วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 216 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2016, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ประเด็นคือผมว่า..คนทำกราฟฟิกว่า..

"ประชาชนคือชาติ...ชาติคือประชาชน"

นั้นนะ..มันผิด..แล้วกรัชกายก็เชื่อซะเหลือเกิน


แต่ด้วยปัญญาอะไรก็ไม่ทราบ...ยังวนเวียนอยู่กับคำว่า..ไม่มีคนแล้วจะมีชาติมั้ย??(แล้วก้อไม่เห็นมีใครไปว่า..มีชาติได้โดยไม่ต้องมีคนเลยซะนิด)

ซึ่งมันคนละประเด็นกับรูปที่กรัชกายยกมา..

รูปภาพ

ผมจึงถามกรัชกายงัย..ว่า..

อ้างคำพูด:

เอ่..กรัชกาย...

วิญญาณเป็นปัจจัย...สฬายตนะจึงมี..

วิญญาณคือสฬายตนะ..อะป้าวกรัชกาย?

สฬายตนะเป็นปัจจัย...ผัสสะจึงมี

สฬายตนะคือผัสสะ..อะป้าว..กรัชกาย?

:b32: :b32:


กลับเงียบชี่..แกล้งมองไม่เห็น..

s005 s005


พอถามกรัชกาย..กรัชกายไม่ตอบ :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
"แต่ด้วยปัญญาอะไรก็ไม่ทราบ...ยังวนเวียนอยู่กับคำว่า..[color=#0000FF]ไม่มีคนแล้วจะมีชาติมั้ย??(แล้วก้อไม่เห็นมีใครไปว่า..มีชาติได้โดยไม่ต้องมีคนเลยซะนิด)[/color]"


มาดูนี้..ว่าผมพูดไปยังงัยกับเรื่องประชาชน..ชาติ..ประเทศชาติ..

กบนอกกะลา เขียน:
ประชาชน....หรือคน...ไม่มีชาติไม่มีประเทศ...คนก็เกิดอยู่เป็นปกติได้อยู่แล้ว

แต่เกิดมาแล้ว...จะมีความเป็นอยู่อย่างไร..นี้ซิ

มันจึงขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คนเกิด..รึที่เรียกว่า..ประเทศ..


หากประเทศนั้น..บริหารด้วยคนเผ่าเดียวกันเรา..มีความรู้สึกว่าเป็นญาติพี่น้องกับเรา..นับหน้าถือตากันและกัน..มีความเชื่อเหมือนๆกันกับเรา...เราหรือคนก็อยู่ในประเทศนั้นด้วยความอบอุ่นใจ...สบายใจ...

นี้คือ..ประเทศชาติ...
ชาติ..คือ...การเกิด..เผ่าพันธุ์...
ประเทศ..คือ..สถานที่..อาณาเขต..
ประเทศชาติ...จึงเป็นเรื่องของกลุ่มเผ่าพันธุ์พี่น้องผ่องเพื่อนหนึ่งที่มีอิสระบริหารจัดการภายในอาณาเขตของตน

หากมีแต่ประชาชน..รึ..คน..อย่างเดียว...มันยังเป็นประเทศชาติไม่ได้หรอก..กรัชกาย


แต่กรัชกายม่ายเข้าใจ...ยังถามโง่ๆ..นอกประเด็นอยู่อีก..

กรัชกาย เขียน:
กบตอบนะ

ถ้าโลกนี้ ไม่มีคน ไม่มีประชาชนเลยสักคนนะ แล้วมันจะมีประเทศชาติ ศาสนา กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร จัณทาล ไหม :b32:

มีช้อยให้เลือก

1. มี

2 ไม่มี

ไม่ต้องพูดมากนะ เลือกเลย ข้อ 1 ข้อ 2


วิธีคลุมถุงชนคือ..ให้ตอบแค่..ใช่..กับ..ไม่ใช่..ตอบอย่างอื่นไม่ได้..เป็นวิธีใช้สำหรับการจูงจมูกคน... :b32: :b32: ...

ดูคนฉลาดเขาตอบนะกรัชกาย...

ถ้าโลกนี้ไม่มีคน..ไม่มีประชาชน..แล้วผมจะตอบให้ใครฟังละกรัชกาย.. :b32: :b32:

ผมไม่เห็นมีใครพูดว่า...มีประเทศชาติได้โดยไม่มีคนเลยนะ..

ใครพูดหรอกรัชกาย.. :b9:

แต่ไอ้วลี..."ประชาชนคือชาติ...ชาติคือประชาชน"...มันไม่เข้าท่าสักนิด...

มาดูคำถาม..เชิงให้เกิดปัญญาแก่กรัชกาย..คือ..

อ้างคำพูด:
เอ่..กรัชกาย...

วิญญาณเป็นปัจจัย...สฬายตนะจึงมี..

วิญญาณคือสฬายตนะ..อะป้าวกรัชกาย?

สฬายตนะเป็นปัจจัย...ผัสสะจึงมี

สฬายตนะคือผัสสะ..อะป้าว..กรัชกาย?


ชิว..ชิว.. huh huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ประเด็นคือผมว่า..คนทำกราฟฟิกว่า..

"ประชาชนคือชาติ...ชาติคือประชาชน"

นั้นนะ..มันผิด..แล้วกรัชกายก็เชื่อซะเหลือเกิน


แต่ด้วยปัญญาอะไรก็ไม่ทราบ...ยังวนเวียนอยู่กับคำว่า..ไม่มีคนแล้วจะมีชาติมั้ย??(แล้วก้อไม่เห็นมีใครไปว่า..มีชาติได้โดยไม่ต้องมีคนเลยซะนิด)

ซึ่งมันคนละประเด็นกับรูปที่กรัชกายยกมา..

รูปภาพ

ผมจึงถามกรัชกายงัย..ว่า..

อ้างคำพูด:

เอ่..กรัชกาย...

วิญญาณเป็นปัจจัย...สฬายตนะจึงมี..

วิญญาณคือสฬายตนะ..อะป้าวกรัชกาย?

สฬายตนะเป็นปัจจัย...ผัสสะจึงมี

สฬายตนะคือผัสสะ..อะป้าว..กรัชกาย?

:b32: :b32:


กลับเงียบชี่..แกล้งมองไม่เห็น..

s005 s005


พอถามกรัชกาย..กรัชกายไม่ตอบ :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
"แต่ด้วยปัญญาอะไรก็ไม่ทราบ...ยังวนเวียนอยู่กับคำว่า..[color=#0000FF]ไม่มีคนแล้วจะมีชาติมั้ย??(แล้วก้อไม่เห็นมีใครไปว่า..มีชาติได้โดยไม่ต้องมีคนเลยซะนิด)[/color]"


มาดูนี้..ว่าผมพูดไปยังงัยกับเรื่องประชาชน..ชาติ..ประเทศชาติ..

กบนอกกะลา เขียน:
ประชาชน....หรือคน...ไม่มีชาติไม่มีประเทศ...คนก็เกิดอยู่เป็นปกติได้อยู่แล้ว

แต่เกิดมาแล้ว...จะมีความเป็นอยู่อย่างไร..นี้ซิ

มันจึงขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คนเกิด..รึที่เรียกว่า..ประเทศ..


หากประเทศนั้น..บริหารด้วยคนเผ่าเดียวกันเรา..มีความรู้สึกว่าเป็นญาติพี่น้องกับเรา..นับหน้าถือตากันและกัน..มีความเชื่อเหมือนๆกันกับเรา...เราหรือคนก็อยู่ในประเทศนั้นด้วยความอบอุ่นใจ...สบายใจ...

นี้คือ..ประเทศชาติ...
ชาติ..คือ...การเกิด..เผ่าพันธุ์...
ประเทศ..คือ..สถานที่..อาณาเขต..
ประเทศชาติ...จึงเป็นเรื่องของกลุ่มเผ่าพันธุ์พี่น้องผ่องเพื่อนหนึ่งที่มีอิสระบริหารจัดการภายในอาณาเขตของตน

หากมีแต่ประชาชน..รึ..คน..อย่างเดียว...มันยังเป็นประเทศชาติไม่ได้หรอก..กรัชกาย


แต่กรัชกายม่ายเข้าใจ...ยังถามโง่ๆ..นอกประเด็นอยู่อีก..

กรัชกาย เขียน:
กบตอบนะ

ถ้าโลกนี้ ไม่มีคน ไม่มีประชาชนเลยสักคนนะ แล้วมันจะมีประเทศชาติ ศาสนา กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร จัณทาล ไหม :b32:

มีช้อยให้เลือก

1. มี

2 ไม่มี

ไม่ต้องพูดมากนะ เลือกเลย ข้อ 1 ข้อ 2


วิธีคลุมถุงชนคือ..ให้ตอบแค่..ใช่..กับ..ไม่ใช่..ตอบอย่างอื่นไม่ได้..เป็นวิธีใช้สำหรับการจูงจมูกคน... :b32: :b32: ...

ดูคนฉลาดเขาตอบนะกรัชกาย...

ถ้าโลกนี้ไม่มีคน..ไม่มีประชาชน..แล้วผมจะตอบให้ใครฟังละกรัชกาย.. :b32: :b32:

ผมไม่เห็นมีใครพูดว่า...มีประเทศชาติได้โดยไม่มีคนเลยนะ..

ใครพูดหรอกรัชกาย.. :b9:

แต่ไอ้วลี..."ประชาชนคือชาติ...ชาติคือประชาชน"...มันไม่เข้าท่าสักนิด...

มาดูคำถาม..เชิงให้เกิดปัญญาแก่กรัชกาย..คือ..

อ้างคำพูด:
เอ่..กรัชกาย...

วิญญาณเป็นปัจจัย...สฬายตนะจึงมี..

วิญญาณคือสฬายตนะ..อะป้าวกรัชกาย?

สฬายตนะเป็นปัจจัย...ผัสสะจึงมี

สฬายตนะคือผัสสะ..อะป้าว..กรัชกาย?


ชิว..ชิว.. huh huh



เพราะกบตอบแล้วมันเข้าเนื้อตัวเอง คิกๆๆๆ จริงแท้ก็คือว่า เมื่อไม่มีคน มันก็ไม่มี ประเทศ ชาติ ศาสนา พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทร จัณฑทาล :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา
เอ่..กรัชกาย...

วิญญาณเป็นปัจจัย...สฬายตนะจึงมี..

วิญญาณคือสฬายตนะ..อะป้าวกรัชกาย?

สฬายตนะเป็นปัจจัย...ผัสสะจึงมี

สฬายตนะคือผัสสะ..อะป้าว..กรัชกาย


อะไรน่า ไหนอธิบายให้ฟังหน่อยสิเอ้า :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงมิใช่ทาสโดยนิตินัย แต่ก็เป็นทาสโดยพฤตินัย :b24:

https://www.facebook.com/thainobilityV2 ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศูทร ชื่อวรรณะที่สี่ ในวรรณะสี่ของคนในชมพูทวีป ตามหลักศาสนาพราหมณ์จัดเป็นชนชั้นต่ำ ได้แก่ พวกทาสและกรรมกร

วรรณะ ผิว, สี, เพศ, ชนิด, พวก, เหล่า, หนังสือ, คุณความดี, ความยกย่องสรรเสริญ, ชนชั้นทีจัดแบ่งออกไปตามหลักศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า วรรณะ ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร +จัณฑาล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(หลักการของพระพุทธศาสนา)

เรื่องชาติชั้นวรรณะ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในชมพูทวีป จึงมีพุทธพจน์ตรัสย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ดังตัวอย่าง เป็นคำสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้า กับ พราหมณ์ชื่อเอสุการี บางตอน เช่น

พราหมณ์: ท่านพระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติทรัพย์ไว้ ๔ อย่าง...คือ บัญญัติการภิกขาจาร ให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของพราหมณ์...บัญญัติธนูกับแล่ง ให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของกษัตริย์...บัญญัติกสิกรรมและการเลี้ยงโค ให้เป็นทรัพย์ประจำของแพศย์...บัญญัติเคียวและไม้คาน ให้เป็นทรัพย์ประจำตัวของศูทร...พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติทรัพย์ไว้ ๕ อย่างดังนี้ ท่านพระโคดมผู้เจริญ จะตรัสว่ากระไรในเรื่องนี้ ?

พระพุทธเจ้า: แน่ะพราหมณ์ ชาวโลกทั้งหมด พร้อมใจกันอนุญาตข้อตกลงนี้ไว้แก่พราหมณ์ทั้งหลายว่า ขอพราหมณ์ทั้งหลาย จงบัญญัติทรัพย์ ๔ ประการเหล่านี้เถิด ดังนี้หรือ ?

พราหมณ์: มิใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม

พระพุทธเจ้า: แน่ะพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษยากไร้ ไม่มีอะไรเป็นของคน เป็นผู้ขัดสน คนพวกหนึ่ง เอาก้อนเนื้อขึ้นแขวนให้แก่เขา ผู้ไม่มีความปรารถนาเลย โดยบอกว่า นี่แน่ะพ่อมหาจำเริญ เธอกินเนื้อนี้เสีย และจ่ายเงินค่าเนื้อมา ดังนี้ ฉันใด พวกพราหมณ์ ก็ฉันนั้น บัญญัติทรัพย์ ๔ อย่างเหล่านี้ แก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ โดยไม่ได้รับความยินยอม "แน่ะพราหมณ์ ท่านจะเห็นเป็นประการใด (สมมติว่า) ขัตติยราช ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว รับสั่งให้บุรุษชาติต่างๆ กัน ๑๐๐ คน มาประชุมกันว่า

มาเถิดท่านทั้งหลาย ในบรรดาท่านทั้งหลายนั้น ผู้ใดเกิดจากตระกูลกษัตริย์ จากตระกูลพราหมณ์ จากตระกูลเจ้า ผู้นั้น จงเอาไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทร์ หรือไม้ทับทิม มาทำเป็นไม้สีไฟ จงก่อไฟ ให้ความร้อนปรากฏ มาเถิดท่านทั้งหลาย ในบรรดาท่านทั้งหลายนั้น ผู้ใด เกิดจากตระกูลจัณฑาล จากตระกูลพราน จากตระกูลช่างสาน จากตระกูลช่างรถ จากตระกูลคนเทขยะ ผู้นั้น จงเอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่ง มาทำเป็นไม้สีไฟ จงก่อไฟ ให้ความร้อนปรากฏ นี่แน่ะพราหมณ์ ท่านเห็นเป็นประการใด ไฟที่เกิดจากตระกูลกษัตริย์ จากตระกูลพราหมณ์ จากตระกูลเจ้า เอา ไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทร์ หรือไม้ทับทิม มาทำเป็นไม้สีไฟ ก่อขึ้น ให้มีความร้อนปรากฏ ไฟนั้นเท่านั้นหรือ จึงมีเปลว มีสี มีแสง และสามารถใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้ ส่วนไฟที่คนผู้เกิดจากตระกูลจัณฑาล จากตระกูลพราน จากตระกูลช่างสาน จากตระกูลช่างรถ จากตระกูลคนเทขยะ เอา ไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่ง มาทำเป็นไม้สีไฟ ก่อขึ้น ให้มีความร้อนปรากฏ ไม่มีเปลว ไม่มีสี ไม่มีแสง ไม่สามารถใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้ อย่างนั้นหรือ?

พราหมณ์: มิใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดมผู้เจริญ...ไฟทั้งหมดนั่นแหละ มีเปลว มีสี มีแสง และไฟทั้งหมด ใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้

พระพุทธเจ้า: ฉันนั้น เหมือนกันแลท่านพราหมณ์ บุคคลแม้หากออกบวชเป็นอนาคาริก จากตระกูลกษัตริย์ และ เขาอาศัยธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้...มีสัมมาทิฏฐิ ก็ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรมที่เป็นทางรอดพ้นให้สำเร็จได้ แม้หากออกบวชเป็นอนาคาริก จากตระกูลพราหมณ์...จากตระกูลแพศย์...จากตระกูลศูทร และเขาอาศัยธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้...มีสัมมาทิฏฐิ ก็ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรมที่เป็นทางรอดพ้นให้สำเร็จได้"

(เอสุการีสูตร ม.ม.13/665-670/614-622)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2016, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัลวิกาศิลปินสาวอินเดีย อดีต “จัณฑาล” วาดภาพพุทธประวัติ สไตล์ฮินดู


รูปภาพ


มัลวิกามีจิตใจแน่วแน่ในการต่อต้านความไม่เท่าเทียมในสังคม และมองการแสดงออกด้านศิลปะอย่างมีอิสระ ว่าเป็นการสร้างพลัง มิใช่การจำกัดวงในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน เธอได้สอนการวาดภาพสไตล์มธุพานีให้กับหญิงสาวชนชั้นจัณฑาล และประกาศว่า

“ฉันเป็นผู้สนับสนุนความเสมอภาคของสิทธิสตรี และฉันสนับสนุนพลังของผู้หญิง แต่ผู้หญิงชั้นจัณฑาลค่อนข้างล้าหลัง ไม่สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับผู้หญิงอื่นๆในทุกๆก้าวย่างของชีวิต เนื่องจากพวกเธอต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมและการกดขี่ถึง 3 ด้านด้วยกัน ด้านแรกคือ พวกเธอเป็นจัณฑาล ต่อมาคือ พวกเธอเป็นผู้หญิง และสุดท้ายคือ พวกเธอส่วนใหญ่ไร้การศึกษาและมีฐานะยากจน”

http://pantip.com/topic/33620046

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2016, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาวคดีขันแดง เผยถูกตรวจร่างกาย
ขณะเข้าเรือนจำเช่นเดียวกับ
น.ส.กรกนก คำตา นศ.มธ.

ศูนย์ทนายสิทธิฯ โพสต์ข้อความว่า
นางธีรวรรณ เจริญสุข ผู้ต้องหาในคดีขันแดง
โดนข้อหา ม. 116 ได้เปิดเผย
กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ว่า

เธอถูกพาตัวไปยังทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
แม้จะพยายามแจ้งเจ้าหน้าที่เรือนจำแล้วว่า
ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัวแล้ว
และกำลังรอหมายปล่อยตัวจากศาล
แต่เธอกลับยังถูกนำตัวไปตรวจร่างกาย
เพื่อเข้าเรือนจำ

โดยมีการใช้ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ที่มีผู้คุมอยู่ด้วยสองคน
ให้เธอถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกทั้งหมด

และยังให้ทำกิริยานั่งแล้วลุก-นั่งแล้วลุก
หลายต่อหลายครั้ง เพื่อตรวจดูว่า
มีการซุกซ่อนสิ่งใดไว้ในช่องคลอดหรือไม่
แต่กรณีของเธอ
เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการล้วงเข้าไปในช่องคลอด
เนื่องจากเห็นว่ามีอายุมากแล้ว

เมื่อตรวจร่างกายเสร็จ
ก็มีการให้เธอใส่ชุดผู้ต้องขัง
และนำตัวเข้าไปส่วนทะเบียน
เพื่อจัดทำประวัติ ปั๊มลายมือ ถ่ายรูป
และแจกอุปกรณ์พื้นฐาน
ที่จำเป็นบางส่วนสำหรับนักโทษ
พร้อมกับให้แขวนป้ายสีเหลือง
ที่แสดงถึงความเป็นนักโทษใหม่
ก่อนจะนำตัวเข้าไปภายในแดน 1
ซึ่งเป็น “แดนแรกรับ”
อันเป็นแดนที่ผู้ต้องขังใหม่
จะเข้ามาก่อนเป็นแห่งแรก

นางธีรวรรณ ระบุว่า
เธอถูกนำตัวเข้าไปในเรือนจำราวชั่วโมงเศษ
ทางเรือนจำก็มีการประกาศชื่อเธอว่า

มีหมายปล่อยตัวมาแล้ว
จึงได้มีการคืนเสื้อผ้าชุดเดิม
และให้เปลี่ยนจากชุดนักโทษได้

นาง ธีรวรรณ ยังระบุว่า
สภาพในเรือนจำมีการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง

ในลักษณะเหมือนนายกับบ่าว

โดยนักโทษจะต้องคลานเข่า
เข้าไปหาผู้คุมในเรือนจำ
และต้องยกมือไหว้ขณะพูดคุยด้วย

เธอระบุความรู้สึกหลังจากถูกปฏิบัติ
ในลักษณะดังกล่าวว่า

“ทำให้เราสติแตก
รู้สึกเหมือนกับเข้าไปในนรก
เหมือนกับเป็นนักโทษไปแล้ว
ไม่เคยคิดเลยว่าจะโดนแบบนี้
ทั้งที่เราก็ได้ประกันตัวอยู่แล้ว”

โดยขณะปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำ
เธอมีอาการร้องไห้เสียใจ
และเพื่อนๆ ต้องพากันไปทำบุญรดน้ำมนต์
และสะเดาะเคราะห์ที่วัดในตัวเมืองเชียงใหม่อีกด้วย

https://www.facebook.com/permalink.php? ... 5642058295

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2016, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านบทความนี้แล้ว ก็จะเห็นระบบวรรณะ ซึ่งพระพุทธศาสนาก็อุบัติขึ้นท่ามกล่าวสภาพแวดล้อมของสังคมเช่นนั้น

พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมา ก็เกิดการศึกษาแก่มวลชน

หลักฐานแสดงถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในอดีต ที่ทางฝรั่งเขาเรียกกันว่า มหาวิทยาลัยนาลันทา (University of Nalanda) แต่ในทางประวัติศาสตร์ของเราเองที่สืบมาในพระพุทธศาสนา เราเรียกกันว่า นาลันทามหาวิหาร

คำว่า “วิหาร” ก็แปลว่า วัดนั่นเอง แต่ในภาษาไทยเราอาจจะสับสนหน่อย เพราะเราเอาคำว่า วิหาร ไปเรียกอาคารหลังหนึ่งในวัดที่คู่กับโบสถ์ ความจริงนั้น วิหาร หมายถึง ที่อยู่ของพระ เพราะคำว่า วิหาร แปลว่า ที่อยู่

เดิมทีนั้น วิหารคือที่อยู่ของพระ อาจจะเป็นที่อยู่เล็กๆ เช่นเป็นอาคารหลังเดียวก็ได้ ต่อมาบริเวณที่อยู่อาศัยของพระทั้งหมด ก็เรียกว่า วิหาร คำว่า วิหาร ก็เลยหมายถึง วัด เช่น เชตวันวิหาร ทีนี้ ถ้าใหญ่ วิหารนั้นก็เป็นมหาวิหาร เช่นพระเชตวันวิหารนี้ ถ้าเรียกเชตวันวิหาร ก็ยังเล็กไป ก็เติมให้เป็นเชตวันมหาวิหาร สำหรับสถานที่นี้ (คือ นาลันทา) ก็ทำนองนั้นเหมือนกัน

วัดนาลันทา นี้ ตามประวัติว่าเริ่มต้นหลังพุทธกาล แต่เราก็ไม่ทราบแน่นอนว่า จะมีมาแล้วในพุทธกาลด้วยหรือไม่ เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแพร่กว้างขวางออกไป ถึงยุคหนึ่ง เมื่อมีจำนวนวัดมากๆ บางทีก็มีการรวมวัดหลายๆวัดเข้าด้วยกัน

สำหรับนาลันทานี้ มีประวัติเท่าที่สืบกันมาได้ว่า ถึงยุคหนึ่งหลังพุทธกาล อาจจะใกล้ๆ กับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ให้มีการรวมวัดประมาณ ๖ วัดเข้าด้วยกัน โดยมีการล้อมกำแพง ๖ วัดนี้ให้อยู่ในเขตเดียวกัน วัดซึ่งแต่ละวัดก็เรียกว่าวิหาร เมื่อมารวมกันอยู่ในกำแพงเดียวกันตั้ง ๖ วัด ก็เลยกลายเป็นมหาวิหาร คือ วัดใหญ่

ทีนี้ คำว่า มหาวิหาร คือวัดใหญ่ ก็หมายถึง แหล่งการศึกษาที่สำคัญด้วย เพราะคำว่า วัด นั้น มีความหมายนอกจากเป็นสถานที่ทางพระพุทธศาสนา เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์แล้ว ก็เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้วย

วิหาร หรือ วัด จึงแปลได้ว่า ที่อยู่ของผู้ศึกษา (รวมทั้งผู้จบการศึกษาแล้ว) ทั้งนี้เพราะว่า วัดในพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั้น เป็นที่ฝึกฝนอบรมบุคคล ให้มีความเจริญงอกงามเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา หลักการของพระพุทธศาสนาก็เป็นการศึกษาอยู่แล้ว

เราทราบกันดีว่า ข้อปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนาเรียกว่า สิกขา แปลว่า การศึกษา ฉะนั้น ชีวิตของพระจึงอยู่ด้วยการศึกษา

เมื่อมีพระใหม่บวชเข้ามา เริ่มต้น พอบวชเสร็จ พระอุปัชฌาย์ก็บอกว่า สีลํ สมฺมทกฺขาตํ สมาธิ สมฺมทกฺขาโต ปญฺญา สมฺมทกฺขาตา แล้วก็สรุปให้ทราบว่า พระจะต้องตั้งใจศึกษาตามสิกขา ๓ ประการนี้ คือ สกฺกจฺจํ อธิสีลสิกฺขา สิกฺขิตพฺพา อธิจิตฺตสิกฺขา สิกฺขิตพฺพา อธิปญฺญาสิกฺขา สิกฺขิตพฺพา นี่คือชีวิตของพระ พระอุปัชฌาย์บอกแล้วว่า เอานะ ให้ตั้งใจนะ ให้ฝึกฝนอบรมศึกษาตามหลัก อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

ชีวิตของพระเป็นการศึกษาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น วัดจึงกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษา ยิ่งในสมัยพุทธกาล มีทั้งภิกษุ และ ภิกษุณี จึงถือว่า พระพุทธศาสนาได้ช่วยให้คนรักการศึกษาอย่างกว้างขวางทั่วไป เป็นการศึกษาของมวลชน ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้สตรีก็มีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างดี

มีพระเถรีที่มีชื่อเสียง เป็นเอตทัคคะในด้านต่างๆ เช่น เป็นธรรมกถึก เป็นพหูสูต ตลอดจนท่านที่มีความรู้ความสามารถเป็นถึงอัครสาวิกา

นอกจากนั้น ที่สำคัญก็คือ การศึกษาในพระพุทธศาสนานี้เปิดโอกาสแก่คนทุกวรรณะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า จะเป็นคนวรรณะกษัตริย์ก็ตาม วรรณะพราหมณ์ก็ตาม วรรณะแพศย์ก็ตาม วรรณะศูทรก็ตาม คือ จะเป็นชนชั้นผู้ปกครอง หรือจะเป็นชนชั้นเจ้าพิธี เป็นนักวิชาการ เป็นพ่อค้า กรรมกร ตลอดจนเป็นคนรับใช้ก็ตาม เมื่อเข้ามาบวชแล้ว ท่านเรียกว่า เป็นสมณศากยบุตรเสมอกันทั้งหมด

พระพุทธเจ้า เปิดรับคนจากทุกชั้นวรรณะและให้ความเสมอภาค ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน

เรื่องนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ เพราะว่าในศาสนาพราหมณ์ เขาผูกขาดการศึกษา อย่างที่กล่าวว่า พราหมณ์เท่านั้นที่จะเป็นผู้รักษาทรงพระเวทไว้ เป็นผู้ที่รับถ่ายทอสืบต่อกันมาโดยถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ วรรณะที่จะเรียนพระเวทได้บ้างก็มีวรรณะกษัตริย์ รองลงไปก็วรรณะแพศย์ เช่นพวกพ่อค้า แต่วรรณะศูทรไม่มีโอกาสศึกษาเลย พวกนอกวรรณะ คือ จัณฑาล เป็นอันไม่ต้องพูดถึง

สำหรับคนวรรณะศูทร แม้แต่เพียงจะฟังการสาธยายพระเวท ก็ไม่มีโอกาส ในคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ (ภาษาเดิมเรียกว่า มานวธรรมศาสตร์) ซึ่งเป็นคัมภีร์หรือตำรากฎหมายของพราหมณ์ มีบัญญัติห้ามไม่ให้สาธยายพระเวทในที่มีคนวรรณะศูทรอยู่ด้วย

ในกฎหมายของพราหมณ์บางคัมภีร์ ถึงกับมีบทลงโทษไว้อย่างรุนแรงว่า ถ้าคนวรรณะศูทรฟังการสาธยายพระเวท ให้เอาตะกั่วหลอมหยอดหูมัน ถ้าหากมันสาธยายพระเวท ให้ตัดลิ้นมันเสีย ถ้าหากมันเรียนพระเวท ให้ผ่ากายมันเป็นสองซีก นี่ร้ายแรงขนาดไหน

มีเรื่องราวในชาดกเล่าว่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นคนนอกวรรณะคือเป็นคนจัณฑาล อยากจะเล่าเรียนศึกษา

สมัยก่อนพุทธกาลนั้น แหล่งเล่าเรียนศึกษาที่สำคัญก็คือ ตักกสิลา ซึ่งเป็นดินแดนทิศาปาโมกข์ ใครๆ ก็ไปเรียนกันที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า เป็นเศรษฐี เป็นมหากษัตริย์ เป็นเจ้าชาย ก็ต้องพากันไปเรียนที่สำนักทิศาปาโมกข์ แต่เขาเปิดให้เรียนเฉพาะคนวรรณะสูงเท่านั้น ส่วนพวกวรรณะศูทร ไม่มีโอกาสได้เรียน วรรณะจัณฑาลไม่ต้องพูดถึง

ทีนี้ ตามเรื่องราวที่กล่าวไว้เมื่อกี้ว่า พระโพธิสัตว์ได้เกิดในวรรณะจัณฑาล มีความใคร่ต่อการศึกษา อยากจะเรียนก็ไม่มีทางจะเล่าเรียน ก็เลยปลอมตัวเข้าไปเรียนในสำนัก ทิศาปาโมกข์

เรียนๆไป มาถึงวันหนึ่ง ก็ไม่สามารถปิดบังชาติกำเนิดของตนได้ เพราะชาติกำเนิดนี้ มีเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี และชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เมื่อไปอยู่รวมกับเขานานๆ ก็ปิดไม่ไหว ลักษณะอาการบางอย่างก็ปรากฏออกมาจนเพื่อนจับได้

พอเพื่อนจับได้ ว่าเป็นคนจัณฑาลมาร่วมสำนักเท่านั้นแหละ เพื่อนที่เคยอยู่ร่วมกัน รักใคร่กัน ก็กลับเป็นศัตรูทันที พากันจับพระโพธิสัตว์ซ้อมใหญ่ พร้อมทั้งขับไล่ให้ออกจากสำนักไป

เรื่องนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาที่เป็นมาในศาสนาพราหมณ์นั้น มีการผูกขาดเหลือเกินด้วยลัทธิวรรณะนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นมา จึงถือเป็นการปฏิวัติสังคมที่สำคัญ ทำให้มีการเปิดรับคนทุกวรรณะให้มีการศึกษาอย่างเสมอภาค การศึกษาก็เจริญขึ้น ด้วยอาศัยพระพุทธศาสนา แล้วก็วัดนี่แหละที่เป็นศูนย์กลางการศึกษา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 03:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สาวคดีขันแดง เผยถูกตรวจร่างกาย
ขณะเข้าเรือนจำเช่นเดียวกับ
น.ส.กรกนก คำตา นศ.มธ.

ศูนย์ทนายสิทธิฯ โพสต์ข้อความว่า
นางธีรวรรณ เจริญสุข ผู้ต้องหาในคดีขันแดง
โดนข้อหา ม. 116 ได้เปิดเผย
กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ว่า

เธอถูกพาตัวไปยังทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
แม้จะพยายามแจ้งเจ้าหน้าที่เรือนจำแล้วว่า
ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัวแล้ว
และกำลังรอหมายปล่อยตัวจากศาล
แต่เธอกลับยังถูกนำตัวไปตรวจร่างกาย
เพื่อเข้าเรือนจำ

โดยมีการใช้ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ที่มีผู้คุมอยู่ด้วยสองคน
ให้เธอถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกทั้งหมด

และยังให้ทำกิริยานั่งแล้วลุก-นั่งแล้วลุก
หลายต่อหลายครั้ง เพื่อตรวจดูว่า
มีการซุกซ่อนสิ่งใดไว้ในช่องคลอดหรือไม่
แต่กรณีของเธอ
เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการล้วงเข้าไปในช่องคลอด
เนื่องจากเห็นว่ามีอายุมากแล้ว

เมื่อตรวจร่างกายเสร็จ
ก็มีการให้เธอใส่ชุดผู้ต้องขัง
และนำตัวเข้าไปส่วนทะเบียน
เพื่อจัดทำประวัติ ปั๊มลายมือ ถ่ายรูป
และแจกอุปกรณ์พื้นฐาน
ที่จำเป็นบางส่วนสำหรับนักโทษ
พร้อมกับให้แขวนป้ายสีเหลือง
ที่แสดงถึงความเป็นนักโทษใหม่
ก่อนจะนำตัวเข้าไปภายในแดน 1
ซึ่งเป็น “แดนแรกรับ”
อันเป็นแดนที่ผู้ต้องขังใหม่
จะเข้ามาก่อนเป็นแห่งแรก

นางธีรวรรณ ระบุว่า
เธอถูกนำตัวเข้าไปในเรือนจำราวชั่วโมงเศษ
ทางเรือนจำก็มีการประกาศชื่อเธอว่า

มีหมายปล่อยตัวมาแล้ว
จึงได้มีการคืนเสื้อผ้าชุดเดิม
และให้เปลี่ยนจากชุดนักโทษได้

นาง ธีรวรรณ ยังระบุว่า
สภาพในเรือนจำมีการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง

ในลักษณะเหมือนนายกับบ่าว

โดยนักโทษจะต้องคลานเข่า
เข้าไปหาผู้คุมในเรือนจำ
และต้องยกมือไหว้ขณะพูดคุยด้วย

เธอระบุความรู้สึกหลังจากถูกปฏิบัติ
ในลักษณะดังกล่าวว่า

“ทำให้เราสติแตก
รู้สึกเหมือนกับเข้าไปในนรก
เหมือนกับเป็นนักโทษไปแล้ว
ไม่เคยคิดเลยว่าจะโดนแบบนี้
ทั้งที่เราก็ได้ประกันตัวอยู่แล้ว”

โดยขณะปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำ
เธอมีอาการร้องไห้เสียใจ
และเพื่อนๆ ต้องพากันไปทำบุญรดน้ำมนต์
และสะเดาะเคราะห์ที่วัดในตัวเมืองเชียงใหม่อีกด้วย

https://www.facebook.com/permalink.php? ... 5642058295


ดีดี..ที่นำเรื่องนรกบนดินมาเผยแพร่..
:b17: :b17: :b17:

นรกหลอกยังขนาดนี้..นรกจริงก็ให้กลัวมากๆกันหน่อย..บุญจะมากขนาดไหน..นรกจริงไม่มีประกันตัว..นะจ๊ะ..

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังคมไทยเป็นสังคมอภิสิทธิ์ชน สังคมศักดินา เห็นชาวบ้านเหมือนเหยื่อ


รูปภาพ


มีอีกนะกบ

3 สาวผู้ต้องหาคดีการเมือง เปิด 3 เรื่องเล่าละเมิดสิทธิฯ ระหว่างรอประกันในเรือนจำ

http://prachatai.com/journal/2016/05/65597

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2016, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำเเรื่องไกลๆให้ดุู ดูแล้วพึงมองใกล้เข้ามที่สังคมบ้านเมืองเราปัจจุบัน


รูปภาพ

ชันสูตรศพเหยื่อสาววรรณะจัณฑาล ถูกแทงเสียชีวิตที่ที่พักอาศัย

แม่เหยื่อให้สัมภาษณ์ว่า ลูกสาว มีความฝันอยากเป็นนักกฎหมายเพื่อต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ จากการที่คนในวรรณะจัณฑาลถูกหยามเหยียด ลูกสอบผ่านแล้วใกล้จะจบคอร์สอยู่แล้ว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonlin ... um=twitter

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 04:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปัญหาชนชั้น

สุดท้ายดูเหมือนว่าสังคมไทยที่เคยได้ชื่อว่าประนีประนอม ออมชอม และประสานประโยชน์ระหว่างกันนั้น คงจะหมดไปแล้ว เหลือแต่ความรู้สึกแตกต่างระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน ปัญหานี้เกิดจากชนชั้นผู้ปกครองที่มีความต้องการหรือจิตใต้สำนึกที่ไม่รู้ ตัวก็ตามได้ตอกย้ำความแตกต่างนี้ตลอดเวลา

สิ่งที่ชนชั้นสูงแสดงออกคือ การดูถูกเหยียดหยามชนชั้นล่าง อาศัยเส้นสาย เอาเปรียบคนอื่น ช่วยเหลือคนในกลุ่มชนชั้นเดียวกัน ลงโทษอย่างรุนแรงกับชนชั้นล่างที่ไม่รู้กฎหมาย แต่ชนชั้นสูงที่ทำผิด เช่น ยึดพื้นที่ป่าสงวนฯและยอมส่งคืนก็จะไม่ผิด แต่คนที่เก็บของป่าในพื้นที่เดียวกันอาจติดคุก

เมื่อไม่นานมานี้ชนชั้นสูงต่างดาหน้าออกมาบอกว่าประชาชนยังโง่ ไม่มีความรู้ บางคนถึงกับเปรียบเทียบประชาชนไม่ต่างจากสุนัข ต้องมีคนที่มีความรู้เช่นพวกตนหรือเป็นคนดีที่แต่งตั้งกันเองมาปกครอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเขียนรัฐธรรมนูญให้ปกครองด้วยระบบราชการและชนชั้นสูงที่มี อำนาจล้นเหลือ จะด้วยความรังเกียจตัวแทนประชาชนหรือกลัวอำนาจและผลประโยชน์ที่ได้มาด้วย ระบบเส้นสายจะหมดไปก็ตาม


ตัวอย่างการเขียนบิดเบือน..วาทะกรรมมีเจตนาอกุศล..

นี้..ศีลไม่ดีแล้วละกรัชกาย...จะประสาอะไรเรื่องที่จะพูดตามมา..

ทำตัวไม่น่าเชื่อถือ...เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปัญหาชนชั้น

สุดท้ายดูเหมือนว่าสังคมไทยที่เคยได้ชื่อว่าประนีประนอม ออมชอม และประสานประโยชน์ระหว่างกันนั้น คงจะหมดไปแล้ว เหลือแต่ความรู้สึกแตกต่างระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน ปัญหานี้เกิดจากชนชั้นผู้ปกครองที่มีความต้องการหรือจิตใต้สำนึกที่ไม่รู้ ตัวก็ตามได้ตอกย้ำความแตกต่างนี้ตลอดเวลา

สิ่งที่ชนชั้นสูงแสดงออกคือ การดูถูกเหยียดหยามชนชั้นล่าง อาศัยเส้นสาย เอาเปรียบคนอื่น ช่วยเหลือคนในกลุ่มชนชั้นเดียวกัน ลงโทษอย่างรุนแรงกับชนชั้นล่างที่ไม่รู้กฎหมาย แต่ชนชั้นสูงที่ทำผิด เช่น ยึดพื้นที่ป่าสงวนฯและยอมส่งคืนก็จะไม่ผิด แต่คนที่เก็บของป่าในพื้นที่เดียวกันอาจติดคุก

เมื่อไม่นานมานี้ชนชั้นสูงต่างดาหน้าออกมาบอกว่าประชาชนยังโง่ ไม่มีความรู้ บางคนถึงกับเปรียบเทียบประชาชนไม่ต่างจากสุนัข ต้องมีคนที่มีความรู้เช่นพวกตนหรือเป็นคนดีที่แต่งตั้งกันเองมาปกครอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเขียนรัฐธรรมนูญให้ปกครองด้วยระบบราชการและชนชั้นสูงที่มี อำนาจล้นเหลือ จะด้วยความรังเกียจตัวแทนประชาชนหรือกลัวอำนาจและผลประโยชน์ที่ได้มาด้วย ระบบเส้นสายจะหมดไปก็ตาม


ตัวอย่างการเขียนบิดเบือน..วาทะกรรมมีเจตนาอกุศล..

นี้..ศีลไม่ดีแล้วละกรัชกาย...จะประสาอะไรเรื่องที่จะพูดตามมา..

ทำตัวไม่น่าเชื่อถือ...เอง



ปัญหา อยู่ตรงนี้กบ คือ พื้นที่ที่นั้น เป็นพื้นที่สงวนตามนิติเหมือนกัน ถึงจะอยู่คนละแห่ง คนละจังหวัดก็ตาม เช่น แห่งหนึ่งเป็นที่ที่สงวน แต่มีคนมียศถาบรรดาศักดิ์ ขึ้นไปปลูกบ้านอยู่บนยอดเขา ตัดสินว่าไม่มีเจตนา พ้นผิดทางนิติรัฐไป

แต่อีกแห่งหนึ่ง เป็นที่สงวนตามนิติรัฐเหมือนกัน แต่ชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีฐานะทางสังคมใดๆ ไปเก็บเห็ด เก็บหอยประทังชีวิต แต่ถูกตัดสินตามนิติรัฐว่าผิดติดคุก

มันต่างกันมั้ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรณีนี้ กบคิดยังไง ให้มีลูกหลายๆคน แบบโบราณ ครอบครัว มี 10 - 12 คน เพื่อมาเป็นกำลังสำรอง :b10: กบมีกี่คนแล้ว คิกๆๆ

อ้างคำพูด:
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แนะคนไทยช่วยกันมีลูกเยอะๆ เอามาเป็นกำลังสำรอง



http://prachatai.com/journal/2016/05/65621

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 216 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร