วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อีกคลิ้บหนึ่งลองสัมผัสดู

https://youtu.be/nOPhlSCrUKM
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 04:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=37&t=45990&view=unread



ก็เอามาร่วมด้วยช่วยกันฟัง...


อโสกะว่างัย....เจตนานี้เรียกว่ากระทำในใจ..มีสติดูอะไรนี้เรียกว่าการกระทำในใจ.ไม่มีการกระทำในใจเลยคือหยุด..หยุดการเคลื่อนขยับ..หยุดกริยา..หยุดสัญญา..หยุดเวทนา..หยุดการเสวยการอารมณ์..หยุดเจตนาเพื่อจะทำอะไรในภายใน..หมดการกระทำภายใน...เมื่อทำลายเจตนาเสียก็สิ้นสุดการกระทำในใจ...วิญญาณจะไม่สามารถก่อตัว...ไม่มีวิญญาณก็ไม่มีผัสสะ..

อโสกะว่างัย...ไม่มีเจตนาอะไรความต้องการก็ดับไป..ชีวิตก็สิ้นสุดเจตนา...เจตนาจะดับทันทีเมื่อสิ้นความต้องการ....ตรงนั้นจึงเป็นเจโตวิมุตติ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 04:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อานาปานุสติเบื้องต้น



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 04:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมยังงง..งง..อยู่..

กายสังขารคือลมหายใจ..

เด้วคงหาย..งง..

อ้างคำพูด:
https://sites.google.com/site/smartdhamma/anapanasati_sutta

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้

ดูกรภิกษุทั้งหลายสมัยใด

เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายมีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 15 มิ.ย. 2016, 04:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 04:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำกายสังขารระงับ....ในขณะหายใจเข้าหายใจออก..

นี้หรือเปล่าคับ..ที่อโสกะว่าให้ลองทำการกลั้นลมหายใจ...เพราะกล่าวว่ากายสังขารคือลมหายใจ

ทำให้ระงับ..ในขณะหายใจเข้า
ทำให้ระงับ..ในขณะหายใจออก

งี้รึคับอโสกะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 05:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
กลั้นลมหายใจแล้วสังเกตกายใจเป็นแค่แบบฝึกหัดขั้นพื้นฐาน มิใช่วิธีการปฏิบัติครับ
onion
ส่วนการให้วิเคราะคำสอนของพระอาจารย์ปัญญาผมขออนุญาตไม่ทำครับ คุณกบต้องพยายามทำความเข้าใจเอาเอง
smiley
เรื่องการทำกายสังขารให้สงบรำงับนั้นมันสัมพันธ์กันไปหมดทั้งความละเอียดของลมหายใจและความสงบของกายและใจ ต้องสังเกตดูขณะปฏิบัติจริงจึงจะรู้ครับ

สังเกตไหมว่าในลำดับของ 16 ขั้นตอน จะมีการทำกายสังขารให้สงบรำงับก่อน ต่อไปก็จะถึงการทำจิตสังขารให้สงบรำงับเลยขึ้นจากนั้นไปก็จะเป็นผลภาวนาหลังจากกายและจิตสงบรำงับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 05:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 05:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 05:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เจริญธรรม
จับประเด็นเอาเอง ใครมัน
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รูปภาพ

อานาปานสติ เป็นวิธีฝึกสติ ไม่ใช่ฝึกหายใจ คือ อาศัยลมหายใจ เป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับฝึกสติ

onion
อานาปานสติ ไม่ใช่แค่เพียงวิธีการฝึกสติ
แต่อาปานสติตามมีมาในอานาปานสติสูตรนั้น เป็นวิธีปฏิบัติธรรม โดยการเจริญสมถะควบคู่ไปกับการเจริญวิปัสสนา
ลองพากันสังเกตพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าวิธีปฏิบัตินี้มีถึง 16 ขั้นตอนไปตามลำดับแห่งธรรม 16 ขั้นตอนเหล่านั้นมิใช่ว่าต้องกำหนดให้เกิดขึ้นมา แต่เขาจะเป็นไปเองตามลำดับแห่งธรรมชาติของลมหายใจและของจิตเมื่อถูกสติและปัญญาเข้า มากำกับ ที่สังเกตเห็นได้ง่ายคือลมหายใจจะสงบลงน้อยลงไปเรื่อยๆ จนหยุดหายใจ ฌาณ ญาณปัญญาต่างๆก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆเป็นลำดับๆ

สังเกตสิ2-3ข้อแรกจะเป็นการกำหนดรู้อาการของลมหายใจจนเมื่อลมหายใจสงบลงมากแล้ว นิวรณ์ทั้ง 5 จะสงบตามลงไปด้วย จนก้าวเข้าสู่องค์ฌาณ ดังคำสอนที่ว่า
เราจะเป็นผู้ทำกายสังขารให้สงบรำงับอยู่แล้วหายใจออก
เราจะเป็นผู้ทำกายสังขารให้สงบรำงับอยู่แล้วหายใจเข้า

เราจะเป็นผู้กำหนดรู้ปีติอยู่แล้วหายใจออก
เราจะเป็นผู้กำหนดรู้ปีติอยู่แล้วหายใจเข้า

ละเอียดเข้าๆไปจนสุดท้าย

เราจะเป็นผู้กำหนดเห็นความจางคลายอยู่เป็นประจำอยู่แล้วหายใจออก
เราจะเป็นผู้กำหนดรู้ความจางคลายอยู่เป็นประจำอยู่แล้วหายใจเข้า

ดูให้ดี

ตอนกำหนดรู้ สภาวธรรมเช่น กายสังขารสงบรำงับ จิตสังขารสงบรำงับ ปีติ
ความจางคลาย ความดับไม่เหลือต่างๆเหล่านั้นเป็นตอนวิปัสสนาภาวนา

ส่วนการรู้ลมหายใจออกหายใจเข้านั้นเป็นสมถะภาวนา

จึงได้กล่าวไว้แต่ต้นว่า

อานาปานสติเป็นวิธีปฏิบัติธรรม โดยการเจริญสมถะควบคู่ไปกับการเจริญวิปัสสนา

กรัชกายจะเห็นนัยยะสำคัญอันนี้หรือเปล่า

หรือจะคอยแต่กล่าวตู่ดูถูกซ้ำเติมว่าอโศกะหรือท่านอื่นรู้มาผิดๆ ต้องอย่างที่กรัชกายรู้กรัชกายอธิบายนั้นจึงจะถูกต้อง และอาจเป็นเพราะด้วยเหตุโมหะอันนี้ด้วยกระมังที่ฟังคำอธิบายของคุณรสรินไม่รู้เรื่อง

รีบกลับตัวกลับใจแก้ไขเสียนะกรัชกาย

onion

:b12:
ขอทราบว่ามีใครไม่เข้าใจอะไรกรุณาตอบด้วยเกี่ยวกับข้าพเจ้าอย่างไร
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b36:
ลองฟังดู 16 ขั้นตอนของอานาปานสติ

https://youtu.be/0F7f-XzcW_8

:b38:



ภาคปฏิบัติทางจิต จะท่านอโศกหรือใครๆ

ลมหายใจเข้า ว่า "พุท" ลมหายใจออก ว่า "โธ" (พุท-โธๆๆๆๆ) หรือ

ลมหายใจเข้า ว่า "ธัม" ลมหายใจออก ว่า "โม" (ธัม-โมๆๆๆ) หรือ

ลมหายใจเข้า ว่า "สัง" ลมหายใจออก ว่า "โฆ" (สัง-โฆๆๆๆ)

ฯลฯ

หรือ ดูอาการพองของท้อง (เพราะลมเข้า) ว่า "พองหนอ" ดูอาการท้องที่ยุบ (เพราะลมออก) ว่า "ยุบหนอ" พองหนอ ยุบหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ร้อยหน พันหน หมื่นๆหน เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี โดยไม่ต้องนับขั้น คิดพวงถึงขั้น 16 ขั้นอย่างที่ท่านอโศกนำมาเลย ไม่ต้อง กองไว้ที่หน้าประตูเลย :b32: เพียงตามดูรู้ทัน ลมเข้า - ลมออก ตามดูรู้ทันอาการท้องพอง ท้องยุบ แต่ละขณะๆๆ

นี่แหละความหมายปัจจุบันขณะ,ขณะปัจจุบัน ในการปฏิบัติทางจิต

:b1:
ลมหายใจก็เป็นอย่างหนึ่ง
คำบริกรรมพุทโธก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
การตามรู้ยุบหนอพองหนอที่ท้องก็อีกอย่างหนึ่ง
รู้อย่างที่ว่ามาข้างบนเป็นสภาวธรรมที่จิตรู้ในความมืด
:b12:
ลมหายใจน่ะมีอยู่แล้วเป็นจิตตามรู้ลมเข้าออก
พุทโธเป็นจิตคิดนึกคำเพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน
ยุบพองเป็นการรู้ความตึงและไหวรู้ลักษณะธาตุลม
คำบริกรรมเป็นการจำกัดความคิดนึกที่คำซ้ำๆเดิม
ทุกขณะไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนล้วนเป็นการทำงานของจิต
ปัจจุบันขณะ,ขณะปัจจุบันคือเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีจิตก็เกิด-ดับอยู่แล้วน๊า
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พูดว่า ตัณหาเป็นผู้ขับลมเข้า-ออก อ่ะ พูดยังงี้ พระอรหันต์ ท่านกำจัดกิเลส ตัณหา หมดแล้ว คือว่าเมื่อหมดตัณหา ก็ไม่มีตัวขับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มิตายแหง๋แก๋หรอขอรับ :b32:

กลับไปที่จุดเริ่มเถอะขอรับ

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ฯลฯ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ขอถามค่ะแล้วเวลาที่อยู่ตามปกตินี่ค่ะ
ข้าพเจ้าลองสูดลมหายใจดูว่าเวลาที่
ลมเข้าลมออกสิ้นสุดตรงไหนไม่ได้กั้น
เป็นอารมณ์ที่จิตข้าพเจ้ารู้อย่างนี้นะคะ
สูดลมหายใจเข้ามันหายไปเลยไม่มีที่สุด
พอเปลี่ยนมาปล่อยออกมันก็หายไปเลย
แบบว่ามันเงียบไปทั้งลมเข้าลมออกเลย
นั่งลืมตารู้อารมณ์อยู่ไม่อึดอัดอะไรเลยค่ะ
แบบนี้เป็นกรรมฐานหรือเปล่าเป็นแบบไหน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 19:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าหายใจเข้าแล้วหายไปเลย..แล้วเอาลมที่ไหนมาหายใจออกละคับ..

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ถ้าหายใจเข้าแล้วหายไปเลย..แล้วเอาลมที่ไหนมาหายใจออกละคับ..

:b32: :b32:

:b12:
ก็ไม่รู้สินะ...พอคิดว่าทำไมมันเข้าไม่สุดสักที
ลองหายใจออกดู...ลมก็มาให้หายใจออกได้
ก็ตามดูลมอีกมันก็ไม่สุดแบบหายไปก็ไม่รู้สิ
คุณกบเคยลองพิจารณาลมที่ว่านี้ไหมล่ะคะ
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร