วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 224 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นคำพูดของคนไม่รู้จริง มันผิดตั้งแต่ยกเอาอินเดียมาพูดแล้ว
ประเทศอินเดียมันพึ่งมี สมัยโบราณมันมีประเทศอินเดียที่ไหนกัน
เขาแบ่งเป็นแคว้นๆ ต่างมีกษัตริย์ปกครองตนเอง
แคว้นหนึ่งศาสนาพุทธสูญสิ้น มันก็ยังแคว้นอื่นๆอีกที่ยังมีศาสนาพุทธ
เอาแค่อาณาจักรถัง(จีน)ก็ยังมีศาสนาพุทธที่มากกว่าดินแดนต้นกำเหนิดเสียอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b1:
เสื่อมแน่นอนเพราะไม่เข้าใจคำสอนไง
ท่องจำได้ทุกคำในพระไตรปิฎกก็จริง
เป็นสัญญาขันธ์จำได้ตายแล้วก็ลืม
เพราะไม่ใช่อริยทรัพย์ในใจตน
อริยทรัพย์ของพระพุทธเจ้า
เอาไปใช้เพื่อทำผิดน๊า
เพราะมีแล้วแต่ไม่รู้
ยังไม่จริงก็คือไม่รู้
จำคำไม่เข้าใจ
อันตธานจาก
ใจดวงไม่รู้
ตลอดกาล
:b32: :b32:
:b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b1:
เสื่อมแน่นอนเพราะไม่เข้าใจคำสอนไง
ท่องจำได้ทุกคำในพระไตรปิฎกก็จริง
เป็นสัญญาขันธ์จำได้ตายแล้วก็ลืม
เพราะไม่ใช่อริยทรัพย์ในใจตน
อริยทรัพย์ของพระพุทธเจ้า
เอาไปใช้เพื่อทำผิดน๊า
เพราะมีแล้วแต่ไม่รู้
ยังไม่จริงก็คือไม่รู้
จำคำไม่เข้าใจ
อันตธานจาก
ใจดวงไม่รู้
ตลอดกาล
:b32: :b32:
:b15:


คุณโรสขอรับ
ถ้าไม่มีพระไตรปิฏก ไม่มีตำราทางศาสนา เช่น นวโกวาท เป็นต้น ซึ่งบันทึกหลักธรรมคำสอนไว้ เอาแต่นิ้วจิ้มๆอย่างคุณโรสว่าเป็นธรรมะ หรือเข้าใจธรรมะแบบนั้นนะ ถ้านับวันเวลาจากพุทธปรินิพพานจนถึงบัดนี้คนตายกระดูกกองโตกว่าภูเขาหิมาลัยอีก ธรรมะคงไม่สืบต่อมาถึงบ้านธัมมะหรอก :b32: เพราะคนตายมาหลายรุ่นแล้ว :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เสื่อมแน่นอนเพราะไม่เข้าใจคำสอนไง
ท่องจำได้ทุกคำในพระไตรปิฎกก็จริง
เป็นสัญญาขันธ์จำได้ตายแล้วก็ลืม
เพราะไม่ใช่อริยทรัพย์ในใจตน
อริยทรัพย์ของพระพุทธเจ้า
เอาไปใช้เพื่อทำผิดน๊า
เพราะมีแล้วแต่ไม่รู้
ยังไม่จริงก็คือไม่รู้
จำคำไม่เข้าใจ
อันตธานจาก
ใจดวงไม่รู้
ตลอดกาล


คุณโรส เขาเป็นอะไร

อ้างคำพูด:
ช่วงหลังๆนี้มีอาการผิดปกติกับตัวเองค่ะ คือมีอาการขนลุกตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนนั่งสมาธิเป็นหนักมาก ขออนุญาต เล่าเป็นข้อๆดังนี้นะคะ
อาการที่เกิด
1.บ่อยครั้งขนลุกบริเวณขาซ้าย
เป็นบ่อยค่ะอาการนี้ (เป็นมานาน)

2.อาการขนหัวลุก เสียวท้ายทอยมาก เริ่มมาเป็นช่วงหลังๆมานี่เองค่ะ เกิดชัดครั้งแรก ตอนไปร่วมพิธีไหว้ครูที่นึง เป็นพิธีใหญ่พอสมควร พอเริ่มพิธี เท่านั้นเองก็ขนหัวลุกซู่ ลุกจนเสียวต้นคอ และบริเวณท้ายทอยมาก พอซักพัก นั่งร้องไห้แบบไม่ทราบสาเหตุค่ะ ร้องแบบสะอึกสะอื้น งงตัวเองนะคะว่า ร้องไห้ทำไม อายก็อายค่ะ แต่ฝืนตัวเองไม่ได้เลย อยู่ในพิธี เป็นอยู่แบบนี้ ทั้งขนหัวลุกและร้องไห้ 3 - 4 รอบสลับกันไปจนจบพิธีอาการก็หายค่ะ นี่คือครั้งแรกค่ะ

แต่ที่จะถามต่อคือ มาช่วง นี้ 3-4 วัน ก่อนที่จะโพสถามนี่ อาการกลับมาค่ะ แต่หนักและถี่แรงกว่าปกติ คือเริ่มต้นจากอยู่ๆ ก็ขนลุกน้อยๆทั้งตัวบ้าง ขนลุกบริเวณขาซ้ายบ้าง เป็นอย่างงี้ทั้งวันค่ะ (ปกตินานๆทีแต่ครั้งนี้เป็นตลอดวัน)

แต่ที่หนักสุด พอมานั่งสมาธิ (ปกตินั่งสมาธิเกือบทุกวันไม่เคยมีอาการขนหัวลุกหรือเสียวต้นคอเลย) อยู่ๆคราวนี้พอเริ่มนั่งเริ่มกำหนด ไม่ถึงนาที อาการ ขนหัวลุก เสียวต้นคอ -ท้ายทอย มาหนักมาก กำหนดอย่างอื่นไม่ได้เลย เลยกำหนดไปที่อาการนี้คือ ขนลุกหนอ เสียวท้ายทอยหนอ อยู่แบบนี้ พอหายซักพัก ก็ไปกำหนดท้องพองยุบ หรือกำหนดตามจิตเราที่ไปกระทบปกติ เดี๋ยวอาการ ขนหัวลุกก็มาแทรกอีก เป็นอย่างนี้สลับไป สังเกตุตัวเองว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาใช้ชีวิตปกติก็ขนลุกตลอดเวลา ทั้งวัน แต่ไม่แรง พอวันที่ 2 นั่งสมาธิใหม่ก็ ขนหัวลุกอีก อาการจะแรงช่วงนั่งสมาธิค่ะ
กังวลมาก ไม่รู้ไปทำไรผิดเข้ารึเปล่า ใครรู้ช่วยบอก หรือแก้อาการทีค่ะ


เป็นธรรมะมั้ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ คุณโรส กบ เร็วๆ ดูก่อนลบ :b14:

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b32:
อุตส่าห์กระตุกกิเลสให้รู้ตัวก็ยังไม่รู้ตัวอีกเนาะ
บอกว่าที่ตัวคุณกรัชกายตอนนี้มีธัมมะไหม
พระพุทธเจ้าให้รู้ปัจจุบันธรรมที่กายจิตตน
แล้วจะไปยกตัวอย่างคนอื่นมาเพื่อแสดง
ว่าตนรู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนน่ะผิดจ้า
จะรู้ก็รู้เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏกับจิตตน
ว่าเป็นธัมมะหรือว่าเป็นตัวตนนะจ๊ะ
จำแต่เรื่องคนอื่นเข้าใจความจริง
ที่จิตที่เป็นไปไหมว่าตนกำลังคิด
แล้วมีกุศลหรืออกุศลมากกว่ากัน
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่เราสองคนสนทนากันมาเนี่ยนะ เคยคุยเรื่องเดียวกันสักครั้งไหม คิกๆๆ :b32:

ไม่ต้องห่วงกรัชกายดอก นั่นเป็นธรรมะไหม เป็น ไม่เป็น จบ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ก็ถ้าเข้าใจธัมมะจะถามทำไมล่ะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว
ว่ายังไงรู้ยัง ทุกอย่างเป็นธัมมะ
คำของพระตถาคตเป็นความจริง
ต้องทุกอย่างที่ปรากฏกับจิตตน
ไม่ใช่ไปสนคิดเรื่องคนอื่นรู้ยัง
ถ้ายังไม่รู้ตัวก็นะคิดเองผิดหนา
ซื่อสัตย์ต่อความจริงที่ตนมีน๊า
ไม่ใช่รู้ข้างนอกแล้วคิดว่ารู้จำ
วิปลาศคลาดเคลื่อนไม่ตรง
ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนกำลังมีค่ะ
รับรู้แต่ข้างนอกจะให้ว่าไง
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตั้งแต่เราสองคนสนทนากันมาเนี่ยนะ เคยคุยเรื่องเดียวกันสักครั้งไหม คิกๆๆ :b32:

ไม่ต้องห่วงกรัชกายดอก นั่นเป็นธรรมะไหม เป็น ไม่เป็น จบ :b13:

:b1:
ก็ตั้งแต่คุยกันมาบอกว่าแก้ให้คนอื่นคิดถูกรึไม่
พระพุทธเจ้าสอนไหมว่าต้องช่วยคนอื่นแก้คนอื่น
ทรงแสดงธรรมเพื่ออุปการะให้แก้ไขตนเองใช่ไหม
แล้วนี่เค๊ากำลังกระตุกกิเลสคุณกรัชกายให้รู้ตัวอยู่นะ
อ่านทบทวนอ้างอิงข้างล่างนี้ใหม่หลายๆรอบให้ถี่ถ้วน
สาระอย่างอื่นไม่มีเพราะจิตท่องเที่ยวดวงเดียวเข้าใจรึเปล่า
อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พึ่งปัญญาที่รู้ไม่ใช่ไม่รู้ค่ะ
:b16:
Rosarin เขียน:
Kiss
ก็ถ้าเข้าใจธัมมะจะถามทำไมล่ะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว
ว่ายังไงรู้ยัง ทุกอย่างเป็นธัมมะ
คำของพระตถาคตเป็นความจริง
ต้องทุกอย่างที่ปรากฏกับจิตตน
ไม่ใช่ไปสนคิดเรื่องคนอื่นรู้ยัง
ถ้ายังไม่รู้ตัวก็นะคิดเองผิดหนา
ซื่อสัตย์ต่อความจริงที่ตนมีน๊า
ไม่ใช่รู้ข้างนอกแล้วคิดว่ารู้จำ
วิปลาศคลาดเคลื่อนไม่ตรง
ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนกำลังมีค่ะ
รับรู้แต่ข้างนอกจะให้ว่าไง
:b32: :b32:

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตั้งแต่เราสองคนสนทนากันมาเนี่ยนะ เคยคุยเรื่องเดียวกันสักครั้งไหม คิกๆๆ :b32:

ไม่ต้องห่วงกรัชกายดอก นั่นเป็นธรรมะไหม เป็น ไม่เป็น จบ :b13:

:b1:
ก็ตั้งแต่คุยกันมาบอกว่าแก้ให้คนอื่นคิดถูกรึไม่
พระพุทธเจ้าสอนไหมว่าต้องช่วยคนอื่นแก้คนอื่น
ทรงแสดงธรรมเพื่ออุปการะให้แก้ไขตนเองใช่ไหม
แล้วนี่เค๊ากำลังกระตุกกิเลสคุณกรัชกายให้รู้ตัวอยู่นะ
อ่านทบทวนอ้างอิงข้างล่างนี้ใหม่หลายๆรอบให้ถี่ถ้วน
สาระอย่างอื่นไม่มีเพราะจิตท่องเที่ยวดวงเดียวเข้าใจรึเปล่า
อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พึ่งปัญญาที่รู้ไม่ใช่ไม่รู้ค่ะ
:b16:
Rosarin เขียน:
Kiss
ก็ถ้าเข้าใจธัมมะจะถามทำไมล่ะ
พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว
ว่ายังไงรู้ยัง ทุกอย่างเป็นธัมมะ
คำของพระตถาคตเป็นความจริง
ต้องทุกอย่างที่ปรากฏกับจิตตน
ไม่ใช่ไปสนคิดเรื่องคนอื่นรู้ยัง
ถ้ายังไม่รู้ตัวก็นะคิดเองผิดหนา
ซื่อสัตย์ต่อความจริงที่ตนมีน๊า
ไม่ใช่รู้ข้างนอกแล้วคิดว่ารู้จำ
วิปลาศคลาดเคลื่อนไม่ตรง
ไม่ใช่สิ่งที่จิตตนกำลังมีค่ะ
รับรู้แต่ข้างนอกจะให้ว่าไง
:b32: :b32:

onion onion onion


อ้างคำพูด:
จิตท่องเที่ยวดวงเดียว


มันยังไงอ่ะ จิตท่องเที่ยวดวงเดียว ช่วยอธิบายหน่อยดิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 02:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
จิตท่องเที่ยวดวงเดียว


มันยังไงอ่ะ จิตท่องเที่ยวดวงเดียว ช่วยอธิบายหน่อยดิ :b1:

Kiss
พระพุทธเจ้าแสดงธัมมะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ1ขณะจิต
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
แต่เป็นจิตเกิดดับที่ละ1ขณะทีละ1ทางไม่ซ้ำกันเกิด
เป็นปัจจุบันขณะทีละ1ทางที่ปรากฎแต่ละ1ขณะ
ไม่สามารถเลือกหรือกำหนดว่าจะเกิดสิ่งใดต่อ
เพราะจะเกิดจิตขณะไหนขึ้นอยู่กับเหตุผล
คือเหตุและปัจจัยแต่ละทางจะปรากฏ
ไม่มีขณะไหนทางใดๆเกิดพร้อมกัน
หรือไม่มี1ขณะใดที่ดับพร้อมกัน
เป็นทุกขอริยสัจจ์คงที่ทุกภพภูมิ
เพราะเป็นจิตท่องเที่ยวผ่านภพภูมิต่างๆ
เป็นจิตแต่ละดวงเที่ยวด้วยจิตเจตสิกรูป
จิตแต่ละดวงท่องเที่ยวแต่ละ1ขณะดวงเดียว
ตั้งแต่เกิดจนตายทำแค่คิด2ทางคือดีกับไม่ดี
เป็นสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานตามการสะสมแต่ละ1
จึงเป็นจิตอยู่แต่กับทะเลเรื่องราวด้วยความไม่รู้ค่ะ
จนกว่าปัญญาที่สะสมรอบรู้ตามคำสอนเพื่อดับทุกข์
เพราะไม่รู้จึงหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเราว่าเขาจนกว่านิพพาน
https://m.youtube.com/watch?v=WT4Rog7KbTg
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
จิตท่องเที่ยวดวงเดียว


มันยังไงอ่ะ จิตท่องเที่ยวดวงเดียว ช่วยอธิบายหน่อยดิ :b1:


พระพุทธเจ้าแสดงธัมมะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ1ขณะจิต
ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
แต่เป็นจิตเกิดดับที่ละ1ขณะทีละ1ทางไม่ซ้ำกันเกิด
เป็นปัจจุบันขณะทีละ1ทางที่ปรากฎแต่ละ1ขณะ
ไม่สามารถเลือกหรือกำหนดว่าจะเกิดสิ่งใดต่อ
เพราะจะเกิดจิตขณะไหนขึ้นอยู่กับเหตุผล
คือเหตุและปัจจัยแต่ละทางจะปรากฏ
ไม่มีขณะไหนทางใดๆเกิดพร้อมกัน
หรือไม่มี1ขณะใดที่ดับพร้อมกัน
เป็นทุกขอริยสัจจ์คงที่ทุกภพภูมิ
เพราะเป็นจิตท่องเที่ยวผ่านภพภูมิต่างๆ
เป็นจิตแต่ละดวงเที่ยวด้วยจิตเจตสิกรูป
จิตแต่ละดวงท่องเที่ยวแต่ละ1ขณะดวงเดียว
ตั้งแต่เกิดจนตายทำแค่คิด2ทางคือดีกับไม่ดี
เป็นสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานตามการสะสมแต่ละ1
จึงเป็นจิตอยู่แต่กับทะเลเรื่องราวด้วยความไม่รู้ค่ะ
จนกว่าปัญญาที่สะสมรอบรู้ตามคำสอนเพื่อดับทุกข์
เพราะไม่รู้จึงหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเราว่าเขาจนกว่านิพพาน
https://m.youtube.com/watch?v=WT4Rog7KbTg



อ้อ มันยังงี้นี่เอง จิตท่องเที่ยวไปดวงเดียว :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรส นี่จิตเที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง ฯลฯ เอาทั้งแก้อรรถด้วยเลย
เรื่องนี้อยู่ในธรรมบท ตัดมา


สำรวมจิตเป็นเหตุให้พ้นเครื่องผูกของมาร

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า “มาเถิดภิกษุ เธออย่าคิดไปเลย, ธรรมดาจิตนี่มีหน้าที่รับอารมณ์ แม้มีอยู่ในที่ไกล, ควรที่ภิกษุจักพยายามเพื่อประโยชน์แก่การพ้นจากเครื่องผูก คือราคะ โทสะ โมหะ”
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า

ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


ชนเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไป
ดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำ (คือกาย) เป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น
จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร.

........................

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูรงฺคมํ เป็นต้น (พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้)
ก็ชื่อว่าการไปและการมาของจิต โดยส่วนแห่งทิศมีทิศบูรพาเป็นต้น แม้ประมาณเท่าใยแมลงมุม ย่อมไม่มี, จิตนั้นย่อมรับอารมณ์ แม้มีอยู่ในที่ไกล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทูรงฺคมํ.
อนึ่ง จิต ๗-๘ ดวง ชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นเนื่องเป็นช่อโดยความรวมกันในขณะเดียว ย่อมไม่มี, ในกาลเป็นที่เกิดขึ้น จิตย่อมเกิดขึ้นทีละดวงๆ, เมื่อจิตดวงนั้นดับแล้ว, จิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นทีละดวงอีก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เอกจรํ.
สรีรสัณฐานก็ดี ประเภทแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้นเป็นประการก็ดี ของจิต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อสรีรํ.
ถ้ำคือมหาภูต ๔#- ชื่อว่า คูหา, ก็จิตนี้อาศัยหทัยรูปเป็นไปอยู่ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า คุหาสยํ.
_____________________

มหาภูต ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม.

สองบทว่า เย จิตฺตํ ความว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือเป็นบุรุษหรือสตรี เป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เมื่อไม่ให้กิเลสที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ละกิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะความฟั่นเฟือนแห่งสติ ชื่อว่าจักสำรวมจิต คือจักทำจิตให้สงบ ได้แก่ไม่ให้ฟุ้งซ่าน.
บาทพระคาถาว่า โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ความว่า ชนเหล่านั้นทั้งหมด ชื่อว่าจักพ้นจากวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันนับว่าเป็นเครื่องผูกแห่งมาร เพราะไม่มีเครื่องผูกคือกิเลส.
ในกาลจบเทศนา พระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้เป็นอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้นแล้ว. เทศนาได้สำเร็จประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.

เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ จบ.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=13&p=4

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสชอบพูดถึงจิต คือ เป็นลูกศิษย์พระป่า ลูกศิษย์ อ.สุจินต์ด้วยว่างั้น ฉะนั้น ขออนุญาตสนองความต้องการให้

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นสิ่งที่ดิ้นรนกวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามได้ยาก ผู้มีปัญญาพึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรนให้เป็นจิตตรงเหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรงฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไปคลุกเคล้ากับกามคุณ เหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำ ถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำแล้ว คอยแต่จะดิ้นรนไปในน้ำอยู่เสมอ ผู้มีปัญญาพึงพยายามยกจิตขึ้นจากการอาลัยในกามคุณ ให้ละบ่วงมารเสีย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฎเหมือนช้างตกมัน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง คือ จิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ บุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุด และควรแก่การสรรเสริญนั้น คือ ผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้ สามารถชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนเองได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย"

แถมรูปวิเคราะห์ให้อีก อารมฺมณํ จินฺเตตีติ จิตฺตํ ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า จิต

จิต ก็ความคิดนั่นแหละ จิต ธาตุในความคิด ก็ทำนองเจตนา ก็ออกมาจากจิตธาตุ

นี่เป็นความรู้ในห้องเรียน (ปริยัติ) ยังไม่ใช่ภาคสนาม คือ ฝึกหัดปฏิบัติจริง ถึงตอนนี้แหละ คิกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไหนๆก็พูดเรื่องจิตแล้ว เอาภาคปฏิบัติให้คุณโรสดูสัก ตย.เถอะ :b1:

อ้างคำพูด:
ผมไปบวชได้แปดเดือน บวชวันแรกเกิดกำหนัดแอบสองอาทิตย์ผ่านไป เอาวินัยมาอ่าน อ่าวนี่มันผิดศีลนี่หว่าอายไม่กล้า ใครก็เดินจงกรมนั่งสมาธิ ตอนนั่งสมาธิ ก็หลับตา ไม่คิดอะไรท่องพุท-โธ ตามลมหายใจ จนเข้าเดือนที่สี่ออกพรรษาคิดว่าจะสึก
แต่เห็นแสงเทียนในกระจกหน้าต่าง ก็วิ่งไปบอกเจ้าอาวาสๆก็ได้แต่ยิ้ม เข้าเดือนที่แปดนั่งสมาธิแบบเดิม ตอนนั้นเครียดเรื่องท่องหนังสือไม่ได้

ในขณะที่นั่ง มีเสียงผู้ชายมาถามว่าบรรลุรึยัง ผมเลยบอกว่ายังพูดในใจ อยู่ดีๆก็มีเสียงสวดมนต์เพราะมาก ตามด้วยบทธรรมจักร

อยู่ดีๆก็มีภาพผมมีน้ำอสุจิไหลออกมาเห็น ภาพที่เคยมีอะไรกับแฟนและมีเรื่องไม่ดีมากมาย ก็เลยพิจารณาการเกิดดับแก้ เรื่องหนึ่งมันก็มาอีก
เรื่องหนึ่งเสียงก็ด่าว่าไอ้เลวตลอด อวัยวะเพศแข็งอยากมีเซ็กตลอดเวลา เลยตัดสินใจสึก
คิดอะไรเหมือนมีคนรู้ เสียงด่าก็ด่าตลอด เลยไปพบจิตแพทย์ หมอบอกว่าเป็นโรคจิตเภทและโรคไทรอยด์ เลยอยากบวชใหม่ไปอยู่กรรม แต่ยังกินยาเลย ถ้าไปบวชอีกกลัวจะบ้ากว่าเดิมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 224 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร