วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 20:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 99 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ว่าเข้าไปนั่น "เปลืองถ่านเปลืองฝืน" คิกๆๆ

ก็มันจริงๆ ปัจจุบันไม่รู้ แล้วจะไปรู้อดีต รู้อนาคต มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณหรือยังไง :b13: รู้ปัจจุปปันนาคตังสญาณก่อนเถอะแล้วมันรู้ทั้งอดีตอนาคต

เอาแบบง่ายๆ ก็ที่นี่

https://www.google.co.th/search?q=%E0%B ... AfsQsAQIGQ


เอาแบบง่ายๆ ก็ขอตอบแบบง่ายๆ

ที่ยกมามั่นใจได้แค่ไหนว่า สมเด็จองค์พระปฐม ต้องเข้าใจซิว่าพระพุทธเจ้าทั้งที่ในอดีต และปัจจุบัน
และก็จะมีขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น รูปร่างลักษณะถึงจะเด่นกว่ามนุษย์ แต่เมื่อเห็นแล้ว
ก็ต้องรู้ว่าเป็นมนุษย์ คงไม่เหมือนเทวดาหรือพรหมแน่นอน จากการศึกษาพระพุทธประวัติ พบว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระลักษณะต่างกับสามัญชน พระพุทธลักษณะนั้นเรียกว่า มหาปุริสลักษณะ ซึ่งหมายถึงลักษณะของมหาบุรุษ คือ พระพุทธเจ้า

ส่วนพระพุทธลักษณะอันเป็นข้อปลีกย่อยของพระมหาบุรุษ เรียกว่า อนุพยัญชนะ มีพระพุทธลักษณะ ๓ ประการซึ่งกวี ได้เปรียบเทียบกับดอกบัว คือ
(๑) พระกรรณทั้งสองข้างมีสัณฐานอันยาวเรียวอย่างกลีบประทุมชาติ
(๒) พระสรีระกายสดชื่นดุจดอกประทุมชาติ
(๓) กลิ่นพระโอษฐ์หอมฟุ้งเหมือนกลิ่นดอกอุบล

ที่ส่งลิ้งค์ให้ไปตามดูนั้นเป็นรูปปั้นที่สมมุติขึ้นมา
เป็นตัวแทนพระองค์ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๓๐๐ กว่าพระพุทธรูปยังไม่เกิดขึ้นเลย
แต่จะใช้ดอกบัวเป็นตัวแทน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ว่าเข้าไปนั่น "เปลืองถ่านเปลืองฝืน" คิกๆๆ

ก็มันจริงๆ ปัจจุบันไม่รู้ แล้วจะไปรู้อดีต รู้อนาคต มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณหรือยังไง :b13: รู้ปัจจุปปันนาคตังสญาณก่อนเถอะแล้วมันรู้ทั้งอดีตอนาคต

เอาแบบง่ายๆ ก็ที่นี่

https://www.google.co.th/search?q=%E0%B ... AfsQsAQIGQ


เอาแบบง่ายๆ ก็ขอตอบแบบง่ายๆ

ที่ยกมามั่นใจได้แค่ไหนว่า สมเด็จองค์พระปฐม ต้องเข้าใจซิว่าพระพุทธเจ้าทั้งที่ในอดีต และปัจจุบัน
และก็จะมีขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น รูปร่างลักษณะถึงจะเด่นกว่ามนุษย์ แต่เมื่อเห็นแล้ว
ก็ต้องรู้ว่าเป็นมนุษย์ คงไม่เหมือนเทวดาหรือพรหมแน่นอน จากการศึกษาพระพุทธประวัติ พบว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระลักษณะต่างกับสามัญชน พระพุทธลักษณะนั้นเรียกว่า มหาปุริสลักษณะ ซึ่งหมายถึงลักษณะของมหาบุรุษ คือ พระพุทธเจ้า

ส่วนพระพุทธลักษณะอันเป็นข้อปลีกย่อยของพระมหาบุรุษ เรียกว่า อนุพยัญชนะ มีพระพุทธลักษณะ ๓ ประการซึ่งกวี ได้เปรียบเทียบกับดอกบัว คือ
(๑) พระกรรณทั้งสองข้างมีสัณฐานอันยาวเรียวอย่างกลีบประทุมชาติ
(๒) พระสรีระกายสดชื่นดุจดอกประทุมชาติ
(๓) กลิ่นพระโอษฐ์หอมฟุ้งเหมือนกลิ่นดอกอุบล

ที่ส่งลิ้งค์ให้ไปตามดูนั้นเป็นรูปปั้นที่สมมุติขึ้นมา
เป็นตัวแทนพระองค์ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๓๐๐ กว่าพระพุทธรูปยังไม่เกิดขึ้นเลย
แต่จะใช้ดอกบัวเป็นตัวแทน



แล้วที่พูดนั่นนะ แน่ใจนะว่าจริงตามที่พูด เห็นได้ยินกับหูดูกับตามาหรอ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_R Onion_R Onion_R

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
Onion_R Onion_R Onion_R



ไม่เข้าใจ :b10: :b1:

พึงรู้ปัจจุบัน แล้วจะรู้อดีต อนาคต :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 21:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน..อ่านที่ผมยกมา..แล้วคิดอย่างไรละคับ?

อ้างคำพูด:
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร[/center]
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ

เข้าใจอย่างไรบ้าง


ลุงหมาน เขียน:
เอาเท่าที่จะพอสื่อสารกันได้นะกบ

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
คำว่า "ข้าพเจ้านี้" หมายถึงพระอานนท์เป็นผู้แสดงธรรมโดยการนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงอีกต่อหนึ่ง

คำว่า "สงสาร" ก็ได้แก่ "วัฏฏะ" ความหมายก็คือ"วงกลม" ที่หมุนไป เหมือนล้อเกวียน
โดยหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้

"เหล่าสัตว์" ก็หมายความถึง มนุษย์ เทวดา มาร พรหม รวมถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย ทั้งหมด
ผู้มีอวิชชา ก็หมายถึง ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงความรู้แจ้ง รวมถึงพระอริยะบุคคลเบื้องต่ำ ๓ ด้วยหรือจะใช้คำว่า
เสขะบุคคลก็ได้ ล้วนแล้วก็มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
จึงได้ท่องเที่ยวไปอยู่ ก็หมายถึงยังต้องเกิดอีกหาที่สุดมิได้ แต่สำหรับพระอริยะบุคคลเบื้องต่ำ ๓
มีข้อยกเว้น คือจะต้องเข้าถึงความสิ้นสุดแห่งวัฏฏะ หมายถึงว่า เมื่อเข้าถึงแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก

ก็คงจะสื่อสารได้แค่นี้แหละตามกำลังของปัญญาที่เข้าใจ ส่วนกบจะมีความพิศดารมากกว่านี้
หรือนอกเหนือกว่านี้ก็ช่วยอธิบายไป


ไม่รู้ภาษาบาลีเขียนอย่างไรนะ...เอาเป็นว่า..เอาฉบับภาษาไทยนี้แหละมาวิตกวิจารณ์
...

อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ[/b][/quote]

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

จากบทนี้....ที่สุดเบื้องต้น...เราเราก็เข้าใจว่า...พระองค์หมายถึง...จุดกำเนิด..จุดเริ่มต้นแรกสุดของสงสารวัฏฏ์..ใช่มั้ยคับลุงหมาน..นี้ (1) ละ?

ผมกำลังสงสัยว่า..ที่เราเราเข้าใจเช่นนั้น..ถูกต้องรึเปล่า?

พอเราเข้าใจว่าหมายถึง... จุดต้นกำเนิดแรกสุด..เราก็เข้าใจว่า...ที่สุดเบื้องต้นหาไม่ได้เพราะมายาวนานมากๆ..จนใครๆก็พาลเข้าใจไปเองว่าแม้พระองค์ก็ไม่อาจระลึกไปถึงจุดเริ่มต้น..นี้ก็ (2)

ลองมาดูประถัดมาซิคับ...

เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ

อ่านแล้ว...ใครเข้าใจอย่างไรบ้าง?...สงสัยอะไรมั้ยคับ?

เด้วผมจะลองใส่คำว่า.."ไม่"...ที่เป็นปฏิภาคกัน..นะคับ

"เมื่อเหล่าสัตว์ผู้ไม่มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมปรากฏ ฯ"

ประโยคนี้..ถูกต้องได้ใช่มั้ยคับ?

ผู้ไม่มีอวิชชา..ไม่มีตัณหา..นี้ก็เป็นอรหันต์ซินะคับว่ามั้ย....
แสดงว่าอรหันต์ทุกองค์จะเห็นที่สุดเบื้องต้นกันทุกองค์..

จะเป็นไปได้อย่างไรที่อรหันต์แม้อรหันต์ที่มีฤทธิ์ก็เหอะ...จะระลึกย้อนหลังไปได้ไกลขนาดนั้นจนเห็น..ที่สุดเบื้องต้นของการกำเนิดวัฏฏสงสาร...

ปัณหา..คือ..เราเข้าใจ(ไปเอง)ว่า...ที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลายของสงสาร..นี้หมายถึง...จุดกำเนิดและจุดสิ้นสุด..ของสงสารวัฏฏ์ที่เป็นโลกเป็นจักรวาล..เป็นดวงดาว..ทั้งหลายแหล่นี้

ดูซิคับ...เพียง...ไม่มีอวิชชา..ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ...เราก็เห็นที่สุดเบื้องต้นและที่สุดเบื้องปลาย..แล้ว...ไม่ได้เกี่ยวกับญาณกับฌานระลึกย้อนอดีตไปไหนเลย...

จากข้อสังเกตข้างต้น..ผมจึงเข้าใจได้ว่า..ที่สุดเบื้องต้นและที่สุดเบื้องปลายของสงสาร..ในพระสูตรนี้นั้น...ไม่ได้หมายถึงจุดกำเนิดแรกสุดของวัฏฏะ..ครับ

แล้วควรจะหมายถึงอะไร?

ต้องย้อนกลับไปดูที่ประโยคที่2 คือ..
....
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
.....

ดังนั้น..
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ...ที่สุดเบื้องต้นจึงควรจะหมายถึง....เหตุ...ที่ทำให้คนคนนั้นยังเกิดต่อไป (แฮ่มมันอธิบายเป็นภาษายากจัง)...ผัสสะสิ่งใด..เวทนาเกิดก็ไม่เห็น..ตัณหาเกิดก็ไม่เห็น..อุปาทาน..ภพ..เกิดก็ไม่เห็น...รวมๆก็คือ...ไม่ทันปัจจุบัน...ไม่เห็นปฏิจจสมุปบาทเกิดนั้นเอง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 06:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กบอธิบายเข้าใจแบบบ้าน ๆ ได้ดีเข้าใจได้ง่าย

เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ

ตรงนี้จะขออุปมาเหมือนกับสัตว์โลกที่เป็นผู้ท่องเที่ยวไป ทั้งภพน้อยภพใหญ่ที่มีอวิชชาและตัณหา
ประกอบไว้มิให้หลุดไปจากวงจรนี้ได้ เหมือนกับวงกลมของหนังยางที่หาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่เจอ
ทีนี้ก็มีผู้ที่หาเบื้องต้นเบื้องปลายก็ได้แก่ พระอริยะบุคคลเบื้องต่ำ ๓ (พระโสดาบัน, พระสกทาคามี,
พระอนาคามี,)ท่านทั้งสามนี้เห็นเบื้องต้นเบื้องปลายแล้ว เหมือนกับวงหนังยางได้ตัดขาดลง จึงมองเห็น
เบื้องตนเบื้องปลาย ส่วนพระอรหันต์นั้นเข้าถึงความที่สุด

พูดไป ๆ ก็อาจจะงงซะเอง แต่ก็จะพอเข้าใจได้เองโดยการอุปมา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 22:14 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2949


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2016, 06:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2018, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 99 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร