วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 79 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรส นี่เขาฝึกตน ฝึกจิตฝึกใจตนเอง

เห็นไหมครับ เหมือนลงสู่สนามรบ คือรบกับกิเลส รบกับสุขเวทนา ทุกขเวทนา ความยินดียินร้าย...เขาต้องเผชิญกับปัญหาแต่ละขณะๆจิต ซึ่งเป็นบทเรียน บททดสอบจิตใจตนเอง

แก้ปัญหาได้ไหมเล่า รู้เข้าใจปัญหาทางใจนั่นหรือเปล่า

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งสมาธิมาได้สักพักแล้วครับ
อาศัยการอ่านและถามตามเว็ป
ยึดมั่นในหลักการเดียวคือไม่มีอะไรเลย ทุกสิ่งมีเกิดมีดับ
ปกติเวลาจิตเป็นสมาธิผมก็จะมีเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยที่สุดคือการที่ขนลุก ส่วนที่เป็นไม่บ่อยแต่แปลกๆคือ ตัวหมุน ซึ่งผมเคยอ่านมาก่อนก็เลยปรับตัวได้ ตกใจแค่ครั้งแรก
เวลาเกิดเหตุการณ์พวกนี้ขึ้นเดี๋ยวนี้ผมเลยเฉยๆ ดูมันไปเรื่อยๆแค่นั้นแหละครับ สุดท้ายก็จบด้วยการผ่านพวกนี้ไปแล้วเหมือนกับเราไม่มีแม้แต่ตัวตนไม่คิดอะไรเลย มันจะนิ่งมากครับ

เมื่อวานก็ปกติ ขนลุก แต่เกิดเหตุการณ์แปลกกว่าปกติ คือ เห็นเป็นคนมาล้อมผม 4 คน เห็นเป็นเงาดำๆแต่ค่อนข้างชัด เอาหน้ามาจ่อตรงหน้าผมเลย งวดนี้ไม่ตกใจครับ ก็ปล่อยมันเอาหน้ามาจ่อไป เราก็ปฎิบัติของเราไปแล้วก็เห็นเป็นเหมือนเส้นขาวๆบางๆลอยๆ พวกที่เอาหน้ามาจ่อก็จ่อสักพักแล้วหายไปเองตอนไหนไม่รู้

วันนี้เลยลองค้นGoogle เจอกระทู้นี้พอดี. http://pantip.com/topic/31293734 มาอ่านก็เห็นว่าหลายเดือนละครับ 555 ถ้าเราจะผ่านจุดนี้ไป มันต้องทำอะไรอีกมั้ยครับ หรือว่าดูไปเรื่อยๆแล้วรอ


http://pantip.com/topic/35234725

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b1:
อ้างคำพูด:
อนึ่ง มนุษย์,คน,ปุถุชน ทางธรรมเรียกว่า สัตว์ คำเดียว เป็นอันรู้กัน (แต่ภาษาไทยใช้เป็นคำด่ากัน)

:b32: ผิดกระทู้ไหมเนี่ย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2016, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b1:
อ้างคำพูด:
อนึ่ง มนุษย์,คน,ปุถุชน ทางธรรมเรียกว่า สัตว์ คำเดียว เป็นอันรู้กัน (แต่ภาษาไทยใช้เป็นคำด่ากัน)

:b32: ผิดกระทู้ไหมเนี่ย :b32:



ก็คุณโรส เดินก้มหน้านี่ขอรับ เงยขึ้นนิดก็จะเห็น ที่ความหมายโลกธรรม คือ ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก ซึ่งก็ที่เขาเรียกกันว่า มนุษย์ คน ปุถุชน ทางธรรมใช้คำเดียวว่าสัตว์โลก :b1: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2016, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อไม่ให้สุดโต่งไปด้านเดียว ควรศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ครบถ้วน :b1:


ในการจำแนกผู้ครองเรือน หรือชาวบ้าน เป็น ๑๐ ประเภท พระพุทธเจ้าทรงแสดงผู้ครองเรือนประเภทที่ ๑๐ ว่าเป็นผู้ครองเรือนที่ประเสริฐเลิศสูงสุด จากคุณสมบัติของผู้ครองเรือนอย่างเลิศนั้น จะเห็นหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์ ที่ถูกต้องตามหลักธรรม สรุปได้ดังนี้
(องฺ.ทสก.24/91/194)

๑) การหา แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ข่มเหงเบียดเบียน

๒) การใช้ (ขั้นนี้มีการวางแผน ซึ่งถือว่ารวมทั้งการเก็บรักษา และการเป็นอยู่พอดีไว้ด้วยในตัว)
ก. เลี้ยงตน (และคนที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ) ให้เป็นสุข
ข. เผื่อแผ่แบ่งปัน
ค. ใช้ทรัพย์ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์เป็นบุญ (รวมทั้งใช้เผยแผ่ส่งเสริมธรรม)

๓) การมีปัญญาที่ทำให้เป็นอิสระ ไม่ลุ่มหลงหมกมุ่นมัวเมา กินใช้ทรัพย์อย่างรู้เท่าทันเห็นคุณ โทษ มีจิตใจเป็นอิสระด้วยนิสสรณปัญญา และอาศัยทรัพย์ได้โอกาสที่จะพัฒนาจิตปัญญายิ่งๆขึ้นไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 06 มิ.ย. 2016, 18:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2016, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอยกพุทธพจน์ที่ตรัสสอนในเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์มาดูเป็นตัวอย่าง

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก สามจำพวกไหน ? คือคนตาบอด คนตาเดียว คนสองตา”

“บุคคลตาบอดเป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีดวงตาชนิดที่ช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน กับทั้งไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล...ธรรมมีโทษ...ไม่มีโทษ... ธรรมทราม ธรรมประณีต...ธรรมที่เปรียบได้กับของดำ หรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลตาบอด

“บุคคลตาเดียวเป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาชนิดที่ช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน แต่ไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล...ธรรมมีโทษ...ไม่มีโทษ... ธรรมทราม ธรรมประณีต...ธรรมที่เปรียบได้กับของดำ หรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลตาเดียว

“บุคคลสองตาเป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาชนิดที่ช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน อีกทั้งมีดวงตาชนิดที่ช่วยให้รู้จักธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล...ธรรมมีโทษ...ไม่มีโทษ... ธรรมทราม ธรรมประณีต...ธรรมที่เปรียบได้กับของดำ หรือของขาว นี้เรียกว่าบุคคลสองตา

“คนตาบอด ตาเสีย มีแต่กาลีเคราะห์ร้ายทั้งสองทาง คือโภคทรัพย์อย่างที่ว่า ก็ไม่มี คุณความดี ก็ไม่ทำ

“อีกคนหนึ่ง ที่เรียกว่าตาเดียว เที่ยวเสวงหาแต่ทรัพย์ถูกธรรมก็เอา ผิดธรรมก็เอา ไม่ว่าจะเป็นการลักขโมยคดโกง หรือโกหกหลอกลวงก็ได้ เขาเป็นคนเสวยกามที่ฉลาดสะสมทรัพย์ แต่จากนี้ ไปนรก คนตาเดียวย่อมเดือดร้อน

“ส่วนคนที่เรียกว่าสองตา เป็นคนประเสริฐ ย่อมแบ่งปันทรัพย์ ซึ่งได้มาด้วยความขยัน จากกองโภคะที่ได้มาโดยชอบธรรม ออกเผือแผ่ มีความคิดสูง ประเสริฐ มีจิตใจแน่วแน่ ย่อมเข้าถึงสถานะดีงาม ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศก

“พึงหลีกเว้นคนตาบอดและคนตาเดียวเสียให้ไกล ควรคบหาแต่คนสองตา ผู้ประเสริฐ”

(องฺ.ติก.20/468/162)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2016, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกาม เกียจคร้านหนึ่ง พระราชาประกอบกรณียกิจ โดยมิได้พิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนก่อนหนึ่ง บรรพชิตไม่สำรวมหนึ่ง ผู้อ้างตนว่าเป็นบัณฑิตแต่มักโกรธหนึ่ง สี่จำพวกนี้ไม่ดีเลย ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันใดที่ทำไปแล้ว ต้องเดือดร้อนใจภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา เสวยผลแห่งกรรมนั้น ตถาคตกล่าวว่า กรรมนั้นไม่ดี ควรเว้นเสีย"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2016, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ คือ ร่างกาย ส่วนหนึ่ง จิตใจ ส่วนหนึ่ง

ร่างกาย ต้องอาศัยปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค (มีเงินแลกเปลี่ยนปัจจัย 4 ได้หมด)

ด้านจิตใจก็ต้องอาศัยอาหารทางทวาร 6 (เรื่องใหญ่)

ดย.ประกอบความเข้าใจ

อ้างคำพูด:
คือเราเครียดมากค่ะ และก็พยายามพึ่งธรรมะ แต่ความเป็นจริงปัญหาไม่ได้ถูกแก้

เราเป็นหนี้คนรู้จัก. รู้สึกละอายใจที่ไม่มีคืนเขา.ซึ่งเขาก็ลำบาก อยากได้เงินคืน เรายืมมาขายของแต่ตอนนี้เราขายไม่ได้เลย ทั้งๆที่มันไม่ใช่เงินเยอะมากมายเลย แต่เราไม่มีปัญญา เราเป็นทุกข์ รู้สึกละอายใจ ทั้งเรื่องไม่รักษาสัจจะกับเขา ทั้งเรื่องไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ต่อไป เมื่อก่อนเรามีเงิน แต่5ปีหลังนี้ เราหมดตัวทุกอย่าง ด้วยหลายสาเหตุ ส่วนนึงมาจากการทำธุรกิจ ส่วนนึงมาจากการที่เราชอบให้เงินคนอื่น(น่าจะมาจากโรคไบโพล่า เพิ่งมาทราบตอนหมอบอก) และการใช้ชีวิตประมาท เราไม่อยากอยู่แล้ว ท้อแท้ เหนื่อยสู้ สู้แบบไหนก็เจ็บตัว

เราควรทำไงดี ถึงจะลืมทุกข์ได้บ้างคะ นอนหลับๆตื่นๆ ถ้าไม่พึ่งยาแก้แพ้ 6-7 เม็ด เรานอนไม่สนิทเลย เรารู้ว่าเราไม่ควรกิน อย่าด่าเรานะ บาแก้แพ้มันราคาถูก เรามีปัญญาแค่นี้ เราหาหมอไม่ได้ ต้องเก็บตังใช้หนี้กับให้ลูกไป รร.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธธรรมมองเห็นชีวิตด้านในของบุคคลโดยสัมพันธ์กับคุณค่าด้านนอก คือทางสังคมด้วย และถือว่าคุณค่าทั้งสองด้านนี้ เชื่อมโยงเนื่องถึงกัน ไม่แยกจากกัน และสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2016, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทฬิทฺทิยํ ทุกฺขํ โลเก

ความจน เป็นทุกข์ในโลก



พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจนเป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"

จึงตรัสต่อไปว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่ง ย่อมกู้หนี้. แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."

"คนจนกู้หนี้ ก็จะต้องเสียดอกเบี้ย. แม้การเสียดอกเบี้ย ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."

"คนจนที่จะต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนด ก็ถูกเขาทวง แม้การถูกทวง ก็เป็นทุกข์ ในโลกของผู้บริโภคกาม."

"คนจนถูกทวง ไม่ให้เขา ก็ถูกเขาตามตัว แม้การถูกตามตัว ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."

"คนจนถูกตามตัว ไม่ให้เขา ย่อมถูกจองจำ แม้การถูกจองจำ ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจนก็ดี, การกู้หนี้ก็ดี, การเสียดอกเบี้ยก็ดี, การถูกทวงก็ดี, การถูกตามตัวก็ดี, การถูกจองจำก็ดี เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม ด้วยประการฉะนี้.

http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/i ... rt5.1.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2016, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คนที่จนจริงๆคือจนปัญญาน๊า
เงินและทองซื้อปัญญาไม่ได้
ต้องสะสมการฟังเป็นพหูสูตร
:b17:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2016, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
คนที่จนจริงๆคือจนปัญญาน๊า
เงินและทองซื้อปัญญาไม่ได้
ต้องสะสมการฟังเป็นพหูสูตร



คุณโรส ถ้าคนอยากมีปัญญาอย่างว่า เชื่อคุณโรสนั่งฟัง อ.สุจินต์พูด นั่งฟังไปๆๆ

ทีนี้ไม่ได้กินอาหารเลยแต่เมื่อวานแล้ว ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ตังค์สักบาทก็ไม่มีติดกระเป๋า (ที่อยู่อาศัยก็ไม่มี อาศัยนอนตามชายคาร้านค้า) ได้แต่เดินเมียงๆมองๆ ร้านส้มตำไก่ย่าง เห็นแล้วน้ำลายไหลเป็นฟอง แค่นั้น :b32:

ฟังไปๆ ท้องก็ร้องจ๊อกๆๆๆ หิวๆๆ หนูหิว หนูอยากกลับบ้าน คิกๆๆ ปัญญาเกิดไหม คุณโรส ตอบชัดๆ มีช้อยให้เลือกเอ้า

1. เกิด

2. ไม่เกิด

3. อื่นๆ เช่นฟุ้งซ่าน เป็นต้น ฟังไปคิดไป ขอข้าวกินสักอิ่มเถอะท่านแล้วค่อยพูดค่อยเทศน์ให้ฟัง หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย :b32:

ข้อไหนบอกสิเอ้า :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2016, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสหายไปเลย คงคิดหนัก :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2016, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นักธุรกิจญี่ปุ่นชี้ !! ไทยเป็นประเทศที่ไม่น่าลงทุน พร้อมชี้แจ้งจุดอ่อนของคนไทยไว้แบบแสบถึงทรวง

1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมากโดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม คือ เป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็นธุรกิจการเมืองธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติ ล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง จึงตามหลังชาติอื่น คนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงาน แบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนมีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับ สัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัดเพราะหมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อย ๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการ ไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน

7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงินโดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูก แล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับ ผลประโยชน์ บ่อยครั้งที่ต้องเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือ ในเวทีการค้าระดับโลกยังขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดีทำให้สู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูก ช่วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้น ในการช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเองและไม่สอนให้สำนึกผิดชอบต่อสังคม

http://spicy.thaimom.net/%E0%B8%99%E0%B ... %E0%B8%97/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2016, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดถึงปัญญา เอาความหมาย ปัญญา ให้พิจารณา แต่จะดูตัวเดียวโดดๆก็ไม่ได้ เพราะนามธรรม อาศัยกันและกันจึงเป็นไปได้ เปรียบเหมือนรถที่แล่นไป ทุกชิ้นส่วนมีความสำคัญต่างก็อาศัยกันและกันจึงแล่นไปได้



สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง....


ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้นกับส่วนนี้กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก


พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ แต่ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้ กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง

(ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)


* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2016, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
คนที่จนจริงๆคือจนปัญญาน๊า
เงินและทองซื้อปัญญาไม่ได้
ต้องสะสมการฟังเป็นพหูสูตร



คุณโรส ถ้าคนอยากมีปัญญาอย่างว่า เชื่อคุณโรสนั่งฟัง อ.สุจินต์พูด นั่งฟังไปๆๆ

ทีนี้ไม่ได้กินอาหารเลยแต่เมื่อวานแล้ว ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ตังค์สักบาทก็ไม่มีติดกระเป๋า (ที่อยู่อาศัยก็ไม่มี อาศัยนอนตามชายคาร้านค้า) ได้แต่เดินเมียงๆมองๆ ร้านส้มตำไก่ย่าง เห็นแล้วน้ำลายไหลเป็นฟอง แค่นั้น :b32:

ฟังไปๆ ท้องก็ร้องจ๊อกๆๆๆ หิวๆๆ หนูหิว หนูอยากกลับบ้าน คิกๆๆ ปัญญาเกิดไหม คุณโรส ตอบชัดๆ มีช้อยให้เลือกเอ้า

1. เกิด

2. ไม่เกิด

3. อื่นๆ เช่นฟุ้งซ่าน เป็นต้น ฟังไปคิดไป ขอข้าวกินสักอิ่มเถอะท่านแล้วค่อยพูดค่อยเทศน์ให้ฟัง หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย :b32:

ข้อไหนบอกสิเอ้า :b14:

:b12:
ถามแบบคนไม่มีสติ
:b32:
หิวก็เดินไปหามารับประทาน
:b17:
จะฟังแบบทุกข์ทรมาณก็ตามใจสิคนไม่มีปัญญา
:b4: :b4:
ถามไม่มีประโยชน์หลวงตาพระมหาบัวท่านจะบอกว่าขี้เกียจตอบ
:b32: :b32:
ฟังไปกินไปนั่งไปนอนไปได้ทุกอิริยาบถนั่นแหละเป็นพหุสูตรึเปล่า
https://m.youtube.com/watch?v=LKhCvU_jsm8


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 79 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร