วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 15:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 เม.ย. 2016, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
โพชงค์ทั้ง 7 หรือ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ ย่อมมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันเจริญขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาจนงานสำเร็จ เข้าถึงความเป็นโพธิ ของจิตทุกดวง

อโศกะเพียงแค่มาชี้และชวนกันสังเกตให้ดี ให้เห็นถึงน้ำหนักของกลุ่มธรรมสำคัญในการปฏิบัติธรรมหรือเจริญมรรค 8

มรรคทั่ง 8 ข้อเมื่อสรุปรวมลงมาแล้วแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มเรียงตามลำดับว่า

ปัญญามรรค สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
ศีลมรรค สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สมาธิมรรค สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ในองค์ธรรมแต่ละหมวดของโพธิปักขิยธรรม ได้พยายามเน้นให้เห็นว่า เป็นการทำงานของมรรคกลุ่มไหนเพื่อให้ผู้ปฏิบัตได้เข้าจและปฏิบัติได้ถูกต้องตามน้ำหนักแห่งธรรม

โพธิปักขิยธรรมมีโคตรระหัสในการจำง่ายๆคล้ายเบอร์โทรศัพท์ว่า

34 2 5 17 18 ท่องว่า สามสี่ สองห้า หนึ่งเจ็ด หนึ่งแปด

สามสี่ คือ สัมมัปธาน 4 สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4

สองห้า คือ อินทรีย์ 5 กับพละ 5

หนึ่งเจ็ด คือ โพชงค์ 7

หนึ่งแปด คือ มรรค 8

ในแต่ละหมวดย่อยของโพธิปักขิยธรรมเวลานำไปสู่การปฏิบัติจริง ลองพากันสังเกตให้ดีซิครับว่าตอนไหนใช้ธรรมหมวดใดมากน้อยเน้นหนักต่างกันอย่างไร

[size=150]ดังที่ผมได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ในการเจริญโพชงค์ 7 จะเป็นเรื่อของสมาธิมรรคตั้ง 6 ข้อ ปัญญามรรคเพียงข้อเดียว


ในหมวดอื่นก็เช่นกัน ลองไล่วิเคราะห์ หรือทำธรรมวิจัยกันดูะครับ[/size]
:b39:
ส่วนการมาชักใบให้เรือเสียอย่างที่นักวิชาการพุทธศาสนา ผู้ยิ่งด้วยความรู้ในตำราทั้งหลายพยายามดึงกันไปกันมา ลอกตำรามาเกทับกันคนละแง่ละมุมเหมือนคนยืนมองเลข 6 คนละข้างอย่างที่ท่านกรัชกายเอามาแปะสอนนั้น มันเป็นบรรยากาศที่ไม่สร้างสรรค์และซ้ำซากจำเจเป็นอย่างมากในลานธรรมแห่งนี้
เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายชวนให้เกิดนิพพิทาญาณในความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อวดรู้อวดฉลาดกันเป็นอย่างยิ่ง เฮ้อ.......อนิจจา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

:b16:

:b32:
อโสกะเอ้ย....กระผมก็มาชี้แจงดีดี...ว่า..ที่อโสกะเข้าใจ..นั้นนะ..มันผิด

ที่ว่า...โพชฌงค์ 7 ปัญญามีเพียงข้อเดียว..นั้นนะ..อโสกะเข้าใจผิด

ธรรมภายใน...มันเอาออกมาบอกใครไม่ได้หรอก..เขียนออกมามันก็เป็นบัญญัติหมด....แต่ว่ามันมีหลักฐานว่าพระพุทธองค์สั่งสอนใว้แล้ว...ที่พอจะยืนยันที่เจอมา...จึงได้ยกมา...

อโสกะ..ใยไม่พิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้าดีดีเล้า...ใยมาตั้งแง่ว่าแต่คนอื่นเขาเอาตำรามาเกทับ..

คนที่จะเป็นบัณฑิตได้นี้นะ...จะต้องไม่มีนิสัยอย่างนี้นะ..นี้พูดตรง ๆ


โพสต์ เมื่อ: 21 เม.ย. 2016, 06:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
กบคิดมากและอยากจะเถียงตะพึดตะพือเอาดังไว้ก่อนจึงถูกโมหะครอบงำ สัมปชัญญะขาด

กบรู้เรื่องมรรค 3 กลุ่มดีหรือยัง? ถ้ารู้ดีแล้วจึงจะเข้าใจประเด็นที่อโศกะชี้ ถ้ารู้ไม่ดีก็จะตีความมั่วไปหมด

ลองสังเกตดูให้ดีๆสิว่า โพชงค์แต่ละข้อเราสามารถจัดเข้าไปอยู่ในมรรคกลุ่มไหน แยกแยะให้ชัด ไม่ใช่มั่วทุกข้อเข้าได้ทุกกลุ่มอย่างที่กบเข้าใจ

แล้วกบก็จะได้พบว่าโพชงค์ 7 เป็นสมาธิมรรค 6 ข้อ ปัญญามรรคเพียง 1 ข้อ

ลำพังโพชงค์ 7 อย่างเดียวยังมิได้เพียงพอต่อการบรรลุธรรม
องคาพยพแห่งธรรมเพื่อการบรรลุธรรมคือ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ
จงเรียนรู้และเข้าใจให้ถูกต้องอย่างนี้ จะได้ไม่ตีความธรรมะและวินิจฉัยผู้คนผิดพลาดอย่างที่กบกำลังเป็น นะ จะบอกให้

onion


โพสต์ เมื่อ: 21 เม.ย. 2016, 06:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
กบคิดมากและอยากจะเถียงตะพึดตะพือเอาดังไว้ก่อนจึงถูกโมหะครอบงำ สัมปชัญญะขาด

กบรู้เรื่องมรรค 3 กลุ่มดีหรือยัง? ถ้ารู้ดีแล้วจึงจะเข้าใจประเด็นที่อโศกะชี้ ถ้ารู้ไม่ดีก็จะตีความมั่วไปหมด

ลองสังเกตดูให้ดีๆสิว่า โพชงค์แต่ละข้อเราสามารถจัดเข้าไปอยู่ในมรรคกลุ่มไหน แยกแยะให้ชัด ไม่ใช่มั่วทุกข้อเข้าได้ทุกกลุ่มอย่างที่กบเข้าใจ

[size=150]แล้วกบก็จะได้พบว่าโพชงค์ 7 เป็นสมาธิมรรค 6 ข้อ ปัญญามรรคเพียง 1 ข้อ


ลำพังโพชงค์ 7 อย่างเดียวยังมิได้เพียงพอต่อการบรรลุธรรม
องคาพยพแห่งธรรมเพื่อการบรรลุธรรมคือ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ
จงเรียนรู้และเข้าใจให้ถูกต้องอย่างนี้ จะได้ไม่ตีความธรรมะและวินิจฉัยผู้คนผิดพลาดอย่างที่กบกำลังเป็น นะ จะบอกให้[/size]
onion


"แล้วกบก็จะได้พบว่าโพชงค์ 7 เป็นสมาธิมรรค 6 ข้อ ปัญญามรรคเพียง 1 ข้อ"

น่านแหนะ....ยังไม่เห็นอยู่อีกรึ?? อุตส่าบอกไปแล้วน่าว่า..ปีติ..ปัสสัทธิ..สุข..สงบ..เป็นผล..เป็นอาการ...ของปัญญาญาณที่เกิดจากธัมมวิจัยด้วยสติด้วยวิริยะ...:b32: :b32: :b32:

ยังมา...

"ลำพังโพชงค์ 7 อย่างเดียวยังมิได้เพียงพอต่อการบรรลุธรรม"

แสดงฉลาดน้อย..อยู่อีก
s002 s002

ลำบากอีกนานนะ...อโสกะ

บอกใบ้ให้นิด...อโสกะไม่เข้าใจก็ไปถามครูบาอาจารย์ต่อก็ได้..

สติปัฎฐาน 4
อิทธิบาท 4
สัมมัปปธาน4
อินทรีย์5
พละ5
โพชฌงค์7
มรรค8(นี้คลุมทุกข้อ)

ทั้งหมด...เป็นประตูของห้องอริยะมรรค...

อโสกะเข้าประตูไหน..ก็เข้าไปอยู่ในห้องอริยะมรรคห้องเดียวกัน...ก็พบระเบียบอุปสรรคขั้นตอนการปฏิบัติและผลอย่างเดียวกันกับประตูอื่นๆ...จึงเรียกได้ว่าเข้าประตูหนึ่งก็ทั่วถึงกันทั้ง37...

คนที่จะเลือกเข้าประตูไหน..มันก็อยู่กับจริต..บุญวาสนาบารมีที่เขาทำมา

พุทธจริต..ศรัทธาจริต..ราคะจริต...โทสะจริต...มักเข้าประตูไหน?..ติ๊กต๊อก..ติ๊กต๊อก..ๆ..ๆ

:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 21 เม.ย. 2016, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งกบ ทั้งอโศก ไม่มีประตูให้เข้าหรอก :b21:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 เม.ย. 2016, 14:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg
ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg [ 50.12 KiB | เปิดดู 1900 ครั้ง ]
:b13:
อ้างคำพูด:
น่านแหนะ....ยังไม่เห็นอยู่อีกรึ?? อุตส่าบอกไปแล้วน่าว่า..ปีติ..ปัสสัทธิ..สุข..สงบ..เป็นผล..เป็นอาการ...ของปัญญาญาณที่เกิดจากธัมมวิจัยด้วยสติด้วยวิริยะ..

:b9: :b17:
เพียงแค่ท่อนที่กบพูดมาดังอ้างอิงนี้ก็แสดงถึงความรู้ไม่จริง ปฏิบัติไม่ถึงของกบ

ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา เป็นองค์ของฌาณ ที่เกิดจากสมถะภาวนาก็ได้ ดังเช่นที่ฤาษีชีไพรอเจลกะเขาทำกัน หลังจากนั้นถ้ามีธัมมวิจัยหรือเริญปัญญาหรือเจริญวิปัสสนาภาวนาจึงจะพาไปสู่มรรคผลนิพพาน ถ้าไม่มีธัมมวิจัยก็พาไปรูปพรหมอรูปพรหม

วิริยะนั้นเป็นกองหนุนได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา

ธรรมมาตรฐานเขาเป็นอย่างนี้มานานแสนนาน มีแต่กบนี้แหละมาสรุปเอาเองมโนเอาเองว่า ปีติ ปัสสัทธิ สุข สงบ เป็นผลเป็นอาการของปัญญา

ผลอาการของปัญญาหรือวิปัสสนาหรือธัมมวิจัยนั้นคือ รู้ธรรมตามความเป็นจริงคือเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

onion
การเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นจะเริ่มต้นจากข้อไหนก่อนก็ได้ใน 37 ข้อ เมื่อเริ่มต้นแล้วธรรมทั้งหมดจะเชื่อมโยงถึงกันได้เองนี่เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ไอ้ที่ว่ามาตั้งเป็นประตูนั้นประตูนี้อย่างที่กบพูดนั้น มันเป็นการมามโนเอาเองของกบ ไม่เห็นมีครูบาอาจารย์ท่านไหนกล่าวไว้

ที่กล่าวไว้เรื่องประตูทางออกสู่พระนิพพานมี 3 ประตูนั้นมีอยู่ดังอีกกระทู้หนึ่งที่อโศกะยกภาพมาให้ดู ข้างบน ซึ่งโฮฮับยังไม่เข้าใจ กบเองก็จะรู้เรื่องหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ ลองพิจารณาใหม่นะกบ อย่าพยายามแต่งตำราใหม่เอาเองจนทำให้ผู้ศึกษาธรรมใหม่เขาไขว้เขวนะ จะเป็นบาปเป็นกรรมที่ชี้นำทางผิดๆให้ผู้คนเขาหลงทางและวกวนสับสน

onion
โพสต์ เมื่อ: 21 เม.ย. 2016, 14:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทั้งกบ ทั้งอโศก ไม่มีประตูให้เข้าหรอก :b21:

:b17: :b9:
กรัชกายยิ่งร้ายกว่าเพราะหมดประตูที่จะให้ออกสู่พระนิพพาน

ดังลิ้งค์ที่ยกมาให้อ่าน ดูหัวข้อทั้งหมดมีแต่เรื่องโลกๆทั้งนั้น แล้วมาอ้างอิงธรรมไปแปะโน่นแปะนี่แสดงภูมิให้ดูโก้ จริงๆแล้วก็แก้ได้แค่ปัญหาโลกๆชั่วคราว ไม่แก้ได้จริงจังถึงธรรม

:b7:


โพสต์ เมื่อ: 21 เม.ย. 2016, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทั้งกบ ทั้งอโศก ไม่มีประตูให้เข้าหรอก :b21:

:b17: :b9:
กรัชกายยิ่งร้ายกว่าเพราะหมดประตูที่จะให้ออกสู่พระนิพพาน

ดังลิ้งค์ที่ยกมาให้อ่าน ดูหัวข้อทั้งหมดมีแต่เรื่องโลกๆทั้งนั้น แล้วมาอ้างอิงธรรมไปแปะโน่นแปะนี่แสดงภูมิให้ดูโก้ จริงๆแล้วก็แก้ได้แค่ปัญหาโลกๆชั่วคราว ไม่แก้ได้จริงจังถึงธรรม

:b7:


ธรรมตามที่อโศกคิด/พูดนี่มันอะไรนะ เอาชัดๆ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 04:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion คำว่า "ธรรมะ" ไม่มีคำแปลตรงตัว ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากพยายามแปลว่า ธรรมะ คือความจริง

ธรรมะ เป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำร่วมกันของเหตุ ปัจจัยและผล

ธรรมะไม่สามารถอธิบายให้ถูกต้องตามที่มันเป็นจริงได้ด้วยคำพูดหรือบทเขียนแต่จะรู้ได้ด้วยใจของผู้สัมผัสธรรมนั้นๆ

ตัวอย่างเช่นความเผ็ด ความเค็ม ร้อน หนาว สุข ทุกข์ เจ็บ ปวด สบาย นิพพาน

อธิบายให้เข้าใจไม่ได้ต้องให้ผู้อยากรู้สัมผัสดูด้วยตนเอง

ธรรมะ จึงเป็นคำกลางๆที่เมื่อนำไปประกอบกับคำอื่นแล้วจึงจะสามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นธรรมะประเภทใด เพื่ออะไร

อย่างเช่นธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั่นมีการระบุชี้ไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ศึกษาได้ใช้ธรรมะในทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ตรงประเด็น
ดังระบุไว้ในบทสวดมนต์แปลเรื่องธรรมคุณ 6 ประการว่า
สวากขาโตภัคควตาธัมโม = พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น

สังเกตดูกันให้ดีๆ ถ้าตีความ จับประเด็นจากตรงนี้ผิดไป ธรรมะจะกลายเป็นของยากและมีเรื่องมากมายที่จะต้องพูดต้องอธิบายถกเถียงกันไม่รู้จบและหาผู้ตัดสินได้ยาก

แต่ในทางกลับกันถ้าจับประเด็นและตีความตรงนี้ได้ถูกต้อง ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือตรัสไว้ดีแล้วนั้น มีนิดเดียว ง่ายมากและหมดข้อถกเถียงกัน

ดูคำนี้ให้ดี "พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น"

พูดหรือแปลให้ฟังง่ายขึ้นว่า "ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น....(คืออะไร?)
นี่คือความหมายของธรรมคุณข้อที่ 1 ที่ให้ชาวพุทธหรือผู้ศึกษาพุทธศาสนาทุกคนตอบให้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งจะต้องเป็นคำตอบเดียวกันอย่างแน่นอนเพราะมันคือ "สัจจธรรม"
คำตอบเรื่องธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นอยู่ในธรรมคุณข้อถัดๆไปอีก 5 ข้อนั่นเอง ใครสนใจให้ค้นดูได้จากบทเขียนที่อโศกะเคยแสดงไว้หลายๆครั้งหลายๆที่หรือถ้าค้นหาไม่เจอก็อดใจไว้รอฟังหรืออ่านในตอนต่อๆไปจากนี้

แต่วันนี้เราจะได้ชี้ให้เห็นประะเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้คนที่จำนวนมากพากันส่งเสริมเผยแพร่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไปอย่างผิดๆด้วยความเข้าใจผิดตั้งแต่แรกเริ่ม


ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นมีประเด็นเน้นชัดไว้แล้วตามอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นโลกุตรธรรม
ดูให้ดี "โลกุตรธรรม"
แต่ในคำสอนหลายครั้งพระองค์ทรงจำเป็นต้องสอนเรื่องโลกียธรรมเพราะมีเหตุปัจจัยให้ต้องกล่าวถึงแต่ท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงขมวดสรุปนำสาวกทุกคนเข้าสู่โลกุตรธรรม คือธรรมเพื่อพ้นโลก

ธรรมเพื่อพ้นโลกเอาอะไรมาเป็นเครื่องชี้วัด?

ตอบ: เอาอริยสัจ 4 มาเป็นเครื่องชี้วัด

พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ในหลายที่มีความหมายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหากเธอมีความสงสัยว่าธรรมนี้ใช่คำสอนของเราตถาคตหรึอไม่ให้เอาหลักนี้ไปจับพิจารณา

ถ้าธรรมใดเป็นไปเพื่อความรู้ทุกข์ ละเหตุเกิดทุกข์ ทำให้แจ้งความดับทุกข์และวิธีปฏิบัติหรือเจริญเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
นั่นแหละคือธรรมะคำสั่งสอนของเราตถาคต"


ใครก็ตามที่ประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธปารถนาจะให้ได้ถึงความเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริงจึงพึงศึกษาอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละเอียดถี่ถ้วนและเข้าใจอย่างถ่องแท้ถูกต้องเพราะมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติสอนไว้ครบถ้วนอยู่ในนั้นแล้วจึงย่อมจะได้รับธรรมะจริงๆจากพระพุทธเจ้าพาเข้าถึงนิพพานอันเป็นบรมสุขอย่างแท้จริงได้ทันในชาตินี้โดยมิต้องเสียเวลาหลงทางไปอื่นไกล ครั้นเมื่อได้ถึงอมตะสุขแล้วก็ย่อมจะได้กลายเป็นกัลยาณมิตร มหากัลยาณมิตรชักชวนช่วยเหลือผู้คนเพื่อนร่วมโลกให้พ้นโศกสู่สุขบนเส้นทางอันประเสริฐที่
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเจ้าทั้งหลายได้บุกเบิกทางนำทาง นำหน้าไปก่อนแล้ว ทุกๆคน


เจริญสุข เจริญธรรม ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมกันทุกท่านทุกคนเทอญ
อโศกะ
26 เมย.59

smiley


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion คำว่า "ธรรมะ" ไม่มีคำแปลตรงตัว ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากพยายามแปลว่า ธรรมะ คือความจริง

ธรรมะ เป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำร่วมกันของเหตุ ปัจจัยและผล

ธรรมะไม่สามารถอธิบายให้ถูกต้องตามที่มันเป็นจริงได้ด้วยคำพูดหรือบทเขียนแต่จะรู้ได้ด้วยใจของผู้สัมผัสธรรมนั้นๆ

ตัวอย่างเช่นความเผ็ด ความเค็ม ร้อน หนาว สุข ทุกข์ เจ็บ ปวด สบาย นิพพาน

อธิบายให้เข้าใจไม่ได้ต้องให้ผู้อยากรู้สัมผัสดูด้วยตนเอง

ธรรมะ จึงเป็นคำกลางๆที่เมื่อนำไปประกอบกับคำอื่นแล้วจึงจะสามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นธรรมะประเภทใด เพื่ออะไร

อย่างเช่นธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั่นมีการระบุชี้ไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ศึกษาได้ใช้ธรรมะในทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ตรงประเด็น
ดังระบุไว้ในบทสวดมนต์แปลเรื่องธรรมคุณ 6 ประการว่า
สวากขาโตภัคควตาธัมโม = พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น

สังเกตดูกันให้ดีๆ ถ้าตีความ จับประเด็นจากตรงนี้ผิดไป ธรรมะจะกลายเป็นของยากและมีเรื่องมากมายที่จะต้องพูดต้องอธิบายถกเถียงกันไม่รู้จบและหาผู้ตัดสินได้ยาก

แต่ในทางกลับกันถ้าจับประเด็นและตีความตรงนี้ได้ถูกต้อง ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือตรัสไว้ดีแล้วนั้น มีนิดเดียว ง่ายมากและหมดข้อถกเถียงกัน

ดูคำนี้ให้ดี "พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น"

พูดหรือแปลให้ฟังง่ายขึ้นว่า "ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น....(คืออะไร?)
นี่คือความหมายของธรรมคุณข้อที่ 1 ที่ให้ชาวพุทธหรือผู้ศึกษาพุทธศาสนาทุกคนตอบให้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งจะต้องเป็นคำตอบเดียวกันอย่างแน่นอนเพราะมันคือ "สัจจธรรม"
คำตอบเรื่องธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นอยู่ในธรรมคุณข้อถัดๆไปอีก 5 ข้อนั่นเอง ใครสนใจให้ค้นดูได้จากบทเขียนที่อโศกะเคยแสดงไว้หลายๆครั้งหลายๆที่หรือถ้าค้นหาไม่เจอก็อดใจไว้รอฟังหรืออ่านในตอนต่อๆไปจากนี้

แต่วันนี้เราจะได้ชี้ให้เห็นประะเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้คนที่จำนวนมากพากันส่งเสริมเผยแพร่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไปอย่างผิดๆด้วยความเข้าใจผิดตั้งแต่แรกเริ่ม


ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นมีประเด็นเน้นชัดไว้แล้วตามอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นโลกุตรธรรม
ดูให้ดี "โลกุตรธรรม"
แต่ในคำสอนหลายครั้งพระองค์ทรงจำเป็นต้องสอนเรื่องโลกียธรรมเพราะมีเหตุปัจจัยให้ต้องกล่าวถึงแต่ท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงขมวดสรุปนำสาวกทุกคนเข้าสู่โลกุตรธรรม คือธรรมเพื่อพ้นโลก

ธรรมเพื่อพ้นโลกเอาอะไรมาเป็นเครื่องชี้วัด?

ตอบ: เอาอริยสัจ 4 มาเป็นเครื่องชี้วัด

พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ในหลายที่มีความหมายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหากเธอมีความสงสัยว่าธรรมนี้ใช่คำสอนของเราตถาคตหรึอไม่ให้เอาหลักนี้ไปจับพิจารณา

ถ้าธรรมใดเป็นไปเพื่อความรู้ทุกข์ ละเหตุเกิดทุกข์ ทำให้แจ้งความดับทุกข์และวิธีปฏิบัติหรือเจริญเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
นั่นแหละคือธรรมะคำสั่งสอนของเราตถาคต"


ใครก็ตามที่ประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธปารถนาจะให้ได้ถึงความเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริงจึงพึงศึกษาอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละเอียดถี่ถ้วนและเข้าใจอย่างถ่องแท้ถูกต้องเพราะมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติสอนไว้ครบถ้วนอยู่ในนั้นแล้วจึงย่อมจะได้รับธรรมะจริงๆจากพระพุทธเจ้าพาเข้าถึงนิพพานอันเป็นบรมสุขอย่างแท้จริงได้ทันในชาตินี้โดยมิต้องเสียเวลาหลงทางไปอื่นไกล ครั้นเมื่อได้ถึงอมตะสุขแล้วก็ย่อมจะได้กลายเป็นกัลยาณมิตร มหากัลยาณมิตรชักชวนช่วยเหลือผู้คนเพื่อนร่วมโลกให้พ้นโศกสู่สุขบนเส้นทางอันประเสริฐที่
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเจ้าทั้งหลายได้บุกเบิกทางนำทาง นำหน้าไปก่อนแล้ว ทุกๆคน


เจริญสุข เจริญธรรม ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมกันทุกท่านทุกคนเทอญ
อโศกะ
26 เมย.59

smiley


การเริ่มต้นเรียนพุทธธรรม ควรเรียนแต่ต้น เช่น คิหิปฏิบัติ คือ การปฏิบัติหน้าที่ของคนในสังคม ในสิงคาลกสูตรก่อน เพื่อจับหลักเบื้องต้นให้ได้

มิใช่ไปจับเอาข้างปลายยอด ซึ่งเป็นนามธรรมเลย มันก็เคว้ง มันก็เพ้อซี่ทีนี้ ถ้าจะเปรียบเหมือนการขึ้นบันไดก้าวไปทีละขั้นๆ ก้าวขึ้นอย่างรู้เข้าใจ

แต่นี่ไม่ โดดขึ้นไปขั้นสุดท้ายเลย ก็ขาฉีกเลือดออกก้นไปหาหมอแทบไม่ทันซี่ทีนี้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 07:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
อ้างคำพูด:
การเริ่มต้นเรียนพุทธธรรม ควรเรียนแต่ต้น เช่น คิหิปฏิบัติ คือ การปฏิบัติหน้าที่ของคนในสังคม ในสิงคาลกสูตรก่อน เพื่อจับหลักเบื้องต้นให้ได้

มิใช่ไปจับเอาข้างปลายยอด ซึ่งเป็นนามธรรมเลย มันก็เคว้ง มันก็เพ้อซี่ทีนี้ ถ้าจะเปรียบเหมือนการขึ้นบันไดก้าวไปทีละขั้นๆ ก้าวขึ้นอย่างรู้เข้าใจ

แต่นี่ไม่ โดดขึ้นไปขั้นสุดท้ายเลย ก็ขาฉีกเลือดออกก้นไปหาหมอแทบไม่ทันซี่ทีนี้

:b32:
ผิดเสียตั้งแต่ต้นแล้วนะกรัชกายที่คิดอย่างนี้

เพราะพากันคิดอย่างนี้เลยทำให้เปลือกกระพี้ศาสนามันหนาขึ้นทุกทีจนกลายเป็นเรื่องยากของยากที่จะเข้าถึงแก่นศาสนา ทำให้ผู้คนรุ่นใหม่เอือมระอาและถอยไปจากพุทธศาสตร์

การเริ่มต้นที่ดีและถูกต้องนั้นต้องเอาหัวใจของพระพุทธเจ้ามามอบให้คนที่สนใจศรัทธาคือเอาอริยสัจ 4 มามอบมาบอกมาสอนมาแนะนำให้เขารู้จักเข้าใจให้ดีเสียก่อนโดยกลยุทธ์หรือวิธีการต่างที่จะถ่ายทอดและทำให้ผู้ศึกษาทั้งหลายเหล่านั้นเข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจดีแล้ว การจะถ่ายทอดธรรมะในแง่มุมอื่นๆที่แปลกแยกแยะออกไปก็จะกลายเป็นของง่ายเข้าใจง่ายและคล้องจองกันไปกับแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าไปหมด

กรัชกายเคยได้สังเกตไหมว่ายิ่งนานวันหัวข้อกระทู้ธรรมในลานธรรมต่างๆยิ่งเป็นเรื่องโลกียธรรมมากยิ่งๆขึ้น แม่แต่กรัชกายเองก็เป็นเช่นนั้นไปแล้วสังเกตกระทู้ของตนเองไหม ดูตั้งแต่เรื่อง ธรรม ในลานนี้ จั่วหัวเรื่องธรรมแต่ข้างในเต็มไปด้วยเรื่องโลกียะ ยิ่งในลิ้งที่ชวนคนไปอ่านยิ่งร้ายใหญ่เลยนะ

เรื่องโลกียธรรมนี่มันกว้างขวางยากจะยุติยากจะจบยากจะตัดสิน เต็มไปด้วยแง่มุมมากมายแตกลูกแตกหลานออกไปได้ไม่รู้จักหมดสิ้น คุณกรัชกายจะตามไปช่วยแก้ไขให้เขาไหวหรือ

แต่เรื่องโลกุตรธรรมนั้นมันแคบ สั้น ตรง เรียบง่าย ไม่สับสนซับซ้อนยิ่งศึกษาและปฏิบัติไปยิ่งน้อยแหลม ตรงยิ่งๆขึ้นและรู้จบในเวลาอันเร็ววัน

คุณกรัชกายอย่าเพิ่งเห็นดีเห็นงามกับการเผยแพร่ธรรมด้านโลกียะโดยสำคัญผิดว่าจะช่วยดึงคนเข้าสู่โลกุตระได้มากกว่าอยู่เลยเพราะนั่นจะถือได้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่งเลยทีเดียวเพราะมองเน้นและเผยแพร่แต่เรื่องนอกกรอบอริยสัจ 4

onion


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


อ้างคำพูด:
การเริ่มต้นเรียนพุทธธรรม ควรเรียนแต่ต้น เช่น คิหิปฏิบัติ คือ การปฏิบัติหน้าที่ของคนในสังคม ในสิงคาลกสูตรก่อน เพื่อจับหลักเบื้องต้นให้ได้

มิใช่ไปจับเอาข้างปลายยอด ซึ่งเป็นนามธรรมเลย มันก็เคว้ง มันก็เพ้อซี่ทีนี้ ถ้าจะเปรียบเหมือนการขึ้นบันไดก้าวไปทีละขั้นๆ ก้าวขึ้นอย่างรู้เข้าใจ

แต่นี่ไม่ โดดขึ้นไปขั้นสุดท้ายเลย ก็ขาฉีกเลือดออกก้นไปหาหมอแทบไม่ทันซี่ทีนี้


ผิดเสียตั้งแต่ต้นแล้วนะกรัชกายที่คิดอย่างนี้

เพราะพากันคิดอย่างนี้เลยทำให้เปลือกกระพี้ศาสนามันหนาขึ้นทุกทีจนกลายเป็นเรื่องยากของยากที่จะเข้าถึงแก่นศาสนา ทำให้ผู้คนรุ่นใหม่เอือมระอาและถอยไปจากพุทธศาสตร์

การเริ่มต้นที่ดีและถูกต้องนั้นต้องเอาหัวใจของพระพุทธเจ้ามามอบให้คนที่สนใจศรัทธาคือเอาอริยสัจ 4 มามอบมาบอกมาสอนมาแนะนำให้เขารู้จักเข้าใจให้ดีเสียก่อนโดยกลยุทธ์หรือวิธีการต่างที่จะถ่ายทอดและทำให้ผู้ศึกษาทั้งหลายเหล่านั้นเข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจดีแล้ว การจะถ่ายทอดธรรมะในแง่มุมอื่นๆที่แปลกแยกแยะออกไปก็จะกลายเป็นของง่ายเข้าใจง่ายและคล้องจองกันไปกับแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าไปหมด

กรัชกายเคยได้สังเกตไหมว่ายิ่งนานวันหัวข้อกระทู้ธรรมในลานธรรมต่างๆยิ่งเป็นเรื่องโลกียธรรมมากยิ่งๆขึ้น แม่แต่กรัชกายเองก็เป็นเช่นนั้นไปแล้วสังเกตกระทู้ของตนเองไหม ดูตั้งแต่เรื่อง ธรรม ในลานนี้ จั่วหัวเรื่องธรรมแต่ข้างในเต็มไปด้วยเรื่องโลกียะ ยิ่งในลิ้งที่ชวนคนไปอ่านยิ่งร้ายใหญ่เลยนะ

เรื่องโลกียธรรมนี่มันกว้างขวางยากจะยุติยากจะจบยากจะตัดสิน เต็มไปด้วยแง่มุมมากมายแตกลูกแตกหลานออกไปได้ไม่รู้จักหมดสิ้น คุณกรัชกายจะตามไปช่วยแก้ไขให้เขาไหวหรือ

แต่เรื่องโลกุตรธรรมนั้นมันแคบ สั้น ตรง เรียบง่าย ไม่สับสนซับซ้อนยิ่งศึกษาและปฏิบัติไปยิ่งน้อยแหลม ตรงยิ่งๆขึ้นและรู้จบในเวลาอันเร็ววัน

คุณกรัชกายอย่าเพิ่งเห็นดีเห็นงามกับการเผยแพร่ธรรมด้านโลกียะโดยสำคัญผิดว่าจะช่วยดึงคนเข้าสู่โลกุตระได้มากกว่าอยู่เลยเพราะนั่นจะถือได้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่งเลยทีเดียวเพราะมองเน้นและเผยแพร่แต่เรื่องนอกกรอบอริยสัจ 4


ท่านอโศก ตอบนะ เอาชัดๆ

พูดให้เป็นรูปธรรมก็ว่า มีต้นไม้ ต้นหนึ่ง มีส่วนประกอบอะไรบ้าง จึงเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
อ้างคำพูด:
การเริ่มต้นเรียนพุทธธรรม ควรเรียนแต่ต้น เช่น คิหิปฏิบัติ คือ การปฏิบัติหน้าที่ของคนในสังคม ในสิงคาลกสูตรก่อน เพื่อจับหลักเบื้องต้นให้ได้

มิใช่ไปจับเอาข้างปลายยอด ซึ่งเป็นนามธรรมเลย มันก็เคว้ง มันก็เพ้อซี่ทีนี้ ถ้าจะเปรียบเหมือนการขึ้นบันไดก้าวไปทีละขั้นๆ ก้าวขึ้นอย่างรู้เข้าใจ

แต่นี่ไม่ โดดขึ้นไปขั้นสุดท้ายเลย ก็ขาฉีกเลือดออกก้นไปหาหมอแทบไม่ทันซี่ทีนี้

:b32:
ผิดเสียตั้งแต่ต้นแล้วนะกรัชกายที่คิดอย่างนี้

เพราะพากันคิดอย่างนี้เลยทำให้เปลือกกระพี้ศาสนามันหนาขึ้นทุกทีจนกลายเป็นเรื่องยากของยากที่จะเข้าถึงแก่นศาสนา ทำให้ผู้คนรุ่นใหม่เอือมระอาและถอยไปจากพุทธศาสตร์

การเริ่มต้นที่ดีและถูกต้องนั้นต้องเอาหัวใจของพระพุทธเจ้ามามอบให้คนที่สนใจศรัทธาคือเอาอริยสัจ 4 มามอบมาบอกมาสอนมาแนะนำให้เขารู้จักเข้าใจให้ดีเสียก่อนโดยกลยุทธ์หรือวิธีการต่างที่จะถ่ายทอดและทำให้ผู้ศึกษาทั้งหลายเหล่านั้นเข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจดีแล้ว การจะถ่ายทอดธรรมะในแง่มุมอื่นๆที่แปลกแยกแยะออกไปก็จะกลายเป็นของง่ายเข้าใจง่ายและคล้องจองกันไปกับแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าไปหมด

กรัชกายเคยได้สังเกตไหมว่ายิ่งนานวันหัวข้อกระทู้ธรรมในลานธรรมต่างๆยิ่งเป็นเรื่องโลกียธรรมมากยิ่งๆขึ้น แม่แต่กรัชกายเองก็เป็นเช่นนั้นไปแล้วสังเกตกระทู้ของตนเองไหม ดูตั้งแต่เรื่อง ธรรม ในลานนี้ จั่วหัวเรื่องธรรมแต่ข้างในเต็มไปด้วยเรื่องโลกียะ ยิ่งในลิ้งที่ชวนคนไปอ่านยิ่งร้ายใหญ่เลยนะ

เรื่องโลกียธรรมนี่มันกว้างขวางยากจะยุติยากจะจบยากจะตัดสิน เต็มไปด้วยแง่มุมมากมายแตกลูกแตกหลานออกไปได้ไม่รู้จักหมดสิ้น คุณกรัชกายจะตามไปช่วยแก้ไขให้เขาไหวหรือ

แต่เรื่องโลกุตรธรรมนั้นมันแคบ สั้น ตรง เรียบง่าย ไม่สับสนซับซ้อนยิ่งศึกษาและปฏิบัติไปยิ่งน้อยแหลม ตรงยิ่งๆขึ้นและรู้จบในเวลาอันเร็ววัน

คุณกรัชกายอย่าเพิ่งเห็นดีเห็นงามกับการเผยแพร่ธรรมด้านโลกียะโดยสำคัญผิดว่าจะช่วยดึงคนเข้าสู่โลกุตระได้มากกว่าอยู่เลยเพราะนั่นจะถือได้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่งเลยทีเดียวเพราะมองเน้นและเผยแพร่แต่เรื่องนอกกรอบ อริยสัจ 4

onion



ถ้าถามว่า อริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง คิดว่า อโศกเป็นต้น บอกได้ว่า ได้แก่

1. ทุกข์

2. สมุทัย

3. นิโรธ

4. มรรค

แค่นี้

แต่ถ้าถามต่ออีกว่า ไหนอธิบายอริยสัจ แต่ละข้อๆสิ อะไรยังไง ... เสร็จครับ ไปไม่รอด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 18:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




อริยสัจ 4_resize.jpg
อริยสัจ 4_resize.jpg [ 58.29 KiB | เปิดดู 1858 ครั้ง ]
:b7:
อ้างคำพูด:
ถ้าถามว่า อริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง คิดว่า อโศกเป็นต้น บอกได้ว่า ได้แก่

1. ทุกข์

2. สมุทัย

3. นิโรธ

4. มรรค

แค่นี้

แต่ถ้าถามต่ออีกว่า ไหนอธิบายอริยสัจ แต่ละข้อๆสิ อะไรยังไง ... เสร็จครับ ไปไม่รอด

:b32:
กรัชกายเดาเอาเองตัดสินใจเอาเองแถมยังดูถูกภูมิปัญญาของผู้อื่นอีกด้วย
บาปกรรมๆ
grin
ดูรูปที่ยกมาให้ข้างบนนี้แล้วเข้าใจไหมเรื่องอริยสัจ 4 แล้ววิเคราะห์ออกมาซิว่าผู้ที่เขียนรูปนี้ขึ้นมามีความรู้เรื่องอริยสัจ 4 ขนาดไหน?
:b38:
โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b7:
อ้างคำพูด:
ถ้าถามว่า อริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง คิดว่า อโศกเป็นต้น บอกได้ว่า ได้แก่

1. ทุกข์

2. สมุทัย

3. นิโรธ

4. มรรค

แค่นี้

แต่ถ้าถามต่ออีกว่า ไหนอธิบายอริยสัจ แต่ละข้อๆสิ อะไรยังไง ... เสร็จครับ ไปไม่รอด

:b32:
กรัชกายเดาเอาเองตัดสินใจเอาเองแถมยังดูถูกภูมิปัญญาของผู้อื่นอีกด้วย
บาปกรรมๆ
grin
ดูรูปที่ยกมาให้ข้างบนนี้แล้วเข้าใจไหมเรื่องอริยสัจ 4 แล้ววิเคราะห์ออกมาซิว่าผู้ที่เขียนรูปนี้ขึ้นมามีความรู้เรื่องอริยสัจ 4 ขนาดไหน?
:b38:


หาชื่อคนเขียนไม่เห็น ใครเขียนครับน่า :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2016, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำให้ท่านอโศกดู กระทู้เค้ายาว แต่ตัดมาหน่อยหนึ่ง เพื่อให้อโศกดูรูปนามเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ อย่างที่ใครๆชอบพูดกัน :b1:

อ้างคำพูด:
ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเรา จะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ แบบนี้มันเกิดปัญญาใช่ไหม แต่มันแบบไม่ถึงที่สุด ปัญญาแค่เสี่ยว ต่อมาก็เลยหลงจนเพี้ยน


ต้องรู้เห็นด้วยตน จึงจะเข้าใจด้วยตนยังงั้น จึงจะปล่อยวางได้

แต่ยัง

ยัง ยังต้องมีผู้รู้คอยแนะนำ ไม่ยังงั้นแล้ว จะถึงข้อความท่อนหลังแบบนั้น :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร