วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2016, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กฎแห่งกรรมแนวพุทธธรรม

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2016, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อยังมีความศรัทธา

เมื่อนั้น ยังเห็นพุทธศาสนาเป็นศาสนาหนึ่ง

เมื่อได้เอาความศรัทธามาหมั่นทำความเพียรเร่งปฏิบัติ

จะรู้ว่าพุทธศาสนานั้น เหนือกว่าความเป็นศาสนา

แต่เป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดของมนุษย์

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2016, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก เริ่มจากความหมายง่ายๆไปหายาก



เห็นรูปศัพท์ "กรรม" ที่ไหนๆ อย่าเพิ่งคิดฟุ้งไปตามความคุ้นชิน ดูบริบทประกอบว่าหมายถึงอะไร

รูปศัพท์ “กรรม” ทางธรรมมีความหมายหลายนัย ตย. เช่น กรรม แปลว่า การงาน กรรม แปลว่า การกระทำ กรรม หมายถึง เจตนา (ฝ่ายนามธรรม คือ ด้านความรู้สึกคิด คือ จิตใจ)

หมายถึง การงาน อาชีพที่ทำ อย่างเช่น เกษตรกรรม กสิกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เวชกรรม กรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการงานของจิต) ....

หมายถึง การกระทำ เช่น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม (การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ)

ลึกลงไปอีกหน่อย

กรรม หมายถึง เจตนา เช่น เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ....ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่า กรรม (กัมม์)

กรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งในกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท จะเห็นชัดเมื่อแยกส่วนออกเป็น ๓ วัฏฏะ คือ กิเลส กรรม วิบาก

แสดงถึงกระบวนการทำกรรม และการให้ผลของกรรม ตั้งต้นแต่กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม จนถึงวิบากอันเป็นผลที่จะได้รับ เมื่อเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็เป็นอันเข้าใจหลักกรรมชัดเจนไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2016, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท (ลัทธินิครนถ์นาฏบุตร)

๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท

๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidental ism) หรือเรียกสั้นๆว่า เหตุวาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามคำตอบ เทียบกับลัทธิสามอย่างนั่น


อ้างคำพูด:
กรัชกายถาม

พูดยังงั้น หมายความว่า เกิดมาแล้วเป็นยังไง ก็ยังงั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่ไหม ใช่ ไม่ใช่

เกิดมาจน ก็จนไปจนตาย เกิดมาโง่ ก็โง่กันจนตาย เพราะเป็นกรรมเก่าแต่ปางก่อน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยังงั้นหรือ ใช่ ไม่ใช่


Rosarin ตอบ

ก็จะตอบว่าทั้งใช่และทั้งไม่ใช่ก็ได้เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงไง

ตอบว่าใช่ เพราะเกิดมาแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะดับแล้ว
เกิดมาเพื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส
คิดนึก ที่เกิดมาแล้วมารับวิบาก และทำกรรมใหม่เพิ่มขึ้นน๊า
เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะเป็นผลของกรรมมาให้ผลเป็นคนนี้


ตอบว่าเกิดมาแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละค่ะ
เพราะเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ชรา ต้องเจ็บป่วย และต้องตายไป
กรรมเก่าที่ให้ผลมาเกิดเป็นคนนี้ เป็นกรรมดีแล้วแต่เหตุต่างๆ
ที่เป็นการปรุงแต่งตามกรรมในอดีตที่จิต+เจตสิก+รูปทุกสิ่ง
ที่เกิดดับแต่ละขณะในอดีตชาติก็มาปรากฏเป็นนิมิตที่ปรากฎ
จะดี จะเลว จะทุกข์ จะสุข จะเดือดร้อน จะเจ็บป่วยไข้ทุกอย่างที่มี
วิบากกรรมเปลี่ยนไม่ได้ แต่มีการปรุงแต่งจิตตามเหตุปัจจัยใหม่ได้



จาก

viewtopic.php?f=1&t=52555&p=393921#p393921

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จับมาเรียงไว้ใกล้ๆกันอีกที ซึ่งมีความคิด อะไรๆก็กรรมเก่าๆ



มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุข ทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท (ลัทธินิครนถ์นาฏบุตร)

๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท

๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidental ism) หรือเรียกสั้นๆว่า เหตุวาท


ทั้งนี้ตามพุทธพจน์ที่ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ ๓ ระบบเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆกันมา ยืนกรานอยู่ในหลักอกิริยา (การไม่กระทำ) คือ


๑. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน (ปุพฺเพกตเหตุ)

๒. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า (อิสฺสรนิมฺมานเหตุ)

๓. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนหาเหตุหาปัจจัยมิได้ (อเหตุอปจฺจย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แยกให้เห็นแต่ละลัทธิๆ พระพุทธเจ้ากล่าวแก้ความเห็นข้อ ๑ (พวกแรก)


“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ พวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑) แล้วถามว่า “ทราบว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?” ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์....เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มี มิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”


“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และสิ่งไม่ที่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ มีทิฐิ อย่างนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกที่มีความคิดแบบข้อ ๒ (พวกที่สอง) ตัดความที่ซ้ำๆกันออก


“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๒ ) กล่าวกะเขาว่า ท่านจักเป็นผู้ทำปาณาติบาต ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุ
จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน...
ประพฤติอพรหมจรรย์...
กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิดพวกที่ ๓ พระพุทธเจ้าว่าไงสังเกตดู


“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๓ ) กล่าวกะเขาว่า “ท่านก็จักเป็นผู้ทำปาณาติบาต โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน....
ประพฤติอพรหมจรรย์....
กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาความไม่มีเหตุไม่มีเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี ฯลฯ”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้คุณโรสเทียบความคิดของตนกับบทความนั้นก่อน

คืนขอพักอาบน้ำกินนมนอน พรุ่งนี้ว่ากันใหม่ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรัชกาย เขียน:
กรรมเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก เริ่มจากความหมายง่ายๆไปหายาก



เห็นรูปศัพท์ "กรรม" ที่ไหนๆ อย่าเพิ่งคิดฟุ้งไปตามความคุ้นชิน ดูบริบทประกอบว่าหมายถึงอะไร

รูปศัพท์ “กรรม” ทางธรรมมีความหมายหลายนัย ตย. เช่น กรรม แปลว่า การงาน กรรม แปลว่า การกระทำ กรรม หมายถึง เจตนา (ฝ่ายนามธรรม คือ ด้านความรู้สึกคิด คือ จิตใจ)

หมายถึง การงาน อาชีพที่ทำ อย่างเช่น เกษตรกรรม กสิกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เวชกรรม กรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการงานของจิต) ....

หมายถึง การกระทำ เช่น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม (การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ)

ลึกลงไปอีกหน่อย

กรรม หมายถึง เจตนา เช่น เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ....ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่า กรรม (กัมม์)

กรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งในกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท จะเห็นชัดเมื่อแยกส่วนออกเป็น ๓ วัฏฏะ คือ กิเลส กรรม วิบาก

แสดงถึงกระบวนการทำกรรม และการให้ผลของกรรม ตั้งต้นแต่กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม จนถึงวิบากอันเป็นผลที่จะได้รับ เมื่อเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็เป็นอันเข้าใจหลักกรรมชัดเจนไปด้วย

cool
อ้างคำพูด:
ตั้งต้นแต่กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม จนถึงวิบากอันเป็นผลที่จะได้รับ

:b1:
ทุกอย่างเป็นธัมมะที่เป็นจิต+เจตสิก+รูปที่เกิดมาทำกรรมของตน
ตามเหตุปัจจัยเป็นโลก6ทางที่เกิดดับสลับกันทีละ1ขณะ
จนเกิดเป็นเรื่องราวของจิตตามนิมิตที่กำลังปรากฏ
กิเลส กรรม วิบาก เป็นวิบากกรรมตามภพภูมิ
:b39: :b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ชีโรสกลัวตกนรก เพราะไปพรากลูกนกจากอกแม่
เลยต้องพร่ามไม่มีตัวตนๆๆเสียยกใหญ่

ดูแล้วไม่ต่างจากแม่ชีเดินตลาดแล้วถูกชายหนุ่มพูดเกี้ยวพาลาสี
พอกลับวัดก็เลยตั้งหน้าตั้งหน้าท่องสวดยุบหนอพองหนอ....ด้วยใจที่สะท้านหวั่นไหว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
แม่ชีโรสกลัวตกนรก เพราะไปพรากลูกนกจากอกแม่
เลยต้องพร่ามไม่มีตัวตนๆๆเสียยกใหญ่

ดูแล้วไม่ต่างจากแม่ชีเดินตลาดแล้วถูกชายหนุ่มพูดเกี้ยวพาลาสี
พอกลับวัดก็เลยตั้งหน้าตั้งหน้าท่องสวดยุบหนอพองหนอ....ด้วยใจที่สะท้านหวั่นไหว :b32:

wink
แน๊ คิดดีเป็นไหมล่ะ สะสมอกุศลจิตของตนทั้งนั้นเลยน๊าที่คิดน่ะ ดับไปแล้วด้วยก็ไม่รู้
:b32: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แม่ชีโรสกลัวตกนรก เพราะไปพรากลูกนกจากอกแม่
เลยต้องพร่ามไม่มีตัวตนๆๆเสียยกใหญ่

ดูแล้วไม่ต่างจากแม่ชีเดินตลาดแล้วถูกชายหนุ่มพูดเกี้ยวพาลาสี
พอกลับวัดก็เลยตั้งหน้าตั้งหน้าท่องสวดยุบหนอพองหนอ....ด้วยใจที่สะท้านหวั่นไหว :b32:

wink
แน๊ คิดดีเป็นไหมล่ะ สะสมอกุศลจิตของตนทั้งนั้นเลยน๊าที่คิดน่ะ ดับไปแล้วด้วยก็ไม่รู้
:b32: :b29:



ไมีรู้จะคิดไปทำไม เพราะมันไม่มีตัวตนครับ ....หุยฮา! :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แม่ชีโรสกลัวตกนรก เพราะไปพรากลูกนกจากอกแม่
เลยต้องพร่ามไม่มีตัวตนๆๆเสียยกใหญ่

ดูแล้วไม่ต่างจากแม่ชีเดินตลาดแล้วถูกชายหนุ่มพูดเกี้ยวพาลาสี
พอกลับวัดก็เลยตั้งหน้าตั้งหน้าท่องสวดยุบหนอพองหนอ....ด้วยใจที่สะท้านหวั่นไหว :b32:

wink
แน๊ คิดดีเป็นไหมล่ะ สะสมอกุศลจิตของตนทั้งนั้นเลยน๊าที่คิดน่ะ ดับไปแล้วด้วยก็ไม่รู้
:b32: :b29:



ไมีรู้จะคิดไปทำไม เพราะมันไม่มีตัวตนครับ ....หุยฮา! :b32:

:b32:
ก็ที่ว่าไม่มีตัวตนนั่นแหละ มีที่รู้ๆอยู่ไหม
ถ้ายังมีที่รู้ๆอยู่แต่ยังไม่รู้ว่าไม่รู้นั่นน่ะ
สะสมเป็นอกุศลจิตไปแล้วน๊า
:b55: :b55: :b55:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร