วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 20:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 99 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2016, 15:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว...หายไปไหนมา...?..ว่างัย..โสดาจิบเหล้าเข้าสังคมได้..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
การใช้สติปัญญาเพื่อระลึกรู้และเข้าใจสัจจะที่เป็นความจริงมีจริงๆไหมคะ
อันว่าสมมุติทั้งหลายทั้งปวงย่อมเกิดมีเพราะมีจิตคิดนึกปรุงแต่งขึ้นมาค่ะ
สิ่งที่คิดได้ก็มีสิ่งที่คิดไม่ได้ก็มีชีวิตที่เกิดมาแล้วไม่คิดนั้นเป็นไม่มีคือจริง
สมมุติทั้งหลายตามภพภูมิต่างๆนั้นก็มีจริงตามสมมุติที่จิตดวงนั้นๆอยู่
นิมิตตามสมมุติที่คิดว่ามีตัวตนนั้นมีตั้ง 31 ภพภูมิ ตอนนี้ภูมิมนุษย์
การจะเข้าใจความจริงตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จำเป็นอย่างยิ่งที่จิตแต่ละดวงจะต้องรู้สมมุติในตนถูกต้องก่อน
เช่นเป็นคนมี2เพศคือชายจริงหญิงแท้ถึงจะมีโอกาสเข้าใจ
สัจจะตามสมมุติต้องรู้ถูกต้องตรงๆและการศึกษาให้รู้จริง
ก็ต้องอาศัยกายและจิตที่สมบูรณ์เอาตัวเข้าไปศึกษา
ให้เข้าใจความจริงของชีวิตตามสมมุติที่มีคำสอน
ต้องเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่าตนมีสมมุติเป็นสาวกค่ะ
ไม่ใช่ผู้ที่คิดได้เองเพราะนิมิตในภพมนุษย์
ก็คือสัตว์บุคคลสิ่งของที่ปรากฏกับจิต
เพราะฉะนั้นจะเริ่มเข้าใจจิตเมื่อฟัง
สิ่งที่ถูกต้องตรงตามคำสอน
การคิดเองล้วนไม่ตรง
ตามความเป็นจริง
ตามที่พระองค์
ทรงตรัสรู้
:b12:
พระพุทธเจ้าตรัสความจริงของสิ่งที่มีให้ฟังเพื่อให้รู้ตามพระองค์ค่ะ
การศึกษาธรรมและเข้าใจธรรมคือเข้าใจถูกต้องในคำของตถาคต
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"
:b8:
สำหรับความคิดเห็นของข้าพเจ้าตามความเข้าใจของข้าพเจ้า
การจะทำอะไรก็ย่อมต้องมีบุคคลที่เริ่มต้นเป็นต้นแบบถูกไหมคะ
สำหรับการตรัสรู้ต้นแบบก็คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ถูกไหมคะ
เพราะเมื่อทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแล้วก็ทรงเป็นองค์แรก
เทียบกับองค์ปฐมได้เลยค่ะจึงเป็นองค์แสดงปฐมมเทศนาถูกไหมคะ
ดังนั้นการอนุมานว่าต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกจริงๆย่อมมีเพราะ
ถ้าไม่อนุมานตามความเป็นจริงตามสมมุติที่ได้รับรู้ว่าสมมุติก็มีอยู่จริง
พอสรุปได้ค่ะว่ามีการแสดงปฐมเทศนาของสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า
เพราะถ้าไม่มีการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เอาไว้
ก็คงไม่มีคำสอนมาให้ผู้ที่เกิดมานี้ได้มาถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่รู้
:b32: :b32:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สำหรับความคิดเห็นของข้าพเจ้าตามความเข้าใจของข้าพเจ้า
การจะทำอะไรก็ย่อมต้องมีบุคคลที่เริ่มต้นเป็นต้นแบบถูกไหมคะ
สำหรับการตรัสรู้ต้นแบบก็คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ถูกไหมคะ
เพราะเมื่อทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแล้วก็ทรงเป็นองค์แรก
เทียบกับองค์ปฐมได้เลยค่ะจึงเป็นองค์แสดงปฐมมเทศนาถูกไหมคะ
ดังนั้นการอนุมานว่าต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกจริงๆย่อมมีเพราะ
ถ้าไม่อนุมานตามความเป็นจริงตามสมมุติที่ได้รับรู้ว่าสมมุติก็มีอยู่จริง
พอสรุปได้ค่ะว่ามีการแสดงปฐมเทศนาของสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า
เพราะถ้าไม่มีการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เอาไว้
ก็คงไม่มีคำสอนมาให้ผู้ที่เกิดมานี้ได้มาถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่รู้


ถ้าคุณRosarinเจ้าของคำถามได้อ่านมาตั้งแต่ตอนต้นๆมาอาจพอเข้าใจบ้าง
แต่ยังสงสัยและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อดังนั้นก็ต้องมาขยายความกันอีกครั้งเพื่อความกระจ่าง
ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้

158 วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย

ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัวทอนหญ้าไม้ กิ่งไม้ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดมัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่าหญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้”

ติณกัฏฐสูตร นิ. สํ. (๔๒๑-๔๒๒)

พระพุทธองค์ได้ใช้พุทธญาณย้อนไปในอดีตเพื่อหาเบื้องต้นมากกว่า ๒๐ อสงไขยแสนกัปป์
ได้พบพระพุทธในชาตินั้นๆมากนับเป็นล้านพระองค์ พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง
หาได้จากหนังสือพุทธวงค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


ไปหัดสวดพระปริตรในหนังสือทำวัตรนะครับ

สัมพุทเธ

สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ
ปัญจะสะตะสะหัสสานิ
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ
นะมะการานุภาเวนะ
อะเนกา อันตะรายาปิ

........สัมพุทเธ ปัญจะปัญญาสัญจะ........
ทะสะสะตะสะหัสสาน
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ
นะมะการานุภาเวนะ
อะเนกา อันตะรายาปิ

........สัมพุทเธ นะวุตตะระสะเต
วีสะติสะตะสะหัสสานิ
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ
นะมะการานุภาเวนะ
อะเนกา อันตะรายาปิ
ทวาทะสัญจะ สะหัสสะเก
นะมามิ สิระสา อะหัง
อาทะเรนะ นะมามิหัง
หันตวา สัพเพ อุปัททะเว
วินัสสันตุ อะเสสะโต ฯ จะตุวีสะติสะหัสสะเก
นะมามิ สิระสา อะหัง
อาทะเรนะ นะมามิหัง
หันตวา สัพเพ อุปัททะเว
วินัสสันตุ อะเสสะโต ฯ

อัฏฐะจัตตาฬีสะสะหัสสะเก
นะมามิ สิระสา อะหัง
อาทะเรนะ นะมามิหัง
หันตวา สัพเพ อุปัททะเว
วินัสสันตุ อะเสสะโต ฯ

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห้าแสนหนึ่งหมื่น สองพัน ยี่สิบแปดองค์
ด้วยเศียรเกล้า

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น
โดยเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะภัยทั้งปวง
แม้อันตรายทั้งหลาย เป็นอเนก จงพินาศไป โดยไม่เหลือ

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย หนึ่งล้าน สองหมื่น สี่พันห้าสิบห้าพระองค์ด้วยเศียรเกล้า

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น
โดยเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะภัยทั้งปวง
แม้อันตรายทั้งหลาย เป็นอเนก จงพินาศไป โดยไม่เหลือ


ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สองล้าน สี่หมื่น แปดพัน หนึ่งร้อยเก้าพระองค์ด้วยเศียรเกล้า

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น
โดยเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะภัยทั้งปวง
แม้อันตรายทั้งหลาย เป็นอเนก จงพินาศไป โดยไม่เหลือ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2016, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
อ้างคำพูด:
สำหรับความคิดเห็นของข้าพเจ้าตามความเข้าใจของข้าพเจ้า
การจะทำอะไรก็ย่อมต้องมีบุคคลที่เริ่มต้นเป็นต้นแบบถูกไหมคะ
สำหรับการตรัสรู้ต้นแบบก็คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ถูกไหมคะ
เพราะเมื่อทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแล้วก็ทรงเป็นองค์แรก
เทียบกับองค์ปฐมได้เลยค่ะจึงเป็นองค์แสดงปฐมมเทศนาถูกไหมคะ
ดังนั้นการอนุมานว่าต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกจริงๆย่อมมีเพราะ
ถ้าไม่อนุมานตามความเป็นจริงตามสมมุติที่ได้รับรู้ว่าสมมุติก็มีอยู่จริง
พอสรุปได้ค่ะว่ามีการแสดงปฐมเทศนาของสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า
เพราะถ้าไม่มีการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เอาไว้
ก็คงไม่มีคำสอนมาให้ผู้ที่เกิดมานี้ได้มาถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่รู้


ถ้าคุณRosarinเจ้าของคำถามได้อ่านมาตั้งแต่ตอนต้นๆมาอาจพอเข้าใจบ้าง
แต่ยังสงสัยและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อดังนั้นก็ต้องมาขยายความกันอีกครั้งเพื่อความกระจ่าง
ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้

158 วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย

ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัวทอนหญ้าไม้ กิ่งไม้ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดมัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่าหญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้”

ติณกัฏฐสูตร นิ. สํ. (๔๒๑-๔๒๒)

พระพุทธองค์ได้ใช้พุทธญาณย้อนไปในอดีตเพื่อหาเบื้องต้นมากกว่า ๒๐ อสงไขยแสนกัปป์
ได้พบพระพุทธในชาตินั้นๆมากนับเป็นล้านพระองค์ พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง
หาได้จากหนังสือพุทธวงค์

Kiss
:b1:
อย่างที่ลุงหมานแสดงไว้ว่าตามหนังสือพุทธวงศ์ใครแต่งคะพระพุทธเจ้าสอนว่า
ให้ใช้หลักกาลามสูตรสิบ...1ใน10คือไม่เชื่อเพราะตำราว่ามาอย่างนั้นใช่หรือไม่
เคยเห็นที่เขาสร้างพระพุทธรูปชื่อสมเด็จองค์ปฐมพระบรมมหาจักรพรรดิ์รึเปล่าคะ
หมายถึงการสละมหาสมบัติความเป็นจักรพรรดิ์ทางโลกเพื่ออริยทรัพย์ถูกไหมคะ
ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากการบำเพ็ญบารมีนั้นมีจุดเริ่มต้นน๊า
และถ้าพระพุทธเจ้ามีนับไม่ถ้วนการระลึกถึงพระมหาการุณิโกนาโถย้อนไปอดีตนั้น
ย่อมมีอานิสงส์นับค่าประมาณมิได้แล้วสมควรที่จะสร้างเพื่อระลึกถึงหรือไม่ล่ะคะ
:b16:
ที่อธิบายมาก็พิจารณาไตร่ตรองค่ะ...พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่ไตร่ตรอง
ถึงเหตุและผลถูกไหมคะ...หลวงตาพระมหาบัวเคยเทศนาธรรมเอาไว้ว่าอย่างนี้ค่ะ
เทียบน้ำ1หยดเท่ากับพระพุทธเจ้า1พระองค์พระพุทธเจ้ามีเป็นมหาสมุทรนับไหวรึ
และหลวงตาพระมหาบัวยังเทศนาถึงอนาคตพุทธวงศ์ที่รอคิวมาตรัสรู้ในอนาคตด้วย
สำหรับข้าพเจ้าแล้วที่ใช้การอนุมาณไม่ใช่การด้นเดาแต่เป็นการคาดคะเนที่เป็นไปได้ค่ะ
ข้าพเจ้าคาดคะเนจากหลักฐานที่มีจริงโดยไตร่ตรองตามเหตุผลที่มีพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
:b8:
อย่างพระสมณโคตมหรือพระสมณโคดมพุทธเจ้าเกิดจากการบำเพ็ญบารมีที่เริ่มต้น
จากตั้งสัจจะอธิษฐานในใจคือตั้งมโนปณิธานก่อนต่อมาก็มีการกล่าวด้วยสัจจะวาจา
และได้พลีกายเพื่อเสียสละยิ่งชีพในยุคพระฑีปังกรพุทธเจ้าจึงได้รับพยากรณ์เอาไว้
โดยจะได้บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าในอีก4อสงไขยกับแสนมหากัปป์จริงไหมคะ
อย่างที่แสดงความเป็นไปได้ของการตรัสรู้ในพระพุทธเจ้า1พระองค์จึงมีเริ่มต้นและสิ้นสุด
จะมีตำราใดๆจะเขียนไว้อย่างไรก็ตามย่อมคัดค้านไม่ได้ว่าไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด
:b12:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2016, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
พระโพธิสัตว์ที่เกิดมาบำเพ็ญบารมีก็มีอยู่จริงแต่จะทำอะไรไม่เร็วอย่างที่คิดนะคะ
ยุคปัจจุบันที่มีการเผยแผ่ศาสตร์ของหลวงปู่ดู่ที่เขาสร้างๆกันน่ะค่ะสมเด็จองค์ปฐม
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์แล้วคือนิยตโพธิสัตว์ค่ะ
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับวาสนาและบารมีของจิตแต่ละดวงที่ชอบอธิษฐานน่ะ
เช่น...ขอให้พบเมืองแก้วขอให้แคล้วบ่วงมารขอให้ทันพระศรีอาริย์...พบหรือยังคะ
:b4: :b4:
https://www.youtube.com/watch?v=fbEk58638vU
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 04:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกปัจจุบันอายุประมาณ 5,000 ล้านปี (อายุหินที่แก่ที่สุดที่นักวิทย์หาได้มีอายุ ราวๆ 4,800 ล้านปีและอายุสะเก็ดดาวก็ไม่เกินนี้เท่าไร)

หากย้อนไป 20 อสงไขย..นี้...เกินอายุโลกใบนี้ไปแล้ว..แสดงว่า...ก่อนโลกใบนี้เกิดก็มีโลกใบอื่นก่อนอยู่แล้ว...โลกมันก็เกิดดับเกิดดับ...ได้เรื่อยๆ

ลุงหมาน เขียน:
.......
พระพุทธองค์ได้ใช้พุทธญาณย้อนไปในอดีตเพื่อหาเบื้องต้นมากกว่า ๒๐ อสงไขยแสนกัปป์
ได้พบพระพุทธในชาตินั้นๆมากนับเป็นล้านพระองค์
พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง

หาได้จากหนังสือพุทธวงค์


พระองค์บอกว่าอย่างไรรึคับ.?
พระองค์บอกรึว่า.."สังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย"(ไม่มีแน่ๆ)
รึว่า พระองค์บอกว่า "พระองค์หาเบื้องต้นเบื้องปลายสังสารวัฏฏ์ไม่ได้"(มีเพียงแต่หาไม่ได้)
รึว่า พระองค์บอกว่า "เบื้องต้นเบื้องปลายสังสารวัฏฏ์ หมู่สัตว์หาไม่ได้" (เกินวิสัยสัตว์ทั่วไป)

การที่ใครๆมักเข้าใจว่า..
พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
จึงอาจเป็นความเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสคลาดเคลื่อนไปเอง

ยิ่งกว่านั้น..การที่คิดว่า..
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง
...ก็ยิ่งห่างไกลจากที่พระองค์ตรัส

ัตัวอย่างที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับ..เบื้องต้นเบื้องปลาย..นะคับ

อ้างคำพูด:
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ


[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้
กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็น
มัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดา
ของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า
ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้น
ย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูน
ปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียง
เท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ
จะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ


จากตัวอย่างข้างบน..จะเห็นได้ว่า..พระองค์ไม่ได้บอกเลยว่าพระองค์ไม่รู้เบื้องต้นเบื้องปลาย...

ใครมีตัวอย่างอื่นๆ ก็หามาเพิ่มนะครับ..

มาที่เรื่ององค์ปฐม..

ผมเคยบอกใว้แล้วว่า..การจะเรียก..ที่ 1 ที่ 2 หรือ ที่3 จะต้องมีเกณท์วัด
ถ้าใช้เกณท์โลกใบนี้..ก็จะมีองค์ปฐมของโลกใบนี้...
ถ้าใช้เกณท์จักรวาลนี้...ก็จะมีองค์ปฐมของจักรวาลนี้..
รึถ้าใช้เกณท์ของญานที่ย้อนไปได้หลายๆจักรวาลของบริเวณนี้....ก็จะมีองคปฐมของที่สุดของญานที่ย้อนไปได้..

รึถ้าใช้เกณท์อวิชชาจรมาของจิตประภัสสรในจักรวาลบริเวณนี้(สมมุติว่าพระองค์เห็นนะ)....ก็จะมีองค์ปฐมของจักรวาลบริเวณนี้(บริเวณนี้ที่จักรวาลเกิดดับเกิดดับ)

องค์ปฐมย่อมมีได้....ด้วยการมีเกณท์ใดเกณท์หนึ่งในการวัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาพุทธธรรม ไม่ควรคิดเลยไปไกลจากชีวิตปัจจุบัน จากคน จากมนุษย์ จากสังคมมนุษย์ ที่เห็นๆอยู่นี่ เกินจำเป็น

ถ้าคิดล้ำเลยไกลเกินไป ชีวิตนี้จะไม่ได้อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ศึกษาพุทธธรรม ไม่ควรคิดเลยไปไกลจากชีวิตปัจจุบัน จากคน จากมนุษย์ จากสังคมมนุษย์ ที่เห็นๆอยู่นี่ เกินจำเป็น

ถ้าคิดล้ำเลยไกลเกินไป ชีวิตนี้จะไม่ได้อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา :b1:


พระพุทธเจ้าสอน เรื่อง อดีต อนาคต ปัจจุบัน
ถ้าจะมาคิดว่าให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันก็ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีหลายท่าน หลาย อ. สอนให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ใบไม้ประดู่ลายในกำมือที่พระองค์เปรียบเทียบมีคำสอนที่เป็น อดีต อนาคต อยู่ด้วย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โลกปัจจุบันอายุประมาณ 5,000 ล้านปี (อายุหินที่แก่ที่สุดที่นักวิทย์หาได้มีอายุ ราวๆ 4,800 ล้านปีและอายุสะเก็ดดาวก็ไม่เกินนี้เท่าไร)

หากย้อนไป 20 อสงไขย..นี้...เกินอายุโลกใบนี้ไปแล้ว..แสดงว่า...ก่อนโลกใบนี้เกิดก็มีโลกใบอื่นก่อนอยู่แล้ว...โลกมันก็เกิดดับเกิดดับ...ได้เรื่อยๆ

ลุงหมาน เขียน:
.......
พระพุทธองค์ได้ใช้พุทธญาณย้อนไปในอดีตเพื่อหาเบื้องต้นมากกว่า ๒๐ อสงไขยแสนกัปป์
ได้พบพระพุทธในชาตินั้นๆมากนับเป็นล้านพระองค์
พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง

หาได้จากหนังสือพุทธวงค์


พระองค์บอกว่าอย่างไรรึคับ.?
พระองค์บอกรึว่า.."สังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย"(ไม่มีแน่ๆ)
รึว่า พระองค์บอกว่า "พระองค์หาเบื้องต้นเบื้องปลายสังสารวัฏฏ์ไม่ได้"(มีเพียงแต่หาไม่ได้)
รึว่า พระองค์บอกว่า "เบื้องต้นเบื้องปลายสังสารวัฏฏ์ หมู่สัตว์หาไม่ได้" (เกินวิสัยสัตว์ทั่วไป)

การที่ใครๆมักเข้าใจว่า..
พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
จึงอาจเป็นความเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสคลาดเคลื่อนไปเอง

ยิ่งกว่านั้น..การที่คิดว่า..
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง
...ก็ยิ่งห่างไกลจากที่พระองค์ตรัส

ัตัวอย่างที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับ..เบื้องต้นเบื้องปลาย..นะคับ

อ้างคำพูด:
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ


[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้
กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็น
มัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดา
ของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า
ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้น
ย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูน
ปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียง
เท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ
จะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ


จากตัวอย่างข้างบน..จะเห็นได้ว่า..พระองค์ไม่ได้บอกเลยว่าพระองค์ไม่รู้เบื้องต้นเบื้องปลาย...

ใครมีตัวอย่างอื่นๆ ก็หามาเพิ่มนะครับ..

มาที่เรื่ององค์ปฐม..

ผมเคยบอกใว้แล้วว่า..การจะเรียก..ที่ 1 ที่ 2 หรือ ที่3 จะต้องมีเกณท์วัด
ถ้าใช้เกณท์โลกใบนี้..ก็จะมีองค์ปฐมของโลกใบนี้...
ถ้าใช้เกณท์จักรวาลนี้...ก็จะมีองค์ปฐมของจักรวาลนี้..
รึถ้าใช้เกณท์ของญานที่ย้อนไปได้หลายๆจักรวาลของบริเวณนี้....ก็จะมีองคปฐมของที่สุดของญานที่ย้อนไปได้..

รึถ้าใช้เกณท์อวิชชาจรมาของจิตประภัสสรในจักรวาลบริเวณนี้(สมมุติว่าพระองค์เห็นนะ)....ก็จะมีองค์ปฐมของจักรวาลบริเวณนี้(บริเวณนี้ที่จักรวาลเกิดดับเกิดดับ)

องค์ปฐมย่อมมีได้....ด้วยการมีเกณท์ใดเกณท์หนึ่งในการวัด


พระองค์รู้ว่ามันไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย หาที่สุดมิได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 04:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
โลกปัจจุบันอายุประมาณ 5,000 ล้านปี (อายุหินที่แก่ที่สุดที่นักวิทย์หาได้มีอายุ ราวๆ 4,800 ล้านปีและอายุสะเก็ดดาวก็ไม่เกินนี้เท่าไร)

หากย้อนไป 20 อสงไขย..นี้...เกินอายุโลกใบนี้ไปแล้ว..แสดงว่า...ก่อนโลกใบนี้เกิดก็มีโลกใบอื่นก่อนอยู่แล้ว...โลกมันก็เกิดดับเกิดดับ...ได้เรื่อยๆ

ลุงหมาน เขียน:
.......
พระพุทธองค์ได้ใช้พุทธญาณย้อนไปในอดีตเพื่อหาเบื้องต้นมากกว่า ๒๐ อสงไขยแสนกัปป์
ได้พบพระพุทธในชาตินั้นๆมากนับเป็นล้านพระองค์
พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง

หาได้จากหนังสือพุทธวงค์


พระองค์บอกว่าอย่างไรรึคับ.?
พระองค์บอกรึว่า.."สังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย"(ไม่มีแน่ๆ)
รึว่า พระองค์บอกว่า "พระองค์หาเบื้องต้นเบื้องปลายสังสารวัฏฏ์ไม่ได้"(มีเพียงแต่หาไม่ได้)
รึว่า พระองค์บอกว่า "เบื้องต้นเบื้องปลายสังสารวัฏฏ์ หมู่สัตว์หาไม่ได้" (เกินวิสัยสัตว์ทั่วไป)

การที่ใครๆมักเข้าใจว่า..
พระองค์จึงรู้ว่าสังสารวัฏฏ์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
จึงอาจเป็นความเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสคลาดเคลื่อนไปเอง

ยิ่งกว่านั้น..การที่คิดว่า..
นั้นหมายถึงว่าก็ยังพระพุทธเจ้าที่ในอดีตอีกหาที่สุดมิได้จนหาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระปฐมไม่เจอนั่นเอง
...ก็ยิ่งห่างไกลจากที่พระองค์ตรัส

ัตัวอย่างที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับ..เบื้องต้นเบื้องปลาย..นะคับ

อ้างคำพูด:
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ


[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้
กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็น
มัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดา
ของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า
ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้น
ย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูน
ปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียง
เท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ
จะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ


จากตัวอย่างข้างบน..จะเห็นได้ว่า..พระองค์ไม่ได้บอกเลยว่าพระองค์ไม่รู้เบื้องต้นเบื้องปลาย...

ใครมีตัวอย่างอื่นๆ ก็หามาเพิ่มนะครับ..

มาที่เรื่ององค์ปฐม..

ผมเคยบอกใว้แล้วว่า..การจะเรียก..ที่ 1 ที่ 2 หรือ ที่3 จะต้องมีเกณท์วัด
ถ้าใช้เกณท์โลกใบนี้..ก็จะมีองค์ปฐมของโลกใบนี้...
ถ้าใช้เกณท์จักรวาลนี้...ก็จะมีองค์ปฐมของจักรวาลนี้..
รึถ้าใช้เกณท์ของญานที่ย้อนไปได้หลายๆจักรวาลของบริเวณนี้....ก็จะมีองคปฐมของที่สุดของญานที่ย้อนไปได้..

รึถ้าใช้เกณท์อวิชชาจรมาของจิตประภัสสรในจักรวาลบริเวณนี้(สมมุติว่าพระองค์เห็นนะ)....ก็จะมีองค์ปฐมของจักรวาลบริเวณนี้(บริเวณนี้ที่จักรวาลเกิดดับเกิดดับ)

องค์ปฐมย่อมมีได้....ด้วยการมีเกณท์ใดเกณท์หนึ่งในการวัด


พระองค์รู้ว่ามันไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย หาที่สุดมิได้


ลุงหมาน..อ่านที่ผมยกมา..แล้วคิดอย่างไรละคับ?

อ้างคำพูด:
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร[/center]
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ

เข้าใจอย่างไรบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน..อ่านที่ผมยกมา..แล้วคิดอย่างไรละคับ?

อ้างคำพูด:
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร[/center]
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ

เข้าใจอย่างไรบ้าง


เอาเท่าที่จะพอสื่อสารกันได้นะกบ

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
คำว่า "ข้าพเจ้านี้" หมายถึงพระอานนท์เป็นผู้แสดงธรรมโดยการนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงอีกต่อหนึ่ง

คำว่า "สงสาร" ก็ได้แก่ "วัฏฏะ" ความหมายก็คือ"วงกลม" ที่หมุนไป เหมือนล้อเกวียน
โดยหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้

"เหล่าสัตว์" ก็หมายความถึง มนุษย์ เทวดา มาร พรหม รวมถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย ทั้งหมด
ผู้มีอวิชชา ก็หมายถึง ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงความรู้แจ้ง รวมถึงพระอริยะบุคคลเบื้องต่ำ ๓ ด้วยหรือจะใช้คำว่า
เสขะบุคคลก็ได้ ล้วนแล้วก็มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
จึงได้ท่องเที่ยวไปอยู่ ก็หมายถึงยังต้องเกิดอีกหาที่สุดมิได้ แต่สำหรับพระอริยะบุคคลเบื้องต่ำ ๓
มีข้อยกเว้น คือจะต้องเข้าถึงความสิ้นสุดแห่งวัฏฏะ หมายถึงว่า เมื่อเข้าถึงแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก

ก็คงจะสื่อสารได้แค่นี้แหละตามกำลังของปัญญาที่เข้าใจ ส่วนกบจะมีความพิศดารมากกว่านี้
หรือนอกเหนือกว่านี้ก็ช่วยอธิบายไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศึกษาพุทธธรรม ไม่ควรคิดเลยไปไกลจากชีวิตปัจจุบัน จากคน จากมนุษย์ จากสังคมมนุษย์ ที่เห็นๆอยู่นี่ เกินจำเป็น

ถ้าคิดล้ำเลยไกลเกินไป ชีวิตนี้จะไม่ได้อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา :b1:


พระพุทธเจ้าสอน เรื่อง อดีต อนาคต ปัจจุบัน
ถ้าจะมาคิดว่าให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันก็ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีหลายท่าน หลาย อ. สอนให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ใบไม้ประดู่ลายในกำมือที่พระองค์เปรียบเทียบมีคำสอนที่เป็น อดีต อนาคต อยู่ด้วย



รู้ปัจจุบันให้ได้ก่อน เมื่อรู้ปัจจุบันแล้ว ก็จะรู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต เพราะอะไร? เพราะทั้งอดีต ทั้งอนาคต ต่างก็เป็นทั้งปัจจุบันทั้งอดีตมาแล้ว

ตย.เช่น เมื่อวานซืน เมื่อวาน ต่างก็เป็นทั้งอดีต ทั้งอนาคต

ณ วันนี้ เป็นปัจจุบัน ล่วงคืนถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็เป็นอดีต วันพรุ่งนี้ที่เป็นอนาคตของวันนี้ ก็จะเป็นปัจจุบัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศึกษาพุทธธรรม ไม่ควรคิดเลยไปไกลจากชีวิตปัจจุบัน จากคน จากมนุษย์ จากสังคมมนุษย์ ที่เห็นๆอยู่นี่ เกินจำเป็น

ถ้าคิดล้ำเลยไกลเกินไป ชีวิตนี้จะไม่ได้อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา :b1:


พระพุทธเจ้าสอน เรื่อง อดีต อนาคต ปัจจุบัน
ถ้าจะมาคิดว่าให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันก็ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีหลายท่าน หลาย อ. สอนให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ใบไม้ประดู่ลายในกำมือที่พระองค์เปรียบเทียบมีคำสอนที่เป็น อดีต อนาคต อยู่ด้วย



รู้ปัจจุบันให้ได้ก่อน เมื่อรู้ปัจจุบันแล้ว ก็จะรู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต เพราะอะไร? เพราะทั้งอดีต ทั้งอนาคต ต่างก็เป็นทั้งปัจจุบันทั้งอดีตมาแล้ว

ตย.เช่น เมื่อวานซืน เมื่อวาน ต่างก็เป็นทั้งอดีต ทั้งอนาคต

ณ วันนี้ เป็นปัจจุบัน ล่วงคืนถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็เป็นอดีต วันพรุ่งนี้ที่เป็นอนาคตของวันนี้ ก็จะเป็นปัจจุบัน :b1:


สนทนากันแบบเนี้ยเขาเรียกว่าคนตะแบง ฟังก็รู้เรื่องแต่กูจะเอาของกูอย่างเนี้ยะ
มันก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร แต่จะให้มันดูเหมือนว่ามันสลับซับซ้อนมากมาย
คุยแบบให้มันเปลืองถ่านเปลืองฟืน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศึกษาพุทธธรรม ไม่ควรคิดเลยไปไกลจากชีวิตปัจจุบัน จากคน จากมนุษย์ จากสังคมมนุษย์ ที่เห็นๆอยู่นี่ เกินจำเป็น

ถ้าคิดล้ำเลยไกลเกินไป ชีวิตนี้จะไม่ได้อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา :b1:


พระพุทธเจ้าสอน เรื่อง อดีต อนาคต ปัจจุบัน
ถ้าจะมาคิดว่าให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันก็ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีหลายท่าน หลาย อ. สอนให้รู้ปัจจุบันอย่างเดียว มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ใบไม้ประดู่ลายในกำมือที่พระองค์เปรียบเทียบมีคำสอนที่เป็น อดีต อนาคต อยู่ด้วย



รู้ปัจจุบันให้ได้ก่อน เมื่อรู้ปัจจุบันแล้ว ก็จะรู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต เพราะอะไร? เพราะทั้งอดีต ทั้งอนาคต ต่างก็เป็นทั้งปัจจุบันทั้งอดีตมาแล้ว

ตย.เช่น เมื่อวานซืน เมื่อวาน ต่างก็เป็นทั้งอดีต ทั้งอนาคต

ณ วันนี้ เป็นปัจจุบัน ล่วงคืนถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็เป็นอดีต วันพรุ่งนี้ที่เป็นอนาคตของวันนี้ ก็จะเป็นปัจจุบัน :b1:


สนทนากันแบบเนี้ยเขาเรียกว่าคนตะแบง ฟังก็รู้เรื่องแต่กูจะเอาของกูอย่างเนี้ยะ
มันก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร แต่จะให้มันดูเหมือนว่ามันสลับซับซ้อนมากมาย
คุยแบบให้มันเปลืองถ่านเปลืองฟืน


ว่าเข้าไปนั่น "เปลืองถ่านเปลืองฝืน" คิกๆๆ

ก็มันจริงๆ ปัจจุบันไม่รู้ แล้วจะไปรู้อดีต รู้อนาคต มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณหรือยังไง :b13: รู้ปัจจุปปันนาคตังสญาณก่อนเถอะแล้วมันรู้ทั้งอดีตอนาคต

เอาแบบง่ายๆ ก็ที่นี่

https://www.google.co.th/search?q=%E0%B ... AfsQsAQIGQ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 99 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร