วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 19:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 224 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
smiley
ส่งรูปตัวเองมาขายหรือคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การสื่อสารกับเรื่องจิต มันคนละเรื่อง!
เรื่องของจิตเป็น ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน
แต่การสื่อสารในสังคมต้องถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจ ถ้าใครพูดเองเออเองแบบรสริน
มันเข้าข่ายคนบ้าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เอาดีกว่า :b1:

เรื่องศาสนา เรื่องความเชื่อนี่ ฝืนกันไม่ได้จริงๆ

พอเข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัสหลังจากรู้ธรรมแล้วคิดจะไม่แสดงธรรมมั่งแล้ว :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=TDsNqSQqfX0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s002
:b1:
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีที่กายกับจิตทุกคนเดี๋ยวนี้
ที่มีและที่กำลังเกิดดับตามเหตุปัจจัยผ่านอายตนะ6เป็นธาตุ4ขันธ์5
ที่ไร้ตัวตนเนื่องจากเป็นธัมมะที่เป็นจิต/เจตสิก/รูป/นิพพาน
ที่จิตแต่ละดวงมีแล้วแต่ไม่เคยคิดได้ว่ามีแบบไหน
โลกมีเพราะมีจิตเจตสิกรูปเป็นอภิธรรม
ความละเอียดลึกซึ้งที่ไร้ตัวตน
สำหรับผู้รู้รู้ได้เฉพาะตน
ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ทุกอย่าง
เป็นธรรมดา
:b16:
ธรรมเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
ทุกอย่างเป็นธรรมปัจจุบัน
ทันสมัยที่สุดกำลังมี
จิตเจตสิกรูป
ดับอวิชชา
ก่อนตาย
:b12:
เลือกไม่ได้น๊าว่าจะได้เป็นคนในชาติต่อไปถ้ายังไม่รู้มากมายขนาดนี้
จิตไม่เคยตายเพราะเป็นจิตท่องเที่ยวไม่หยุดเปลี่ยนภพภูมิตามกรรม
:b27:
ที่เห็นเป็นคนกะสัตว์ด้วยตาน่ะ2ภพภูมินี้เยอะไหม
เทวดามากกว่าเป็นร้อยเท่าแต่ว่าอะไรรู้ไหม
เป็นจิตท่องเที่ยวอยู่ดวงเดียวทำ2อย่าง
คือคิดดีกับคิดไม่ดีซึ่งจิตแต่ละดวง
ท่องเที่ยวดวงเดียวน๊าไม่มีเราเขา
ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนค่ะเป็นจิต
เสวยวิบากกรรมด้วยความไม่รู้
:b5:
จิตทุกดวงมีจริงๆคือจิตเจตสิกรูปที่เกิดดับเป็นธัมมะรู้ยัง
ถ้ายังก็ฟังให้เข้าใจเพราะเข้าใจได้ตอนยังมีลมหายใจ
ไปทำอะไรกันตอนฟังสวดอภิธรรมในงานศพคะ
กุสลาธัมมา อกุศลาธัมมา อัพยากตาธรรมา
ทุกคนเลยถ้าไม่มีจิตเจตสิกรูปก็ไม่มีคน
ตัวเป็นๆนี่แหละรู้รึยังตายแล้วฟื้นขึ้น
กลับมารู้ความจริงไม่ได้ไปร่างใหม่
ตลอดเวลามีแล้วที่กำลังมีปรากฏ
เกิดดับและจะมีต่อไป2อย่าง
คือความไม่รู้เป็นอวิชชา
และความรู้เป็นปัญญา
แล้วแต่จะสะสม
เป็นอนัตตา
ที่ควรรู้ยิ่ง
จริงๆนะ
:b16:
:b55: :b54: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 มี.ค. 2016, 15:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
สะสมปัญญาบารมีที่เป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกต้องได้
แค่ตั้งจิตไว้ชอบและเพียรฟังให้เข้าใจไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น
ไตร่ตรองตามความเป็นจริงผ่านตาหูจมูกลิ้นกายใจที่กำลังมี
:b8:
https://m.youtube.com/watch?v=4Oxr_U3-GcY
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b1:
คำว่าเป็นปัจจัตตังคือทรงแสดงความจริงที่กำลังมี
ให้เข้าใจได้ตามกำลังสติปัญญาของตนของตน
ไม่ใช่ไปเหาะเหินเดินอากาศแล้วจะรู้ความจริง
เพราะสอนธรรมตามภพภูมิตอนนี้ภพภูมิไหน
เดินบนดินธรรมดาครบ32ประการนี่แหละ
แค่2เพศคือคฤหัสถ์กับบรรพชิตเท่านั้น
เพราะจิตที่ทรงแสดงไว้ไม่มีเพศและวัย
ปัญญารู้และเข้าใจจิตตามการสะสม
ทรงสอนให้ดูจิตตนแล้วสอนตน
ไม่ควรส่งจิตไปกับสิ่งภายนอก
ทำความสงบใจจากอกุศล
สงบจากกิเลสนะคะ
ด้วยความรู้ที่ฟัง
คิดได้ทีละ1คำ
เข้าใจบ้างไหม
:b12:
ตอนตายเปลี่ยนเสื้อใหม่+เงินในปากเอาไปเผาน๊ารู้ยัง
:b16:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2016, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ขอเสนอคำว่า ศรัทธา,ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก แต่เวลาทำหน้าที่ มันอาศัยกันและกัน อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่นไป เครื่องยนต์ทำงานสัมพันธ์กันอาศัยกันและกันฉันใด จิตเจตสิก หรือนามธรรมก็ฉันนั้น


ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้

แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลงเข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2016, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรัชกาย เขียน:
วันนี้ขอเสนอคำว่า ศรัทธา,ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก แต่เวลาทำหน้าที่ มันอาศัยกันและกัน อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่นไป เครื่องยนต์ทำงานสัมพันธ์กันอาศัยกันและกันฉันใด จิตเจตสิก หรือนามธรรมก็ฉันนั้น


ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้

แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลงเข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น

:b16:
อนุโมทนากุศลจิตกับคุณกรัชกายค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2016, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วันนี้ขอเสนอคำว่า ศรัทธา,ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก แต่เวลาทำหน้าที่ มันอาศัยกันและกัน อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่นไป เครื่องยนต์ทำงานสัมพันธ์กันอาศัยกันและกันฉันใด จิตเจตสิก หรือนามธรรมก็ฉันนั้น


ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้

แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลงเข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น


ละเลงบัญญัติ ปรุงแต่งธรรมะไปเรื่อย!

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2016, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้ขอเสนอคำว่า ศรัทธา,ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก แต่เวลาทำหน้าที่ มันอาศัยกันและกัน อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่นไป เครื่องยนต์ทำงานสัมพันธ์กันอาศัยกันและกันฉันใด จิตเจตสิก หรือนามธรรมก็ฉันนั้น


ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้

แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลงเข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น


ละเลงบัญญัติ ปรุงแต่งธรรมะไปเรื่อย!


อะไรนักก็ไม่รู้ ฟุ้งซ่านธรรม เพ้อเจ้อเรื่องศาสนา นี่ชัดเลย

ละเลงยังไง ปรุงแต่งยังไงอ่ะ เอาชัดๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2016, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้ขอเสนอคำว่า ศรัทธา,ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก แต่เวลาทำหน้าที่ มันอาศัยกันและกัน อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่นไป เครื่องยนต์ทำงานสัมพันธ์กันอาศัยกันและกันฉันใด จิตเจตสิก หรือนามธรรมก็ฉันนั้น


ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้

แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลงเข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น


ละเลงบัญญัติ ปรุงแต่งธรรมะไปเรื่อย!


อะไรนักก็ไม่รู้ ฟุ้งซ่านธรรม เพ้อเจ้อเรื่องศาสนา นี่ชัดเลย

ละเลงยังไง ปรุงแต่งยังไงอ่ะ เอาชัดๆ :b32:


ทั้งศรัทธาและปัญญา เป็นองค์ธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ...มันเป็นลักษณะไตรลักษณ์
ไอ้ที่กรัชกายพร่ามมาทั้งหมด มันมั่ว

ทั้งศรัทธาและปัญญาในทางพระอภิธรรมท่านเรียกว่า.....อินทรีย์ มันเกิดและดับไป
เนื้อหาที่กรัชกายเอามาโพสเขาเรียกว่า ละเลงธรรมบ้าน้ำลาย

เตือน! อ่านตำราแล้วอย่าเอามาฟุ้งซ่าน ระวังบ้า
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2016, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วันนี้ขอเสนอคำว่า ศรัทธา,ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก แต่เวลาทำหน้าที่ มันอาศัยกันและกัน อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลังแล่นไป เครื่องยนต์ทำงานสัมพันธ์กันอาศัยกันและกันฉันใด จิตเจตสิก หรือนามธรรมก็ฉันนั้น


ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้

แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลงเข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น


ละเลงบัญญัติ ปรุงแต่งธรรมะไปเรื่อย!


อะไรนักก็ไม่รู้ ฟุ้งซ่านธรรม เพ้อเจ้อเรื่องศาสนา นี่ชัดเลย

ละเลงยังไง ปรุงแต่งยังไงอ่ะ เอาชัดๆ :b32:


ทั้งศรัทธาและปัญญา เป็นองค์ธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ...มันเป็นลักษณะไตรลักษณ์
ไอ้ที่กรัชกายพร่ามมาทั้งหมด มันมั่ว

ทั้งศรัทธาและปัญญาในทางพระอภิธรรมท่านเรียกว่า.....อินทรีย์ มันเกิดและดับไป
เนื้อหาที่กรัชกายเอามาโพสเขาเรียกว่า ละเลงธรรมบ้าน้ำลาย

เตือน! อ่านตำราแล้วอย่าเอามาฟุ้งซ่าน ระวังบ้า
:b32:


อินทรีย์ มันเกิดและดับไป


เกิดและดับไป มันยังไงอ่ะ อธิบาย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2016, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงฆ์ไทยอเมริกาจี้นายกฯหยุดกลุ่มจ้าบจ้วงพระเถระ

สงฆ์ไทยอเมริกา จี้นายกฯหยุดกลุ่มจ้าบจ้วงพระเถระ รองโฆษก พศ. วอนถวายเกียรติพระมหาเถระ ขณะที่ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำฯ ไม่ขอเถียงรมว.ยุติธรรม ยันเป็นสิทธิ สมเด็จช่วงตอบเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ด้านอดีต ผบ.ตร. ถามดีเอสไอ ส่งหมายเรียกสมเด็จในฐานะอะไรต้องชัด เหตุใดไม่สอบคนซื้ออะไหล่รถ ส่วนสมัชชาสงฆ์ไทยในอเมริกา ออกแถลงการณ์จี้นายกฯ หยุดกลุ่มจาบจ้วง “

http://www.dailynews.co.th/education/387043

http://g-picture2.wunjun.com/5/full/61c ... s=1280x853

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2016, 06:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าของอู่วิชาญ ซ่อมรถสมเด็จช่วง ร้องกรมคุ้มครองสิทธิฯ ขอทนายสู้คดี หลังถูกฟ้อง

"หลังจากถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและมีหมายศาลมาที่บ้าน ทำให้ผมและครอบครัวเกิดความเครียด ภรรยาก็ร้องไห้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยถูกฟ้องร้องอะไรแบบนี้เลย อีกทั้งผมไม่รู้เกี่ยวกับระบบทนายความ แต่เชื่อว่าถ้าเราอยู่บนความจริง ความจริงก็คือความจริง วันหนึ่งเขามาพึ่งพาให้ผมช่วยซ่อมรถให้ อีกวันมาบอกว่าผมเป็นโจรเอารถไปขายให้พระ วันหนึ่งเขาให้ผมช่วยเป็นธุระจัดการนำเงินมาผ่านยังผม เพื่อจะได้ไปจ่ายแทนให้ เพราะเขาจะได้จ่ายเงินมาด้านเดียว แต่วันหนึ่งมากล่าวหาว่าผมเป็นคนรับเงินทั้งหมดและเอารถไปให้เขา" นายวิชาญกล่าว

นายวิชาญกล่าวต่อว่า ยืนยัน ไม่ใช่เจ้าของรถแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ใช่เจ้าของเครื่องยนต์ หรือบอดี้ที่เอาเข้ามา รวมถึงไม่ใช่เจ้าของอะไหล่ที่เขามาจ้างให้ตนทำเป็นตัวรถ อีกทั้ง ตนไม่ได้เป็นคนดำเนินการในเรื่องการจดประกอบ และไม่เคยรู้เรื่องการจดประกอบ ไม่รู้เรื่องทะเบียน 99 และไม่รู้ด้วยว่าใครเคยเป็นเจ้าของชื่อรถคนแรก จึงไม่ได้เป็นผู้ขายรถคันดังกล่าวให้กับหลวงพี่แป๊ะ แต่เป็นช่างที่ได้รับการว่าจ้างให้ซ่อมรถดังกล่าว โดยหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้ว่าจ้าง

รูปภาพ
http://m.prachachat.net/news_detail.php ... 1457419247

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2016, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เจ้าของอู่วิชาญ ซ่อมรถสมเด็จช่วง ร้องกรมคุ้มครองสิทธิฯ ขอทนายสู้คดี หลังถูกฟ้อง

"หลังจากถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและมีหมายศาลมาที่บ้าน ทำให้ผมและครอบครัวเกิดความเครียด ภรรยาก็ร้องไห้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยถูกฟ้องร้องอะไรแบบนี้เลย อีกทั้งผมไม่รู้เกี่ยวกับระบบทนายความ แต่เชื่อว่าถ้าเราอยู่บนความจริง ความจริงก็คือความจริง วันหนึ่งเขามาพึ่งพาให้ผมช่วยซ่อมรถให้ อีกวันมาบอกว่าผมเป็นโจรเอารถไปขายให้พระ วันหนึ่งเขาให้ผมช่วยเป็นธุระจัดการนำเงินมาผ่านยังผม เพื่อจะได้ไปจ่ายแทนให้ เพราะเขาจะได้จ่ายเงินมาด้านเดียว แต่วันหนึ่งมากล่าวหาว่าผมเป็นคนรับเงินทั้งหมดและเอารถไปให้เขา" นายวิชาญกล่าว

นายวิชาญกล่าวต่อว่า ยืนยัน ไม่ใช่เจ้าของรถแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ใช่เจ้าของเครื่องยนต์ หรือบอดี้ที่เอาเข้ามา รวมถึงไม่ใช่เจ้าของอะไหล่ที่เขามาจ้างให้ตนทำเป็นตัวรถ อีกทั้ง ตนไม่ได้เป็นคนดำเนินการในเรื่องการจดประกอบ และไม่เคยรู้เรื่องการจดประกอบ ไม่รู้เรื่องทะเบียน 99 และไม่รู้ด้วยว่าใครเคยเป็นเจ้าของชื่อรถคนแรก จึงไม่ได้เป็นผู้ขายรถคันดังกล่าวให้กับหลวงพี่แป๊ะ แต่เป็นช่างที่ได้รับการว่าจ้างให้ซ่อมรถดังกล่าว โดยหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้ว่าจ้าง

รูปภาพ
http://m.prachachat.net/news_detail.php ... 1457419247

:b32: :b32: :b32:



ไปที่ศูนย์กลางอำนาจนี่ :b32:

https://www.facebook.com/buddha.isara

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 224 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร