..........................

ภิกษุณีธัมมนันทา แจงขั้นตอนบวช ภิกษุณี ต้องให้พระสงฆ์ เถรวาทเป็นอุปัชฌาย์
ภิกษุณีธัมมนันทา (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์) เจ้าสำนักวัตรทรงธรรมกัลยาณี จ.นครปฐม เปิดเผยว่า กรณีมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับภิกษุณีในเรื่องการขออุปสมบทในไทยนั้น ชี้แจงว่าภิกษุณีที่จะเป็นอาจารย์เตรียมการบวชให้ผู้ขอบวชภิกษุณี จะต้องมีอายุพรรษาอย่างต่ำ 12 พรรษา คือต้องเป็นภิกษุณีแล้วอย่างน้อย 12 ปี ไม่นับรวม 2 ปีที่เป็นสามเณรี และต้องได้รับการแต่งตั้งจากภิกษุสงฆ์ให้เป็นปวัตตินี หากไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นปวัตตินี และมาสั่งสอนผู้ขอบวชจะต้องอาบัติ ทั้งนี้ เรามักเข้าใจว่าภิกษุณีจะต้องได้รบการอุปสมบทโดยภิกษุณีสงฆ์แล้ว จึงรับการอุปสมบทอีกครั้งจากพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจคลาดเคลื่อน แท้จริงแล้วภิกษุณีสงฆ์เข้ามาช่วยเตรียมความพร้อมในการอุปสมบทของผู้ขอบวช ตรงนี้เรียกว่าสอนซ้อม เป็นการจำลองการบวชจริงเหมือนพิธีซ้อมใหญ่ อาจารย์ทางฝ่ายภิกษุณีสงฆ์จึงไม่เรียกอุปัชฌาย์ ทางตรงกันข้ามภาษาบาลีเรียกปวัตตินี แต่พิธีอุปสมบทซึ่งเป็นสังฆกรรมนั้นสำเร็จที่พระภิกษุสงฆ์ เว้นแต่ไม่มีภิกษุสงฆ์สายเถรวาทเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว ภิกษุณีสงฆ์อาจจะพิจารณาอุปสมบทกันเองก็เป็นไปได้ หากทำความเข้าใจว่าพระพุทธองค์ให้ดูที่เจตนาของการกระทำเป็นสำคัญ

“ฉะนั้น แม้หลวงแม่จะมีพรรษา 13 ก็อุปสมบทเองไม่ได้ ทำได้เพียงเตรียมลูกศิษย์เพื่อเข้ารับการอุปสมบท ที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็นปวัตตินี สอนซ้อมการอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชชาวไทย 3 รูป ส่วนการอุปสมบทกระทำโดยภิกษุสงฆ์ของศรีลังกา อย่างไรก็ตาม หากมีการอุปสมบทภิกษุณีในไทย ยังต้องนิมนต์พระภิกษุสงฆ์จากต่างประเทศ ซึ่งทำได้ทันทีโดยพระธรรมวินัย และพระภิกษุสงฆ์ในสายเถรวาทที่พร้อมอุปสมบทแก่ภิกษุณีก็มีอยู่ ส่วนขั้นตอนการนิมนต์ภิกษุสงฆ์ต่างชาติสายเถรวาทเข้ามาทำการอุปสมบทในไทยนั้น จะได้รับอนุญาตจากกระทรวงต่างประเทศหรือไม่ เป็นปัญหาทางกฎหมายที่ฝ่ายบ้านเมืองต้องเข้ามาพิจารณาแก้ไขให้เข้ากับสถานการณ์ทางสังคม” ภิกษุณีธรรมนันทากล่าว

http://www.matichon.co.th/news/106429

เวลาจะเลือกสังฆราชดันอ้างกฎหมาย

แต่เวลาผู้หญิงจะบวชดันอ้างวินัย ที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าไอ้วินัยที่ว่า พระพุทธองค์บัญญัติ
หรือพระสงฆ์ไทยโมเมขึ้นเอง

ภายใต้รัฐธรรมนูญ ผู้หญิงหรือผู้ชายมีสิทธเท่าเทียมกันในเรื่องของศาสนา

การที่คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมให้ผู้หญิงบวชที่เป็นการการระเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
เท่ากับว่า คณะสงฆ์กำลังทำผิดกฎหมายบ้านเมือง.....ถือเป็นอาบัติ

ประชาชนคนไทยสามารถจับสึกได้

โฮฮับ ไม่เข้าใจบัญญัติเกี่ยวกับการบวชภิกษุณีฝ่ายเถรวาท เมื่อไม่เข้าใจก็เที่ยวพาลด่าคณะสงฆ์ไทย คิกๆๆ อย่างนี้เรียกว่า ด่าผิดคน ที่จริงต้องด่าพระพุทธเจ้าที่ตั้งแบบแผนการบวชภิกษุณีไว้

ก็ถึงได้ถามไงว่า วินัยที่ว่า พระพทธองค์บัญญัติหรือพวกพระไทยบัญญัติขึ้นเอง

และพี่โฮยังตั้งสมมติฐานอีกวว่า เวลาจะตั้งสังฆราชทำไมยึดตัวกฎหมาย
แต่เวลาผู้หญิงเขาต้องการบวชจึงไม่ยึดตัวกฎหมาย

ตัวกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนเป็นกฎหมายในรัฐธรรมนูญ
แต่ตัวกฎหมายตั้งสังฆราชเป็นเพียงพ.ร.บ กฎหมายใดมีอำนาจและศักศรีกว่ากัน

อย่าให้พุทธศาสนาไทยเละเทะไปกว่านี้เลย พี่โฮขอร้อง

โฮฮับ ต้องแยกก่อน จะนำไปปนกันไม่ได้ "วินัยบัญญัติ" นี่พระพุทธบัญญัติไว้ ก็ต้องยึดตามนั้น

ส่วนกฎหมายเรื่องสังฆราช พระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติ เขาเขียนขึ้นบัญญัติขึ้นเฉพาะเรื่องสังฆราช

ก็เหมือนที่เขาเขียนกฎหมายเฉพาะเรื่อง เช่น ห้ามต้านประชามติ รธน.

ถามว่า...ใครบัญญัติ? พระพุทธองค์บัญญัติหรือ พวกพระสงฆ์ไทยบัญญัติเอาเองตามใจชอบ

ประเทศอื่นคณะสงฆ์เป็นเถรวาทเหมือนกัน ทำไมจึงมีภิกษุณีได้ เช่นพม่า ศรีลังกา
แบบนี้มันบ่งบอกว่า คณะสงฆ์ไทยยังมีการเยียดเพศ

พวกเสื้อแดงกรัชกายร่ำร้องหาประชาธิปไตย แค่สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานยังแกล้งไม่รู้ไม่เห็น
แต่ถ้าเป็นเรื่องของตัวละก่อนโวยวายเหมือนวัวถูดเชือด

โฮฮับเอ้ย ถ้าไม่มีข้อมูลเรื่องนี้จริงๆ อย่าสะเหร่อเลยขายหน้าเขาเปล่าๆ

พม่าไม่แน่ใจว่า มีภิกษุณีมั้ยนะไม่เคยเห็นข่าว โฮฮับ เอาหลักฐานให้ดูหน่อย

ส่วนที่ศรีลังกา มีภิกษุณี เพราะใช้ภิกษุณีฝ่ายมหายานจากจีน

อนึ่ง ภิกษุณีที่เพิ่งเกิดในไทยก็ไปบวชมาจากศรีลังกานี่แหละ ข้อนี้ไม่มีใครว่า ก็เป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานไป

ขอแนะนำแหล่งความรู้ให้ คือ ไปขอหนังสือเล่มนี้มาอ่านซี่ แจกเป็นธรรมทาน

คุยกับเจ้าหมอนี้ที่ไร มันจะลากประเด็นกระทู้เข้ารกเข้าพงทุกที

กรัชกายฟังให้ดี ประเด็นกระทู้มันอยู่ที่....
มหาเถรฯกำลังแถเรื่องกฎหมายกับวินัย
ที่เวลาตัวเองจะเลือกสังฆราชดันอ้างกฎหมาย
แต่เวลาผู้หญิงเขาจะขอบวชดันอ้างวินัย(ที่ไม่รู้ใครมันบัญญัติขึ้นมา)

จะอ้างกฎหมายก็ให้มันเท่าเทียมกัน

คุยกับโฮฮับ เหมือนคุยกับเด็กอนุบาล ก็บอกให้แยกกันระหว่างพุทธวินัยเรื่องบวชภิกษุณี กับ เรื่องตั้งสังฆราช

ทางอีกฝั่งเขากล่าวหาว่า มหาเถรฯเป็นพวกเดียวกับพระธัมชโย
เขาว่าพระธัมชโยปาราชิก(มีคดีความอยู่) นี่เท่ากับมหาเถรฯและธัมชโยเป็นผู้ถูกกล่าวหา
ว่าเป็นอาบัติปาราชิก......นี่ประเด็นหนึ่ง

และยังมีอีกประเด็นคือ สมเด็จช่วงถูกกล่าวหาในคดีรถหรู เป็นปาราชิก

ถ้ามหาเถรจะอ้างวินัยกับการบวชภิกษุณี ก็ต้องใช้วินัยกับสมเด็จช่วงเช่นกัน
ดังนั้นมหาเถรฯก็ไม่สามารถตั้งสังฆราชได้
เพราะสมเด็จช่วงยังเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีรถหรู่

ถ้าจะใช้กฎหมายแต่งตั้งสมเด็จช่วง ก็ต้องใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนกับภิกษุณี
ไม่ใช่มั่วเลือกใช้ตามใจตัวเองแบบนี้.......

ไม่ผิดว่าเหมือนพูดกับเด็กอนุบาล ว่าบอกให้แยกกันระหว่าง พุทธวินัย กับ เรื่องอื่นจากนี้ ก็ว่ากันไป

ก็พุทธวินัยไง ...สมรู้รวมคิดยักยอกทรัพย์ ๑. รับของโจร(หนีภาษี) ๑....มันเข้าข่ายปาราชิก
ที่นี่ทำมาอ้างกฎหมายเลือกสังฆราช.....พูดแล้วถ้าไม่เข้าใจอีก ก็ถือซะว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกแล้วกัน