะ ก็อยู่นี้ ,ธรรมะ ก็อยู่นี้ ,สังฆะ ก็อยู่นี้,
ปริยัติ อยู่ปัจจุบัน, ปฏิบัติ ก็ปัจจุบัน, ปฏิเวธก็ปัจจุบัน

เอโกธัมโม ธรรมมีอันเดียว ธรรมไม่เกิดไม่
ตาย ก็เข้านิพพานตรงนี้ มันจะต้องไปยาก
อะไรเล่า พอถึงแล้วก็ไม่ตาย ก็เป็นนิพพาน
แล้ว มันจะไปยากอะไร "

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

:b8:



อย่าให้วิจารณ์มากเลยนะ เดี๋ยวลูกศิษย์ท่านจะเกลียดปากกรัชกาย คิกๆๆ

เอาพอหอมปากหอมคอ :b13:

พอๆกับโฮฮับแหละ คือ ยกศัพท์นั่นนี่มาแล้วโยงกันไปไขว่กันมา เอามาจนพอแก่ใจ แล้วก็นิพพาน :b1: ตั้งชื่อนิพพานอย่างนี้ให้ "นิพพานศัพท์แสงทางธรรม"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากใจนะ มนุษย์ปัจจุบันนะ เอาทำได้เท่านี้ ฆราวาสวิสัยเป็นสุขตามสมควรแก่อัตภาพแล้ว ปัจจุบันก็มีที่พึ่ง มีแต่จะรุดหน้าต่อไป สัมปรายภพก็เป็นสุคติ

ตัวอย่างนี้

เริ่มจาก...ดิฉันสมัครสอบเข้าทำงานราชการในกระทรวงหนึ่ง ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่ดิฉันอยากสอบได้มากๆๆๆ เพราะเงินเดือนน่าพอใจ ที่สำคัญถ้าสอบได้ ดิฉันจะได้ทำงานใกล้บ้าน ดิฉันก็ทำทุกวิถีทางเลยค่ะ เพื่อให้สอบได้ ทั้งอ่านหนังสืออย่างเยอะ หาข้อสอบเก่าๆมาทำ นอกจากนั้นดิฉันยังคิดจะติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะบนเจ้าแม่ หรือเจ้าพ่อที่ไหนดี บนด้วยอะไรดี ก็หาข้อมูลใหญ่เลยค่ะ

แล้วก็มาได้ข้อสรุปว่า เอาวะ!!...บนด้วยการถือศีล 5 แล้วกัน เพราะการถือศีล 5 ได้บุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะชอบบุญมากกว่าหมูเห็ดเป็ดไก่ ไข่ต้ม หรือว่าพวงมาลัย...


พอคิดได้ก็เริ่มเลยค่ะ สวดมนต์ สมาทานศีล 5 นั่งสมาธิ แผ่เมตตาทุกคืนก่อนนอน แรกๆอึดอัดมากค่ะ จะทำอะไรก็กลัวผิดศีลไปหมด แล้วก็ชอบเผลอชอบลืมอยู่บ่อยๆ กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้โดยไม่พูดโกหก ไม่ตบยุง 2 อย่างนี้ยากมากๆกว่าจะหมดวันๆนึง..


ดิฉันก็เลยเริ่มรู้สึกว่า ถ้าเรายังรู้สึก อึดอัดแบบนี้ ต่อไปเราคงถือศีลได้ไม่กี่วันแน่ๆ เราต้องศึกษาจากคนอื่นบ้าง แล้วว่ามีหลักในการถือศีลอย่างไร คนที่นึกถึงตอนแรกเลยก็คือ พระค่ะ... ดิฉันจึงไปโหลดเสียงธรรมของหลวงพ่อหลายองค์มาฟังเกี่ยวกับหลักในการปฏิบัติ ศีล 5 ยอมรับค่ะว่าเรื่องการฟังเทศน์ มันแล้วแต่จริตคนจริงๆ ว่าจะถูกจริตกับคำสอนของพระองค์ไหน


ดิฉันฟังหลายหลวงพ่อแต่ก็ไม่รู้สึกถูกจริตเป็นพิเศษ จนได้มาฟังเสียงธรรมของหลวงพ่อองค์หนึ่งที่พอฟังปุ๊บ จิตมันหยุดนิ่งไม่อยากละจากเสียงไปไหนเลย เป็นเสียงที่ฟังง่าย คำพูดฟังง่ายๆ แต่ฟังแล้วคิดตามได้แล้วเห็นภาพ ดิฉันก็เปิดฟังเกือบทั้งวันเลยค่ะ ตั้งแต่ตื่น ระหว่างวัน จนถึงก่อนจะนอน เรียกว่าหลับไปกับเสียงธรรมของท่านเลย คำสอนของท่านก้องอยู่ในหัวตลอด ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบอกว่า ศีลนั้นน่ะ มันอยู่ที่เจตนา...พอเริ่มฟังมากๆ ปัญญาก็เริ่มเกิด เริ่มใช้ชีวิตง่ายขึ้น


ผ่านไประยะหนึ่ง... จากที่ตอนแรกดิฉันรักษาศีล ดิฉันก็ค้นพบว่าไปๆมาๆ ศีลต่างหากที่รักษาดิฉัน ชีวิตมันง่ายจัง ชีวิตมันดีจังที่มันใช้ชีวิต โดยมีศีลเป็นกรอบ


พอมีศีล ก็มีสติ เพราะต้องมีสติไว้พิจารณาว่าสิ่งที่เรากำลังคิดจะพูดจะทำนั้น มันผิดในหลักของศีลไหม ถ้าผิดเราจะไม่พูด ไม่ทำ....พอมีสติบ่อยๆ มันก็กลายเป็นมีสติรู้ตัวทั้งวัน


พอรู้ตัวทั้งวัน เวลาที่พูดหรือคุยกับใคร มันกลายเป็นมองข้าม ผิวพรรณ หน้าตา ทรงผม ความจน ความรวย หรือแม้แต่ยศฐาบรรดาศักดิ์ของคนคนนั้นไปเลยค่ะ น่าทึ่งมาก


มันเห็นเลยว่า คนที่เราพูดคุยด้วยอยู่นี้ คำที่พูดออกมามีแต่วาจาน่ารักน่าฟัง หรือวาจาเต็มไปด้วยคำโม้โอ้อวด หรือวาจาเต็มไปด้วยโทสะคำหยาบๆคายๆ หรือพูดแต่เรื่องของคนอื่น ขี้นินทา อิจฉาคนอื่นไหม น่าคบหรือไม่น่าคบ...


พอได้ยินคำพูด มันก็บ่งบอกจิตใจของคนพูด หรือแม้แต่บ่งบอกได้เหมือนกันว่าคนที่เราพูดคุยด้วยอยู่นั้น มีสติไตร่ตรองในคำพูดของตัวเองแค่ไหน..


สติยังทำให้ดิฉันเห็นถึงพัฒนาการของจิตตัวเอง เวลาที่มันมีอะไรมากระทบ เวลามีคนมาทำให้โกรธ จะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตาม ดิฉันสังเกตเห็นว่าจิตมันเฉยๆ มันไม่รู้สึกโกรธตอบ ทำไมมันเฉยอย่างนั้น


ถ้าเป็นเมื่อก่อน มันคงร้อนรนอยากจะเอาคืน แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้ เพียงเพราะอยากบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของศีล ศีลนำมาซึ่งสติ สตินำมาซึ่งความสงบสุขในชีวิตจริงๆค่ะ โดยเฉพาะในโลกที่มันวิ่งวนวุ่นวายใบนี้..


ดิฉันยังเคยนั่งนึกเลยว่า เมื่อก่อนนี้ เราอยู่มาได้ยังไงนะ โดยไม่มีสติมาเป็นเครื่องนำทางในชีวิต เมื่อก่อน เวลาเราจะตัดสินใจพูดหรือทำอะไร เรายึดหลักอะไรล่ะ...


คำตอบที่ได้ คือ อารมณ์ล้วนๆค่ะ เกือบทุกเรื่องดิฉันยังไม่ทันได้คิดไตร่ตรองด้วยซ้ำ อารมณ์มันพาให้พูดให้ทำไปก่อน น่ากลัวจริงๆค่ะที่เคยมีชีวิตแบบนั้น...


ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนนี้ ดิฉันได้พบทาง สายเอกแล้ว ทางสายที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ ทุกสิ่งล้วนต้องทิ้งไว้ในโลก แต่ก็โชคดีที่ดิฉันสอบได้งานตามที่ตั้งใจหวังไว้จริงๆ จะด้วยการบนบานนั้นสำเร็จหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ยังไงดิฉันคงขอเดินบนทางสายนี้ไปจนกว่าเวลาของดิฉันในโลกใบนี้จะหมดไป


หากหมดเวลา ดิฉันขอเอาไปแค่จิตที่บริสุทธิ์ดวงเดียวก็พอ ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การบอกเล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ที่กำลัง เริ่มคิดจะถือศีล กำลังเริ่มถือศีล หรือเพียงแต่กำลังคิดจะหยุดทำผิดศีลก็ตาม อยากบอกว่าคุณเดินมาถูกทางแล้วค่ะ^^


สุดท้ายนี้...หนูต้องกราบขอบคุณพ่อแม่ ที่ทำให้หนูมีโอกาสเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบขอบคุณครูบาอาจารย์ที่สอนให้หนูอ่านออกเขียนได้ ทำให้หนูได้อ่านพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์....
สุดท้าย ดวงจิตดวงนี้ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ที่ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยพระองค์เอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกตัวอย่างหนึ่ง ธรรมะมันต้องมีประโยชน์กับชีวิตปัจจุบัน


แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ

แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิ และสวดมนต์ แฟนก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย

มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
:b12:
งั้นอ่านโพสต์นี้รึยัง ข้อความต่อจากโพสต์ ข้อความหลวงปู่บุดดา จขกท. คุณรสมน คนเดิม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52573
:b32:

อ้างคำพูด:
หนังสือประวัติปฏิปทาของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

หวนคิดขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นสามเณร ๒ รูป เสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ ถกเถียงกันอยู่ถึงคุณแห่งพระอรหันต์ที่ศึกษามาจากห้องเรียน
สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า "พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง"
สามเณรน้อยเถียงทันที "พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนานัก เหมือนเสาต้นหนึ่ง ก้อนหินก้อนหนึ่ง จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย คงจะต้องตายเสียเปล่า และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง"
ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมาย ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิ สามเณรทั้ง ๒ จึงสามัคคีกันหลบหนีไป
ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึงหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า "แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกันแต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"
แล้วหลวงปู่อธิบายว่า
"จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ตราบใดที่มีจิต การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา โดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นบุคคลธรรมดารับรู้อารมณ์อย่างไร พระอรหันต์ก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อย่างนั้น และการรับรู้อารมณ์ของท่านน่าจะเป็นไปด้วยดี ยิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ เพราะจิตของท่านไม่มีเมฆหมอกคือกิเลสปกคลุมอยู่ อันจะทำให้ความสามารถรับรู้อารมณ์ลดลง"
ดังนี้ การกล่าวหาว่าพระอรหันต์ไม่รับรู้อะไร ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น จึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
ส่วนการที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงนั้น ย่อมหมายความว่าแม้กระทั่งความไม่ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน
กล่าวคือ ท่านหมดทั้งความยึดมั่นถือมั่น และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทั้งความพอใจในสิ่งใด ทั้งความรังเกียจในสิ่งใด ดังนี้จึงจะเรียกว่า "โดยสิ้นเชิง" ได้
จิตของท่านจึงลอยเด่นเหนือความดึงดูดและผลักดันต่อสรรพสิ่งเป็นอิสระชั่วนิรันดร
หลวงปู่ได้ชี้แนวทางพิจารณาว่า
"อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่า พระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ กับคนธรรมดาสามัญ ทั้งร่างกายและจิตใจ
หรือถ้าจะว่าให้ถูก ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดาวิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา พ้นจากการปรุงแต่ง จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์
พระอริยบุคคลที่รองๆ ลงมา ก็มีการดำรงอยู่อย่างมีทุกข์มากขึ้นตามลำดับ และกำลังดำเนินไปสู่การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์ต่อไป
ก็แล การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี้ย่อมเป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทั้งมวล
สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วิ่งเต้นดิ้นรนอยู่ด้วยประการต่างๆ ทุกวันเวลานี้ ก็ล้วนแต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะระงับดับทุกข์ของตนๆ อย่างเดียวเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อประการอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวก็เสาะแสวงหาอาหาร เมื่อเกิดโรคภัยก็วิ่งหายารักษาโรค เป็นต้น"

จากหนังสือประวัติปฏิปทาของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร