วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 246 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เชื่อหรอ ถ้างั้นถามโฮฮับ จ้องตาเป็นมันอยู่นั่นน่า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


เอ้าแหละๆ ท่านอโศก หนอเป็นของพม่านะ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เรื่องของทางสายกลางนั้นกรัชกายคงจะติดอยู่แค่ทางสายกลางตามตำราอยู่นั่นแหละคือไปยกปริยัติเรื่องมรรคมีองค์ 8 มาท่องสู่กันฟัง

แต่ทางสายกลางที่แท้จริงในภาคปฏิบัตินั้นมันคือช่วงระหว่างกลางความยินดียินร้าย อันเป็นหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน 4 นั่นเองถ้าใครที่เจริญสติปัญญารักษาใจให้อยู่ระหว่างกลางความยินดียินร้ายได้อยู่เสมอ นั่นคือเขากำลังเดินบนทางสายกลาง เมื่อกลางได้ดีอยูตลอดเวลาเขาจะได้ถึงกลางโดยสมบูรณ์คือสิ้นสุดความปรุงแต่งอยู่เป็นปกติ เมื่อถึงความเป็นกลางโดยสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว การสลัดคืนหรือการกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ก็จะบังเกิดขึ้นกับผู้นั้น ทำให้เขาหลุดพ้นจากปัจจัยการชั่วนิรันดร์


แน่ะๆ หลบมาสติปัฏฐาน 4 อีกแระ

ตกลงจะเอาอะไรแน่นะ เดี๋ยวมีกลั้นหายใจ เดี๋ยวอริยสัจ 4 เดี๋ยวไปอานาปานสติ 16 ขั้น

อ้างสติปัฏฐานดีนัก ไหนบอกสิ ภาคปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ทำยังไง :b10:

:b12:
"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก(โลกย์) โลกในที่นี่คือผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ


ทั้ง 4 ฐานล้วนมารวมลงให้ทำงานอย่างเดียวกันตรงนี้ กรัชกาย กบ และท่านเช่นนั้นเข้าใจและเห็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐานตรงนี้หรือเปล่า
s006


อ้างคำพูด:
วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง


เอาออกยังไง ประเด็นอยู่ตรงนี้

ความยินดียินร้าย ที่ท่านอโศกอ้างอิง เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ ต่างจากรูปธรรม เช่น ขวดเหล้าขวดเบียร์ คิกๆๆ เอ้าจริงๆ จะได้ยกไปตั้งตรงนั้นตรงนี้ได้ดังใจปรารถนา

ต่อให้เป็นรูปธรรม สัมผัสจับต้องได้ก็เถอะ บางทีถือเดินไปๆ สะดุดขาตัวเอง หกล้มขวดแตกนะท่านอโศก :b32:

:b12:
วิธีเอาออกเหรอ?

"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"
onion
ลองทำจริงๆอย่างนี้ดูก่อนนะแล้วค่อยมาถามมาเถียงต่อ
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


เอ้าแหละๆ ท่านอโศก หนอเป็นของพม่านะ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า :b1:

s004
อ้าว!.....
ยกย่องอ้างอิงหนอมาใช้อยู่ดีๆ พอใช้ไม่เป็นผล ก็ไปโยนผิดให้พม่าเสียแล้ว กรัชกายนี่ช่างไม่รู้บุญคุณเสียจริง
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

วิธีเอาออกเหรอ?

"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ลองทำจริงๆอย่างนี้ดูก่อนนะแล้วค่อยมาถามมาเถียงต่อ


ท่านอโศก จะนิ่งได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้

อ้างคำพูด:
มีใครพออธิบายสาเหตุของอาการที่ดิฉันเป็นได้บ้างคะ

ดิฉันมักจะได้ยินเสียงพระสวดเกือบตลอดเวลา เป็นร้อยๆรูป กัณฑ์ใหญ่ หรือบางทีก็เปลี่ยนเป็นเสียงดนตรีบรรเลงโหมโรงแบบไพเราะมาก ดังก้องเหมือนกำลังจะมีพิธีใหญ่อะไรสักอย่าง และสลับกับเสียงดังกังวานทั่วบ้านเป็นเสียง ผญ และ ผช ลักษณะเป็นกลุ่มมากกว่าสองคน กำลังคุยกันเหมือนประชุมอยู่ตลอด แต่ฟังไมชัดเจนเนื่องจากเสียงพึมพำมาก
ดิฉันจะได้ยินเสียงเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา จนเริ่มชินกับเสียงเหล่านี้ จนคิดว่า เป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่บางทีเสียงก็ดังชัดแบบแปลกกว่าทุกทีที่เคยขึ้นมาเฉยๆ ทำให้ดิฉันรู้สึก เหมือนตัวเองผิดปกติหรือป่าวหรือกำลังป่วยเป็นโรคอะไรเกี่ยวกับโสตการรับฟังของตัวเองอยู่รึป่าว
เลยอยากขอคำแนะนำเพื่อประกอบการพิจารณาในการปฎิบัติตัวที่เหมาะสมต่อไปค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


เอ้าแหละๆ ท่านอโศก หนอเป็นของพม่านะ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า :b1:

s004
อ้าว!.....
ยกย่องอ้างอิงหนอมาใช้อยู่ดีๆ พอใช้ไม่เป็นผล ก็ไปโยนผิดให้พม่าเสียแล้ว กรัชกายนี่ช่างไม่รู้บุญคุณเสียจริง
:b34:



ท่านอโศกนี่โลเลจริงๆ ไม่มีจุดยืน ขาดหลักปฏิบัติที่ชัดเจน พอท้วงเข้าหน่อย เป๋ คลองเตยเลย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 08:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

วิธีเอาออกเหรอ?

"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ลองทำจริงๆอย่างนี้ดูก่อนนะแล้วค่อยมาถามมาเถียงต่อ


ท่านอโศก จะนิ่งได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้

อ้างคำพูด:
มีใครพออธิบายสาเหตุของอาการที่ดิฉันเป็นได้บ้างคะ

ดิฉันมักจะได้ยินเสียงพระสวดเกือบตลอดเวลา เป็นร้อยๆรูป กัณฑ์ใหญ่ หรือบางทีก็เปลี่ยนเป็นเสียงดนตรีบรรเลงโหมโรงแบบไพเราะมาก ดังก้องเหมือนกำลังจะมีพิธีใหญ่อะไรสักอย่าง และสลับกับเสียงดังกังวานทั่วบ้านเป็นเสียง ผญ และ ผช ลักษณะเป็นกลุ่มมากกว่าสองคน กำลังคุยกันเหมือนประชุมอยู่ตลอด แต่ฟังไมชัดเจนเนื่องจากเสียงพึมพำมาก
ดิฉันจะได้ยินเสียงเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา จนเริ่มชินกับเสียงเหล่านี้ จนคิดว่า เป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่บางทีเสียงก็ดังชัดแบบแปลกกว่าทุกทีที่เคยขึ้นมาเฉยๆ ทำให้ดิฉันรู้สึก เหมือนตัวเองผิดปกติหรือป่าวหรือกำลังป่วยเป็นโรคอะไรเกี่ยวกับโสตการรับฟังของตัวเองอยู่รึป่าว
เลยอยากขอคำแนะนำเพื่อประกอบการพิจารณาในการปฎิบัติตัวที่เหมาะสมต่อไปค่ะ

:b12:
นี่ก็ติดนิมิตแล้วก็ฟุ้งด้วยชำระไม่เป็นด้วย นิวรณ์ยังไมหยุดจะมาพิจารณาหาธรรมจริงๆได้อย่างไร สติปัญญาทำงานไม่ได้โดยอิสระก็เป็นวิปัสสนึกไปหมด อาจารย์กรัชกายแก้ไม่เป็นเลยพาลเอามาทำให้ผู้อื่นฟุ้งตามไปหมด

เขาสติขาดจากปัจจุบันอารมณ์จริงๆไปแล้วต้อง เป็นคิดหนอ นึกหนอ ฟุ้งหนอ เห็นหนอ ตัดเข้าไปจนสติปัญญาและจิตใจกลับมาอยู่กับพองหนอยุบหนอแต่เพียงเรื่องเดียวให้ได้เสียก่อนนะกรัชกาย

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 08:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


เอ้าแหละๆ ท่านอโศก หนอเป็นของพม่านะ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า :b1:

s004
อ้าว!.....
ยกย่องอ้างอิงหนอมาใช้อยู่ดีๆ พอใช้ไม่เป็นผล ก็ไปโยนผิดให้พม่าเสียแล้ว กรัชกายนี่ช่างไม่รู้บุญคุณเสียจริง
:b34:



ท่านอโศกนี่โลเลจริงๆ ไม่มีจุดยืน ขาดหลักปฏิบัติที่ชัดเจน พอท้วงเข้าหน่อย เป๋ คลองเตยเลย คิกๆๆ

:b13:
เข้าใจผิด วินิจฉัยผิดอีกแล้วกรัชกาย ที่ดูเหมือนเป๋นี่กรัชกายคิดเอาเอง ที่จริงแล้วเป็นเมตตาของอโศกะที่โอนอ่อนผ่อนตามนิสัยโลเลของกรัชกายไปบ้างนิดๆไม่ให้เสียใจ แล้วค่อยดึงกลับมาหาหลักหาเกณฑ์ภายหลัง
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:


แต่ทางสายกลางที่แท้จริงในภาคปฏิบัตินั้นมันคือช่วงระหว่างกลางความยินดียินร้าย อันเป็นหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน 4 นั่นเองถ้าใครที่เจริญสติปัญญารักษาใจให้อยู่ระหว่างกลางความยินดียินร้ายได้อยู่เสมอ นั่นคือเขากำลังเดินบนทางสายกลาง เมื่อกลางได้ดีอยูตลอดเวลาเขาจะได้ถึงกลางโดยสมบูรณ์คือสิ้นสุดความปรุงแต่งอยู่เป็นปกติ เมื่อถึงความเป็นกลางโดยสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว การสลัดคืนหรือการกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ก็จะบังเกิดขึ้นกับผู้นั้น ทำให้เขาหลุดพ้นจากปัจจัยการชั่วนิรันดร์


"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก(โลกย์) โลกในที่นี่คือผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ


ทั้ง 4 ฐานล้วนมารวมลงให้ทำงานอย่างเดียวกันตรงนี้ กรัชกาย กบ และท่านเช่นนั้นเข้าใจและเห็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐานตรงนี้หรือเปล่า

อภิชฌา โทมนัส ความยินดีความยินร้ายซึ่งเป็นอารมณ์ของกิเลส เป็นอกุศล
ช่วงระหว่างกลางอกุศล เป็นกุศลหรืออกุศล?
ไปจำจากไหนมาอีก อโศกะ
มรรคมีองค์ 8 เป็นกุศล เพื่อละอกุศลทั้งมวล ไม่ใช่ให้มาเดินตรงกลางของอกุศล

ลงท้ายก็จำมาจากไหน หลุดพ้นจากปัจจัยการชั่วนิรันดร์ : หมายความว่าพอสำเร็จวิชาตามที่อโสกะแสดงมาก็ตายและเข้าอนุปาทิเสสนิพพานธาตุทันที?

เช่นนั้น ไม่เข้าใจตามอโศกะด้วยหรอกนะ

:b12:
อนุโมทนากับความสงสัยของคุณเช่นนั้น

คุณเช่นนั้นลองคิดพิจารณาว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนไว้ในสติปัฏฐาน 4 ถึงแค่ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"
ไม่คิดวิเคราะห์ต่อไปอีกสักหน่อยหรือว่าที่เหลือต่อจากนั้นมันจะเป็นเรื่องของธรรมที่ต้องรู้ด้วยภาวนามยปัญญาซึ่งพระบรมศาสทรงทิ้งไว้ให้เราค้นคว้าและประสบการณ์เองด้วยการทำจริง

ลองคิดต่อตามหลักธรรมสิ ถ้า ยินดียินร้ายไม่มี อะไรจะเกิดขึ้นมาแทน

อุเบกขาเวทนาใช่ไหม เป็นกุศลหรืออกุศลธรรมล่ะ

เมื่อเกิดอุเบกขาเวทนาอยู่บ่อยๆกับผัสสะทั้งปวง อะไรจะเกิดขึ้น อกรรมิริยาใช่ไหม? คือไม่มีกรรมทั้งใจ วาจา กาย เกิดขึ้น
กายใจไม่มีกิจกรรมไม่มีงาน ปกติ (ศีล)ก็จะเกิดขึ้นมาแทนอุเบกขาใช่หรือไม่

ปกติของปุถุชนกับปกติของผู้ฝึกฝนเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นต่างกันลิบลับเพราะอันหนึ่งไม่เป็นเหตุนิพพาน แต่อีกอันหนึ่งเป็นเหตุนิพพานเป็นผลของการเจริญวิปัสสนาภาวนา[/size]

onion
ทิ้งไว้แค่นี้ให้คุณเช่นนั้นคิดพิจารณาต่อ ค้นหาให้เจอความลึกซึ้งวิจิตรพิสดารของสติปัฏฐาน 4 ในเชิงปฏิบัตินะครับคุณเช่นนั้นและทุกๆท่าน จะเป็นการช่วยให้ภพชาติของทุกคนลดลงอย่างรวดเร็วจนหมดสิ้น จนวงปฏิจจสมุปบาทขาดสะบั้นทันในปัจจุบันชาตินี้
:b8:

สิ่งพระพุทธองค์แสดงคือ
Quote Tipitaka:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า
กัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อ
ความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ
แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ

อโศกะชี้มา ตรงไหนที่พระพุทธองค์ แสดงว่า ให้รักษาใจให้อยู่ระหว่างกลางความยินดียินร้ายได้อยู่เสมอ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 07:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


เอ้าแหละๆ ท่านอโศก หนอเป็นของพม่านะ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า :b1:

s004
อ้าว!.....
ยกย่องอ้างอิงหนอมาใช้อยู่ดีๆ พอใช้ไม่เป็นผล ก็ไปโยนผิดให้พม่าเสียแล้ว กรัชกายนี่ช่างไม่รู้บุญคุณเสียจริง
:b34:



ท่านอโศกนี่โลเลจริงๆ ไม่มีจุดยืน ขาดหลักปฏิบัติที่ชัดเจน พอท้วงเข้าหน่อย เป๋ คลองเตยเลย คิกๆๆ

:b13:
เข้าใจผิด วินิจฉัยผิดอีกแล้วกรัชกาย ที่ดูเหมือนเป๋นี่กรัชกายคิดเอาเอง ที่จริงแล้วเป็นเมตตาของอโศกะที่โอนอ่อนผ่อนตามนิสัยโลเลของกรัชกายไปบ้างนิดๆไม่ให้เสียใจ แล้วค่อยดึงกลับมาหาหลักหาเกณฑ์ภายหลัง
:b32:



คิกๆๆ พูดให้ดูซอฟนะท่านอโศก จากสลายการชุมนุม เป็นขอ ขอพื้นที่คืน คิกๆๆ

คุยเรื่องการปฏิบัติกับท่านอโศกแล้ว นึกถึงภาพไม้ไผ่ที่ปักเลนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเชียว นึกภาพออกไหมขอรับ :b32: อะไรนักก็ไม่รู้

ส่วนคุยกับโฮฮับ นึกถึงทะเล :b28:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 04:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:


แต่ทางสายกลางที่แท้จริงในภาคปฏิบัตินั้นมันคือช่วงระหว่างกลางความยินดียินร้าย อันเป็นหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน 4 นั่นเองถ้าใครที่เจริญสติปัญญารักษาใจให้อยู่ระหว่างกลางความยินดียินร้ายได้อยู่เสมอ นั่นคือเขากำลังเดินบนทางสายกลาง เมื่อกลางได้ดีอยูตลอดเวลาเขาจะได้ถึงกลางโดยสมบูรณ์คือสิ้นสุดความปรุงแต่งอยู่เป็นปกติ เมื่อถึงความเป็นกลางโดยสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว การสลัดคืนหรือการกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ก็จะบังเกิดขึ้นกับผู้นั้น ทำให้เขาหลุดพ้นจากปัจจัยการชั่วนิรันดร์


"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก(โลกย์) โลกในที่นี่คือผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ


ทั้ง 4 ฐานล้วนมารวมลงให้ทำงานอย่างเดียวกันตรงนี้ กรัชกาย กบ และท่านเช่นนั้นเข้าใจและเห็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐานตรงนี้หรือเปล่า

อภิชฌา โทมนัส ความยินดีความยินร้ายซึ่งเป็นอารมณ์ของกิเลส เป็นอกุศล
ช่วงระหว่างกลางอกุศล เป็นกุศลหรืออกุศล?
ไปจำจากไหนมาอีก อโศกะ
มรรคมีองค์ 8 เป็นกุศล เพื่อละอกุศลทั้งมวล ไม่ใช่ให้มาเดินตรงกลางของอกุศล

ลงท้ายก็จำมาจากไหน หลุดพ้นจากปัจจัยการชั่วนิรันดร์ : หมายความว่าพอสำเร็จวิชาตามที่อโสกะแสดงมาก็ตายและเข้าอนุปาทิเสสนิพพานธาตุทันที?

เช่นนั้น ไม่เข้าใจตามอโศกะด้วยหรอกนะ

:b12:
อนุโมทนากับความสงสัยของคุณเช่นนั้น

คุณเช่นนั้นลองคิดพิจารณาว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนไว้ในสติปัฏฐาน 4 ถึงแค่ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"
ไม่คิดวิเคราะห์ต่อไปอีกสักหน่อยหรือว่าที่เหลือต่อจากนั้นมันจะเป็นเรื่องของธรรมที่ต้องรู้ด้วยภาวนามยปัญญาซึ่งพระบรมศาสทรงทิ้งไว้ให้เราค้นคว้าและประสบการณ์เองด้วยการทำจริง

ลองคิดต่อตามหลักธรรมสิ ถ้า ยินดียินร้ายไม่มี อะไรจะเกิดขึ้นมาแทน

อุเบกขาเวทนาใช่ไหม เป็นกุศลหรืออกุศลธรรมล่ะ

เมื่อเกิดอุเบกขาเวทนาอยู่บ่อยๆกับผัสสะทั้งปวง อะไรจะเกิดขึ้น อกรรมิริยาใช่ไหม? คือไม่มีกรรมทั้งใจ วาจา กาย เกิดขึ้น
กายใจไม่มีกิจกรรมไม่มีงาน ปกติ (ศีล)ก็จะเกิดขึ้นมาแทนอุเบกขาใช่หรือไม่

ปกติของปุถุชนกับปกติของผู้ฝึกฝนเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นต่างกันลิบลับเพราะอันหนึ่งไม่เป็นเหตุนิพพาน แต่อีกอันหนึ่งเป็นเหตุนิพพานเป็นผลของการเจริญวิปัสสนาภาวนา[/size]

onion
ทิ้งไว้แค่นี้ให้คุณเช่นนั้นคิดพิจารณาต่อ ค้นหาให้เจอความลึกซึ้งวิจิตรพิสดารของสติปัฏฐาน 4 ในเชิงปฏิบัตินะครับคุณเช่นนั้นและทุกๆท่าน จะเป็นการช่วยให้ภพชาติของทุกคนลดลงอย่างรวดเร็วจนหมดสิ้น จนวงปฏิจจสมุปบาทขาดสะบั้นทันในปัจจุบันชาตินี้
:b8:

สิ่งพระพุทธองค์แสดงคือ
Quote Tipitaka:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า
กัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อ
ความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ
แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ

อโศกะชี้มา ตรงไหนที่พระพุทธองค์ แสดงว่า ให้รักษาใจให้อยู่ระหว่างกลางความยินดียินร้ายได้อยู่เสมอ

:b13:
แปลวิเนยยะว่า กำจัด นี่ดูแรงดีแต่ใส่เจตนามากไปหน่อย

ถามคุณเช่นนั้นว่า

ถ้ากำจัดยินดีออกไป จะเหลืออะไรทิ้งไว้
ถ้ากำจัดยินร้ายออกไปจะเหลืออะไรทิ้งไว้

สิ่งที่เหลือทิ้งไว้นั้นมันเป็นกลางๆไม่ลบไม่บวกไม่ใช่หรือ

อยู่กลางๆได้บ่อยๆจนชำนาญชีวิตนี้มันก็หมดปฏิกิริยาตอบโต้กับผัสสะทั้งปวง จึงได้รับความปกติ อยู่เย็นเป็นสุขเป็นรางวัล
:b27:
คุณเช่นนั้นไม่สังเกตเห็นหรือว่าพระพุทธเจ้ามิได้บอกทั้งหมดจนจบแต่ทรงชี้ทางให้เราไปประสบความจริงด้วยตัวเอง
ดังเช่นทางสายกลางหรือความเป็นกลางจริงๆมี่เกิดขึ้นหลังจากพิชิตความยินดียินร้ายได้นี้
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 04:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ธรรมๆๆๆๆๆๆๆๆ" ใครๆก็ว่าก็อ้างธรรมๆๆ อะไรๆก็ธรรม ถ้าถามว่าอะไร "ธรรม" อึ ส่ายหน้าเป็นพัดลมเชีย

นี่สิธรรม (สภาวธรรม) แต่ตำราไม่ระบุไว้ตรงๆ


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมาก จนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แต่พอเทียบกันได้รูปนามเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน โยคีพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น

รู้สึกหมุน ก็ "หมุนหนอๆๆๆๆ"

รู้สึกจะอ้วก ก็ว่าในใจตามที่รู้สึก "จะอ้วกหนอๆๆๆ" เมื่อกำหนดตามจริงแล้ว มันจะอ้วกก็ให้มันอ้วก ออกมา อย่าฝืน แต่ให้รู้ตามที่มันเป็น

นี่สิท่านอโศกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเอาดีเอาอร่อย คิกๆๆ

:b13:
แค่วิธีกำหนดหนอก็รู้มาผิดๆแล้ว จะมาอธิบายอะไรให้มากความอีก
:b7:
รู้สึกหมุน ท่านให้กำหนดว่า "รู้หนอๆๆๆๆ"หรือรู้สึกหนอแค่นั้น

ไมใช่ไปหมุนหนอๆๆๆๆอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็หมุนติ้ววงแตกสิ

ทุกคำที่บริกรรมถ้าทำมากๆมันจะกลายเป็นกสิณไปด้วยนะ แรงเพี้ยนได้

การกำหนดมีหลักว่าให้สติรู้ทันว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ไม่ลงไปกำหนดรายละเอียดของธรรมที่เกิด
เกิดที่จิตให้รู้แค่ว่าจิตกำลังมีปฏิกิริยา
เกิดที่กาย เวทนาและธรรมก็ให้รู้แค่นั้นเช่น

เห็นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ได้ยินหนอ หนักนอ เบาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ ขุ่นมัวหนอ แจ่มใสหนอ ทุกข์หนอ ดิ้นรนหนอ สุขหนอ ฯลฯ เอาแค่นั้น มันจึงจะสงบและหยุดฟุ้งปรุงต่อได้

onion


เอ้าแหละๆ ท่านอโศก หนอเป็นของพม่านะ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า :b1:

s004
อ้าว!.....
ยกย่องอ้างอิงหนอมาใช้อยู่ดีๆ พอใช้ไม่เป็นผล ก็ไปโยนผิดให้พม่าเสียแล้ว กรัชกายนี่ช่างไม่รู้บุญคุณเสียจริง
:b34:



ท่านอโศกนี่โลเลจริงๆ ไม่มีจุดยืน ขาดหลักปฏิบัติที่ชัดเจน พอท้วงเข้าหน่อย เป๋ คลองเตยเลย คิกๆๆ

:b13:
เข้าใจผิด วินิจฉัยผิดอีกแล้วกรัชกาย ที่ดูเหมือนเป๋นี่กรัชกายคิดเอาเอง ที่จริงแล้วเป็นเมตตาของอโศกะที่โอนอ่อนผ่อนตามนิสัยโลเลของกรัชกายไปบ้างนิดๆไม่ให้เสียใจ แล้วค่อยดึงกลับมาหาหลักหาเกณฑ์ภายหลัง
:b32:



คิกๆๆ พูดให้ดูซอฟนะท่านอโศก จากสลายการชุมนุม เป็นขอ ขอพื้นที่คืน คิกๆๆ

คุยเรื่องการปฏิบัติกับท่านอโศกแล้ว นึกถึงภาพไม้ไผ่ที่ปักเลนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเชียว นึกภาพออกไหมขอรับ :b32: อะไรนักก็ไม่รู้

ส่วนคุยกับโฮฮับ นึกถึงทะเล :b28:

:b12:
ฮ่าๆๆๆๆ
ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่กรัชกายนึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศล คำพูดคำสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆกลับมองไม่เห็น จับประเด็นไม่ได้ ไม่เอามาขยายความมาเน้นให้ผู้คนได้นำไปใช้ประโยชน์
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


ฮ่าๆๆๆๆ
ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่กรัชกายนึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศล คำพูดคำสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆกลับมองไม่เห็น จับประเด็นไม่ได้ ไม่เอามาขยายความมาเน้นให้ผู้คนได้นำไปใช้ประโยชน์
:b34:


แนะๆปลิ้นออกทางนี้อีก จะกลัวอะไรกับอกุศลเล่า มันเป็นยังไง รู้สึกยังไงก็กำหนดจิต คือว่าในใจยังงั้นๆ

ตย. ศึกษา ใช้ได้ทุกสถานการณ์ ทุกๆสภาวะ (ไม่ใช่ไปนั่งกลั้นลมหายใจ)

อ้างคำพูด:
ดิฉันเคยไปฝึกปฏิบัติธรรม....หลักสูตร 10 วันเต็ม การพิจารณาวิปัสสนา ตามหลักสูตร เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง และรู้สึกเหมือนกับว่า การพิจารณาจะเป็นไปตามที่ครูอาจารย์แนะนำในหลักสูตร

ผ่านมาหลายปีแล้ว กลับมาแรกๆก้อปฏิบัติวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงตลอด ช่วงหลังห่างไม่ได้ปฏิบัติอีก มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แต่
ดิฉันยังรู้สึกว่า เสียงที่รู้สึกได้ในจิตยังส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนสวดมนต์หรือดนตรีอะไรแว่วๆอยู่ในจิตตลอดเวลา เหมือนสัญญาณเตือนว่าให้กลับไปเส้นทางนี้ ไม่ทราบว่าเป็นการอุปาทานเองไปมั๊ย เคยปรึกษาพี่ที่เป็นเสมือนญาติธรรมกัน ท่านว่าเป็นสัญญาณความทรงจำเก่าจากอดีตชาติอย่าไปยึดติด แต่ทุกครั้งที่จิตว่างๆ จากการงานธุระ หรือไม่มีเรื่องให้คิด เสียงนี้จะผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ


ธรรมชาติของจิต คือ คิด คิดอารมณ์ เมื่อไม่มีอารมณ์ทางตา หู จมูก ...ให้คิด มันคิดธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) วิธีแก้ ก็คือกำหนดไปตามนั้น เสียงหนอๆๆๆ คิดหนอๆๆๆๆ กำหนดหนักๆชัดๆ คิดหนอๆๆๆ ปักจิตปักความรู้สึกตรงหัวใจ (ใต้ราวนมด้านซ้าย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 10:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
แปลวิเนยยะว่า กำจัด นี่ดูแรงดีแต่ใส่เจตนามากไปหน่อย

ถามคุณเช่นนั้นว่า

ถ้ากำจัดยินดีออกไป จะเหลืออะไรทิ้งไว้
ถ้ากำจัดยินร้ายออกไปจะเหลืออะไรทิ้งไว้

สิ่งที่เหลือทิ้งไว้นั้นมันเป็นกลางๆไม่ลบไม่บวกไม่ใช่หรือ

อยู่กลางๆได้บ่อยๆจนชำนาญชีวิตนี้มันก็หมดปฏิกิริยาตอบโต้กับผัสสะทั้งปวง จึงได้รับความปกติ อยู่เย็นเป็นสุขเป็นรางวัล
:b27:
คุณเช่นนั้นไม่สังเกตเห็นหรือว่าพระพุทธเจ้ามิได้บอกทั้งหมดจนจบแต่ทรงชี้ทางให้เราไปประสบความจริงด้วยตัวเอง
ดังเช่นทางสายกลางหรือความเป็นกลางจริงๆมี่เกิดขึ้นหลังจากพิชิตความยินดียินร้ายได้นี้
onion


ทำ และ สรุปได้แค่นีเองเหร๋อ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 246 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร