วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 11:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2016, 09:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b36: ชีวิตหรือจิตวิญญาณของเรานี้ได้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน นับปีไม่ได้หลายแสนหลายหลายล้านหลายโกฏหลายอสงขัยปี เวลาชีวิตที่เรามาเป็นคนในชาตินี้จึงเป็นเพียงจุดธุลีเล็กๆที่แทบมองไม่เห็นเมื่อเอามาเทียบกับเวลานับแสนนับล้านนับอสงขัยปีที่เราได้เวียนว่ายตายเกิดมาและจะวียนว่ายตายเกิดต่อไป

ชีวิตหนึ่งของเรานี้พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ว่า ดุจพยับแดดหรือน้ำค้างบนยอดหญ้าพอแสงแดดยามเช้าส่องมาก็ละลายหายไป

ดังนั้นการตายและกิดใหม่แต่ละชาตินั้นจึงเปรียบคล้ายดั่งการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ในแต่ละวันของเราเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรน่าวิตกทุกข์ร้อน คนที่ก้าวเข้าไปสู่ความตายในเวลาชั่วระยะถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เขาก็กลับไปเกิดในภพใหม่เริ่มต้นการเวียนว่ายต่อไปในภพนั้นๆ

สิ่งสำคัญที่จะช่วยชี้วัดว่าตายแล้วจิตวิญญาณดวงนั้นจะไปเกิดในที่ใด นั่นก็คือกิริยาอาการและภาวะของจิตใจในช่วงที่จิตดวงสุดท้ายจะดับขาดลงหลังจากลมหายใจเฮือกสุดท้ายหมดไป

ถ้าดิ้นรนกระวนกระวายก็ไปต่ำไปอบาย

ถ้าสงบสุขอิ่มเอิบก็ไปดีสู่มนุษย์และสวรรค์

ถ้าเข้าสมาธิเข้าฌาณตายก็ไปพรหม

ถ้ามีสติสัปชัญญะสมบูรณ์พร้อมจากไปตอนจิตไม่ติดข้องกับอะไรใจเป็นสูญ
ก็นิพพาน สิ้นสุดความเวียนว่ายตายเกิด

สิ่งที่เราพึงทำให้ได้คือตายก่อนตาย ต้องซ้อมตายก่อนตายให้ชำนาญ ให้จิตดวงนี้มันตายตอนเป็นสูญหรือใกล้สูญให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

"นิพพานัง ปรมังสุญญัง"
อโศกะ
9 เมย.59


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2016, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะเอาความเป็นมิจฉาทิฐิมาพูด เช่นคำพูดประโยคนี้...

"ชีวิตหรือจิตวิญญาณของเรานี้ได้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน"

นี่เป็นลักษณะของพวกลัทธิพราหมณ์ที่สอนว่า มีจิตวิญญานเป็นตัวตน
ผู้เวียนว่ายตายเกิดคือวิญญาน.....พระพุทธองค์ทรงบอกว่า มันเป็นมิจฉาทิฐิ(สัสสตทิฐิ) :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 18:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อโสกะเอาความเป็นมิจฉาทิฐิมาพูด เช่นคำพูดประโยคนี้...

"ชีวิตหรือจิตวิญญาณของเรานี้ได้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน"

นี่เป็นลักษณะของพวกลัทธิพราหมณ์ที่สอนว่า มีจิตวิญญานเป็นตัวตน
ผู้เวียนว่ายตายเกิดคือวิญญาน.....พระพุทธองค์ทรงบอกว่า มันเป็นมิจฉาทิฐิ(สัสสตทิฐิ) :b32:

s004
โฮฮับพูดเหมือนคนไม่เชื่อเรื่องภพชาติ ความเวียนว่ายตายเกิด นี่แหละมิจฉาทิฏฐิตัวจริง

ถามจริงๆเถอะโฮฮับไม่เชื่อเรื่องชาดก หรือทศชาติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงใช่ไหมเนี้ยะ

แล้วมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทำไม?

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
อโสกะเอาความเป็นมิจฉาทิฐิมาพูด เช่นคำพูดประโยคนี้...

"ชีวิตหรือจิตวิญญาณของเรานี้ได้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน"

นี่เป็นลักษณะของพวกลัทธิพราหมณ์ที่สอนว่า มีจิตวิญญานเป็นตัวตน
ผู้เวียนว่ายตายเกิดคือวิญญาน.....พระพุทธองค์ทรงบอกว่า มันเป็นมิจฉาทิฐิ(สัสสตทิฐิ) :b32:

s004
โฮฮับพูดเหมือนคนไม่เชื่อเรื่องภพชาติ ความเวียนว่ายตายเกิด นี่แหละมิจฉาทิฏฐิตัวจริง

ถามจริงๆเถอะโฮฮับไม่เชื่อเรื่องชาดก หรือทศชาติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงใช่ไหมเนี้ยะ

แล้วมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทำไม?

s006


เหตุปัจจัยแห่งการเวียนว่ายในสังสารวัฏ คือ..........ผลของขันธ์ห้า ไม่ใช่วิญญานแบบที่อโสกะมั่ว
วิญญานที่อโสกะเอามามั่วมันมีความหมายว่า ...อาตมัน เป็นเรื่องของพราหมณ์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2016, 00:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
เหตุของการเวียนว่ายตายเกิดคือ อวิชชา

อวิชชาตัวสำคัญก็คือ ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู


ปัจจัยของการเวียนว่ายตายเกิด ก็ดังมีในปัจจัยการ 12 ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท


ไปดูมาให้ดีๆนะโฮฮับ ในปัจจัยการทั้ง 12 ท่านไม่ได้กล่าวเรื่อขันธ์ 5 ไว้เลยนะแต่ วิญญาณ นั้นมีแสดงไว้ชัดเจน

"สังขารา ปัจจัยยาวิญญาณัง"

เรื่องของวิญญาณที่จะไปสืบต่อภพชาติก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอีกหมวดหนึ่งถ้าจะคุยกันก็ต้องแยกประด็นแยกกระทู้กันออกไปคุยต่างหาก

เรื่องขันธ์ 5 นั้นเป็นภาคขยายของสังขารธรรม ความเห็นผึดและความยึดผิดยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จึงจะเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

โฮฮับอย่ามาอธิบายผิดๆให้ผู้คนสับสนซิครับ บาปนะครับ
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2016, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
เหตุของการเวียนว่ายตายเกิดคือ อวิชชา
อวิชชาตัวสำคัญก็คือ ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู



ไปอ้างตำราที่ขายตามงานวัดมาโพส ดูก็รู้ไม่ได้รู้เรื่องเพราะพูดจาวกไปวนมา :b32:

อวิชชามันเป็นกฎของธรรมชาติ ดันไปเอามาเป็นตัวเป็นตน
กฎเกณท์ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของโลก
กับกายใจของบุคคล .....มันเป็นคนละส่วนกัน

อวิชชาตามความหมายก็คือ ความไม่รุ้ บุคคลออกจากท้องแม่มา ย่อมเจอกับความไม่รู้ก่อน
เพราะยังไม่เคยเห็น เห็นแล้วถึงจะรู้.......นี่คือกฎเกณท์ของธรรมชาติ
asoka เขียน:
ปัจจัยของการเวียนว่ายตายเกิด ก็ดังมีในปัจจัยการ 12 ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ไปดูมาให้ดีๆนะโฮฮับ ในปัจจัยการทั้ง 12 ท่านไม่ได้กล่าวเรื่อขันธ์ 5 ไว้เลยนะแต่ วิญญาณ นั้นมีแสดงไว้ชัดเจน


............ [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์


ที่ท่านไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในปฏิจจฯก็เพราะ มันเป็นคนละเรื่อง
อโสกะมั่วเอาเอง มิหน่ำซ้ำยังเอาวิญญานในปฏิจจฯ อันเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ
ไปผสมปนเปกับวิญญาที่เป็นอาตมันของพราหมณ์ แบบนี้เขาเรียกมั่วสมบูรณ์แบบ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2016, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




ดาวน์โหลด.jpg
ดาวน์โหลด.jpg [ 8.84 KiB | เปิดดู 3827 ครั้ง ]
asoka เขียน:
"สังขารา ปัจจัยยาวิญญาณัง"

เรื่องของวิญญาณที่จะไปสืบต่อภพชาติก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอีกหมวดหนึ่งถ้าจะคุยกันก็ต้องแยกประด็นแยกกระทู้กันออกไปคุยต่างหาก

เรื่องขันธ์ 5 นั้นเป็นภาคขยายของสังขารธรรม ความเห็นผึดและความยึดผิดยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จึงจะเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

โฮฮับอย่ามาอธิบายผิดๆให้ผู้คนสับสนซิครับ บาปนะครับ
:b34:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2016, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
onion
เหตุของการเวียนว่ายตายเกิดคือ อวิชชา
อวิชชาตัวสำคัญก็คือ ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู



ไปอ้างตำราที่ขายตามงานวัดมาโพส ดูก็รู้ไม่ได้รู้เรื่องเพราะพูดจาวกไปวนมา :b32:

อวิชชามันเป็นกฎของธรรมชาติ ดันไปเอามาเป็นตัวเป็นตน
กฎเกณท์ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของโลก
กับกายใจของบุคคล .....มันเป็นคนละส่วนกัน

อวิชชาตามความหมายก็คือ ความไม่รุ้ บุคคลออกจากท้องแม่มา ย่อมเจอกับความไม่รู้ก่อน
เพราะยังไม่เคยเห็น เห็นแล้วถึงจะรู้.......นี่คือกฎเกณท์ของธรรมชาติ
asoka เขียน:
ปัจจัยของการเวียนว่ายตายเกิด ก็ดังมีในปัจจัยการ 12 ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ไปดูมาให้ดีๆนะโฮฮับ ในปัจจัยการทั้ง 12 ท่านไม่ได้กล่าวเรื่อขันธ์ 5 ไว้เลยนะแต่ วิญญาณ นั้นมีแสดงไว้ชัดเจน


............ [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์


ที่ท่านไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในปฏิจจฯก็เพราะ มันเป็นคนละเรื่อง
อโสกะมั่วเอาเอง มิหน่ำซ้ำยังเอาวิญญานในปฏิจจฯ อันเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ
ไปผสมปนเปกับวิญญาที่เป็นอาตมันของพราหมณ์ แบบนี้เขาเรียกมั่วสมบูรณ์แบบ :b32:

:b13: :b13:
ที่โฮฮับยกมาพูดเรื่องสาสวะ อะสาสะวะอะไรพวกนี้แหละที่นอกเรื่อง
:b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2016, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1444440075-lol-o.gif
1444440075-lol-o.gif [ 481.01 KiB | เปิดดู 3785 ครั้ง ]
asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
onion
เหตุของการเวียนว่ายตายเกิดคือ อวิชชา
อวิชชาตัวสำคัญก็คือ ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู



ไปอ้างตำราที่ขายตามงานวัดมาโพส ดูก็รู้ไม่ได้รู้เรื่องเพราะพูดจาวกไปวนมา :b32:

อวิชชามันเป็นกฎของธรรมชาติ ดันไปเอามาเป็นตัวเป็นตน
กฎเกณท์ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของโลก
กับกายใจของบุคคล .....มันเป็นคนละส่วนกัน

อวิชชาตามความหมายก็คือ ความไม่รุ้ บุคคลออกจากท้องแม่มา ย่อมเจอกับความไม่รู้ก่อน
เพราะยังไม่เคยเห็น เห็นแล้วถึงจะรู้.......นี่คือกฎเกณท์ของธรรมชาติ
asoka เขียน:
ปัจจัยของการเวียนว่ายตายเกิด ก็ดังมีในปัจจัยการ 12 ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ไปดูมาให้ดีๆนะโฮฮับ ในปัจจัยการทั้ง 12 ท่านไม่ได้กล่าวเรื่อขันธ์ 5 ไว้เลยนะแต่ วิญญาณ นั้นมีแสดงไว้ชัดเจน


............ [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์


ที่ท่านไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในปฏิจจฯก็เพราะ มันเป็นคนละเรื่อง
อโสกะมั่วเอาเอง มิหน่ำซ้ำยังเอาวิญญานในปฏิจจฯ อันเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ
ไปผสมปนเปกับวิญญาที่เป็นอาตมันของพราหมณ์ แบบนี้เขาเรียกมั่วสมบูรณ์แบบ :b32:

:b13: :b13:
ที่โฮฮับยกมาพูดเรื่องสาสวะ อะสาสะวะอะไรพวกนี้แหละที่นอกเรื่อง
:b34: :b34: :b34:


อโสกะพูดผิด ต้องบอกว่าไม่รู้เรื่องต่างหาก ไม่ใช่นอกเรื่อง :b32:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2016, 17:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
ในศาสนาพุทธ คำว่าวิญญาณ (บาลี: viññāṇa; สันสกฤต: विज्ञान) ใช้หมายถึงพิชาน (consciousness) คือความรู้แจ้งอารมณ์[1] พระไตรปิฎกระบุว่าพระพุทธเจ้าทรงจำแนกวิญญาณออกเป็น 6 ประเภท[2] ได้แก่

จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส
มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด
นอกจากนี้วิญญาณยังปรากฏในหลักธรรมอื่น ๆ ด้วย เช่น วิญญาณขันธ์ในขันธ์ 5 วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท

คำว่าวิญญาณยังถือเป็นคำไวพจน์ของคำว่าจิต มีความหมายเหมือนกัน ใช้แทนกันได้[3]

หน้าที่ของวิญญาณ (วิญญาณกิจ) แก้ไข

คัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสะและคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะของพระอนุรุทธาจารย์ กล่าวว่าวิญญาณมีหน้าที่ 14 อย่าง[4][5] คือ

ปฏิสนธิ สืบต่อภพใหม่
ภวังคะ เป็นองค์ประกอบของภพ
อาวัชชนะ คำนึงถึงอารมณ์ใหม่
ทัสสนะ เห็นรูป (ตรงกับจักขุวิญญาณ)
สวนะ ได้ยินเสียง (ตรงกับโสตวิญญาณ)
ฆายนะ ได้กลิ่น (ตรงกับฆานวิญญาณ)
สายนะ รู้รส (ตรงกับชิวหาวิญญาณ)
ผุสนะ ถูกต้องโผฏฐัพพะ (ตรงกับกายวิญญาณ)
สัมปฏิจฉนะ รับอารมณ์
สันตีรณะ พิจารณาอารมณ์
โวฏฐัพพนะ ตัดสินอารมณ์
ชวนะ เสพอารมณ์
ตทาลัมพณะ รับอารมณ์ต่อจากชวนะก่อนจะกลับสู่ภวังค์
จุติ เคลื่อนจากภพปัจจุบันเพื่อจะไปสู่ภพหน้า
อ้างอิง แก้ไข

↑ วิญญาณ 6. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
↑ ที.ปา.11/306/255
↑ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2546
↑ วิสุทธิ 3/29
↑ สงฺคห15
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
:b34:
อ่านดูซะกบ&โฮฮับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2016, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ่านดูซะกบ&โฮฮับ


คนเขียนตำราเป็รพระพุทธเจ้าหรือเปล่า......จะอ้างอะไรต้องอ้างพุทะพจน์
ไม่ใช่ไปอ้างตำราใครต่อใครมามั่ว อย่าเข้าใจผิดว่า พระที่มีพัดยศหรือพระมหาเปรียญ
จะเป็น พระอรหันต์หรือพระอริยบุคคล พัดยศเกิดจากการที่ได้บวชมานาน
มหาเปรียญเกิดจากเรียนมาเยอะ.......หัดแยกแยะซะบ้าง

แล้วคำว่าวิญญาณจะต้องพิจารณาจาก ธรรมบทปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธองค์
ไม่ใช่ไปอ้างตำราของพระแขก ที่พยายามตีเสมอพระพุทธองค์

.........................ปัจจัยสูตร

[๖๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคต
ทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ๑-
ธัมมนิยาม ๒- อิทัปปัจจัย ๓- ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่ง
ธาตุอันนั้น ครั้นแล้ว ย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี
ชราและมรณะ ... เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมี
ภพ ... เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น
คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้
ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น
มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2016, 00:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
อ่านดูซะกบ&โฮฮับ


คนเขียนตำราเป็รพระพุทธเจ้าหรือเปล่า......จะอ้างอะไรต้องอ้างพุทะพจน์
ไม่ใช่ไปอ้างตำราใครต่อใครมามั่ว อย่าเข้าใจผิดว่า พระที่มีพัดยศหรือพระมหาเปรียญ
จะเป็น พระอรหันต์หรือพระอริยบุคคล พัดยศเกิดจากการที่ได้บวชมานาน
มหาเปรียญเกิดจากเรียนมาเยอะ.......หัดแยกแยะซะบ้าง

แล้วคำว่าวิญญาณจะต้องพิจารณาจาก ธรรมบทปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธองค์
ไม่ใช่ไปอ้างตำราของพระแขก ที่พยายามตีเสมอพระพุทธองค์

.........................ปัจจัยสูตร

[๖๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคต
ทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ๑-
ธัมมนิยาม ๒- อิทัปปัจจัย ๓- ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่ง
ธาตุอันนั้น ครั้นแล้ว ย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี
ชราและมรณะ ... เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมี
ภพ ... เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น
คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้
ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น
มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

:b7:
น่าสงสารโฮฮับจริงๆนะที่หลงไปทำประมาทะต่อท่าพระพุทธโฆษาจารย์และท่านพระอนุรุธ ผู้มีพระคุณต่อนักปฏิบัตธรรมทั้งหลาย ยังอวดดีอวดเก่งกว่าท่านอีก แถมยังไปโหนไปแอบอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้ามารับรองความเห็นสับสนของตัวเอง และไม่ตรงประเด็นของรายละเอียดเรื่องวิญญาณ ทั้งหมดด้วย


กรรมของสัตว์โลก ๆ ๆ ๆ ๆ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2016, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b7:
น่าสงสารโฮฮับจริงๆนะที่หลงไปทำประมาทะต่อท่าพระพุทธโฆษาจารย์และท่านพระอนุรุธ ผู้มีพระคุณต่อนักปฏิบัตธรรมทั้งหลาย ยังอวดดีอวดเก่งกว่าท่านอีก แถมยังไปโหนไปแอบอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้ามารับรองความเห็นสับสนของตัวเอง และไม่ตรงประเด็นของรายละเอียดเรื่องวิญญาณ ทั้งหมดด้วย


กรรมของสัตว์โลก ๆ ๆ ๆ ๆ
:b7:


ศึกษาพระธรรมมันต้องอ้างอิงพระไตรปิฎก เห็นมีแต่อโสกะที่เป็นพุทธปะสาอะไรดันไปอ้าง
ตำราที่แต่งโดยพระแขก .....มิหน่ำซ้ำยังมาว่าเราที่อ้างอิงพระไตรปิฎก

อโสกะไม่ยอมพิจารณาตัวเองเลยว่า เป็นคนนอกรีต
ปากก็ว่าเป็นพุทธ แต่เห็นความสำคัญตำราแขกมากกว่าพระไตรปิฎก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2016, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
น่าสงสารโฮฮับจริงๆนะที่หลงไปทำประมาทะต่อท่าพระพุทธโฆษาจารย์และท่านพระอนุรุธ ผู้มีพระคุณต่อนักปฏิบัตธรรมทั้งหลาย ยังอวดดีอวดเก่งกว่าท่านอีก แถมยังไปโหนไปแอบอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้ามารับรองความเห็นสับสนของตัวเอง และไม่ตรงประเด็นของรายละเอียดเรื่องวิญญาณ ทั้งหมดด้วย


กรรมของสัตว์โลก ๆ ๆ ๆ ๆ
:b7:


ศึกษาพระธรรมมันต้องอ้างอิงพระไตรปิฎก เห็นมีแต่อโสกะที่เป็นพุทธปะสาอะไรดันไปอ้าง
ตำราที่แต่งโดยพระแขก .....มิหน่ำซ้ำยังมาว่าเราที่อ้างอิงพระไตรปิฎก

อโสกะไม่ยอมพิจารณาตัวเองเลยว่า เป็นคนนอกรีต
ปากก็ว่าเป็นพุทธ แต่เห็นความสำคัญตำราแขกมากกว่าพระไตรปิฎก :b32:


อย่าลืมนะ ว่าพระพุทธเจ้ามีเชื้อสายแขก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2016, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
น่าสงสารโฮฮับจริงๆนะที่หลงไปทำประมาทะต่อท่าพระพุทธโฆษาจารย์และท่านพระอนุรุธ ผู้มีพระคุณต่อนักปฏิบัตธรรมทั้งหลาย ยังอวดดีอวดเก่งกว่าท่านอีก แถมยังไปโหนไปแอบอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้ามารับรองความเห็นสับสนของตัวเอง และไม่ตรงประเด็นของรายละเอียดเรื่องวิญญาณ ทั้งหมดด้วย


กรรมของสัตว์โลก ๆ ๆ ๆ ๆ
:b7:


ศึกษาพระธรรมมันต้องอ้างอิงพระไตรปิฎก เห็นมีแต่อโสกะที่เป็นพุทธปะสาอะไรดันไปอ้าง
ตำราที่แต่งโดยพระแขก .....มิหน่ำซ้ำยังมาว่าเราที่อ้างอิงพระไตรปิฎก

อโสกะไม่ยอมพิจารณาตัวเองเลยว่า เป็นคนนอกรีต
ปากก็ว่าเป็นพุทธ แต่เห็นความสำคัญตำราแขกมากกว่าพระไตรปิฎก :b32:


อย่าลืมนะ ว่าพระพุทธเจ้ามีเชื้อสายแขก :b1:


ก็นั้นนะซิ! ทำไมอโสกะถึงต้องดีดดิ้นเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้า
แค่เอ่ยว่าพระแขก......ทิฐิอย่างหนา!! :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร