วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 12:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2016, 08:54 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2946


 ข้อมูลส่วนตัว


คู่จิ้น คุณกรัชกาย กับ คุณโฮฮับ
rolleyes

ดีใจที่กลับมาอีกครั้งค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2016, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านบทความด้านล่าง ที่บอร์ดอะลิตเตลบุดด้า เข้ากันได้กับหัวข้อนี้ ลองดู

..........

ศาสนาประจำชาติ ทำไม ? เพื่อใคร ?
โดย ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ป.ธ.
อดีตเณรนาคหลวง ป.ธ.๙ พ.ศ.๒๕๑๖


>> เมื่อก่อนผมไม่สนใจนักเรื่องการพูดว่า
"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น
เพราะพระพุทธศาสนาอยู่ในใจคนไทยอยู่แล้ว
แต่บัดนี้ชัดเจนแล้วว่า ผมคิดผิด
เพราะลืมไปว่าคนไทยไม่ได้เป็นชาวพุทธทั้งหมด
ยังมีคนต่างศาสนาอยู่ร่วมด้วย

>> ผมคิดผิดว่า
คนต่างศาสนาเขาจะอยู่ร่วมกับเราอย่างสันติ
แต่ไม่ใช่ เขา(คนบางศาสนาบางกลุ่ม)
อยู่อย่างพร้อมจะทำให้เราเจ็บปวด
ซึ่งก็ไม่โทษเขา แต่เราต้องรู้และปรับตัว

: ความอ่อนโยนและเอื้ออารีของเราที่เคยมีมานาน
บัดนี้อาจเป็นอันตรายที่มาทำร้ายเรา
หากเราใช้ไม่ถูกกาละเทศะ
จะกลายเป็นม้าอารีที่ถูกเบียด
จนต้องไปยืนข้างคอกหรือออกนอกคอกไป

>> อาการที่ชาวพุทธไทยถูกปฏิบัติอย่างม้าอารี
เกิดขึ้นแล้ว เมื่อก่อนยังคลุมเครือ
แต่จากนี้ไปค่อยๆชัดขึ้นๆ...
ทุกอย่างเป็นไปอย่างแนบเนียน
จนชาวพุทธไทย ราชการไทยสังเกตไม่ทัน
รู้ไม่ทัน หรืออาจจะรู้ แต่คิดว่าไม่เป็นไร
ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของชาวพุทธไทย
ที่มักปลงหรือปล่อยวางอย่างประมาท
แต่นี่คือ ความตายของชาวพุทธไทย
นี่คือ ความล่มสลายของพระพุทธศาสนาในเมืองไทย

>> พระพุทธศาสนาล่มสลายไม่ได้ ? ทำไม ?
ในทัศนะส่วนตัว ผมขอตอบอย่างกำปั้นทุบดิน
ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา
พระพุทธศาสนาคือศาสนาของผม
ศาสนาที่ผมและบรรพบุรุษไทยเคารพกราบไหว้มาแต่เกิด
ศาสนาที่ให้ชีวิตให้โอกาสคนอย่างผม
พระพุทธเจ้าคือพระศาสดาของผม
ผมกราบไหว้เหนือเกล้าจนไม่มีที่ว่างให้ศาสดาใด
ของศาสนาไหนมายิ่งใหญ่กว่าพระองค์ได้
นี่แหละคือเหตุผลแรก

>> ส่วนเหตุผลต่อมา ก็คือ
ผมสามารถอยู่ร่วมกับใครต่อใคร
ในสังคมได้อย่างมีความสุข
แม้จะต่างเชื้อชาติศาสนา
ก็เพราะคำสอนของพระศาสดาที่ว่า
ทุกชีวิตคือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
แล้วให้มีเมตตาต่อกันแบ่งปันกัน
แต่ในต่างศาสนาบางศาสนา
สอนให้แยกอยู่เฉพาะพวกตัวเอง
โดยแสดงลักษณะเฉพาะตนที่เรียกว่า
"อัตลักษณ์" ออกมา มองผิวเผินอาจดูดี

แต่นี่คือจงใจให้เกิดการแตกแยกว่า "พวกเรา-พวกเขา"
แล้วก็หวังผลอะไรต่อมิอะไรต่อไป
สุดท้ายก็คือ ผลักดันให้ศาสนาของพวกเขา
ก้าวขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ

>> ที่เขียนมานี้ก็เพื่อให้สติชาวพุทธไทย
ที่หลงคิดว่าตัวใจกว้าง
มองโลกสวยจากภาพลวงตาในนามว่า "สมานฉันท์"
แต่นั่นแท้จริงแล้ว คือ "ความด้อยปัญญา"
เพราะสมานฉันท์ไม่สามารถเกิดได้จาก
"ไมตรีที่เห็นแก่ตัว"

>> ผมอยู่ในโลกสวยด้วยฝันและจินตนาการมานาน
แต่บัดนี้ผมออกจากโลกนั้นแล้ว
มาอยู่ในโลกที่ผมต้องรู้..
และต้องสู้เพื่อให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้
แม้จะสายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังดี
ดีกว่ายอมจำนนแบบหมดทางแก้ไข

>> หลายคนพยายามยับยั้งโดยอ้างว่า
"พระสงฆ์ทำตัวไม่เหมาะสม
สู้ไปก็เพื่อให้พระสงฆ์เสวยสุขเป็นอภิสิทธิ์ชน"

ผมยอมรับว่า มีบ้างพระสงฆ์ที่ทำตัวอย่างนั้น
แต่ผมไม่อาจมองข้ามพระสงฆ์ที่ดีไปได้
พระสงฆ์ที่อุทิศตัวให้พระศาสนา ทำงานให้สังคม
และปรารถนาให้ประเทศชาติสงบสุข ยังมีอีกมาก
เราต้องคิดถึงพระสงฆ์กลุ่มนี้ซึ่งมีมากทั่วแผ่นดิน
พระสงฆ์กลุ่มนี้แหละที่ไม่ทิ้งพวกผมเช่นกัน

>> ผมกับผองเพื่อนจะสู้กับสถานการณ์
การสู้ของพวกเราจะไม่มีความรุนแรง
จะไม่มีใครเลือดตกยางออก
แต่จุดหมายปลายทาง คือ
ทุกฝ่ายไม่ว่าคนศาสนาไหน
จะได้รับช่อดอกไม้ด้วยกัน
เพราะเราสู้เพื่อพระพุทธศาสนา
ศาสนาของพระพุทธเจ้า

>> พวกเราตกผลึกกันแล้วว่า
"พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด"
แต่ถ้าพระพุทธศาสนาอยู่ไม่ได้
ไม่มีสถาบันไหนรอด.

Banjob Bannaruji

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2016, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนหน้า อ.บรรจบ ได้แสดงความเห็นที่ fb ของท่าน

นำมาตรงนี้ไม่ได้ รูปภาพกว้างเกินไป

ดูที่นี่

http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 5078-20236

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

>> เมื่อก่อนผมไม่สนใจนักเรื่องการพูดว่า
"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น
เพราะพระพุทธศาสนาอยู่ในใจคนไทยอยู่แล้ว
แต่บัดนี้ชัดเจนแล้วว่า ผมคิดผิด
เพราะลืมไปว่าคนไทยไม่ได้เป็นชาวพุทธทั้งหมด
ยังมีคนต่างศาสนาอยู่ร่วมด้วย


คิดแบบนี้ แล้วเคยคิดบางหรือเปล่าว่า
ในชมภูทวีปก่อนที่จะมีพุทธศาสนา ก็มีศาสนาพราหมณ์มาก่อน
ถ้าศาสนาพราหมณ์เขาคิดแบบนี้ยังจะมีพุทธศาสนามั้ย


กรัชกาย เขียน:
>> ผมคิดผิดว่า
คนต่างศาสนาเขาจะอยู่ร่วมกับเราอย่างสันติ
แต่ไม่ใช่ เขา(คนบางศาสนาบางกลุ่ม)
อยู่อย่างพร้อมจะทำให้เราเจ็บปวด
ซึ่งก็ไม่โทษเขา แต่เราต้องรู้และปรับตัว

ก็ต้องคิดด้วยว่า ไอ้คนต่างศาสนาที่ว่า เขาอยู่หรือเคยอยู่ในที่ๆของเขา
หรือเขามาระรานเรา มันเป็นเราต่างหากที่ไประรานบุกยึดเอาแผ่นดินของเขา
และนักรบแต่ละคนที่บุกไปยึดแผ่นดินของเขานับถือพุทธกันทั้งนั้น
ขนาดไม่ได้บัญญัติไว้เป็นกฎหมาย เขายังมีความรู้สึกว่าถูกกดขี่
ถ้าขืนไปบัญญัติกฎหมายที่ว่าเข้าไป มันมิไปกันใหญ่หรือ

กรัชกาย เขียน:
: ความอ่อนโยนและเอื้ออารีของเราที่เคยมีมานาน
บัดนี้อาจเป็นอันตรายที่มาทำร้ายเรา
หากเราใช้ไม่ถูกกาละเทศะ
จะกลายเป็นม้าอารีที่ถูกเบียด
จนต้องไปยืนข้างคอกหรือออกนอกคอกไป


นี้มันเป็นความคิดฝ่ายเดียว(คิดเข้าข้างตัวเอง) นั้นเพราะฝ่ายนั้นเขาไม่คิดแบบนี้
ถ้าจะให้ผมวิพากษ์ผมว่าเขาคงคิดว่า พวกเราป่าเถื่อนเขาอยู่ของเขาดีๆ ดันไปรุกราน
ยึดแผ่นดินเขา ประเด็นมันไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่มันเป็นประเด็นการเมือง
และทางรัฐบาลก็รู้ว่ามันเป็นประเด็นการเมืองไม่ใช่ศาสนา รัฐบาลก็พยายามใช่กฎหมาย(รุนแรง)
เช่น กฎอัยการศึก เคอร์ฟิว ฯลฯ แล้วมันช่วยอะไรได้มั้ย....ฉะนั้นการออกกหมายใดก็ตามไม่ช่วยแก้ปัญหา
นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายเขาไม่ยอมรับ.....ตรงข้ามเข้าจะเอาไปเป็นประเด็นปลุกปั่นชาวบ้านให้เกิดความไม่พอใจเพิ่มขึ้น


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 04:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
>> อาการที่ชาวพุทธไทยถูกปฏิบัติอย่างม้าอารี
เกิดขึ้นแล้ว เมื่อก่อนยังคลุมเครือ
แต่จากนี้ไปค่อยๆชัดขึ้นๆ...
ทุกอย่างเป็นไปอย่างแนบเนียน
จนชาวพุทธไทย ราชการไทยสังเกตไม่ทัน
รู้ไม่ทัน หรืออาจจะรู้ แต่คิดว่าไม่เป็นไร
ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของชาวพุทธไทย
ที่มักปลงหรือปล่อยวางอย่างประมาท
แต่นี่คือ ความตายของชาวพุทธไทย
นี่คือ ความล่มสลายของพระพุทธศาสนาในเมืองไทย


พูดเรื่อยเปื่อย ศาสนาอื่นไม่มีทางที่จะทำให้พุทธศาสนาล่มได้
บรรพบุรุษของเรา ที่ช่วยกันกอบกู้บ้านเมืองก็มีบางท่านที่ไม่ได้นับถือพุทธ
และลูกหลานของท่านยังช่วยกันให้เรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง
ไม่แน่เราต้องออกกฎหมายให้ศาสนาคริสเป็นศาสนาประจำชาติไปแล้วก็ได้

ศาสนาพุทธจะล่มสลายก็เพราะคนพุทธด้วยกันเองนี่แหล่ะ

กรัชกาย เขียน:
>> พระพุทธศาสนาล่มสลายไม่ได้ ? ทำไม ?
ในทัศนะส่วนตัว ผมขอตอบอย่างกำปั้นทุบดิน
ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา
พระพุทธศาสนาคือศาสนาของผม
ศาสนาที่ผมและบรรพบุรุษไทยเคารพกราบไหว้มาแต่เกิด
ศาสนาที่ให้ชีวิตให้โอกาสคนอย่างผม
พระพุทธเจ้าคือพระศาสดาของผม
ผมกราบไหว้เหนือเกล้าจนไม่มีที่ว่างให้ศาสดาใด
ของศาสนาไหนมายิ่งใหญ่กว่าพระองค์ได้
นี่แหละคือเหตุผลแรก

คำพูดแบบนี้ต้องไปพูดในวัดพุทธครับ ประเทศไทยไม่ได้มีคุณเพียงคนเดียวนะครับ
ประเทศไทยมีหลายเชื้อชาติและหลายศาสนา เอะอะจะมาเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ผมว่ามันเกินไปนะครับ อย่าว่าแต่คนศาสนาอื่นเลย แม้กระทั้งผมที่นับถือพุทธก็ไม่เห็นด้วย
และผมเชื่อว่ามีคนพุทธอีกหลายคนที่คิดแบบผม

กรัชกาย เขียน:
>> ส่วนเหตุผลต่อมา ก็คือ
ผมสามารถอยู่ร่วมกับใครต่อใคร
ในสังคมได้อย่างมีความสุข
แม้จะต่างเชื้อชาติศาสนา
ก็เพราะคำสอนของพระศาสดาที่ว่า
ทุกชีวิตคือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
แล้วให้มีเมตตาต่อกันแบ่งปันกัน
แต่ในต่างศาสนาบางศาสนา
สอนให้แยกอยู่เฉพาะพวกตัวเอง
โดยแสดงลักษณะเฉพาะตนที่เรียกว่า
"อัตลักษณ์" ออกมา มองผิวเผินอาจดูดี

แต่นี่คือจงใจให้เกิดการแตกแยกว่า "พวกเรา-พวกเขา"
แล้วก็หวังผลอะไรต่อมิอะไรต่อไป
สุดท้ายก็คือ ผลักดันให้ศาสนาของพวกเขา
ก้าวขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ

พุทโธ่เอ้ย! พูดไปเรื่อยสารพัดจะสรรหาเรื่องมาใส่ร้ายเขา....แบบนี้ยังอ้างว่าตัวเป็นพุทธ
ศาสนาอื่นเมื่อเทียบกับพุทธมีกี่เปอร์เซ็น จะพูดจาอะไรให้มันอยู่ในหลักของความจริงบ้างเถอะครับ



โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
>> ที่เขียนมานี้ก็เพื่อให้สติชาวพุทธไทย
ที่หลงคิดว่าตัวใจกว้าง
มองโลกสวยจากภาพลวงตาในนามว่า "สมานฉันท์"
แต่นั่นแท้จริงแล้ว คือ "ความด้อยปัญญา"
เพราะสมานฉันท์ไม่สามารถเกิดได้จาก
"ไมตรีที่เห็นแก่ตัว"


ที่พูดมามันเป็นมุมมองของตนฝ่ายเดียว คุณรู้มั้ยว่าทำไมต้องสมานฉันท์
นั้นก็เพราะมันเกิดความไม่ปกติ กำลังเกิดความแตกแยก เขาเลยต้องเอาความสมานฉันท์มาแก้ปัญหา
เขากำลังแก้ปัญหา คุณกับมาสร้างปัญหาให้มันลุกลาม

ไม่รู้ใครกันแน่ที่สมควรจะถูกประนามว่าเห็นแก่ตัว


กรัชกาย เขียน:
>> ผมอยู่ในโลกสวยด้วยฝันและจินตนาการมานาน
แต่บัดนี้ผมออกจากโลกนั้นแล้ว
มาอยู่ในโลกที่ผมต้องรู้..
และต้องสู้เพื่อให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้
แม้จะสายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังดี
ดีกว่ายอมจำนนแบบหมดทางแก้ไข

>> หลายคนพยายามยับยั้งโดยอ้างว่า
"พระสงฆ์ทำตัวไม่เหมาะสม
สู้ไปก็เพื่อให้พระสงฆ์เสวยสุขเป็นอภิสิทธิ์ชน"

ผมยอมรับว่า มีบ้างพระสงฆ์ที่ทำตัวอย่างนั้น
แต่ผมไม่อาจมองข้ามพระสงฆ์ที่ดีไปได้
พระสงฆ์ที่อุทิศตัวให้พระศาสนา ทำงานให้สังคม
และปรารถนาให้ประเทศชาติสงบสุข ยังมีอีกมาก
เราต้องคิดถึงพระสงฆ์กลุ่มนี้ซึ่งมีมากทั่วแผ่นดิน
พระสงฆ์กลุ่มนี้แหละที่ไม่ทิ้งพวกผมเช่นกัน

>> ผมกับผองเพื่อนจะสู้กับสถานการณ์
การสู้ของพวกเราจะไม่มีความรุนแรง
จะไม่มีใครเลือดตกยางออก
แต่จุดหมายปลายทาง คือ
ทุกฝ่ายไม่ว่าคนศาสนาไหน
จะได้รับช่อดอกไม้ด้วยกัน
เพราะเราสู้เพื่อพระพุทธศาสนา
ศาสนาของพระพุทธเจ้า

>> พวกเราตกผลึกกันแล้วว่า
"พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด"
แต่ถ้าพระพุทธศาสนาอยู่ไม่ได้
ไม่มีสถาบันไหนรอด.


ผมพูดแค่นี่แหล่ะขี้เกียจ เอาสั้นๆนะครับว่า....อย่าคลั่งชาติ อย่าคลั่งศาสนา
มิเช่นนั้นบ้านเมืองมันจะวุ่นวาย ห่วงลูกหลานเราบ้าง


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
>> ที่เขียนมานี้ก็เพื่อให้สติชาวพุทธไทย
ที่หลงคิดว่าตัวใจกว้าง
มองโลกสวยจากภาพลวงตาในนามว่า "สมานฉันท์"
แต่นั่นแท้จริงแล้ว คือ "ความด้อยปัญญา"
เพราะสมานฉันท์ไม่สามารถเกิดได้จาก
"ไมตรีที่เห็นแก่ตัว"


ที่พูดมามันเป็นมุมมองของตนฝ่ายเดียว คุณรู้มั้ยว่าทำไมต้องสมานฉันท์
นั้นก็เพราะมันเกิดความไม่ปกติ กำลังเกิดความแตกแยก เขาเลยต้องเอาความสมานฉันท์มาแก้ปัญหา
เขากำลังแก้ปัญหา คุณกับมาสร้างปัญหาให้มันลุกลาม

ไม่รู้ใครกันแน่ที่สมควรจะถูกประนามว่าเห็นแก่ตัว


กรัชกาย เขียน:
>> ผมอยู่ในโลกสวยด้วยฝันและจินตนาการมานาน
แต่บัดนี้ผมออกจากโลกนั้นแล้ว
มาอยู่ในโลกที่ผมต้องรู้..
และต้องสู้เพื่อให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้
แม้จะสายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังดี
ดีกว่ายอมจำนนแบบหมดทางแก้ไข

>> หลายคนพยายามยับยั้งโดยอ้างว่า
"พระสงฆ์ทำตัวไม่เหมาะสม
สู้ไปก็เพื่อให้พระสงฆ์เสวยสุขเป็นอภิสิทธิ์ชน"

ผมยอมรับว่า มีบ้างพระสงฆ์ที่ทำตัวอย่างนั้น
แต่ผมไม่อาจมองข้ามพระสงฆ์ที่ดีไปได้
พระสงฆ์ที่อุทิศตัวให้พระศาสนา ทำงานให้สังคม
และปรารถนาให้ประเทศชาติสงบสุข ยังมีอีกมาก
เราต้องคิดถึงพระสงฆ์กลุ่มนี้ซึ่งมีมากทั่วแผ่นดิน
พระสงฆ์กลุ่มนี้แหละที่ไม่ทิ้งพวกผมเช่นกัน

>> ผมกับผองเพื่อนจะสู้กับสถานการณ์
การสู้ของพวกเราจะไม่มีความรุนแรง
จะไม่มีใครเลือดตกยางออก
แต่จุดหมายปลายทาง คือ
ทุกฝ่ายไม่ว่าคนศาสนาไหน
จะได้รับช่อดอกไม้ด้วยกัน
เพราะเราสู้เพื่อพระพุทธศาสนา
ศาสนาของพระพุทธเจ้า

>> พวกเราตกผลึกกันแล้วว่า
"พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด"
แต่ถ้าพระพุทธศาสนาอยู่ไม่ได้
ไม่มีสถาบันไหนรอด.


ผมพูดแค่นี่แหล่ะขี้เกียจ เอาสั้นๆนะครับว่า....อย่าคลั่งชาติ อย่าคลั่งศาสนา
มิเช่นนั้นบ้านเมืองมันจะวุ่นวาย ห่วงลูกหลานเราบ้าง



ถ้าย้อนกลับดูอดีต ก่อนที่พุทธจะสูญสิ้นจากแผ่นดินพุทธภูมิ เหมือนๆกับสถานการณ์พุทธไทยปัจจุบัน

คือถาวรวัตถุ เช่น วัดวาอาราม ถูกคนนอกศาสนาทำลาย เผาราบเรียบ (นาลันทา) พระถูกฆ่าถูกตัดหัวตาย ที่รอดตายก็หนีตาย

ประวัติว่ามีพระบางรูปคลั่งไสยศาสตร์คิดว่าตัวเองมีของดี คือ มีพัดวิเศษ มีคนบอกให้หนีเถอะมันมาแล้ววววว อิอิ พระตอบว่าไงรู้ไหม ? ให้มันมาเถอะน่า จะเอาพัดพัดให้ปลิวไปนอกโลกเลย กั้กๆๆ

สุดดท้ายคอขาด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

ถ้าย้อนกลับดูอดีต ก่อนที่พุทธจะสูญสิ้นจากแผ่นดินพุทธภูมิ เหมือนๆกับสถานการณ์พุทธไทยปัจจุบัน

คือถาวรวัตถุ เช่น วัดวาอาราม ถูกคนนอกศาสนาทำลาย เผาราบเรียบ (นาลันทา) พระถูกฆ่าถูกตัดหัวตาย ที่รอดตายก็หนีตาย

ประวัติว่ามีพระบางรูปคลั่งไสยศาสตร์คิดว่าตัวเองมีของดี คือ มีพัดวิเศษ มีคนบอกให้หนีเถอะมันมาแล้ววววว อิอิ พระตอบว่าไงรู้ไหม ? ให้มันมาเถอะน่า จะเอาพัดพัดให้ปลิวไปนอกโลกเลย กั้กๆๆ


ก็พูดมันได้เรื่อยเปื่อย ไม่เห็นประเทศอื่นเขาจะเดือดร้อนแบบนี่เลย
คงคิดว่าไทยเป็นเจ้าของศาสนาพุทธแหง่ๆ ถึงได้เดือดร้อนเกินลิมิต


:b32:


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ถ้าย้อนกลับดูอดีต ก่อนที่พุทธจะสูญสิ้นจากแผ่นดินพุทธภูมิ เหมือนๆกับสถานการณ์พุทธไทยปัจจุบัน

คือถาวรวัตถุ เช่น วัดวาอาราม ถูกคนนอกศาสนาทำลาย เผาราบเรียบ (นาลันทา) พระถูกฆ่าถูกตัดหัวตาย ที่รอดตายก็หนีตาย

ประวัติว่ามีพระบางรูปคลั่งไสยศาสตร์คิดว่าตัวเองมีของดี คือ มีพัดวิเศษ มีคนบอกให้หนีเถอะมันมาแล้ววววว อิอิ พระตอบว่าไงรู้ไหม ? ให้มันมาเถอะน่า จะเอาพัดพัดให้ปลิวไปนอกโลกเลย กั้กๆๆ


ก็พูดมันได้เรื่อยเปื่อย ไม่เห็นประเทศอื่นเขาจะเดือดร้อนแบบนี่เลย
คงคิดว่าไทยเป็นเจ้าของศาสนาพุทธแหง่ๆ ถึงได้เดือดร้อนเกินลิมิต


:b32:


ถึงได้บอกไงว่า ชาวพุทธที่นึกคิดเห็นอย่างโฮฮับเป็นต้นนี่แหละ รักษาพระพุทธศาสนาไว้ไม่ได้ แบบนี้แหละสมควรส่งไปเป็นลูกศิษย์พระที่ภาคใต้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถึงได้บอกไงว่า ชาวพุทธที่นึกคิดเห็นอย่างโฮฮับเป็นต้นนี่แหละ รักษาพระพุทธศาสนาไว้ไม่ได้ แบบนี้แหละสมควรส่งไปเป็นลูกศิษย์พระที่ภาคใต้


เริ่มมั่วแล้วไง! :b32:


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2016, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถึงได้บอกไงว่า ชาวพุทธที่นึกคิดเห็นอย่างโฮฮับเป็นต้นนี่แหละ รักษาพระพุทธศาสนาไว้ไม่ได้ แบบนี้แหละสมควรส่งไปเป็นลูกศิษย์พระที่ภาคใต้


เริ่มมั่วแล้วไง! :b32:



"ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา" เคยได้ยินมั้ย

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม เคยได้ยินมั้ย

มนุษย์จะสำนึกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ต่อเมื่อตนมีการสูญเสีย พลัดพรากจากสิ่งนั้น

จะสำนึกว่าสิ่งทีกรัชกายพูด ไม่ใช่เล่นเน็ตเล่นไลน์อยู่บนคอนโด อิอิ ต้องอยู่กับสถานการณ์จริงแล้วจะร้องอ๋อมันเป็นยังงี้นี่เอง

กระทู้ถูกลบไปแล้ว คือ สมช. ที่เป็นพระนิสิตประสบกับตนเองบนยอดดอย นั่นแหละของจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2016, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ถ้าคนนอกศาสนาหมายถึงเดียรถีย์แล้วลองฟังธัมมะคลิปนี้ดูค่ะ
แล้วดูที่จิตตนซิว่ารู้จริงว่าตนเป็นคนในหรือคนนอกศาสนากัน
https://www.youtube.com/watch?v=xUHviSH5w-0
onion onion onion


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 15 ก.พ. 2016, 14:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2016, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้าคนนอกศาสนาหมายถึงเดียรถีย์แล้วลองฟังธัมมะคลิปนี้ดูค่ะ
แล้วดูที่จิตตนซิว่ารู้จริงว่าตนเป็นคนในหรือคนนอกศาสนากัน
https://www.youtube.com/watch?v=xUHviSH5w-0
onion onion onion


เปิดไม่ได้ ในคลิปใครพูดหรา :b13:

คนนอกศาสนาหมายถึงผู้ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เดียรถีย์เขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา จึงเรียกว่านอกศาสนาพุทธ ฉะนี้แหละ เมื่อมีบุคคลนอกพุทธศาสนา (เดียรถีย์) ขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงวางกลักไว้ว่า จะต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๔ เดือน เพื่ออะไร? เพื่อปรับทัศนคติ (คุ้นๆกับปัจจุบันไหมอิอิ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2016, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จวนเจียนจะปรินิพพาน มีปริพพาชก คือ คนนอกพระพุทธศาสนาชื่อสุภัทะ มาขอเฝ้าทูลถามปัญหา

ตัดเอาตอนที่พูดถึงติตถิยปริวาสมา สังเกตดู

.........

ฯลฯ

สุภัททะฟังพระพุทธดำรัสนี้แล้วเลื่อมใส ทูลขอบรรพชาอุปสมบท

พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนาอื่นมาก่อน ถ้าประสงค์จะบวชในศาสนาของพระองค์ จะต้องอยู่ติตถิยปริวาส คือ บำเพ็ญตนทำความดีจนภิกษุทั้งหลายไว้ใจเป็นเวลา ๔ เดือนก่อน แล้วจึงจะบรรพชาอุปสมบทได้

สุภัททะทูลว่า เขาพอใจอยู่บำรุงปฏิบัติภิกษุทั้งหลายสัก ๔ ปี

พระศาสดาทรงเห็นความตั้งใจจริงของสุภัททะ ดังนั้น จึงรับสั่งให้พระอานนท์นำสุภัททะไปบรรพชาอุปสมบท

พระอานนท์รับพุทธบัญชาแล้ว นำสุภัททะไป ณ ที่ส่วนหนึ่ง ปลงผมและหนวดแล้ว บอกกรรมฐานให้ ให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และศีล สำเร็จเป็นสามเณร บรรพชาแล้วนำมาเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาผู้ทรงมหากรุณาให้อุปสมบทแก่สุภัททะเป็นภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว ตรัสบอกกัมมัฏฐานอีกครั้งหนึ่ง

ฯลฯ

พระอรหันต์รูปสุดท้ายที่ทันเห็นพระพุทธเจ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2016, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร